2209 ข้อความ
- 1 คนสงสัยข่าว รพ.สรรพสิทธิ์จะสร้างตึก 7 ชั้น บนพื้นที่ 12 ไร่ จริงหรือไม่จากที่มีข่าวปรากฎทางเพจ Ubon Now ว่า โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี มีแผนจะสร้างตึกปฐมภูมิ 7 ชั้น มีการพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุ 12 ไร่ โดยเคลียร์พื้นที่ด้านทิศเหนือของอาคารที่พัก 4 ชั้น ถ.บูรพาใน เพื่อที่จะดำเนินการก่อสร้าง อยู่แผนพัฒนาระยะที่ 3 นั้น ( https://www.facebook.com/yourubonratchathani/posts/3016485401943572 ) นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้เปิดเผยกับ UbonConnect ว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร อาจมีการพูดในที่ประชุมถึงการพัฒนาพื้นที่ต่อจากอาคารที่พักโรงพยาบาล แต่เป็นการเพียงแนวคิด และยังไม่มีการคิดไปถึงตึกปฐมภูมิ 7 ชั้น หรือพื้นที่ 12 ไร่ ก็ไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด ไม่ทราบว่าได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อนมาจากที่ใด หรือมีวัตถุประสงค์ใด ขอให้สื่อได้ช่วยกันแก้ข่าวนี้ด้วย 15-11-64 ( https://www.facebook.com/UbonConnect/posts/4748218388551343 )ภาคอีสานสุชัย เจริญมุขยนันท• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไก่แต่ละตัวได้รับอะนาโบลิกสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ และฮอร์โมนการเจริญเติบโต 3 โด๊สทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ก่อให้เป็นมะเร็ง จริงหรือไม่ไก่แต่ละตัวได้รับอะนาโบลิกสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ และฮอร์โมนการเจริญเติบโต 3 โด๊สทุกวันเป็นเวลา 30 วัน และผลที่ได้ก็ทำให้พวกเขาอ้วนเท่านั้น หลังจากนั้นไก่เหล่านี้จะต้องขายภายใน 30 ถึง 40 วัน หากไม่ทำเช่นนี้ ไก่เหล่านี้จะถูกทิ้งระเบิดตายด้วยส่วนผสมที่เป็นพิษที่กล่าวถึงข้างต้น เมื่อกินไก่เหล่านี้ ผลที่ตามมาสำหรับผู้บริโภคไม่เพียงแต่น่าตกใจ แต่ยังเป็นหายนะอีกด้วย เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ครอบครัว และคนงานไม่เคยกินไก่เหล่านี้เพราะพวกเขาตระหนักดีถึงเรื่องนี้ พูดง่ายๆ คือ ไก่เหล่านี้เป็นเซลล์มะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์นี้ คุณรู้หรือไม่? หนึ่งในสี่ของคนเป็นมะเร็ง โปรดตรวจสอบกับแพทย์ของคุณ! ! โปรดดูวิดีโอด้านบนโดยไม่ลบ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คาดว่าจะแพร่กระจายไปยังกลุ่มอื่นๆ ของคุณAbd Zaaq• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสรุป คือ 1. รัฐบาลให้เงิน 600 ล้าน กับ บ.สยามไบโอตั้งโรงงานผลิตวัคซีนแอสตร้า เพื่อส่งให้บริษัทแม่ที่อังกฤษ ไม่ใช่ผลิตให้คนไทย ประเทศไทยไม่มีพันธะผูกพันใดๆ กับบริษัทสยามไบโอ 2. รัฐบาลไทยต้องติดต่อซื้อวัคซีนแอสตร้าจากบริษัทแม่ ไม่สามารถสั่งจาก บ.ไบโอได้ จะได้ช้าหรือเร็วอยู่ที่คิวลำดับการสั่งในแต่ละประเทศ 3. ทำไมรัฐบาลไทยต้องให้เงิน บริษัทสยามไบโอ 600 ล้าน เพื่อผลิตวัคซีนเพื่อขาย เงินนี้เป็นเงินภาษีคนไทยนะ 4. แรกๆที่ธนาธรออกมาแฉ รัฐบาลตอบโต้ว่าที่ให้เงินสนันสนุน เพราะคนไทยจะได้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆของโลก 5. รัฐบาลบอกเป็นวัคซีนของคนไทย เป็นความภูมิใจของคนไทย 6. วันนี้ทำไมถึงออกมารูปแบบนี้ ถือเป็นบ. เอกชน แรกของไทยมั้ยที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนทำธุรกิจวัคซีนโควิดไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยสถานการณ์ ล่าสุด หลังจากประชุมบอร์ด ที่ มหิดลฯ วันนี้ นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา ซึ่งเป็นผู้แลนโยายด้านโควิด โดยตรงของประเทศ 1. ตัวเลข 2,000 จะอยู่กับเราไปอีก ประมาณ 15 วัน เป็นอย่างน้อย 2. ถ้าไม่มีคลัสเตอร์ใหญ่เพิ่มขึ้น ก็ ตึงมือ จนจะรับไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามี ก็ ตัวใครตัวมัน 3. ให้ระวังความสะอาดขั้นสูงสุด โดยเฉพาะการสั่งอาหารโดย grab 4. ตัวเลขติดเชื้อ 65% ติดจากคนในบ้าน 5. สามี ภรรยา ถ้ามีห้องแยก ควรแยกกันนอนอย่างน้อย 2 เดือน 6. ห้ามคนเข้าบ้าน เด็ดขาด ไม่ว่า จะไว้ใจแค่ไหนก็ตาม 7. ควรฉีดวัคซีน (อันนี้ เราคุยกันแล้ว ว่า หมอก็พูดแบบนี้ 8. วัคซีนกำลังเร่งเต็มที่ให้เข้ามา ซึ่งก็คือ sinovac กับ astra 9. ต้องตัดใจจริงๆ ห้ามประมาทเด็ดขาดในทุกๆ เรื่องโควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเรียน ผู้บังคับบัญชา ด้วยนายสถาปัตย์ สุวรรณมณี ได้ไปตรวจคัดกรองโควิด – 19 เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 64 เวลา 10.30 น. ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัด แล้วพบว่าติดเชื้อ เมื่อวันที่29 เม.ย. 64 เวลา 18.20 น. อำเภอจึงได้ดำเนินการ ดังนี้ 1. นายสถาปัตย์ สุวรรณมณี ขณะนี้เข้ารับการรักษาตัว ที่รพ.มหาราช 2. วันที่ 30 เม.ย. ปิดสำนักทะเบียนอำเภอเมืองฯ เพื่อทำความสะอาด ยกเว้น ศูนย์ราชการสะดวก เซ็นทรัลพลาซ่าฯ ยังเปิดให้บริการปกติ 3. วันที่ 30 เม.ย. เวลา 10.00 น. อำเภอฯได้ประสานมูลนิธิพุทธธรรม 31 นครราชสีมา มาฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรค ณ อาคารที่ว่าการอำเภอฯ ทั้ง 2 อาคาร 4. ให้บุคลากรผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด (กลุ่มเสี่ยงสูง) ไปตรวจหาเชื้อแล้ว ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัด และให้กักตัว 14 วัน 5. ประชาสัมพันธ์ให้กำนัน ผญบ แจ้งผู้ที่มาติดต่องานทะเบียนตั้งแต่ 19 -24 เม.ย. ไปตรวจหาเชื้อ 6. ให้ปิดบริการสำนักทะเบียนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 – 14 พค. ทั้งนี้ หากได้ไทม์ไลน์ของนายสถาปัตย์ ฯ แล้ว จักได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยปลดล็อก กัญชา-กัญชง ทุกส่วน เว้นช่อดอก พ้นยาเสพติดประเภท 5แล้ว จริงหรือ“พืชกัญชาและกัญชงถูกระบุไว้ใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นตัวกฎหมายแม่ ว่าเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยเนื้อหาความในประกาศที่จะออกโดยรัฐมนตรีว่าการ สธ. เร็วๆ นี้ คือ เรื่องการไม่จัดในส่วนของ 1.เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่ง ก้าน รากและใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย 2.เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง 3.สารสกัดที่มีแคนนาบิสไอออน (CBD) ไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการนำส่วนของพืชเหล่านี้ไปใช้เพื่อทำผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางหรืออาหารได้ แต่มีข้อแม้ที่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้ จะต้องเป็นการได้รับอนุญาตผลิต ปลูกจากในประเทศเท่านั้นanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขเข้าอุทยานจริงหรือคะนายกันฐกิตฐ์ ทิพย์ทองพูน อาสาสมัครช่างภาพเขาใหญ่ กล่าวว่า ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับภาพมาจากกลุ่มนักอนุรักษ์บนเขาใหญ่ ที่ไปเจอเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยที่เห็นและถ่ายภาพได้มีหมาอย่างน้อย 3 ตัวที่พบนักท่องเที่ยวแอบลักลอบนำขึ้นไปบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทั้งที่มีระเบียบบังคับอยู่แล้วว่าห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดขึ้นไป เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากสัตว์บ้านสู่สัตว์ป่า สัตวแพทย์ ระบุว่าการนำสัตว์เลี้ยงขึ้นไปอุทยาน เช่น หากไปถ่ายมูลไว้ และมีสัตว์ป่ามากิน อาจเสี่ยงจะติดโรคจากสัตว์เลี้ยง และทำให้สัตว์ป่ามีสุขภาพอ่อนแอ ตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติแล้ว ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท จริงหรือคะanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือ ประเทศเยอรมนี ยังไม่อณุญาติให้ประชาชนเดินทางออกนอกเขตอียู จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมศกนี้กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีประกาศว่า เยอรมนีขยายเวลาประกาศเตือนการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ไปจนถึงวันที่ 31 ส.ค.นี้ ซึ่งไม่รวมถึงการเดินทางไปยังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ประเทศในกลุ่มเชงเก้น และสหราชอาณาจักร กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี ระบุว่า ไม่มีหลักเกณฑ์และกระบวนการประสานงานร่วมกันระหว่างเยอรมนีกับประเทศที่ 3 ซึ่งอยู่นอกกลุ่ม EU หรือเขตเชงเก้น ดังนั้น เยอรมนีจึงไม่สามารถอนุญาตให้มีการเดินทางแบบไม่จำกัดได้naydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอย. ยกเลิกเลขสารบบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตราชูจ์ Choo'j Diet supplementaryสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เพิกถอนเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ ตราชูจ์ Choo'j Diet supplementary ในช่วงปี พ.ศ.2561 ข้อมูลนี้ส่งถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชน มีรายละเอียด ดังนี้ ชื่ออาหารบนฉลาก: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตราชูจ์ Choo'j Diet supplementary กรณีความผิด/สาเหตุที่ต้องยกเลิก: อาหารไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากตรวจพบยาแผนปัจจุบัน Sibutramine (ยาลดน้ำหนัก) ข้อมูลสถานประกอบการ: บริษัท ชาร์แมซ ซี.เค. คอสเมด จำกัด (จ.ปทุมธานี)(ใบอนุญาตที่ 13-1-22459) ที่ตั้งสถานประกอบการ: ที่ตั้งสถานประกอบการ: บ้านเลขที่ 55/4 หมู่ 3 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12150 เลขสารบบอาหารที่ถูกยกเลิก: 13-1-22459-5-0005 คำสั่งยกเลิก เลขสารบบอาหาร/ลงวันที่: คำสั่ง อย. ที่ 238/2561 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 อ้างอิงจากเอกสารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา: https://drive.google.com/open?id=1dZAqXAtvIHw1UPBlLaol19JLC2balkgTลดความอ้วนอย. เพิกถอนnaruemonjoy• 5 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอย. ยกเลิกเลขสารบบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตรา วี-รัส V-Ras Dietary Supplement Product สูตร SDสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เพิกถอนเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ ตรา วี-รัส V-Ras Dietary Supplement Product สูตร SD ในช่วงปี พ.ศ.2561 ข้อมูลนี้ส่งถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชน มีรายละเอียด ดังนี้ ชื่ออาหารบนฉลาก:ตรา วี-รัส V-Ras Dietary Supplement Product สูตร SD กรณีความผิด/สาเหตุที่ต้องยกเลิก: อาหารไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากตรวจพบยาแผนปัจจุบัน Sibutramine (ยาลดน้ำหนัก) ข้อมูลสถานประกอบการ:บริษัท ชาร์แมซ ซี.เค. คอสเมด จำกัด (จ.ปทุมธานี)(ใบอนุญาตที่ 13-1-22459) ที่ตั้งสถานประกอบการ: บ้านเลขที่ 55/4 หมู่ 3 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12150 เลขสารบบอาหารที่ถูกยกเลิก: 13-1-22459-5-0004 คำสั่งยกเลิก เลขสารบบอาหาร/ลงวันที่: คำสั่ง อย. ที่ 238/2561 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 อ้างอิงจากเอกสารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา: https://drive.google.com/open?id=1dZAqXAtvIHw1UPBlLaol19JLC2balkgTอย. เพิกถอนnaruemonjoy• 5 ปีที่แล้วmeter: true3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยนพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ฟาวิพิราเวียร์ ยาโควิดที่จะล้มรัฐบาลประยุทธ์ได้ ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาสำคัญที่ใช้รักษาโรคโควิด วันนี้เช้ายาตัวนี้ขาดแคลนอย่างหนัก น้องแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ขอเบิกยานี้เพื่อใช้กับผู้ป่วยที่จะนะ ทราบว่า ที่คลังโรงพยาบาลหาดใหญ่ที่เป็นจุดสำรองยาของจังหวัดสงขลาเหลือเพียง 150 เม็ด ดีที่รัฐบาลสั่งยามาจากญี่ปุ่นทันเวลา 2 ล้านเม็ด เล่นเอาใจหายใจคว่ำ ซึ่งเชื่อว่า หากอัตราการใช้เป็นเช่นปัจจุบัน 2 ล้านเม็ดนี้ก็ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน ยาฟาวิพิราเวียร์ ในผู้ป่วยโควิด 1 คน จะต้องใช้คนละ 50 เม็ด คือวันแรกทาน 9 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง และอีก 4 วันถัดมาทาน 4 เม็ดทุก 12 ชั่วโมง ดังนั้นยา 2 ล้านเม็ดก็จะใช้ได้กับผู้ป่วย 40,000 คนเท่านั้น ไม่ได้มากมายในสถานการณ์การระบาดเช่นนี้ ประเด็นของยาฟาวิพิราเวียร์ที่อาจเป็นเหตุให้รัฐบาลสะดุดขาตนเองจนรัฐบาลล้มได้ก็คือ เรื่อง การผูกขาดยาจากการขอจดสิทธิบัตรยาของบริษัทเจ้าของยาจากประเทศญี่ปุ่น บริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตยาตัวนี้ ยานี้ไม่มีสิทธิบัตรยาตั้งต้นในประเทศไทย แต่บริษัทมายื่นขอจดสิทธิบัตรรูปแบบเม็ดเล็กของยาฟาวิพิราเวียร์ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งคำขอสิทธิบัตรลักษณะนี้ ไม่มีทั้งความใหม่และนวัตกรรมที่สูงขึ้น จึงไม่สมควรได้รับสิทธิบัตร แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ยึกยักไม่ยอมปฏิเสธคำขอนี้ไปเสียที ทั้งที่ภาควิชาการได้เคยไปยื่นข้อมูล ระบุเหตุที่ควรปฏิเสธตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 แล้ว อีกทั้งองค์การเภสัชกรรมมีความพร้อมในการผลิตได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนยาเบื้องต้นกับสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) ไปแล้วด้วย รัฐบาลควรประกาศสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมให้เร่งผลิตยาตัวนี้อย่างเป็นทางการ หากกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ปฏิเสธคำขอนี้ โอกาสที่จะถูกฟ้องในอนาคตก็มี ฉะนั้นรัฐบาลจึงควรแสดงความกล้าหาญทางการเมืองหนุนหลังองค์การเภสัชกรรมผลิตยาเพื่อประชาชน และควรมีนโยบายชัดเจนไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ทำหน้าที่เพื่อช่วยสู้ภัยโควิด ปฏิเสธคำขอสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์เสีย ราคายาฟาวิพิราเวียร์ ปัจจุบันราคาเม็ดละ 150 บาท ต้องใช้ 50 เม็ดต่อคนก็คิดเป็นค่ายาคนละ 7,500 บาท หากองค์การเภสัชกรรมผลิตเองได้ ค่ายาก็จะลดลงได้ครึ่งหนึ่ง ทั้งประหยัดงบประมาณ และเรามีความมั่นคงทางยา ไม่ดีตรงไหน ภาวะการขาดแคลนยาฟาวิพิราเวียร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เส้นยาแดงผ่าแปดมากๆ สถานการณ์โควิดก็จะยังหลอกหลอนประเทศไทยไปอีกถึงปีหน้า การออกประกาศสนับสนุนให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ผลิตยาฟาวิพิราเวียร์อย่างเป็นทางการ คือคำตอบที่ใช่ ซึ่งไม่ยาก เพราะรัฐบาลได้รวบโอนอำนาจจากกระทรวงต่างๆมาไว้ที่นายกรัฐมนตรีหมดแล้ว จึงต้องการความกล้าหาญทางการเมืองนิดหน่อยจากนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง หากอนาคตมีการระบาดหนักจนยาขาดแคลน คนป่วยตายเพราะไม่มียารักษา คงไม่ใช่แค่หมอไม่ทน แต่คนไทยคงไม่ทนด้วย รัฐบาลจะล่มเพราะโควิดอย่างแน่นอน Cr. เพจ ชมรมแพทย์ชนบท https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=971918113346983&id=206100476595421โควิด 2019วัคซีนโควิดไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอาการบอกเหตุและการรับมือ เมื่อผู้หญิงหัวใจวาย ประสบการณ์จริงจากพยาบาลชำนาญการ ========================== พวกเราคงเคยดูหนังและมีบทของคนหัวใจวายในบางฉากที่ดาราผู้ชายเอามือกุมหน้าอก ปวดจนมีอาการหน้าบูดเบี้ยว เหงื่อออกแล้วก็ล้มลงกองบนพื้น (สูตรนี้ตลอด ) ดิฉันจะบอกว่าอาการหัวใจวายในผู้หญิงนั้นแตกต่างออกไปดังเรื่องจริงต่อไปนี้ “เวลา 22.30 น. ฉันกำลังนั่งเล่นอย่างสบายใจกับแมวคู่ใจ พร้อมกับอ่านหนังสือเพลินๆพร้อมกับขำๆกับเนื้อหาในหนังสือ จู่ๆฉันก็รู้สึกจุกเสียดแน่นท้อง(อาการคล้ายมีก้อนอาหารขนาดใหญ่ไปกระจุกตัวขวางหลอดอาหารอยู่)ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ 17.00 น. สักพักอาการค่อยเบาลงก็มีอาการใหม่เหมือนสันหลังและกระดูกหน้าอกถูกบิดเป็นเกลียวจากล่างขึ้นบนจนขึ้นไปถึงคอหอย กรามและขากรรไกร ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกแค่เอ๊ะอีกแล้ว รู้แน่แล้วว่าเพราะเคยอ่านมาว่าอาการปวดเกร็งบริเวณขากรรไกรเป็นสัญญาณบอกเหตุหัวใจขาดเลือด ฉันภาวนาในใจนึกถึงพระเจ้า”โปรดช่วยลูกด้วยลูกกำลังหัวใจวาย” ฉันโยนแมวออกไปจากตักย่ำเท้าลงกับพื้นเพื่อจะเดินไปโทรศัพธ์แต่แล้วฉันก็ล้มลงกองกับพื้น ฉันใช้ความพยายามยึดเก้าอี้เพื่อพยุงตัวขึ้นไปโทรศัพธ์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน ค่อยๆเล่าอาการว่าฉันสงสัยว่าหัวใจวายเพราะมีแรงกดบริเวณหน้าอกและแผ่ขยายไปบริเวณขากรรไกร และกราม เจ้าหน้าที่ปลายสายบอกฉันให้ค่อยพยุงตัวเองไปที่หน้าประตู ปลดกลอนประตูแล้วนอนราบแถวๆใกล้ประตู ฉันทำตามคำแนะนำแล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นหมอพาฉันออกมาจากเปลพยาบาล หมอถามฉันว่า”ทานยาอะไรมาไหม?” ฉันไม่มีแรงตอบคำถาม ไม่มีกระทั่งสัมปชัญญะที่จะทบทวนหาคำตอบ และม่อยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าหมอโรคหัวใจและทีมได้ขยายหลอดเลือดหัวใจด้านขวาด้วยบอลลูน(บางคนเรียกว่าStent)ผ่านทางเส้นเลือดแดงที่แขนเสร็จแล้ว ฉันลองลำดับเหตูการณ์ดูแล้ว พบว่า กว่าที่ฉันจะสามารถโทรศัพธ์ตามรถพยาบาลได้ไม่น่าจะต่ำกว่า20-30นาที นับว่ายังเป็นโชคดีของฉันที่บ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก จากเหตุการณ์นี้ฉันจึงอยากแชร์กับทุกท่านถึงนาทีวิกฤติว่าควารทำอย่างไร จึงจะปลอดภัย 1. จำเอาไว้ว่าอาการหัวใจวายของผู้หญิงนั้นแตกต่างไปจากอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ชาย อย่ารอจนกระทั่งมีอาการขากรรไกรแข็ง ปวดบริเวณกระดูกสันอก ทันทีที่มีอาการจุกเสียดท้องอย่างแรงไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งๆที่ไม่ได้ทานอะไรเลยนั่นแหละสํญญาณบอกเหตุเริ่มแล้ว หลายๆคนคิดไปว่ามีอาการกรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย กินยาแล้วก็ไปนอนพัก คาดว่าประเดี๋ยวอาการก็ทุเลา...แต่เธอก็หลับไม่ตื่นอีกเลย 2. ฉันยังพอมีสติโทรเรียกรถพยาบาล แต่จะดีไปกว่านั้นหากฉันรีบทานแอสไพรินสักเม็ดระหว่างรอรถพยาบาล แต่อย่าได้คิดขับรถไปเองเป็นอันขาด และอย่าได้ให้สามีขี้ตื่น ขับรถให้เพราะเขาอาจไม่มีสติพอจะพาคุณไปถึงโรงพยาบาล อาจขับลงข้างทางเสียก่อน ให้เรียกรถพยาบาลเท่านั้นเพราะบนรถจะมีถังอ็อกซิเจนและเครื่องปั้มหัวใจ 3. อย่าเขาข้างตัวเองว่าคงไม่ใช่หัวใจวายหรอกน่า คลอเรสโตรอลของฉันก็ปกติดีออก เพราะมีงานวิจัยมากมายชี้ตรงกันว่าระดับคลอเรสโตรอลสูงๆไม่ได้สัมพันธ์ใดๆกับอาการหัวใจวาย แต่อาการหัวใจวายสัมพันธ์กับความเครียดต่อเนื่อง และการอักเสบเรื้อรังในร่างกายทำใหกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนและสารคัดหลั่งที่เป็นพิษต่อเส้นเลือดหัวใจ ดังนั้นหากต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก ด้วยอาการปวดเกร็งบริเวณกรามและขากรรไกรให้รีบทำตามที่แนะนำทันทีเพราะคุณเหลือเวลาไม่มากนัก https://www.facebook.com/419951058051062/posts/2204633902916093/ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยTheir strategy is to in the Thai Parliament then vote, and eventually take control in the Thailand politic. More donations from Saudi Arabia or other Muslim nations can easily put the greedy Thai politicians in their pockets. They will also marry non-Muslims to gain more Muslim populations. สิ้นแล้วประเทศไทย 3 (ตอนยึดไทยด้วยกฎหมาย) ณ พ.ศ.2550 เป็นต้นมา คนมุสสิมในไทยเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง และมีการขยายประชากรไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ยิ่งเมื่อ 3 ปีให้หลังนี้ มีการนำเข้าชาวโรฮิงญา คนปากี และชาวอาหรับเข้าไทยไปซ่อนไว้ในภาคเหนือเต็มพื้นที่ไปหมด จากนั้นทางการก็จัดประชุมตำรวจทั่วภาคเหนือที่เชียงรายและเชียงใหม่ กำหนดวิธีปฏิบัติต่อคนมุสสิมต่างชาติที่เข้ามาทั้งหมด ขณะเดียวกันกรมการปกครอง ซึ่งตอนนี้คนมุสสิมเป็นอธิบดี ก็เร่งออกบัตรประชาชน ให้คนเหล่านั้นโดยด่วน โดยการสวมบัตรคนไทย ที่เขาไปหลอกเอาชื่อ ที่อยู่ ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนมาเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างว่าจะมีเงินมาให้ฟรีๆคนละ 1 ล้านบาท ใครอยากได้ให้เอาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านมาจองไว้ พร้อมเงิน 300 - 500 บาท ต่อคน บัตรประชาชนของคนที่ถูกหลอกเหล่านี้แหละ ต่อไปจะถูกสวมชื่อเป็นของคนมุสสิมทั้งหมด ซึ่งทุกวันนี้ ก็เห็นกันเยอะขึ้น บัตรประชาชนหน้าเป็นแขก หนวดเครารุงรัง แต่ชื่อเป็นไทย มีแทบทุกจังหวัดแล้ว และเมื่อต้นปี 62 นี้ นายอำเภอที่ระนอง ึถูกศาลพิพากษาจำคุกฐานสวมบัตรประชาชนให้โรฮิงญามาแล้วเป็นตัวอย่าง ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ยังไม่มีใครร้องเรียน เพราะวิธีการแบบนี้ ปัจจุบันคนมุสสิมจึงอ้างว่า ขณะนี้คนมุสสิมในไทย ไม่ใช่ 3 % แล้วนะ แต่เกิน 10 % แล้ว เรื่องทั้งหลายเริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2559 เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่าน พรบ.ให้พิธีฮัจย์ไปสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้ต่อไปทุกอำเภอต้องมี กองกิจการฮัจย์ ประจำอยู่ทุกแห่ง คิดดูว่า ถ้าแต่ละอำเภอ ต้องมีคนมุสสิม ประจำอยู่แห่งละ 5 คนจะใช้งบประมาณอีกเท่าไร ซึ่งงานแต่เดิมมีแค่ส่งคนไปฮัจย์ แต่ต่อไปจะมีงานเพิ่มมาถึง 9 อย่าง เช่น จัดส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรี ตามมหาวิทยาลัยของรัฐ และต่างประเทศ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน พรบ. บริหารองค์กรศาสนาอิสลๅม 2540 ก็ให้อำนาจคณะกรรมการอิสลๅม แห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดไหนมีมัสยิดครบ 3 แห่งแล้ว ให้ตั้งคณะกรรมการอิสลๅมเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าในจังหวัดนั้นๆเลย 9 - 30 คน ถ้ายังไม่มี ให้คณะกรรมการอิสลๅมกลางเป็นที่ปรึกษาแทนไปก่อน เพราะแบบนี้ไง จึงทำให้มีการเร่งสร้างมัสยิดทั่วประเทศ และมีชาวพุฑธออกมาต่อต้านกันใหญ่ คิดดูว่า ผู้ว่าคนเดียว แต่อิสลๅม 9-30 คน นั่งล้อมจะทำอะไรได้ นโยบายก็ต้องส่งเสริมอิสลๅมล้วนๆ งานนี้ แต่สิ่งเป็นรากแก้วให้อิสลๅมมั่นคงนั้น ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่เป็นยุทธศาสตร์ฮาลาล ซึ่งรัฐบาลประยุทธ์ได้อนุมัติเงินกว่า 7,900 ล้าน และก่อนหน้านี้ 2,900 ล้านให้หน่วยงานรัฐรณรงค์ และบังคับให้ทุกบริษัทที่ผลิตสินค้า ประเภทอาหาร ยา เครื่องสำอาง และเครื่องอุปโภคทุกชนิด ต้องติดและเสียเงินค่าฮาลาล ให้กับคณะกรรมการอิสลๅมกลาง และอิสลๅมประจำจังหวัด ซึ่งเงินเหล่านี้ (ตอนนี้ยังผิดกฎหมายอยู่) เป็นเม็ดเงินมหาศาลในแต่ละปี โดยที่คนมุสสิมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สามารถเก็บเงินค่าฮาลาล ได้ทุกบริษัทในประเทศไทย และต่อไปมีแผนให้เกษตรกรทุกพื้นที่ต้องติดฮาลาล ในการทำนา ทำไร่ ทำสวน ทุกแห่งด้วย รวมไปถึงการขนส่งทุกชนิด ต้องเสียเงินค่าขนส่งฮาลาล ที่ได้ยินกันว่า โลจิสติกส์ฮาลาล โรงพยาบาลฮาลาล โรงแรมฮาลาล ประกันภัยฮาลาล สรุปว่า ทุกอย่างต้องเสียฮาลาลทั้งหมด เงินค่าฮาลาลเหล่านี้จะมากกว่า เงินภาษีที่รัฐเก็บได้ แต่ละปี และใช้กันเฉพาะให้กลุ่มคนมุสสิม คิดดูว่าถ้ายุทธศาสตร์นี้ได้ผลเต็มรูปแบบ คนมุสสิมจะเก็บเงินภาษีฮาลาลจากคนไทยทั้งประเทศได้มากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี 35 = 70,000 ล้าน ยอมรับเฉพาะส่วนที่เก็บจากสินค้าส่งออก แต่ไม่พูดถึงที่เก็บจากสินค้าในไทย)(ขณะนี้คาดว่า ได้กว่า3 แสนล้านบาทต่อปี แต่เขายอมรับเพียง 70,000 ล้านบาทต่อปี (2,000 ล้าน US /ปี แล้วเงินเถื่อนๆ เหล่านี้จะซื้ออะไรได้บ้างในประเทศนี้ อย่าว่าแต่ซื้อข้าราชการเลย ซื้อประเทศไทยทั้งหมดก็ยังเหลือเฟือ เพราะเก็บได้ทุกปีไม่มีหมด และตอนนี้ก็กำลังกว้านซื้อกันขนานใหญ่ ในอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง คือ การส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรีในสถานศึกษาของรัฐทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยงบประมาณของรัฐฟรี ไม่เฉพาะสาขาวิชาทั่วไป แม้แต่นายร้อยทหาร นายร้อยตำรวจ สาขาแพทย์ศาสตร์ ก็ให้สิทธิพิเศษแก่นักศึกษามุสสิมเข้าฟรีได้ ที่เห็นประจักษ์ที่สุด คือ คนที่เรียกตัวเองว่า หมอ แต่ไม่เคยได้รักษาคนเลย เช่น หมอ แมะno หมอแว ฯลฯ คนเหล่านี้ได้ช่องทางพิเศษแบบนี้ แต่ศักยภาพไม่มีจึงไม่กล้ารักษาใคร และ ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับให้เป็นหมอจริงๆ นโยบายนี้ เริ่มมาตั้งแต่สมัยเปรม ปี2513-14 เรียกว่า นโยบายช้างอารี จนถึงปัจจุบัน และมีหน่วยงานรัฐทั้งสิ้น 22 หน่วยงานในการดูแลตลอดจบการศึกษา หลังจบแล้วก็มีหน่วยงานส่งต่อจนเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐได้สำเร็จ และกันหน่วยงานพิเศษรอไว้ให้คนมุสสิมเหล่านี้ด้วย ในกระทรวงหลักๆ ดังนั้น เราจึงเห็นว่าทุกสถานที่ราชการ มีคนมุสสิมคุมหัวไปแทรกอยู่ทุกแห่ง สิ่งที่แย่ที่สุด คือ เข้าไปแทรกอยู่ในสำนักงานพระพุฑธศาสนาทั้งส่วนกลาง และต่างจังหวัด หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยพุฑธโลก และที่แย่หนักเข้าไปอีก ปี 57 และ 59 นี้ รัฐบาลประยุทธ์ออกกฎกระทรวงให้สำนักพุฑธส่งข้อมูลภายในออกไปยังหน่วยราชการอื่น จึงไม่เหลืออะไรเป็นความลับของตัวเองเลย จากนั้นสภาปฏิรูปประเทศ(สปท) ออกมาระบุต้องรื้อถอนวัด 37,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นต้นเหตุให้มีการเล่นงานพระสงฆ์กันขนานใหญ่อยู่ทุกวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอิสลๅมอีกนับ 10 ฉบับ ที่จะทยอยบังคับใช้ทั่วประเทศ ถ้าสถานการณ์ เป็นไปอยู่แบบนี้ คนไทยทุกคนให้สำนึกเลยว่า พวกคุณเสียชาติเกิดจริงๆ ที่ไม่สามารถรักษามรดกที่บรรพบุรุษรักษาไว้ให้ อย่างน่าละอายใจยิ่ง : 18 พ.ค.62 คนส่งมา -----------ข่าวการเมืองภาคใต้ผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยท่านผู้นี้คือ ประธานาธิบดีรัสเซีย เกิดที่นครเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เมื่อ 7 ตุลาคม 1952 ( พ.ศ.2495) วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน บุตรของนายวลาดีมีร์ สปีรีโตโนวิช ปูติน (ช่างขาพิการในโรงงานเหล็กตู้รถไฟ) กับนางมาเรีย อีวานอฟนา ปูติน (คนกวาดถนน รับจ้างขนขนมปัง ยามเฝ้าร้าน และทำงานทุกอย่างที่มีคนจ้าง) เกิดตอนแม่อายุ 41 ปี ครอบครัวนี้บุตรชาย 3 คน คนโตตายตอนอายุ 2 เดือน คนที่สองตายเพราะโรคคอตีบ คนที่ 3 ร่างกายผอมแห้งแรงน้อยไม่สมบูรณ์ เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองจนกลายมาเป็นประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นผู้อพยบรุ่นที่ 3 มาจากมณฑลซันตง สาธารณรัฐประชาชนจีน คุณปู่ของปูติน ชื่อ หลัวผู่ถิง หรือมีชื่อรัสเซียว่า "สะพีลีตง ปูติน" ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ได้ติดตามเพื่อนบ้านย้ายจากมณฑลซันตง ไปตั้งรกรากที่เมืองซี ซื่อ มณฑลเฮยหลงเจียง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย "วลาดิเมียร์ ปูติน" เกิดวันที่ 7 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ.2495) ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นผู้อพยบรุ่นที่ 3 มาจากมณฑลซันตง สาธารณรัฐประชาชนจีน คุณปู่ของปูติน ชื่อ หลัวผู่ถิง หรือมีชื่อรัสเซียว่า "สะพีลีตง ปูติน" ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ได้ติดตามเพื่อนบ้านย้ายจากมณฑลซันตง ไปตั้งรกรากที่เมืองซีซื่อ มณฑลเฮยหลงเจียง https://www.newtv.co.th/m/news/?id=20622 เพราะ "รองเท้า" คู่นั้น ที่เปลี่ยนโชคชะตาของโลกใบนี้ พ่อของสหายเก่าแก่คนหนึ่งเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังนานมากแล้วว่า ... ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเยอรมันยึดนครเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ไว้หลายเดือนแล้ว ชาวเมืองอดอยากล้มตาย ทั้งจากสงคราม โรคระบาด และขาดอาหาร บ้านของพ่ออยู่กลางเมืองในสมรภูมิรบพอดี ต้องคอยหลบกระสุนกับระเบิดเกือบตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นจะอยู่แต่ในบ้านก็ไม่ได้ จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตออกไปหาอาหารมาประทังชีวิต พ่อเองก็เป็นทหาร แต่ถูกระเบิดบาดเจ็บที่ขาจนทุพพลภาพ วันหนึ่งในขณะที่พ่อรอแม่กลับบ้าน คิดว่า อย่างน้อยมีขนมปังติดมือมาสักปอนด์ก็ยังดี เพราะนอกจากลูกชาย คนโตที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่บ้านยังมีลูกชายเล็กๆ อีกคนหนึ่งที่ตั้งตารออาหารจากแม่ รอแล้วรอเล่าแม่ก็ไม่กลับมาสักที เสียงปืนต่อสู้อากาศยาน เสียงระเบิด เสียงปืนของการต่อสู้ภาคพื้นดินรัวถี่ยิบ เป็นเวลานานกว่าเสียงเหล่านั้นจะเงียบลง แต่แม่ก็ยังไม่กลับบ้าน แม่อาจหลบระเบิดอยู่ที่ไหนสักแห่ง เสียงรถทหาร เสียงไซเรนจากรถพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ทันใดนั้นมีรถบรรทุกคันหนึ่งที่ขนศพคนที่ตายจากการโจมตีของนาซีเยอรมัน สุมๆ กันมาจอดตรงหน้าพอดี เพื่อจะรีบนำไปฝังในหลุมฝังศพรวมที่นอกเมือง พ่อมองดูศพเหล่านั้นโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ มันมีแต่ความชาชินที่เห็นภาพแบบนี้ทุกๆ วัน ได้แต่คิดว่าเมื่อไรสงครามจะยุติเสียที บ้านเกิดของพ่อและที่อยู่ของครอบครัวจะได้สงบสุขสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขณะที่คิดคำนึงอยู่นี้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น "รองเท้า"...มันช่างเหมือนกับรองเท้าที่พ่อซื้อให้แม่เสียเหลือเกิน ด้วยความสงสัยจึงขออนุญาตทหารที่คุมรถขึ้นไปดูศพที่สวมรองเท้าคู่นั้น ภายในรถที่มีศพกองสุมกันอยู่จำนวนมาก พ่อจับตามองรองเท้าคู่นั้นไว้ มือก็เลื่อนขยับศพอื่นๆ ที่ทับศพล่างสุดที่สวมรองเท้าคู่นั้นออก และแล้วพ่อก็มองเห็นแม่...พ่อรีบบอกทหารที่ขับรถว่า ศพนั้นคือภรรยาของเขา และขอนำศพภรรยาไปฝังเอง ซึ่งทหารก็เข้ามาช่วยยกร่างของแม่ลงมา และสังเกตเห็นว่าแม่ยังหายใจอยู่ แม้จะอ่อนแรงเต็มทีก็ตาม พ่อพยายามจะรีบนำแม่ส่งโรงพยาบาล แต่ทหารคนนั้นเตือนพ่อว่าแม่บาดเจ็บสาหัสมาก ถ้าเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลอาจเป็นอันตราย ให้รอรถพยาบาลดีกว่า ซึ่งกว่ารถพยาบาลจะมาถึงพ่อบอกว่ามันนานมาก และนาทีนั้นพ่อไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว นอกจากอธิษฐานขอพรพระเจ้า ในที่สุดแม่ที่อดทนต่ออาการหนักหนาสาหัสผ่านการรักษาอยู่นานหลายเดือนจนหายเป็นปกติ ในระหว่างนั้นก็มีข่าวร้ายมาถึงครอบครัวนี้อีก คือลูกชายคนโตเสียชีวิต ส่วนลูกชายคนเล็กที่ถูกแยกจากพ่อแม่ไปเลี้ยงในศูนย์อภิบาลเด็กเล็กป่วยด้วยโรคคอตีบเสียชีวิตไปแล้วเช่นเดียวกัน ศพถูกนำไปฝังในหลุมศพรวมชานเมืองเลนินกราด พอสงครามยุติ ครอบครัวนี้เหลือกันอยู่แค่ 3 คน พ่อ แม่ และยาย เท่านี้เองจริงๆ ญาติพี่น้องอื่นๆ ตายหมดไม่เหลือสักคนเดียว สามีภรรยากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ตอนนั้นแม่ซึ่งมีอายุ 43 ปีแล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ลูกหลงมาเกิดทดแทนลูกสองคนที่ครอบครัวนี้เสียไประหว่างสงคราม วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1952 ลูกชายคนสุดท้องที่เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมา ใครจะคิดว่าอีกหลายสิบปีต่อมาเด็กชายคนนี้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก เป็นประธานาธิบดีที่มีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมหาศาล ใครจะคิด...ว่า "รองเท้า" คู่นั้น จะมีผลเปลี่ยนโชคชะตาของโลกใบนี้ข่าวการเมืองมีมไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเริ่มมีคุณหมอหลายท่านแสดงความเห็นว่า วัคซีนหลักปัจจุบันที่รัฐบาลจัดให้ประชาชนจะมีความปลอดภัยมากกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอนน่า ในระยะยาว ลองอ่านบทความของคุณหมอท่านหนึ่งครับ พวกบินไปฉีด Pfizer หรือ Moderna หรือกำลังจะไป ต้องอ่าน mRNA สามารถสร้าง PROTEIN เพี้ยนที่คุมไม่ได้นะครับ คนไทยโชคดีได้ SINOVAC ปลอดภัย และ ASTRAZENECA ปลอดภัยมาก สำหรับคนมีอายุและโรคประจำตัว ********** ...ความน่ากลัวของวัคซีนที่ใช้ mRNA - Pfizer & Moderna...ตั้งใจอ่านนิดหนึ่งจะเข้าใจครับ... mRNA vaccine ฉบับอ่านง่าย (for dummies) ที่มาของบทความนี้ก็คือ พอเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ได้แล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าจะเขียนแนวอื่นได้ไหม เผอิญท่านรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ Phichet Banyati เคยชวนว่าให้เขียนเรื่อง mRNA vaccine สิ เลยน่าจะลองดู จะเห็นว่าปัจจุบันวัคซีนโควิดมีการผลิตหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะใช้เชื้อตาย (Sinovac), ชิ้นส่วนของไวรัส (Aztra) แต่อันที่เป็นที่ฮือฮามากที่สุดก็น่าจะเป็น mRNA เทคนิค แล้วจริงๆ มันคืออะไรเหรอ ?!?! นักเรียนสายวิทย์คงทราบมาตั้งแต่สมัยเรียนชีววิทยา ม.ปลายแล้ว (ถ้าจำได้) ว่าส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของร่างกายก็คือโปรตีน ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนทางกายวิภาคหรือสรีรวิทยาของร่างกายก็ต้องมีโปรตีนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น คราวนี้โปรตีนสร้างจากอะไร มันก็มีสูตรของมัน คือ "DNA สร้าง RNA สร้าง โปรตีน" (ดูภาพด้านล่าง ) อันนี้คือแบบแผนที่แน่นอน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนะครับ สรุปก็คือโปรตีนที่เราต้องการจะถูกสร้างมาจาก RNA ต้นแบบ ซึ่งมี 3 ชนิด แต่ที่สำคัญมากก็คือ mRNA หลักการของ mRNA วัคซีนก็คือ ใส่ mRNA ที่สร้างโปรตีนของไวรัสโควิด (ซึ่งอันนี้เราสามารถรู้ได้อยู่แล้วจากการถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัส เหมือนเราทำขนมแหละครับ mRNA คือสูตรขนม เราก็สร้างโปรตีนคือตัวขนมออกมาได้) เข้าไปในร่างกาย เมื่อเซลล์ของร่างกายรับ mRNA นี้เข้ามาก็จะสร้างโปรตีนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนตัวไวรัสออกมา (คิดง่ายๆ mRNA คือสูตรขนม เซลล์ของร่างกายมีวัตถุดิบเช่นแป้ง น้ำตาล ฯลฯ อยู่แล้ว เมื่อเซลล์ของร่างกายมีสูตรขนมก็ใช้วัตถุดิบผลิตเป็นขนมขึ้นมา) แต่เท่านี้ยังไม่จบ เมื่อร่างกายสร้างไวรัสจำลองออกมาแล้ว ไวรัสจำลองเหล่านี้ก็จะไปกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้สร้างสารทางภูมิคุ้มกันออกมา (ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในร่างกายมาก่อน เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมพวกนี้เกิดขึ้นมาร่างกายก็ย่อมสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้าน ซึ่งเป็นกลไกในการปกป้องร่างกายตามธรรมชาติ) และภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ก็จะปกป้องเราเมื่อมีการติดเชื้อโควิดไวรัสจริงเข้ามา (ก็แน่ล่ะ เพราะอาศัยสูตรขนมเดียวกัน คือลอก mRNA มานิ) ฟังดูตามหลักการแล้วก็น่าจะดีเนอะ แต่คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า 1. ไม่เคยมีวัคซีนที่ผลิตโดยเทคนิคนี้ขึ้นมาก่อนในโลก ดังนั้นก็เหมือนขนมที่ไม่เคยมีใครผลิตมาก่อน ใช้วัตถุดิบแปลกใหม่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้น เรากินแล้วจะมีปัญหาอะไรไหม ? 2. ปกติการสร้างโปรตีนของร่างกาย มันจะมีระบบควบคุมต่างๆเพื่อไม่ให้การสร้างโปรตีนผิดเพี้ยนไป (เหมือนคอยควบคุมไม่ให้ขนมผิดสูตร) แต่คราวนี้ mRNA ตัวนี้ไม่ใช่ของร่างกาย แต่เป็นของที่ฉีดเข้ามา (จาก Pfizer, Moderna คงคุ้นชื่อเนอะ) ระบบควบคุมคุณภาพเหล่านี้จะไปจับความผิดพลาดได้ไหม (เหมือนคุณมีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสในคอม แต่ถ้าไวรัสแปลกๆเข้ามา มันอาจจะตามไม่ทันถ้าไม่อัพเดท หรือถ้าเปรียบเทียบกับทำขนม แทนที่จะหยิบน้ำตาลมาใส่ ดันไปหยิบเกลือโดยไม่รู้ตัวเพราะมันเป็นเกล็ดขาวๆ เหมือนกันก็จะได้ขนมรสชาติแปลกประหลาดออกมา) 3. มันมีโรคทางระบบประสาทหลายโรค ที่ปัจจุบันยอมรับแล้วว่าเกิดจากโปรตีนที่ผิดเพี้ยนในร่างกาย (เรียกว่า misfolded protein) เช่น อัลไซเมอร์, พาร์คินสัน, ALS (ใครดูหนังเรื่อง the theory of everything หรือรู้จักอัจฉริยะฟิสิกส์ Stephen Hawking ก็โรคนั้นแหละครับที่เขาเป็น) ดังนั้นถ้าจากเหตุผลในข้อ 2 แล้วมีโปรตีนผิดเพี้ยนต่างๆเกิดขึ้นมาในอนาคต เราจะเป็นโรคเหล่านี้ไหม ? ก็ไม่มีใครบอกได้ เหตุผลที่เอาเทคนิคนี้มาใช้ผลิตวัคซีนโควิดเพราะว่าวิธีนี้สามารถสร้างวัคซีนขึ้นมาในปริมาณมากโดยใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับภาวะเร่งด่วนแบบที่เราเจอวิกฤตในปัจจุบัน แต่ด้วยเหตุผลทางด้านบนจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งข้อกังขาและไม่สบายใจเกี่ยวกับ mRNA วัคซีนที่ใช้กันเยอะในเมืองนอกตอนนี้ อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่ทฤษฎีนะครับ คงต้องรอเก็บข้อมูลในอนาคตต่อไป เพิ่มเติม : ด้านล่างสำหรับเด็กสายวิทย์นะครับ ไม่ใช่สายวิทย์ผ่านไปได้เลย เพราะใช้ศัพท์ฟุ่มเฟือยเยอะ ประเด็นที่น่ากังวลของ mRNA vaccine คือ 1. ไม่เคยมี mRNA vaccine ใช้มาก่อนเลยในโลกนี้ 2. จะเอาวัคซีนเข้าร่างกาย RNA ต้อง stable มาก และต้องให้เซลล์มัน uptake เข้าไป และสร้างไวรัสจำลองขึ้นมา ร่างกายถึงสร้าง immunity จะคุม stability ยังไงให้มั่นใจ 3. วิธีการใส่ mRNA เข้าไปในร่างกาย ถ้าจะให้เข้าเซลล์ได้มีประสิทธิภาพจริงก็ไม่สามารถฉีดไปแบบฉีดยาธรรมดา มันต้องใช้ Gene gun หรือ electroporation ซึ่งเขาก็ปรับปรุงโดยใช้ nanoparticle มาหุ้ม แล้วทำให้เข้าเซลล์ง่ายขึ้นโดยใช้การฉีดแบบวัคซีนธรรมดาได้ แต่ยังไม่รู้ว่า nanoparticle เหล่านี้จะมีผลข้างเคียงใดๆในระยะสั้นหรือระยะยาว ไหม {ตอนนี้ Moderna vaccine เจอบวมแดงที่แขนมากหลังฉีดหลายราย เป็นพวก hypersensitivity type 4 (หรืออาจจะ type 3 ในบางคนแบบ Arthus reaction) อาจถึงขนาดเป็นตุ่มน้ำพอง ไม่ทราบว่าจะจาก nanoparticle พวกนี้ไหม } 4. มีโอกาสที่ mRNA มันจะสร้างโปรตีนอื่นที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา ถ้าดันเป็น misfolded protein คนไข้มีสิทธิ์เป็น Alzheimer's หรือโรค neurodegenerative disease อื่นๆได้ แค่ฉีดให้มันเข้าไปในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วเซลล์รับมันเข้าไปข้างใน และสร้างโปรตีนไวรัสจำลองออกมานี้ก็ยากแล้ว และยังไม่รู้เลยว่าพอมันอยู่ในเซลล์แล้วจะพลาดไปสร้างโปรตีนอะไรประหลาดๆออกมาไหม มันเหมือนเรารับ foreign genetic material อันนึงเข้าไปในร่างกายและไม่รู้จะควบคุมได้แค่ไหน... Pfizer ดันไปทะลึ่งยุ่งกับตัดเปลี่ยน DNA จะเป็นซอมบี้เต็มไปหมด Cr: นพ.พิเชษฐ์ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยCovid-19: Alert Code Red - We are under attack! เรากำลังโดน Wave#2 โจมตีแบบ Full-Scale ครับ เตือนภัยระดับสูงมากนะครับ เวลาได้หมดลงแล้ว มันชัดแล้วว่าเรากำลังโดนโจมตีแบบ Exponential จาก Wave#2 ซึ่งถ้าเราทุกคนยังไม่ทำอะไรที่เข้มงวดขึ้นกว่านี้อย่างมากถึงมากที่สุด อีกไม่เกิน 1 เดือน เราจะเผชิญกับหายนะทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ในแบบที่ยากยิ่งแก่การจินตนาการครับ ต้องย้ำนะครับ ตั้งแต่จบ WW2 มา นี่คือสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดบนโลกนี้ และรวมถึงในประเทศนี้ด้วยครับ ก้าวข้ามเส้นอันตราย: เราได้ก้าวข้ามสถานการณ์ในระดับเดียวกับเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2020 ของ Wave#1 มาแล้ว ตอนนั้นผู้ติดเชื้อสะสม 599 โดยมี %Increase ระดับ 20% เราตัดสินใจ Lockdown เข้มงวดทั้นที และจบได้ภายใน 56 วัน ณ วันนี้ Wave#2 เฉพาะแค่ติดเชื้อในประเทศไม่รวมแรงงานต่างด้าว ก้าวข้ามเส้นนั้นมาแล้ว โดยแตะระดับ 603 คน ที่ %Increase สูงถึง 28.57% ซึ่งร้ายแรงมากและแสดงถึงการโจมตีแบบ Exponential ในรูปแบบของ Wave#2 แบบเดียวกับที่ Virus เข้าโจมตียุโรป ความล้มเหลวของ Soft Lockdown ในยุโรป และความพ่ายแพ้ของเยอรมนี: ยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนีเคยชนะ Wave#1 มาอย่างมั่นใจ เมื่อ Wave#2 มาถึงจึงใช้การต่อสู้ที่เบาลงโดยใช้แค่ Soft Lockdown สุดท้าย EURO5 เข้าสู่หลักล้านกันทั่วหน้า พร้อมกับผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน เยอรมนีถูกโจมตีแบบแทบไม่ทันตั้งตัว ตัวเลขวิ่งจาก 400,000 ไปเป็น 1,000,000 ภายในเวลาแค่ 35 วัน และผู้เสียชีวิตจาก 9,000 ของ Wave#1 กลายมาเป็น 31,000 เยอรมนีสูญเสีย 20,000 ชีวิตในเวลาแค่ 2 เดือน ทั้งๆที่เป็นประเทศที่เตรียมตัวมาพร้อมมากๆ ไทย กับ Soft Lockdown ที่ไม่เป็นผล: นับตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. ผ่านมาแล้ว 11 วัน เราทยอยทำ Soft Lockdown ทีและพื้นที่ และตัวเลข %Increase ก็ยังไม่ลดลงไปต่ำกว่า 30% อย่างมีนัยยะสำคัญ ผมคิดว่าตัวเลขได้บอกเราชัดเจนว่า "หมดเวลาแล้ว" แต่ต้องกราบเรียนทีมงานสาธารณสุขทุกท่านครับว่าไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องเสียใจกับ Soft Lockdown ที่ไม่ได้ผล เพราะมันไม่เคยได้ผลเลยเมื่อเผชิญหน้ากับ Wave#2 ไม่ว่าจะในยุโรป ญี่ปุ่น เมียนมาร์ หรือมาเลเซีย ทุกประเทศทำไปได้แค่จุดนึง ระบบสาธารณสุขล่ม ก็ต้องกลืนเลือดแล้ว Full-Scale Lockdown ครับ ผมว่าเราได้พยายามเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้วครับ มองตัวเลขไปข้างหน้า ถ้า %Incrase ยังเป็น 30% และข่าวร้าย: ผมทำกราฟของ %Increase และ Total Case มาให้ดูนะครับ ของไทยที่ไม่รวมแรงงานต่างด้าวคือสีม่วง เส้นสีม่วงประคือเส้นพยากรณ์ถ้าเรายังไม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ สีเขียวคือไทยที่รวมแรงงานต่างด้าว และสีแดงคือเมียนมาร์ ส่วนสีเหลืองคือดานัง ซึ่งเราไม่ต้องมองแล้วครับเราไม่มีทางทำได้แล้ว ข่าวร้ายที่ 1: กราฟเราตอนนี้ แย่กว่า Wave#2 ของเมียนมาร์ครับ %Increase พอๆกัน แต่เราเปิดที่ตัวเลขสูงกว่ามาก และเมียนมาร์หลังจากนี้กราฟจะลดลงเพราะเขาทำ Hyper Lockdown ที่ย่างกุ้งครับ ข่าวร้ายที่ 2: เราเข้าสู่ Exponential ที่จุดพุ่งขึ้นชันแล้วครับ Golden Period ได้ผ่านไปแล้ว ข่าวร้ายที่ 3 ตัวเลขที่เราจะเห็น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป: กรณี Wave#2 ไม่รวมแรงงานต่างด้าว 1 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,400 คน 8 ม.ค. ตัวเลขระดับ 10,000 คน 16 ม.ค. ตัวเลขระดับ 100,000 คน 31 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,000,000 คน ผมคิดว่า ไม่มีทางที่เราจะหยุดไวรัสตัวนี้ได้ด้วย Soft Lockdown ยุโรปลองมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องไป Lockdown ที่ตัวเลขหลักล้าน เพราะสู้ไม่ไหวจริงๆ และเสียหายหนักมาก หลายคนอาจจะคิดว่าพอติดไปเยอะๆเดี๋ยวตัวเลขต่อวันมันจะอิ่มตัว ก็ลองกัน แล้วสุดท้ายมันก็ขึ้นไปได้เรื่อยๆเป็นวันละหมื่น หลายหมื่น เป็นแสน จนต้องยอมแพ้ เตรียมพร้อมครับ สำหรับการเจ็บแต่จบ: ผมคิดว่า รัฐบาลกำลังชั่งใจว่าจะ Lockdown ก่อนหรือหลังปีใหม่นะครับ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้แน่นอน ทุกท่านที่เดินทางไปเที่ยวปีใหม่ ฉลองกันในที่ต่างๆ ผมแนะนำแบบนี้ครับ 1. ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ อย่างมีสติ เพื่อเตรียมพลังใจสำหรับ Stay Home 2. หลังปีใหม่เดินทางไปที่ที่ท่านคิดว่าจะอยู่ที่นั่นอีก 3 เดือน 3. ทำธุระสำคัญ หาหมอ ตัดผม ซื้อของที่จะทำให้การอยู่บ้านมีความสุข 4. เมื่อจะออกจากโรงแรม จะออกจากร้านอาหาร ช่วยกันทิปให้มากๆ พนักงานเหล่านั้น พวกเขาจะลำบากไปอีกหลายเดือน เราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาไปอีกนาน 5. Work From Home ทันทีหลังปีใหม่ มีคนจำนวนมากที่ยังไงก็ต้องเดินทางไปทำงาน การ WFH ของท่านจะช่วยลดความเสี่ยงของคนที่เขาไม่มีทางเลือก 6. ส่งกำลังใจให้ทีมงานสาธารณสุขของเรามากๆ พวกเขาคือด่านหน้า และศึกนี้หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยตั้งแต่เราตั้งโรงเรียนแพทย์มาครับ ผมอยากจะย้ำอีกครั้งครับว่า แม้เราจะไม่มีทาง Save ปีใหม่ วันเด็ก และตรุษจีนได้แล้ว แต่ผมเชื่อว่า เรายัง Save สงกรานต์ปีหน้าได้อยู่ เรายังไม่สายเกินไปที่จะหยุด Virus ตัวนี้ครับ ช่วยกันครับ อยู่บ้าน WFH ดูแลกันและกัน ส่งกำลังใจผู้คนที่ต่อสู้ แล้วอีก 3 เดือนเราจะเตรียมออกมาฉลองปีใหม่ด้วยกันครับ "สงกรานต์" ปีใหม่ไทยของพวกเราครับ #Saveสงกรานต์โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยสุขภาพทางเลือกโรงพยาบาลธรรมชาติ บอกต่อไป ได้บุญ 🚫 1. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินวันละ 10 กลีบ กินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว -------------------------- 🚫 2. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง(แมกนีเซียม)กินวันละ 4 ขีดและกินปลาทูอีกวันละ 2 ตัว(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้)หรือจะชงโกโก้กินก็ช่วยได้ ------------------------- 🚫 3. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้น และกินกระเทียม หอม พริกให้มากๆ ____________________ 🚫 4. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ 4 ชิ้นกินเมล็ดฝักทองวันละ 1 กำมือ(สังกะสี) -------------------------- 🚫 5. แพ้ฝุ่นละอองไรฝุ่น หาโยเกิร์ตรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน ------------------------------ 🚫 6. โรค หืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่ กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน -------------------------- 🚫 7. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ 2 ขีด เช่น ปลาทู ปลาสวาย ปลาแซลมอน หรือปลากระป๋อง ------------------------- 🚫 8. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ 3 มื้อ ------------------------ 🚫 9. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อยๆ --------------------- 🚫 10. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ 3 ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า/เย็น. ------------------------- 🚫 11. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน กล้วยน้ำว้า หรือกระหล่ำปลีให้เยอะมาก ------------------------- 🚫 12. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทานเช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง น้ำขิง ชาขิง -------------------------- 🚫 13. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ 1 แผ่นหรือถั่วลิสงวันละ 1 กำมือ ------------------------- 🚫 14. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือข้าวเหนียว ข้าวโพด กลอย กล้วยหอม และทูน่า --------------------------- 🚫 15. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ 4 ช้อนโต๊ะ(ได้แคลเซียมมาก) ------------------------ 🚫 16. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ 2 ขีด หอยแครง และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้ ------------------------ 🚫 17. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อกโคลี หรือคะน้าวันละ 5 ขีด ------------------------ 🚫 18. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วงให้มากเพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี ------------------------- 🚫 19. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ 1-2 ผลหรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกากจะเป็นการล้างพิษไปในตัว -------------------------- 🚫 20. เจ็บอกโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก ผลอโวคาโด เพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชา ให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มวันละถ้วย --------------------------- 🚫 21. ความดันสูง ต้องงดบุหรี่และความเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากิน หรือผักคึ่นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยควบคุมความดันให้ดีขึ้น ------------------------- 🚫 22. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อกโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก โรงพยาบาลธรรมชาติ บอกต่อกันไป ได้บุญ... #สุขภาพทางเลือก.ยาสมุนไพรMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัย🔴 ในที่สุดก็ประกาศข่าวร้าย: สหรัฐอเมริกาประกาศอย่างเป็นทางการ: อาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่มีสารพิษร้ายแรงได้ระเบิดในที่สุด 🔴 การระบาดของเนื้องอกในวงกว้างเกี่ยวข้องกับอาหารดัดแปลงพันธุกรรม กระจายข่าวด่วนและแจ้งให้ญาติและเพื่อนของคุณ (ของคุณ) ทราบ! อย่าลืมใส่ใจ! 🔴ทุกคนต้องดูให้ดีเมื่อไปซุปเปอร์มาร์เก็ต: 🔴บาร์โค้ดที่ขึ้นต้นด้วย "8" เป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรม! ⭕ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร ขอแค่ดัดแปลงพันธุกรรม อย่าซื้อหรือกิน! ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญจะสนับสนุนว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างไร เราก็ต้องจำไว้ว่า: 1. คนอเมริกันไม่กินมัน 2. ห้ามโดยเด็ดขาดโดยสหภาพยุโรป; 3. ห้ามใช้ระบบอาหารพิเศษของจีนโดยเด็ดขาด 4. ห้ามเด็ดขาดในงาน World Expo; 5. ห้ามโดยเด็ดขาดในเอเชียนเกมส์ 6. ชาวแอฟริกันจะไม่นำเข้ายีนดัดแปลงพันธุกรรมแม้ว่าพวกเขาจะอดอาหารจนตายก็ตาม 7. ห้ามอย่างเคร่งครัดในมหาวิทยาลัยโลก 8. รัสเซียยืนยันว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมทำให้สัตว์สูญพันธุ์มาสามชั่วอายุคน 🔴 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปลอม (มีพิษ) เหล่านี้: 🔴 1.มะเขือเทศเนื้อแดงมียีนพิษแมงป่อง! 🔴 2. ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอย่างแท้จริง! 🔴 3. มันเทศสีม่วงยังเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกด้วย! ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกา "ข้าวโพดหวาน" ที่เรากินกันอย่างมีความสุขมานานกลายมาเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมา คนธรรมดาๆ หลายคนไม่มีความรู้เรื่องนี้ และยังชอบซื้อข้าวโพดหวานมารับประทานอีกด้วย คนหนุ่มสาว คนที่ยังไม่แต่งงาน และคนที่ยังไม่คลอดบุตร ไม่ควรกิน! แน่นอนว่าหลังจากทราบข่าวนี้แล้วทุกคนเพื่อตนเองและครอบครัว อย่าลืม: อย่ากินอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกต่อไป 🔴โปรดจำไว้ว่า: ผลไม้นอกฤดูกาลทุกชนิดไม่สามารถรับประทานได้! ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหน กรุณาส่งต่อให้เพื่อนของคุณสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวัง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ จริงหรือ?ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ จริงหรือ? . ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง✅ . ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตรสามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้ 1. กรณีผู้ประกันตนชายมาตรา 33 มาตรา 39 สามารถยื่นเรื่องขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร จะต้องมีการส่งเงินสมทบมาไม่น้อยว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนที่คลอดบุตร จะได้รับเงินเหมาจ่าย ค่าคลอด จ่ายครั้งละ 15,000 บาท เบิกได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง 2. กรณีค่าตรวจและค่าฝากครรภ์ สามารถเบิกเท่าที่จ่ายจริงจำนวน 5 ครั้ง ไม่เกิน 1,500 บาท ดังนี้ - อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท - อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท - อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท - อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท - อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 40 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท . ทั้งนี้ ผู้ประกันตนชายต้องแนบสำเนาทะเบียนสมรส กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้แนบหนังสือรับรองกรณีอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยเปิดเผย . 3. กรณีผู้ประกันตนชายที่จดทะเบียนสมรสกับภรรยาหรือจดทะเบียนรับรองบุตรหรือมีคำสั่งศาล ว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ . ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.sso.go.th/eform_news/ หรือโทร 1506 . หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน . 📌 ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม . Website : https://www.antifakenewscenter.com/ชุมพล ศรีสมบัติ• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยพยาบาลศิริราชส่งไลน์มาค่ะ ด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้วพยาบาลศิริราชส่งไลน์มาค่ะ ด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้ว อ่านแล้วส่งต่อ ออกไปกันมากๆหน่อย เหตุเกิดมีนบุรี น่าจะเป็นสายพันธุ์แลมบ์ดา กำลังระบาด อาการไอเป็นเลือด แล้วเสียชีวิตเลย มีเพื่อนกี่คน มีกลุ่มไลน์กี่กลุ่มส่งไปให้หมดเลยนะคะ ช่วยกันเพื่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมโลก**️ ประกาศ ** ด่วนที่สุดและสำคัญมาก‼️‼️ คุณหมอที่โรงพยาบาลรามา แนะนำว่า 📌 ต่อไปนี้ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากซ้อนกัน 2 ชั้น ให้แนบสนิท ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเลยนะ และห้ามถอดออกเด็ดขาด อาจารย์บอกว่า ยอดคนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ไม่ออกอาการ ไม่น่าเชื่อว่า…จะมีจำนวนสูงมากขนาดนี้ หมอบอกว่า “มันน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ เวลาเราเดินสวนกับคนอื่นๆ ที่ไม่ออกอาการ สามารถเจอได้ทั่วไป ตามห้าง ตลาด ท้องถนน อาคารสำนักงาน รถโดยสาร โดยที่เราไม่ทันระวังตัว เพราะด้วยความไม่รู้หรือประมาท คิดว่าไม่เป็นไรหรอก “คุณคิดผิด” จะบอกว่า ไม่จำเป็น อย่าไปพบปะกับใคร นอกบ้าน 📌📌 ห้ามคนนอกครอบครัว เข้ามาในบ้านเราเด็ดขาด อันนี้ขอเลย 📌📌ไม่ต้องนัดให้ใครมาหาที่บ้าน ระบบของโรงพยาบาล ที่ช่วยเหลือโควิด มันแน่นและแทบจะทะลักอยู่แล้ว ถ้าทุกคนไม่ให้ความร่วมมือ ตามคำแนะนำ จะเกิดความสูญเสียที่มหาศาล ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ‼️‼️ ต้องร่วมใจกันสถานการณ์ตอนนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิม ### คำแนะนำในโรงพยาบาลกักกัน (เราสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้) - ยาที่ดำเนินการในโรงพยาบาลกักกัน 1. วิตามินซี -1000 2. วิตามินอี (E) 3. เวลา 10.00-11.00 น. นั่งตากแดด 15-20 นาที 4. อาหารไข่วันละครั้ง 5. พักผ่อน / นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 6. ทุกวันเราดื่มน้ำ 1.5 ลิตร 7. อาหารทุกมื้อต้องทานแบบร้อน (ไม่เย็น) นี่คือสิ่งที่เราทำในโรงพยาบาลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โปรดทราบว่า ค่าความเป็นด่าง หรือค่า pH ของ COVID-19 อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 8.5 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อกำจัดไวรัส คือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง และเป็นกรดมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น: สัปปะรด มะนาวเขียว มะนาวเหลือง ส้มโอ ส้ม มังคุด มะปราง คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. อาการไอแห้ง 4. อุณหภูมิร่างกายสูง 5. หายใจถี่ 6. การสูญเสียกลิ่น ก่อนที่ไวรัสจะติดเชื้อในปอด น้ำอุ่นผสมมะนาว สามารถกำจัดไวรัสได้ 🔺 อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ใช้เอง กรุณาส่งต่อไปยังครอบครัวและเพื่อนของคุณโควิด 2019Mrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้วด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้ว อ่านแล้วส่งต่อ ออกไปกันมากๆหน่อย เหตุเกิดมีนบุรี น่าจะเป็นสายพันธุ์แลมบ์ดา กำลังระบาด อาการไอเป็นเลือด แล้วเสียชีวิตเลย มีเพื่อนกี่คน มีกลุ่มไลน์กี่กลุ่มส่งไปให้หมดเลยนะคะ ช่วยกันเพื่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมโลก**️ ประกาศ ** ด่วนที่สุดและสำคัญมาก‼️‼️ คุณหมอที่โรงพยาบาลรามา แนะนำว่า 📌 ต่อไปนี้ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากซ้อนกัน 2 ชั้น ให้แนบสนิท ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเลยนะ และห้ามถอดออกเด็ดขาด อาจารย์บอกว่า ยอดคนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ไม่ออกอาการ ไม่น่าเชื่อว่า…จะมีจำนวนสูงมากขนาดนี้ หมอบอกว่า “มันน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ เวลาเราเดินสวนกับคนอื่นๆ ที่ไม่ออกอาการ สามารถเจอได้ทั่วไป ตามห้าง ตลาด ท้องถนน อาคารสำนักงาน รถโดยสาร โดยที่เราไม่ทันระวังตัว เพราะด้วยความไม่รู้หรือประมาท คิดว่าไม่เป็นไรหรอก “คุณคิดผิด” จะบอกว่า ไม่จำเป็น อย่าไปพบปะกับใคร นอกบ้าน 📌📌 ห้ามคนนอกครอบครัว เข้ามาในบ้านเราเด็ดขาด อันนี้ขอเลย 📌📌ไม่ต้องนัดให้ใครมาหาที่บ้าน ระบบของโรงพยาบาล ที่ช่วยเหลือโควิด มันแน่นและแทบจะทะลักอยู่แล้ว ถ้าทุกคนไม่ให้ความร่วมมือ ตามคำแนะนำ จะเกิดความสูญเสียที่มหาศาล ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ‼️‼️ ต้องร่วมใจกันสถานการณ์ตอนนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิม ### คำแนะนำในโรงพยาบาลกักกัน (เราสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้) - ยาที่ดำเนินการในโรงพยาบาลกักกัน 1. วิตามินซี -1000 2. วิตามินอี (E) 3. เวลา 10.00-11.00 น. นั่งตากแดด 15-20 นาที 4. อาหารไข่วันละครั้ง 5. พักผ่อน / นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 6. ทุกวันเราดื่มน้ำ 1.5 ลิตร 7. อาหารทุกมื้อต้องทานแบบร้อน (ไม่เย็น) นี่คือสิ่งที่เราทำในโรงพยาบาลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โปรดทราบว่า ค่าความเป็นด่าง หรือค่า pH ของ COVID-19 อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 8.5 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อกำจัดไวรัส คือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง และเป็นกรดมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น: สัปปะรด มะนาวเขียว มะนาวเหลือง ส้มโอ ส้ม มังคุด มะปราง คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. อาการไอแห้ง 4. อุณหภูมิร่างกายสูง 5. หายใจถี่ 6. การสูญเสียกลิ่น ก่อนที่ไวรัสจะติดเชื้อในปอด น้ำอุ่นผสมมะนาว สามารถกำจัดไวรัสได้ 🔺 อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ใช้เอง กรุณาส่งต่อไปยังครอบครัวและเพื่อนของคุณโควิด 2019วัคซีนโควิดอย. เพิกถอนยาสมุนไพรMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยด่วน ด่วน ด่วน อจ.หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ ปชช ล๊อคดาวน์ครอบครัว ระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้ว ฟังแล้วแชร์ออกกันมากๆหน่อย เหตุเกิดมีนบุรี น่าจะเป็นสายพันธุ์แลมบ์ดา กำลังระบาด อาการไอเป็นเลือด แล้วเสียชีวิตเลย มีเพื่อนกี่คน มีกลุ่มไลน์กี่กลุ่มส่งไปให้หมดเลยนะคะ ช่วยกันเพื่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมโลก**️ ประกาศ ** ด่วนที่สุดและสำคัญมาก‼️‼️ คุณหมอที่ รพ.รามา แนะนำว่า 📌 ต่อไปนี้ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากซ้อนกัน 2 ชั้น แนบสนิท ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเลยนะ และห้ามถอดออกเด็ดขาด อาจารย์บอกว่า ยอดคนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ไม่ออกอาการ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจำนวนสูงมากขนาดนี้ หมอบอกว่า มันน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ เวลาเราเดินสวนกับคนอื่นๆ ที่ไม่ออกอาการ สามารถเจอได้ทั่วไป ตามห้าง ตลาด ท้องถนน อาคารสำนักงาน รถโดยสารโดยที่เราไม่ทันระวังตัว เพราะด้วยความไม่รู้หรือประมาท คิดว่าไม่เป็นไรหรอก คุณคิดผิด จะบอกว่า ไม่จำเป็น อย่าไปพบปะกับใคร นอกบ้าน 📌📌📌และห้ามคนนอกครอบครัว เข้ามาในบ้านเราเด็ดขาด อันนี้ขอเลย 📌📌ไม่ต้องนัดให้ใครมาหาที่บ้าน ระบบของ รพ.ที่ช่วยเหลือโควิดมันแน่นและแทบจะทะลักอยู่แล้ว ถ้าทุกคนไม่ให้ความร่วมมือตามคำแนะนำ จะเกิดความสูญเสียที่มหาศาลในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ‼️‼️ ต้องร่วมใจกันสถานการณ์ตอนนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิม ### คำแนะนำในโรงพยาบาลกักกัน (เราสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้) - ยาที่ดำเนินการในโรงพยาบาลกักกัน 1. วิตามินซี -1000 2. วิตามินอี (E) 3. เวลา 10.00-11.00 น. นั่งตากแดด 15-20 นาที 4. อาหารไข่วันละครั้ง 5. เราพักผ่อน / นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 6. ทุกวันเราดื่มน้ำ 1.5 ลิตร 7. อาหารทุกมื้อต้องทานแบบร้อน (ไม่เย็น) นี่คือสิ่งที่เราทำในโรงพยาบาลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โปรดทราบว่า pH ของ COVID-19 อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 8.5 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อกำจัดไวรัสคือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างและเป็นกรดมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น: สัปปะรด มะนาวเขียว มะนาวเหลือง ส้มโอ ส้ม มังคุด มะปราง คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. อาการไอแห้ง 4. อุณหภูมิร่างกายสูง 5. หายใจถี่ 6. การสูญเสียกลิ่น ก่อนที่ไวรัสจะติดเชื้อในปอดน้ำอุ่นผสมมะนาวสามารถกำจัดไวรัสได้ 🔺 อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ใช้เอง กรุณาส่งต่อไปยังครอบครัวและเพื่อนของคุณ.โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยทีมหมอจากมหาลัยไต้หวัน เตือนมาว่า ภายในปีนี้อย่าเข้าใกล้ พบปะ หรือ ทานอาหารร่วมกับคนที่เป็นโควิดมาก่อน ///// (๑) จากผลการผ่าร่างกาย 1. covid-19 มันคือการรวมกันของ ซาร์กับเอดส์, หมอหลายคนบอกว่า คนถึงแม้จะรักษาหายจากโควิดแล้ว แต่มันจะมีผลเป็นบวกอยู่อีก นี่ไม่ใช่การกลับมาเป็นใหม่ แต่เป็นเพราะมันไม่สามารถรักษาหายขาดได้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโควิด 2. ภูมิต้านทานโดนทำลาย ทั้งนี้ซาร์จะทำร้ายแค่ปอด จะไม่กระทบกับภูมิต้านทาน.. ส่วนเอดส์จะทำลายภูมิต้านทาน.. ส่วนโควิด 19 นั้นทำลายอวัยวะของเราเหมือนกับ ซาร์+เอดส์ 3. การล้มเหลวของปอดอย่างเฉียบพลันเป็นผลทำให้ตายของซาร์ แต่ โควิด 19 ทำให้ตายเพราะการล้มเหลวของอวัยวะหลายๆอย่าง (๒) ศาตราจารย์ Peng Zhi Yong จากมหาลัยอู่ฮัน บอกผลจากการผ่าร่างกายว่า 1. คนที่หายจากโควิด ผลตรวจเลือดพบว่าระดับของดัชนี lymphocyte (ลิมโฟไชด์) จะไม่กลับมาเหมือนเดิม ระบบต้านทานของร่างกายจะไม่ค่อยเหมือนเดิม 2. แม้ผลตรวจของคนที่ให้กลับบ้านได้จะเป็นลบ แต่ภูมิต้านทานนั้นเสียหายไปแล้ว มันสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ง่ายมาก 3. ลักษณะคล้ายๆกับไวรัสตับอักเสบบี ที่จะมีเชื้อโรคไวรัสอยู่ในร่างกายได้อย่างยาวนาน 4. ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่าคนที่หายจากโควิดแล้วนั้นจะสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้อีกไหม? (๓) หมอที่ทำและการรักษาเสนอว่า 1. ตอนนี้เราเน้นรักษาคนไข้ ที่ติดเชื้อ แต่คนที่รักษาหายแล้วนั้นอาจยังมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย ต้องดูต่อไปและศึกษา วิจัยว่าจะแพร่เชื้อได้อีกไหม? 2. หากเป็นอย่างนี้สงครามกับโควิดก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เลยแนะนำว่าภายในปีนี้ถึงปีหน้าออกไปข้างนอกก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยและอย่าไปที่คนรวมกลุ่มกันเยอะๆ รักษาระยะห่าง 2 เมตร ***** ผมเห็นด้วยกับบทความนี้นะ อย่าไปเสี่ยงมันไม่คุ้มเลย สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการสถาบันทิศทางไทยโควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวสารจากทีมแพทย์โรงพยาบาลแห่งชาติไต้หวัน(National Taiwan University Hospital-NTUH) ภายในปีนี้ท่านต้องรักษาระยะห่างจากคนอื่นไว้ อย่าพบปะหรือรับประทานอาหารกับบุคคลที่สัมผัสโควิด19 ท่านต้องมีความเข้าใจเรื่องการป้องกันตนเอง อย่าสะเพร่า (I) ขณะผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาล ตรวจพบว่า 1.โควิด19เป็นส่วนผสมของซารส์บวกเอดส์ (SARS บวก AIDS) แพทย์หลายคนถือว่า ผลการตรวจกรดนิวคลิอิคในผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลจะกลับไปเป็นบวก นี่ไม่ใช่การกลับไปป่วยซำ้แต่เพราะผู้ป่วยไม่ได้ฟื้นหายอย่างเต็มที่ นี่คือสิ่งที่ต้องทำกับลักษณะของโควิด19 2.ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยโควิด19ถูกทำลายแทบทั้งหมด ซารส์(SARS) คุกคามเพาะปอดเท่านั้นแต่ไม่ได้คุกคามภูมิคุ้มกันของร่างกาย เอดส์(AIDS)คุกคามเฉพาะภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในขณะที่การทำลายอวัยวะของโควิด19เหมือนกับการทำลายของซารส์และเอดส์รวมกัน 3.สาเหตุนำไปสู่การตายของผู้ป่วยซารส์คือ ปอดถูกทำลายอย่างเฉียบพลัน ส่วนสาเหตุนำไปสู่การตายของผูป่วยโควิด19 คือ “การล้มเหลวของหลายอวัยวะ” (II)ภายหลังผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ศาสตราจารย์ Peng Zhi Yong หัวหน้าแผนก Major Illness โรงพยาบาลZhong Nan มหาวิทยาลัยหวู่ฮั่น เป็นผู้นำทีมในการอภิปราย ดังต่อไปนี้ 1.ผลการตรวจเลือดทางห้องทดลองในผู้ป่วยที่ได้จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว พบว่า ดัชนีเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์(lymphocyte)ไม่ได้กลับคืนสู่ระดับปรกติ ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ 2.การตรวจกรดนิวคลิอิค(nucleic acid)ในผู้ป่วยที่ได้จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้มีผลเป็นลบ แต่ระบบภูมิคุ้มกันเลวร้ายมาก ไม่ได้กลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม ภายหลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลแล้วจึงง่ายมากที่กรด นิวคลิอิคของผู้ป่วยจะกลับไปเป็นผลบวก 3.อาการนี้เหมือนกับอาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีที่ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลาอันยาวนาน 4.เวลานี้มีความจำเป็นที่จะต้องค้นหาว่า ผู้ป่วยที่เก็บไวรัสโควิด19ไว้ในร่างกายนั้น สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้หรือไม่ (III) กลุ่มแพทย์ผู้นำด้านการหายของโควิด19 แถลงว่า 1.ก่อนหน้านี้แพทย์มุ่งเน้นด้านการรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ป่ายโควิด19 เมื่อผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาล จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่ปัญหาของการวางกฏเกณฑ์แก่ผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาล ศาสตราจารย์ Peng Zhi Yong กล่าวว่า “ในปีหน้า เราจะค้นหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลว่า ไวรัสที่ยังคงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถติดต่อหรือมีผลต่อบุคคลรอบข้างหรือไม่” 2.ในกรณีนี้ สงครามพิชิตโควิด19ยังอีกนานกว่าจะจบ ดังนั้น คำแนะนำคือ : อย่างน้อยในปีหน้าถ้าออกนอกบ้านให้ใส่หน้ากาก พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะรวมตัวกันหรือเข้าไปอยู่ในที่สาธารณะ ปก พนิดา ดามาพงศ์ ถอดความ 20 เมย.2563โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวดี! อินเดีย ชี้ "แอสตร้าเซนเนก้า" ป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ถึง 97%ข่าวดี! อินเดีย ชี้ "แอสตร้าเซนเนก้า" ป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ถึง 97% | TNN ช่อง16 | LINE TODAY https://liff.line.me/1454988218-NjbXbq18/v2/article/kyvRPJ?utm_source=lineshareโควิด 2019วัคซีนโควิดMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ