Their strategy is to in the Thai Parliament then vote, and eventually take control in the Thailand politic. More donations from Saudi Arabia or other Muslim nations can easily put the greedy Thai politicians in their pockets. They will also marry non-Muslims to gain more Muslim populations.
สิ้นแล้วประเทศไทย 3
(ตอนยึดไทยด้วยกฎหมาย)
ณ พ.ศ.2550 เป็นต้นมา
คนมุสสิมในไทยเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง และมีการขยายประชากรไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเมื่อ 3 ปีให้หลังนี้ มีการนำเข้าชาวโรฮิงญา คนปากี และชาวอาหรับเข้าไทยไปซ่อนไว้ในภาคเหนือเต็มพื้นที่ไปหมด จากนั้นทางการก็จัดประชุมตำรวจทั่วภาคเหนือที่เชียงรายและเชียงใหม่ กำหนดวิธีปฏิบัติต่อคนมุสสิมต่างชาติที่เข้ามาทั้งหมด
ขณะเดียวกันกรมการปกครอง
ซึ่งตอนนี้คนมุสสิมเป็นอธิบดี ก็เร่งออกบัตรประชาชน
ให้คนเหล่านั้นโดยด่วน โดยการสวมบัตรคนไทย
ที่เขาไปหลอกเอาชื่อ ที่อยู่ ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนมาเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา
โดยอ้างว่าจะมีเงินมาให้ฟรีๆคนละ 1 ล้านบาท
ใครอยากได้ให้เอาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านมาจองไว้ พร้อมเงิน 300 - 500 บาท ต่อคน
บัตรประชาชนของคนที่ถูกหลอกเหล่านี้แหละ
ต่อไปจะถูกสวมชื่อเป็นของคนมุสสิมทั้งหมด
ซึ่งทุกวันนี้ ก็เห็นกันเยอะขึ้น บัตรประชาชนหน้าเป็นแขก หนวดเครารุงรัง แต่ชื่อเป็นไทย
มีแทบทุกจังหวัดแล้ว
และเมื่อต้นปี 62 นี้ นายอำเภอที่ระนอง
ึถูกศาลพิพากษาจำคุกฐานสวมบัตรประชาชนให้โรฮิงญามาแล้วเป็นตัวอย่าง
ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ยังไม่มีใครร้องเรียน
เพราะวิธีการแบบนี้ ปัจจุบันคนมุสสิมจึงอ้างว่า
ขณะนี้คนมุสสิมในไทย ไม่ใช่ 3 % แล้วนะ
แต่เกิน 10 % แล้ว
เรื่องทั้งหลายเริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2559
เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่าน พรบ.ให้พิธีฮัจย์ไปสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ทำให้ต่อไปทุกอำเภอต้องมี กองกิจการฮัจย์
ประจำอยู่ทุกแห่ง
คิดดูว่า ถ้าแต่ละอำเภอ ต้องมีคนมุสสิม
ประจำอยู่แห่งละ 5 คนจะใช้งบประมาณอีกเท่าไร
ซึ่งงานแต่เดิมมีแค่ส่งคนไปฮัจย์
แต่ต่อไปจะมีงานเพิ่มมาถึง 9 อย่าง
เช่น จัดส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรี
ตามมหาวิทยาลัยของรัฐ และต่างประเทศ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน พรบ. บริหารองค์กรศาสนาอิสลๅม 2540 ก็ให้อำนาจคณะกรรมการอิสลๅม แห่งประเทศไทย
เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
จังหวัดไหนมีมัสยิดครบ 3 แห่งแล้ว
ให้ตั้งคณะกรรมการอิสลๅมเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าในจังหวัดนั้นๆเลย 9 - 30 คน ถ้ายังไม่มี ให้คณะกรรมการอิสลๅมกลางเป็นที่ปรึกษาแทนไปก่อน
เพราะแบบนี้ไง จึงทำให้มีการเร่งสร้างมัสยิดทั่วประเทศ และมีชาวพุฑธออกมาต่อต้านกันใหญ่
คิดดูว่า ผู้ว่าคนเดียว แต่อิสลๅม 9-30 คน
นั่งล้อมจะทำอะไรได้
นโยบายก็ต้องส่งเสริมอิสลๅมล้วนๆ งานนี้
แต่สิ่งเป็นรากแก้วให้อิสลๅมมั่นคงนั้น
ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่เป็นยุทธศาสตร์ฮาลาล
ซึ่งรัฐบาลประยุทธ์ได้อนุมัติเงินกว่า 7,900 ล้าน
และก่อนหน้านี้ 2,900 ล้านให้หน่วยงานรัฐรณรงค์
และบังคับให้ทุกบริษัทที่ผลิตสินค้า ประเภทอาหาร
ยา เครื่องสำอาง และเครื่องอุปโภคทุกชนิด
ต้องติดและเสียเงินค่าฮาลาล ให้กับคณะกรรมการอิสลๅมกลาง และอิสลๅมประจำจังหวัด
ซึ่งเงินเหล่านี้ (ตอนนี้ยังผิดกฎหมายอยู่)
เป็นเม็ดเงินมหาศาลในแต่ละปี โดยที่คนมุสสิมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สามารถเก็บเงินค่าฮาลาล
ได้ทุกบริษัทในประเทศไทย
และต่อไปมีแผนให้เกษตรกรทุกพื้นที่ต้องติดฮาลาล
ในการทำนา ทำไร่ ทำสวน ทุกแห่งด้วย
รวมไปถึงการขนส่งทุกชนิด ต้องเสียเงินค่าขนส่งฮาลาล ที่ได้ยินกันว่า โลจิสติกส์ฮาลาล โรงพยาบาลฮาลาล โรงแรมฮาลาล ประกันภัยฮาลาล
สรุปว่า ทุกอย่างต้องเสียฮาลาลทั้งหมด
เงินค่าฮาลาลเหล่านี้จะมากกว่า เงินภาษีที่รัฐเก็บได้
แต่ละปี และใช้กันเฉพาะให้กลุ่มคนมุสสิม
คิดดูว่าถ้ายุทธศาสตร์นี้ได้ผลเต็มรูปแบบ
คนมุสสิมจะเก็บเงินภาษีฮาลาลจากคนไทยทั้งประเทศได้มากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี
35 = 70,000 ล้าน ยอมรับเฉพาะส่วนที่เก็บจากสินค้าส่งออก แต่ไม่พูดถึงที่เก็บจากสินค้าในไทย)(ขณะนี้คาดว่า ได้กว่า3 แสนล้านบาทต่อปี แต่เขายอมรับเพียง 70,000 ล้านบาทต่อปี (2,000 ล้าน US /ปี
แล้วเงินเถื่อนๆ เหล่านี้จะซื้ออะไรได้บ้างในประเทศนี้ อย่าว่าแต่ซื้อข้าราชการเลย
ซื้อประเทศไทยทั้งหมดก็ยังเหลือเฟือ
เพราะเก็บได้ทุกปีไม่มีหมด
และตอนนี้ก็กำลังกว้านซื้อกันขนานใหญ่
ในอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง คือ การส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรีในสถานศึกษาของรัฐทั้งใน และต่างประเทศ
ด้วยงบประมาณของรัฐฟรี ไม่เฉพาะสาขาวิชาทั่วไป แม้แต่นายร้อยทหาร นายร้อยตำรวจ สาขาแพทย์ศาสตร์ ก็ให้สิทธิพิเศษแก่นักศึกษามุสสิมเข้าฟรีได้
ที่เห็นประจักษ์ที่สุด
คือ คนที่เรียกตัวเองว่า หมอ แต่ไม่เคยได้รักษาคนเลย เช่น หมอ แมะno หมอแว ฯลฯ
คนเหล่านี้ได้ช่องทางพิเศษแบบนี้
แต่ศักยภาพไม่มีจึงไม่กล้ารักษาใคร และ ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับให้เป็นหมอจริงๆ
นโยบายนี้ เริ่มมาตั้งแต่สมัยเปรม ปี2513-14
เรียกว่า นโยบายช้างอารี จนถึงปัจจุบัน
และมีหน่วยงานรัฐทั้งสิ้น 22 หน่วยงานในการดูแลตลอดจบการศึกษา
หลังจบแล้วก็มีหน่วยงานส่งต่อจนเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐได้สำเร็จ และกันหน่วยงานพิเศษรอไว้ให้คนมุสสิมเหล่านี้ด้วย ในกระทรวงหลักๆ
ดังนั้น เราจึงเห็นว่าทุกสถานที่ราชการ
มีคนมุสสิมคุมหัวไปแทรกอยู่ทุกแห่ง
สิ่งที่แย่ที่สุด คือ เข้าไปแทรกอยู่ในสำนักงานพระพุฑธศาสนาทั้งส่วนกลาง และต่างจังหวัด
หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยพุฑธโลก
และที่แย่หนักเข้าไปอีก
ปี 57 และ 59 นี้ รัฐบาลประยุทธ์ออกกฎกระทรวงให้สำนักพุฑธส่งข้อมูลภายในออกไปยังหน่วยราชการอื่น จึงไม่เหลืออะไรเป็นความลับของตัวเองเลย
จากนั้นสภาปฏิรูปประเทศ(สปท)
ออกมาระบุต้องรื้อถอนวัด 37,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นต้นเหตุให้มีการเล่นงานพระสงฆ์กันขนานใหญ่อยู่ทุกวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอิสลๅมอีกนับ 10 ฉบับ
ที่จะทยอยบังคับใช้ทั่วประเทศ
ถ้าสถานการณ์ เป็นไปอยู่แบบนี้ คนไทยทุกคนให้สำนึกเลยว่า พวกคุณเสียชาติเกิดจริงๆ ที่ไม่สามารถรักษามรดกที่บรรพบุรุษรักษาไว้ให้ อย่างน่าละอายใจยิ่ง
: 18 พ.ค.62
คนส่งมา
-----------
สิ้นแล้วประเทศไทย 3
(ตอนยึดไทยด้วยกฎหมาย)
ณ พ.ศ.2550 เป็นต้นมา
คนมุสสิมในไทยเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง และมีการขยายประชากรไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเมื่อ 3 ปีให้หลังนี้ มีการนำเข้าชาวโรฮิงญา คนปากี และชาวอาหรับเข้าไทยไปซ่อนไว้ในภาคเหนือเต็มพื้นที่ไปหมด จากนั้นทางการก็จัดประชุมตำรวจทั่วภาคเหนือที่เชียงรายและเชียงใหม่ กำหนดวิธีปฏิบัติต่อคนมุสสิมต่างชาติที่เข้ามาทั้งหมด
ขณะเดียวกันกรมการปกครอง
ซึ่งตอนนี้คนมุสสิมเป็นอธิบดี ก็เร่งออกบัตรประชาชน
ให้คนเหล่านั้นโดยด่วน โดยการสวมบัตรคนไทย
ที่เขาไปหลอกเอาชื่อ ที่อยู่ ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนมาเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา
โดยอ้างว่าจะมีเงินมาให้ฟรีๆคนละ 1 ล้านบาท
ใครอยากได้ให้เอาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านมาจองไว้ พร้อมเงิน 300 - 500 บาท ต่อคน
บัตรประชาชนของคนที่ถูกหลอกเหล่านี้แหละ
ต่อไปจะถูกสวมชื่อเป็นของคนมุสสิมทั้งหมด
ซึ่งทุกวันนี้ ก็เห็นกันเยอะขึ้น บัตรประชาชนหน้าเป็นแขก หนวดเครารุงรัง แต่ชื่อเป็นไทย
มีแทบทุกจังหวัดแล้ว
และเมื่อต้นปี 62 นี้ นายอำเภอที่ระนอง
ึถูกศาลพิพากษาจำคุกฐานสวมบัตรประชาชนให้โรฮิงญามาแล้วเป็นตัวอย่าง
ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ยังไม่มีใครร้องเรียน
เพราะวิธีการแบบนี้ ปัจจุบันคนมุสสิมจึงอ้างว่า
ขณะนี้คนมุสสิมในไทย ไม่ใช่ 3 % แล้วนะ
แต่เกิน 10 % แล้ว
เรื่องทั้งหลายเริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2559
เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่าน พรบ.ให้พิธีฮัจย์ไปสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ทำให้ต่อไปทุกอำเภอต้องมี กองกิจการฮัจย์
ประจำอยู่ทุกแห่ง
คิดดูว่า ถ้าแต่ละอำเภอ ต้องมีคนมุสสิม
ประจำอยู่แห่งละ 5 คนจะใช้งบประมาณอีกเท่าไร
ซึ่งงานแต่เดิมมีแค่ส่งคนไปฮัจย์
แต่ต่อไปจะมีงานเพิ่มมาถึง 9 อย่าง
เช่น จัดส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรี
ตามมหาวิทยาลัยของรัฐ และต่างประเทศ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน พรบ. บริหารองค์กรศาสนาอิสลๅม 2540 ก็ให้อำนาจคณะกรรมการอิสลๅม แห่งประเทศไทย
เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
จังหวัดไหนมีมัสยิดครบ 3 แห่งแล้ว
ให้ตั้งคณะกรรมการอิสลๅมเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าในจังหวัดนั้นๆเลย 9 - 30 คน ถ้ายังไม่มี ให้คณะกรรมการอิสลๅมกลางเป็นที่ปรึกษาแทนไปก่อน
เพราะแบบนี้ไง จึงทำให้มีการเร่งสร้างมัสยิดทั่วประเทศ และมีชาวพุฑธออกมาต่อต้านกันใหญ่
คิดดูว่า ผู้ว่าคนเดียว แต่อิสลๅม 9-30 คน
นั่งล้อมจะทำอะไรได้
นโยบายก็ต้องส่งเสริมอิสลๅมล้วนๆ งานนี้
แต่สิ่งเป็นรากแก้วให้อิสลๅมมั่นคงนั้น
ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่เป็นยุทธศาสตร์ฮาลาล
ซึ่งรัฐบาลประยุทธ์ได้อนุมัติเงินกว่า 7,900 ล้าน
และก่อนหน้านี้ 2,900 ล้านให้หน่วยงานรัฐรณรงค์
และบังคับให้ทุกบริษัทที่ผลิตสินค้า ประเภทอาหาร
ยา เครื่องสำอาง และเครื่องอุปโภคทุกชนิด
ต้องติดและเสียเงินค่าฮาลาล ให้กับคณะกรรมการอิสลๅมกลาง และอิสลๅมประจำจังหวัด
ซึ่งเงินเหล่านี้ (ตอนนี้ยังผิดกฎหมายอยู่)
เป็นเม็ดเงินมหาศาลในแต่ละปี โดยที่คนมุสสิมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สามารถเก็บเงินค่าฮาลาล
ได้ทุกบริษัทในประเทศไทย
และต่อไปมีแผนให้เกษตรกรทุกพื้นที่ต้องติดฮาลาล
ในการทำนา ทำไร่ ทำสวน ทุกแห่งด้วย
รวมไปถึงการขนส่งทุกชนิด ต้องเสียเงินค่าขนส่งฮาลาล ที่ได้ยินกันว่า โลจิสติกส์ฮาลาล โรงพยาบาลฮาลาล โรงแรมฮาลาล ประกันภัยฮาลาล
สรุปว่า ทุกอย่างต้องเสียฮาลาลทั้งหมด
เงินค่าฮาลาลเหล่านี้จะมากกว่า เงินภาษีที่รัฐเก็บได้
แต่ละปี และใช้กันเฉพาะให้กลุ่มคนมุสสิม
คิดดูว่าถ้ายุทธศาสตร์นี้ได้ผลเต็มรูปแบบ
คนมุสสิมจะเก็บเงินภาษีฮาลาลจากคนไทยทั้งประเทศได้มากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี
35 = 70,000 ล้าน ยอมรับเฉพาะส่วนที่เก็บจากสินค้าส่งออก แต่ไม่พูดถึงที่เก็บจากสินค้าในไทย)(ขณะนี้คาดว่า ได้กว่า3 แสนล้านบาทต่อปี แต่เขายอมรับเพียง 70,000 ล้านบาทต่อปี (2,000 ล้าน US /ปี
แล้วเงินเถื่อนๆ เหล่านี้จะซื้ออะไรได้บ้างในประเทศนี้ อย่าว่าแต่ซื้อข้าราชการเลย
ซื้อประเทศไทยทั้งหมดก็ยังเหลือเฟือ
เพราะเก็บได้ทุกปีไม่มีหมด
และตอนนี้ก็กำลังกว้านซื้อกันขนานใหญ่
ในอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง คือ การส่งนักศึกษามุสสิมเข้าเรียนฟรีในสถานศึกษาของรัฐทั้งใน และต่างประเทศ
ด้วยงบประมาณของรัฐฟรี ไม่เฉพาะสาขาวิชาทั่วไป แม้แต่นายร้อยทหาร นายร้อยตำรวจ สาขาแพทย์ศาสตร์ ก็ให้สิทธิพิเศษแก่นักศึกษามุสสิมเข้าฟรีได้
ที่เห็นประจักษ์ที่สุด
คือ คนที่เรียกตัวเองว่า หมอ แต่ไม่เคยได้รักษาคนเลย เช่น หมอ แมะno หมอแว ฯลฯ
คนเหล่านี้ได้ช่องทางพิเศษแบบนี้
แต่ศักยภาพไม่มีจึงไม่กล้ารักษาใคร และ ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับให้เป็นหมอจริงๆ
นโยบายนี้ เริ่มมาตั้งแต่สมัยเปรม ปี2513-14
เรียกว่า นโยบายช้างอารี จนถึงปัจจุบัน
และมีหน่วยงานรัฐทั้งสิ้น 22 หน่วยงานในการดูแลตลอดจบการศึกษา
หลังจบแล้วก็มีหน่วยงานส่งต่อจนเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐได้สำเร็จ และกันหน่วยงานพิเศษรอไว้ให้คนมุสสิมเหล่านี้ด้วย ในกระทรวงหลักๆ
ดังนั้น เราจึงเห็นว่าทุกสถานที่ราชการ
มีคนมุสสิมคุมหัวไปแทรกอยู่ทุกแห่ง
สิ่งที่แย่ที่สุด คือ เข้าไปแทรกอยู่ในสำนักงานพระพุฑธศาสนาทั้งส่วนกลาง และต่างจังหวัด
หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยพุฑธโลก
และที่แย่หนักเข้าไปอีก
ปี 57 และ 59 นี้ รัฐบาลประยุทธ์ออกกฎกระทรวงให้สำนักพุฑธส่งข้อมูลภายในออกไปยังหน่วยราชการอื่น จึงไม่เหลืออะไรเป็นความลับของตัวเองเลย
จากนั้นสภาปฏิรูปประเทศ(สปท)
ออกมาระบุต้องรื้อถอนวัด 37,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นต้นเหตุให้มีการเล่นงานพระสงฆ์กันขนานใหญ่อยู่ทุกวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอิสลๅมอีกนับ 10 ฉบับ
ที่จะทยอยบังคับใช้ทั่วประเทศ
ถ้าสถานการณ์ เป็นไปอยู่แบบนี้ คนไทยทุกคนให้สำนึกเลยว่า พวกคุณเสียชาติเกิดจริงๆ ที่ไม่สามารถรักษามรดกที่บรรพบุรุษรักษาไว้ให้ อย่างน่าละอายใจยิ่ง
: 18 พ.ค.62
คนส่งมา
-----------