1 คนสงสัย
ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ จริงหรือ?
ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ จริงหรือ?
.
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง✅
.
ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตรสามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้
1. กรณีผู้ประกันตนชายมาตรา 33 มาตรา 39 สามารถยื่นเรื่องขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร จะต้องมีการส่งเงินสมทบมาไม่น้อยว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนที่คลอดบุตร จะได้รับเงินเหมาจ่าย ค่าคลอด จ่ายครั้งละ 15,000 บาท เบิกได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
2. กรณีค่าตรวจและค่าฝากครรภ์ สามารถเบิกเท่าที่จ่ายจริงจำนวน 5 ครั้ง ไม่เกิน 1,500 บาท ดังนี้
- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 40 สัปดาห์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
.
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนชายต้องแนบสำเนาทะเบียนสมรส กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้แนบหนังสือรับรองกรณีอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยเปิดเผย
.
3. กรณีผู้ประกันตนชายที่จดทะเบียนสมรสกับภรรยาหรือจดทะเบียนรับรองบุตรหรือมีคำสั่งศาล ว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์
.
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.sso.go.th/eform_news/ หรือโทร 1506
.
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
.
📌 ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม
.

Website : https://www.antifakenewscenter.com/
ชุมพล ศรีสมบัติ
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Mrs.Doubt เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

ข่าวจริง! ผู้ประกันตนชายมาตรา 33 และ 39 ในกรณีที่มีบุตร สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนประกันสังคมได้

ที่มา

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000064642

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร 10 พฤษภาคม 2566 คงไม่มีข้อสงสัยอีกแล้วว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ว่ากำลังมาแรง กับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่พยายามกัดเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เสื่อมลง มีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน และยังคงพยายามอย่างแข็งขันต่อเนื่องที่จะกัดเซาะต่อไปจนน่าแปลกใจ ไม่มีใครเลยในกลุ่มนี้ที่สำนึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อบรรพบุรุษและครอบครัวตัวเอง ถึงตรงนี้อยากจะเล่าเรื่องที่ผมเคยเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้จะขอนำกลับมาเล่าอีกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อผมยังเด็กๆ คุณยายผมซื้อบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างในยุคเดียวกันกับ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ชื่อ "บ้านปลุกปรีดี" เมื่อครั้งกระโน้น ผมและพี่ๆในช่วงเวลาปิดภาคเรียน จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้โดยมีคุณยายเป็นผู้ดูแล หาอาหารการกินให้ทุกมื้อ พวกเราตื่นแต่เช้าก็ไปหาน้ำตาลสดกัน ไปรอซื้อจากใต้ต้นตาล น้ำตาลสดจะบรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ เป็นน้ำตาลสดที่ยังไม่ผ่านความร้อน หวานหอมยิ่งนัก หลังอาหารเช้าก็ลงทะเล เล่นน้ำทะเล หาหอยเสียบ กลับเข้าบ้านทานอาหารกลางวัน บ่ายลงทะเล เย็นทานอาหารเย็น หลังอาหารเย็นลงทะเลไล่จับปูลม ชีวิตช่วงนั้น เป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขจนจำได้ไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้ ที่บ้านชะอำแห่งนี้ คุณยายอนุญาตให้คนท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ นายอ๋วย มาปลูกกระต๊อบอยู่ฟรีๆทางด้านปลายสุดของที่ ดูเหมือนนายอ๋วยจะเป็นช่างที่มาช่วยซ่อมบ้านให้ นายอ๋วยมีลูกชายหลายคน ลูกของนายอ๋วยบางคนก็มีความสนิทสนมกับเรา หลังจากที่คุณยายจากไป คุนพ่อคุณแม่และพวกเราก็ยังมาพักตากอากาศที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ หลังจากนายอ๋วยเสียชีวิต ลูกคนโต และคนกลาง ย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น ลูกคนเล็กที่ยังคงอาศัยอยู่ในที่แปลงนี้ วันหนึ่ง ตัวเขาร่วมกับเพื่อนๆของเขากับทนายความคนหนึ่งถือโอกาสใช้ช่องกฎหมาย แอบไปยื่นศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินครี่งหนึ่ง คือด้านหลังที่เขาปลูกกระต๊อบอยู่ ความจริงเราไม่น่าจะมีโอกาสที่จะรู้เรื่องนี้เลย แต่บังเอิญเพื่อนของเขาคนหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับเขา จึงนำเรื่องนี้มาบอกเรา เราจึงไปยื่นฟ้องค้านได้ทันก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ต่อสู้คดีกันกว่าจะชนะก็ใช้เวลาเป็นปี ซึ่งเหนื่อยและต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่าเรื่องจะจบ สุดท้ายเรายังให้เงินผู้ที่พยายามยึดครองที่ของเราไปจำนวนไม่น้อยเป็นค่ารื้อถอน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ก่อตั้งพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง พยายามจะเปลี่ยนประเทศ ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างตลอดเวลาว่า ประเทศไทยเป็นของประชาชน หาใช่เป็นของพระมหากษัตริย์ไม่ คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกชายคนเล็กของนายอ๋วยที่บ้านชะอำของครอบครัวผม ที่ได้อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย สุดท้ายพยายามยึดเป็นที่ของตัวเอง ปฐมกษัตริย์ตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุทธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ ล้วนเป็นพระมหากษัตริย์ที่นำทัพออกรบ รวบรวมดินแดนก่อตั้งประเทศ พระองค์ต่อๆมาก็มีทั้งต้องทำสงครามเพื่อป้องกันประเทศเมื่อถูกรุกราน เมื่อประเทศชาติต้องเสียเอกราชถูกยึดครอง ก็มีพระมหากษัตริย์ทรงทำสงครามเพื่อกู้ชาติจนได้รับเอกราชอีกครั้ง หากไม่มีพระมหากษัตริย์ เราอาจไม่มีประเทศอย่างทุกวันนี้ ในราชวงศ์จักรี หากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท ทรงนำทัพรบกับทัพพ่ายแพ้พม่าในสงครามเก้าทัพ เราก็อาจไม่มีประเทศไทย อาจเป็นแบบเดียวกับมอญ กระเหรี่ยง หรือกระทั่งโรฮิงญา ด้วยเหตุนี้สำหรับประเทศเรา หากจะถือว่าพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงเป็นเจ้าของประะเทศ ก็เป็นการถูกต้องแล้ว เมื่อพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศ มีคนต่างถิ่นอพยพมาพี่งพระบรมโภธิสมภาร ได้รับพระบรมราชานุญาตให้มีที่ดินทำกินจนมีเงินมีทอง พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงตระหนักว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของประเทศ และยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ แต่ต่อมามีลูก ลูกๆก็ยังมีความสำนึกเช่นเดียวกับรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และคงสืบทอดกันต่อๆมา แต่มาวันนี้ รุ่นหลาน รุ่นเหลน ของผู้ที่เคยขอเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจำนวนหนึ่ง ละเลยเรื่องพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัติริย์มีให้รุ่นปู่ รุ่นทวด เสียสิ้น กลับตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ป้อนข้อมูลผ่านสื่อยุคใหม่ สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เติบโตมาในยุคของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สนับสนุนให้เกิดขบวนการกล่าวหา หมิ่นแคลน ย่ำยี จาบจ้วงองค์พระมหากษัตริย์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเกิดแนวร่วมที่หลงเชื่อเป็นจำนวนไม่น้อย ทำเช่นนี้กันอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ลองคิดกันดูว่า องค์พระมหากษัตริย์จะทรงรู้สึกอย่างไร และพระเจ้าอยู้หัวรัชกาลที่ 9 หากยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่จะทรงรู้สึกอย่างไร จริงอยู่หากจะกล่าวว่า ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศก็คงไม่ผิด แต่การเป็นเจ้าของประเทศหมายถึงการมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศ มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ มีสิทธิทุกประการตามที่กฎหมายกำหนด หาได้มีสิทธิจะทำอะไรกับประเทศก็ได้เหมือนกับทำอะไรก็ได้กับที่ดินหรือบ้านที่ตัวเองเป็นเจ้าของไม่ ความเป็นเจ้าของประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างฯของบ้านเมือง ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ ยิ่งไม่อาจขายประเทศของตัวเองได้ คนกลุ่มนี้ได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะถึงขั้นตอนสำคัญ เป็นขั้นตอนที่พวกเขาพยายามจะยึดการปกครองของประเทศผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หากทำสำเร็จเขาก็คงจะดำเนินการในขั้นต่อๆไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของเขา กรณีที่คนกลุ่มนี้พยายามที่จะยกเลิกมาตาม 112 เมื่อไม่สำเร็จ เปลี่ยนเป็นมาเป็นขอแก้ไข ลดโทษ ให้มีโทษปรับได ที่สำคัญคือ เอามาตรา 112 ออกจากหมวดความมั่นคง แสดงว่าพวกเขาเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ และต้องการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง กรณีที่ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาของไทย เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยมาชี้แจง เรื่องการที่มีคนไทยส่งหนังสือร้องเรียนไปยังวุฒิสภาว่า สถาบันพระมหากษัตริย์และทหารแทรกแซงการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิกสหรัฐกลุ่มหนึ่งขานรับ และกำลังจะเสนอวุฒิสภาให้มีมติ 114 กล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยว่าแทรกแซงการเลือกตั้ง ทั้ง 2 กรณีเป็นการบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้มากที่กลุ่มการเมืองกลุ่มนี้มีการติดต่อกับต่างชาติ นี่อาจเป็นความจริงที่น่ากลัวที่สุด จากที่ได้ฟังพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอบคำถามของคุณ สันติสุข มะโรงศรี ทาง Top News ทำให้ทราบว่า ทั้งสองท่านตระหนักและเห็นว่าเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องจริงและจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ อีกพรรคหนึ่งที่ตระหนักเรื่องนี้คือพรรคไทยภักดี พรรคอื่นๆหากไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเสียเองก็คงเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล จึงไม่มีพรรคใดให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้แม้แต่พรรคเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเรายังให้ความสำคัญต่อความเป็นชาติ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คงไม่ต้องบอกว่า เราควรเลือกเบอร์อะไร พรรคใด ให้เข้ามาบริหารประเทศ ขอย้ำอีกครั้ง พวกเขาทำกันเป็นขั้นเป็นตอน เป็นขบวนการ หากทุกท่านอยากทราบว่าขั้นตอนทั้งหมดมีขั้นตอนใดบ้าง กรุณาดูคลิปตอนที่ 2 ของพลเรือเอก ชาตร์ นาวาวิจิต อดีตเจ้ากรมยุทธการ และอดีตผู้บัญชาการสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง ที่วิเคราะห์ไว้ ตาม link ด้านล่างได้เลย https://www.youtube.com/watch?v=w2L99EeQjPI&feature=youtu.be
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?
    “ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้ง
    ธนกฤต ราชัย
     •  1 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือ "กลุ่มเปราะบาง" พร้อม "เงินอุดหนุนบุตร" หรือ "เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด" พร้อมโอนวันนี้แล้ว 10 มิย 63
    วันนี้ (10 มิ.ย.63) จะมีการจ่ายเงินเยียวยา "กลุ่มเปราะบาง" เป็นงวดแรก ในส่วนของ "กลุ่มเด็กแรกเกิด" คือ เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จากครัวเรือนที่มีความยากจน ประมาณ 1.45 ล้านคน ระบบตรวจสอบสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ได้ปรับสถานะของผู้ลงทะเบียนให้ใหม่ แล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2563 นอกจากนี้ กลุ่มเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จะได้รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบางเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท บวกกับ "เงินอุดหนุนบุตร" ที่ได้อยู่แล้ว 600 บาท รวมเป็น 2,600 บาท
    naydoitall
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    📍พาราเซตามอล ยาพิษสามัญประจำบ้าน Paracetamol Common Household Poisonous Medicine คนไทยเกือบทุกคน รู้จักยาแก้ปวดลดไข้ ชื่อ พาราเซตามอล และเข้าใจว่า เป็นยาที่ใช้รักษาโรคได้ เพราะเวลามีไข้ กินแล้วไข้หาย พอมีไข้อีกก็กินอีก จนกลายเป็นความเชื่อว่า เวลามีไข้ต้องกินยาพาราเซตามอล ปัญหาที่คนไทยไม่รู้ก็คือ ยาพาราเซตามอล มีไว้แค่บรรเทาอาการ ไม่ได้ช่วยให้โรคหาย และยังเป็นยาที่มีอันตราย แม้กินเพียงไม่กี่เม็ด ก็อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ และไตได้อย่างรุนแรง ขนาดสูงสุดของ ยาพาราเซตามอล ที่เคยเป็นที่ยอมรับ คือไม่เกิน 2000- 3000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับ พาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม 4-6 เม็ด เนื่องจากเป็นยาที่มีฤทธิ์อ่อน คนส่วนใหญ่ จึงนิยมกินพาราเซตามอลครั้งละสองเม็ด และความที่เป็นยาออกฤทธิ์สั้น จำเป็นต้องกินกันบ่อย ๆ ทุก 4-6 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสที่คนไข้จะได้รับยาในขนาดที่เป็นพิษได้สูง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานต่อเนื่อง ถึงการรับประทานยาพาราเซตามอล ในขนาดที่เข้าใจว่าปลอดภัย แต่ลงเอยด้วยการที่ผู้ป่วยเสียชีวิต ส่งผลให้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้สั่งยกเลิก พาราเซตามอล ในขนาด 500 มก และให้ขายเพียงขนาด 325 มก เท่านั้น ยาที่แพทย์ใช้รักษาพิษของพาราเซตามอล มีชื่อว่า N-acetyl cysteine หรือ แนค (NAC) ในประเทศไทย แนค (NAC) ได้ถูกจดทะเบียนเป็นยาละลายเสมหะ ที่มีชื่อทางการค้าว่า Fluimucil, Naclong, หรือ Flemex AC OD ขนาดที่ใช้คือ 600 มิลลิกรัม ต่อวัน เนื่องจากเป็นยาที่แทบจะไม่มีผลข้างเคียง จึงสามารถกินต่อเนื่องได้ทุกวัน แม้ในคนที่ไม่มีเสมหะก็ตาม ผู้เขียน จึงขอแนะนำให้คนทุกคน เลี่ยงการใช้ยาพาราเซตามอล โดยไม่จำเป็น ถ้ามีไข้ควรเลือกวิธีเช็ดตัวลดไข้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาพารา ก็ควรกินแนค (NAC) ร่วมด้วย เวลาที่คนไข้ที่มีไข้ และมาโรงพยาบาลด้วยปัญหาตับอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ จะคิดถึงแต่โรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และไม่ได้คิดว่า ตับอักเสบนั้น อาจเป็นผลจากยาพาราเซตามอล ตัวอย่างเช่น คนที่เป็นโรคไข้เลือดออก คนไข้เหล่านี้จะมีไข้สูงตลอดวัน หลังจากการกินยาพาราเซตามอล ไข้ก็ลดลงไม่มาก สักพักไข้ก็กลับมาสูงอีก ทำให้คนไข้ต้องใช้ยาพาราเซตามอลอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่า ในคนที่เป็นโรคไข้เลือดออก และตับมีการทำงานที่บกพร่องอยู่แล้ว การใช้ยาพาราเซตามอล แม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต ผู้เขียนเคยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยอายุ 16 ปี รายหนึ่ง ที่มาโรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออก มีระดับเอนซัยม์ตับสูงมาก (SGPT > 4000) และอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว ญาติได้รับแจ้งไปว่าเด็กคงไม่รอดชีวิต หลังจากที่ผู้เขียนไปดูในตอนดึก ก็ได้สั่งการรักษาด้วยการใช้ แนค (NAC) ขนาดสูงหยดทางหลอดเลือด วันรุ่งขึ้น ระดับเอนซัยม์ตับก็ลดลงเกือบ 10 เท่า เด็กเริ่มรู้สึกตัว และกลับบ้านได้ใน 3 วันต่อมา ไม่เพียงแต่ ยาพาราเซตามอล จะมีพิษต่อตับ แต่ยังมีพิษต่อไตอีกด้วย ผู้เขียนมีคนไข้ทีมาด้วยปัญหาไตวายโดยไม่ทราบสาเหตุ พอซักประวัติก็ทราบว่า คนไข้กินพาราเซตามอลวันละ 1-2 เม็ด เกือบทุกวัน บางรายก็บอกว่า ปวดศีรษะ พอตรวจดูก็พบว่าเป็นความดันโลหิตสูง เมื่อได้ยาลดความดัน อาการปวดศีรษะก็หาย มีอยู่รายหนึ่งที่กินพาราเซตามอลทุกวัน เพราะกินแล้วไม่ปวดไม่เมื่อย ทำงานได้ดี เลยเข้าใจผิดว่าเป็นยาชูกำลัง กินได้ทุกวัน ลงท้ายก็กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ผู้เขียนเคยได้รักษาคนไข้ตั้งครรภ์ 26 สัปดาห์ ที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการ ไม่มีปัสสาวะมา 3 วัน ซักประวัติพบว่า ผู้ป่วยมีปัญหาปวดน่องอย่างรุนแรง จึงไปคลินิก ได้ยาฉีดแก้ปวด วันละเข็มติดต่อกันสามวัน หลังจากนั้น ปัสสาวะลดลงจนกระทั่งไม่มีปัสสาวะออก ผู้เขียนจึงได้ให้ NAC ขนาดสูงเข้าทางหลอดเลือด และตามด้วยการล้างไต ภายหลังการล้างไตได้ 3 ชั่วโมง ผู้ป่วยก็เริ่มมีปัสสาวะออกมาเรื่อย ๆ จำนวนมาก และการทำงานของไตก็กลับสู่สภาพปกติ และคลอดบุตรเป็นปกติในสองเดือนถัดมา ขอย้ำว่า พาราเซตามอล ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นยาที่มีพิษ ไม่ควรคิดว่า จะกินเท่าไรก็มีอันตราย หรือคิดว่า ทุกครั้งที่เป็นไข้ จำเป็นต้องกินยาพาราเซตามอล แนะนำว่าการเช็ดตัวลดไข้ จะปลอดภัยกว่าการใช้ยา เพราะการกินยาพาราเซตามอลพร่ำเพื่อ เพราะเข้าใจว่าช่วยให้หายจากโรค อาจส่งผลให้เราหายไปจากโลกแทนได้ครับ ดร.นพ. พัฒนา เต็งอำนวย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคไต
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ช็อก! Bill Gates เรียกร้องให้ถอนวัคซีน Covid-19 ทั้งหมด "วัคซีนอันตรายกว่าที่คิด" โดย W. Gelles วอชิงตัน- (MaraviPost) - ในการประกาศที่น่าตกใจ Bill Gates มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังวัคซีน COVID-19 เรียกร้องให้มีการนำวัคซีนจากพันธุกรรม COVID-19 ทั้งหมดออกจากตลาดทันที ในการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ที่เจ็บปวดรวดร้าวบ่อยครั้ง 19 นาที เกตส์กล่าวว่า “เราทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เราต้องการปกป้องผู้คนจากไวรัสอันตราย แต่กลับกลายเป็นว่าไวรัสมีอันตรายน้อยกว่าที่เราคิดไว้มาก และวัคซีนก็อันตรายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้” โดย W. Gelles “วัคซีนเหล่านี้—ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, แอสตร้าเซเนก้า—พวกมันกำลังฆ่าคนทั้งซ้ายและขวา—และพวกเขากำลังทำร้ายคนบางคนอย่างเลวร้ายมาก” เกตส์กล่าวต่อ โดยโบกมือขึ้นไปในอากาศเป็นครั้งคราวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง “ข้อมูลของรัฐบาลเองแสดงให้เราเห็นว่านี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ระบบการรายงานของ CDC กำลังแสดงอะไร…ประมาณ 13,000 ผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริกาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์กว่าครึ่งล้าน เราทุกคนรู้ดีว่าระบบการรายงานเป็นเรื่องหลอกลวง “เราทราบดีว่า VAERS [ระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค] รวบรวมได้เพียงร้อยละหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้น เรากำลังพูดถึงผู้เสียชีวิตจากวัคซีนโควิดมากกว่าล้านราย และผู้คนกว่า 60 ล้านคนที่มีผลข้างเคียงที่ไม่ดี” นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สิ่งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ” นายเกทส์ยืนยัน หุ้นในวอลล์สตรีทของบริษัทวัคซีนโควิดรายใหญ่ทั้งหมดร่วงลง 20% ถึง 30% เนื่องจากนายเกตส์ประกาศว่าเขาเข้าร่วมในคำร้องเร่งด่วนของพลเมืองที่ยื่นโดยองค์กรป้องกันสุขภาพเด็กของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ที่เรียกร้องให้มีอาหารสหรัฐฯ และ สธ. ถอนวัคซีนโควิดทั้งหมดออกจากตลาดทันที Gates กล่าวต่อว่า “ผู้คนจำนวนมากที่รับวัคซีนเหล่านี้เสียชีวิต… หนึ่งวัน สองวัน ห้าวันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน คนอื่นๆ มีอาการอัมพาต ตาบอด ชัก หัวใจวาย ระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลว ลิ่มเลือดอุดตัน สมองอักเสบ ปอดหรือไตถูกทำลาย การแท้งบุตร โรคภูมิต้านตนเอง ความล้มเหลวของระบบอวัยวะหลายส่วน ความเหนื่อยล้าถาวรอย่างถาวร และปัญหาร้ายแรงอื่นๆ อีกมากมาย “แน่นอน Media Mouthpieces ของเรา—ฉันหมายถึงสื่อกระแสหลัก ละเลยโศกนาฏกรรมเหล่านี้ทั้งหมดว่าเป็น 'แค่เรื่องบังเอิญ'” “เหตุผลที่พวกเขาพูดอย่างนั้น” เกทส์อธิบาย “เป็นเพราะสิ่งที่ฉันทำที่งาน 201 ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าที่นิวยอร์กในเดือนตุลาคม 2019 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เราจะประกาศการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นจริง ฉันได้รับหนังสือพิมพ์ ช่องทีวี และสถานีวิทยุรายใหญ่ทั้งหมดเพื่อตกลงที่จะปฏิบัติตามคำบรรยายอย่างเป็นทางการ—'วัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ' และเพื่อเซ็นเซอร์ใครก็ตามที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับ BS นี้ “ดังนั้น สาธารณชนจึงไม่เคยได้ยินหลักฐานจากแพทย์และนักวิจัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยคนที่เตือนว่าวัคซีนมีอันตรายและมักเป็นอันตรายถึงชีวิต” “นั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฉัน” เกทส์กล่าว ดูเหนื่อยและบางครั้งก็มีน้ำตา “เราไม่ควรทำอย่างนั้น ประชาชนมีสิทธิทุกอย่างที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ดี เพื่อรับข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล” เปลี่ยนหัวข้อราวกับว่าต้องการแสดงความเห็นอกเห็นใจ มิสเตอร์เกทส์วางใจว่า: “ฉันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและค้นหาจิตวิญญาณมากมายตั้งแต่เมลินดาทิ้งฉัน การหย่าร้างครั้งนี้ทำให้ฉันต้องมองตัวเองให้ดี ฉันไม่ต้องการที่จะถูกจดจำในฐานะสัตว์ประหลาดที่ฆ่าคนนับล้านด้วยวัคซีนที่อันตรายถึงตาย ฉันไม่ใช่สัตว์ประหลาด ฉันไม่ใช่ฆาตกร ฉันไม่ต้องการให้ครอบครัว เพื่อน และบริษัทจำได้ว่าฉันเป็นนักฆ่าหมู่ "บางคนเรียกฉันว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือแม้แต่โรคจิตเภทเพราะแผนการณ์ของฉันในการช่วยเหลือมนุษยชาติ - เช่นการลดภาวะโลกร้อนด้วยการพ่นฝุ่นสู่บรรยากาศชั้นบนหรือปล่อยยุงดัดแปลงพันธุกรรมหลายล้านตัวเพื่อต่อสู้กับไข้เลือดออกและไวรัสซิกา"
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    โทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่น มีผลพรุ่งนี้เลยครับ … ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ ‘กัญชา’ เป็นสมุนไพรควบคุม คุ้มครองผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ห้ามจำหน่ายกัญชาให้ ผู้มีอายุต่ำกว่า20ปี และสตรีมีครรภ์ / ห้ามสูบในที่สาธารณะ บทกำหนดโทษ ผู้ใดที่ใช้กัญชาที่ขัดกับประกาศฉบับนี้ จะมีโทษทางอาญา มาตรา 78 มีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ 2565 โดยที่พิจารณาเห็นว่า กัญชา เป็นสมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 มาตรา 44 มาตรา 43(3) และ (5) แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย จึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาซึ่งเป็นพืชในตระกูล แคนนาบิส(Cannabis) เป็นสมุนไพรควบคุม ข้อ 2 ให้ผู้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไปสามารถครอบครองใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา ขนย้าย จำหน่ายสมุนไพรควบคุมตามข้อ 1 ได้ ยกเว้นการใช้ประโยชน์ดังต่อไปนี้ (1)การใช้ประโยชน์ในที่สาธารณะโดยการสูบ (2)การใช้ประโยชน์ในสตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร (3)การจำหน่ายให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร ข้อ 3 อนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีน และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย สามารถใช้ประโยชน์จากสมุนไพรควบคุมตามข้อที่ 1 ให้กับผู้ป่วยของตน ข้อ 4อนุญาตให้ผู้ป่วยตามข้อ 3 สามารถครอบครอง ขนย้าย ดูแล เก็บรักษา ใช้ประโยชน์ในปริมาณที่จ่ายให้สำหรับการใช้ประโยชน์ เป็นเวลาสามสิบวัน ข้อ 5 ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดไปจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2565”
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false