2434 ข้อความ
- 1 คนสงสัยDr. กัป บอกว่า ไม่มีใคร?? ตายเพราะมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่า : 1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด >> ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณ >> เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน #มะเร็งจะแพ้ การวิจัย โดยวิทยาลัย maryland ของยาบอกว่า #มันดีกว่าการรักษาด้วยคีโม 3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าวอินทรีย์ 3 ช้อน เช้าและกลางคืน >> มะเร็งจะหายไป คุณสามารถเลือก 1 ใน 2 การรักษานี้ หลังจาก หลีกเลี่ยงน้ำตาล ความไม่รู้ ไม่ใช่ข้ออ้าง ; ฉันได้แชร์ข้อมูลนี้ มานานกว่า 5 ปี บางทีตอนนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่มันยังช้ากว่าไม่เคยให้ทุกคนรอบตัวคุณรู้ " ดร. guruprasad reddy b v รัฐการแพทย์ ของมหาวิทยาลัยมอสโก ประเทศรัสเซีย อ้อนวอนทุกคน ที่ได้รับข้อมูลนี้ เพื่อส่งต่อ ให้กับอีก 10 คน >> แน่นอน!! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับการบันทึกไว้ ^^ 🙋ฉันได้ทำส่วนของฉัน แล้วหวังว่า คุณจะสามารถช่วยได้ โดยการทำส่วนของคุณ ขอบคุณ 🙏 1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่า!! เพิ่มน้ำตาล >> น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ 2. หั่นเป็นแพ 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้ว 30 นาที แล้วดื่ม 3. มันสำปะหลังสด แต่ต้องต้มด้วย เปิดหม้อวิตามิน b17 อยู่บนมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้ 🌿>> บ่อยครั้ง มื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ : มะเร็งกระเพาะอาหาร 🌿>> อย่า!! ดื่มชา ในช่วงประจำเดือน 🌿>> ลดการดื่มนมถั่วเหลือง ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในนมถั่วเหลือง 👉>> ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง 👉>> ดื่มน้ำเปล่าสักแก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว 💥>> งด!! อาหาร 3 ชั่วโมง ก่อนนอน 💥>> หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ ‼️>> อย่า!! กินขนมปัง ในขณะที่มันร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ‼️>> ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ?? ที่อยู่ข้างๆคุณ ในขณะที่คุณหลับ 🙋>> ดื่มน้ำเปล่า 10 แก้ว ทุกวัน : ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ 🙋>> ดื่มน้ำเพิ่ม ระหว่างวัน ลดตอนกลางคืน 🔥>> อย่า!! ดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และกระเพาะอาหารได้ 🔥>> กินอาหารที่เลี่ยนเล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะใช้เวลา 5-7 ชั่วโมง ในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย ✨>> หลัง 5 โมงเย็น กินให้น้อยลง ✨>> อาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข : กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, พีช 😭>> นอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ .. พยายามพักผ่อน เพราะจะทำให้เราเด็กลง 🥰#น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาลสามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น 📌 #น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง >> แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 3 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน .. anti-oxsidan #รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง #น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้นซึ่งมันไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง #น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้ การทดสอบทางคลินิก ได้พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาว(ร้อน) จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อเซลล์ที่ดี ต่อไป .. กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง การป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ไม่ว่า คุณจะยุ่งแค่ไหน?? โปรดหาเวลาอ่านสิ่งนี้ แล้วบอกให้คนอื่นกระจายความรัก❤️ให้กับคนอื่นๆด้วย * ความสวยงาม ของการแบ่งปัน * Cr.อ่านเจอแล้วนำมาฝาก #ขอบคุณเจ้าของบทความไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยแม่ม่ายดำ” ถึง “แอม ไซยาไนด์” ทำความรู้จักฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ใช้ยาพิษฆ่าชิงทรัพย์นี่คือคำสารภาพต่อศาลของจิซาโกะ คาเคฮิ วัย 76 ปี ฆาตกรต่อเนื่อง ฉายา “แม่ม่ายดำ” ผู้ใช้ยาพิษไซยาไนด์วางยาและฆ่าอดีตคู่ครอง 3 คน รวมถึงสามีของเธอ และตำรวจยังพบว่าเธอพยายามฆ่าผู้ชายอีกคนด้วย คนรักของเธอ 2 คน และสามี ถูกวางยาพิษระหว่างปี 2550-2556 ทุกคนมีอายุระหว่าง 70-80 ปี โดยผู้เสียชีวิตที่เป็นสามีนั้น เสียชีวิตหลังแต่งงานกันได้เพียง 1 เดือน นำมาสู่ฉายา “แม่ม่ายดำ” ตามชนิดของแมงมุมที่สังหารคู่ตัวเองหลังผสมพันธุ์ การฆาตกรรมสามี ทำให้นางคาเคฮิได้รับเงินมรดกและประกันรวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเยน แต่ท้ายสุด เธอนำไปใช้กับการเล่นหุ้นจนเป็นหนี้ ส่วนที่อินเดีย คุณแม่ลูก 3 รายหนึ่ง ตั้งตนเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมดับทุกข์ แต่กลับหลอกเหยื่อดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ผสมไซยาไนด์ ฆาตกรรมไป 7 ศพ ภายในเวลาไม่กี่เดือน ถือเป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงรายแรกของอินเดียstd47421• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยลูกกลืนซองกันชื้น แม่ร้องลั่น "ล้างท้อง!" แต่หมอบอกไม่ต้อง แนะวิธีปฐมพยาบาลง่ายๆเด็กเล็กๆ มักสมาธิสั้น และโดยสัญชาตญาณทันทีที่พวกเขาหยิบจับอะไร ก็มักจะนำเข้าปากก่อน ดังนั้นจึงมีกรณีที่น่าสลดใจมากมาย เช่น เด็กสำลักสิ่งแปลกปลอม, กลืนสารเคมีที่เป็นพิษ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พ่อแม่ยากจะทำใจยอมรับ เพื่อเป็นบทเรียนเตือนใจพ่อแม่ นพ.อู๋ ฉางเถิง ซึ่งทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเด็กเหอหนาน ประเทศจีน ได้นำเสนอกรณีเด็กวัย 1 ขวบที่กลืนซองสารดูดความชื้นในขนม เพื่อเป็นการเตือนว่าทุกสิ่งรอบตัวเด็กหากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นอันตรายได้เสมอ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว คุณหมอเล่าว่า ช่วงบ่ายวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา เขาได้รับคนไข้เด็กอายุ 1 ขวบ ซึ่งแม่อุ้มเข้ามาโรงพยาบาลด้วยอาการตื่นตระหนก บอกว่าลูกชายของเธอกลืนเม็ดกันความชื้นเข้าไป เธอจึงอุ้มมาเพื่อให้หมอช่วยล้างท้อง แต่หลังจากดูถุงดูดความชื้นที่แม่นำมาด้วย หมอก็ได้อธิบายไปอย่างใจเย็นว่า สารดูดความชื้นที่ใช้กันทั่วไปมีอยู่ 2 ประเภท ในกรณีนี้ทารกกลืนสารดูดความชื้นซิลิกาเจล (Silica Gel) โชคดีที่ตรวจแล้วพบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต สารความชื้นจากซิลิกาเจล (Silica Gel) เมื่อลูกพลาดกลืนลงไปแล้ว ผู้ปกครองต้องจัดการอย่างใจเย็น ธรรมชาติของเม็ดซิลิกาเจลมีความเฉื่อยทางเคมีจึงไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอนุภาคป้องกันความชื้นมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำ ดังนั้นควรให้เด็กดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากๆ เมื่ออนุภาคซิลิกาเจลได้รับการเติมน้ำ จะไม่ทำปฏิกิริยากับเยื่อเมือกของร่างกาย และถูกขับออกทางทางเดินอาหาร ส่วนประเภทที่สองประกอบด้วยแคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) มักบรรจุในซองสีขาวและเขียนตัวอักษรสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสารกัดกร่อนที่เผาไหม้หลอดอาหาร กรณีที่เด็กเคี้ยวหรือกลืนสารกันความชื้นที่ทำจากผงปูนขาวเข้าไป อาจทำให้ปากไหม้ เป็นแผลในคอ ขึ้นอยู่กับระดับของสารเคมีที่เด็กสัมผัส ดังนั้น ผู้ปกครองต้องให้เด็กบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหรือดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดความเข้มข้นของด่างที่เกิดปฏิกิริยา ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใจเย็น แทนที่จะตื่นตระหนก หรือบังคับให้เด็กอาเจียน เพราะเหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลต่อจิตใจเด็ก ในขณะเดียวกันก็พาเด็กไปที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเพื่อรับการตรวจ วินิจฉัย และรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ คุณหมอเน้นย้ำด้วยว่า ซองดูดความชื้นส่วนใหญ่มักบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กที่จะฉีกบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ออกจากกันเพื่อเล่น อย่างไรก็ดี เนื่องจากซองดูดความชื้นส่วนใหญ่เป็นอันตรายต่อเด็กหากฉีกและกลืน สูดดมหรือทำกระเด็นเข้าตา ในกรณีกระเด็นเข้าตา ต้องใช้น้ำเกลือล้างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ควรขยี้ตา เพราะจะทำให้กระจกตาเสียหายได้ง่ายกว่า หลังจากนั้นให้ไปที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุผู้ปกครองควรระวังอย่าให้เด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้หนังสือ สัมผัสกับบรรจุภัณฑ์ดูดความชื้นทุกชนิด ควรวางผลิตภัณฑ์ที่มีซองดูดความชื้นไว้ในที่สูงและมิดชิดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเล่นyardtip49• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยช้อค ! คำสารภาพจาก "จอมโจรงงัดบ้าน" สติปัญญา น่าจะ โคนัน เลยทีเดียว 1 มีนาคม 2564 ช่วงสุดท้าย โจรพูด ถึงหมาด้วย - - - - 1. อย่าก็เปิดไฟทิ้ง โชว์ไว้ทั้งวันทั้งคืน ให้ ใช้โคมไฟอัตโนมัติ แบบแสงอาทิตย์หรือ ตั้งเวลาเปิดได้ 2 การคล้องกุญแจ ประตูรั้ว ให้คล้องจาก ด้านใน และมีแผงเหล็ก อะไรบังไว้ 3. การติดเหล็กดัด ืต้องติดตากด้านใน ให้โจรทำงานยาก 4. อย่าติดกล่องรับ นสพ.หรือไปรษณีย์ โปร่งๆ โจรมันจะรู้ถ้า มี นสพ.หรือจดหมาย ืคาไว้ 5. มันมักจะเลือก บ้านเดี่ยวที่มีรั้ว และ ลงมือปีนเข้าไปงัด เพราะขั้นตอนการงัด ยังไงก็เกิดเสียง 6. ช่วงที่นิยมลงมือ ืคือตี 3 ไปแล้ว 7. โจรมักจะมาดู ลาดเลาตอนกลางวัน ก่อน ถ้ามานอนดึก สภาพยังแบบเดิม เหมือนไม่มีใครอยู่ ก็ลงมืองัดเลย 8. ถ้าสภาพบ้าน เหมือนไม่มีใครอยู่ แต่ได้ยินเสียงเปิด แอร์กลางคืน ก็จะ ยกเลิกงัด 9. ตู้เซฟทุกชนิด ิถ้ามีบานพับยื่นออก มา เขาใช้เลื่อยตัด บานพับก่อนงัด 10. ตู้เซฟไม่ว่าใหญ่ แค่ไหน ถ้ามันล้มตู้ให้ นอนลงได้ ก็สามารถ เอาแชลงมางัดได้ ทุกตู้ 11. โจรบอก ! ถ้าคุณ เลือกซื้อตู้เซฟ ต้องซื้อ แบบที่มีบานพับซ่อน อยู่ข้างใน 12. ต้องทำช่องโบก ปูน แล้วเอาตู้เซฟฝังเข้า ไปข้างใน ไม่ให้มันดึง ตู้ออกมาได้ ก็จะงัด ไม่ได้ 13. ถ้าโจรขึ้นบ้าน ปุ๊บ! เขาจะขึ้นชั้น 2 เลย เพราะชั้นล่าง มักไม่มี ของมีค่าที่ต้องการเลย 14. ของมีค่าที่โจรมุ่ง หา มักอยู่ในห้องนอน ในตู้เสื้อผ้า หรือตู้หัว เตียง บ้านไหนก็บ้าน นั้น ..ต้องเจอ ! 15. ควรติดสัญญาณ กันขโมยตามหน้าต่าง ประตูแบบมีเสียง โจร จะหนีทันที 16. มิเตอร์น้ำด้วย ! ถ้ารอบแรกมันมาดูตัว เลข แล้วไม่ขยับ แสดง ว่า ไม่มีคนอยู่บ้าน 17.ใบไม้หน้าบ้านไม่ เก็บกวาดมันจะเอาใบไม้ เสียบข้างประตูปิด-เปิด ถ้ายังอยู่ที่เดิมตลอด แสดงว่าไม่มีคนเข้าออก คือไม่มีคนอยู่บ้าน # จากการสอบสวน ปากคำ จากโจร โดยตรงเลย # ข้อสุดท้าย ! ฮา แบบได้ข้อคิด .. จอมโจรคนนี้บอกว่า ควรเลี้ยง"หมา"เฝ้าบ้าน เพราะดีกว่า "ยาม" เขาบอกว่า ยาม ก็คือยาม บ้านคุณ 'ไม่ใช่บ้านยาม' ทรัพย์สินของคุณก็ 'ไม่ใช่ของยาม ' แต่ "หมา" ไม่ใช่ ! บ้านและทรัพย์สิน ของคุณ ก็คือ " ของหมาด้วย " หมาคิดอย่างนั้น .. (โจรรู้อีก ! ) เป็นข้อมูลที่ มีประโยชน์ ครับ /.ผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยโรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia)โรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia) คือ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และ ความแข็งแรงเป็นผลมาจากการแก่ตัว หรือ การเป็นผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเดิน ผู้สูงอายุทุกท่าน ระวัง “ซาร์โคเพเนีย” จะมาเยือนท่าน:- 1. พยายามยืน/เดิน ให้มากขึ้น นั่ง/นอน เท่าที่จำเป็น! 2. หลังอายุ 60 ~ 70 ปี ยากที่จะลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ออกกำลังกาย และพึ่งพา การกินให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก! กล้ามเนื้อทั้งหมดอาจหายไป มันอันตรายมากนะ! 3. การเดิน การขี่จักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เจ็บเข่า 4. ถ้าผู้สูงอายุป่วย และเข้าโรงพยาบาล การนอนเพียง 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ จะเสียมวลกล้ามเนื้ออย่างน้อย 5% ! 5. ปกติผู้สูงอายุ จำนวนมาก ที่ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ที่จ้างผู้ช่วยคอยดูแล คอยพยุง จะยิ่งสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเร็วขึ้น ! 6. ตราบใดที่ผู้สูงอายุ พยายามเดิน หรือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยๆ กล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกายจะเกี่ยวข้อง! รวมไปถึงการกลืนอาหาร ก็จักดีขึ้น 7. โรคซาร์โคเพเนีย นั้น ความจริง น่ากลัวมากกว่าโรคกระดูกพรุน ! เพราะ โรคซาร์โคเพเนียไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย 8. ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยเดิน หรือ ขาเคลื่อนไหวน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง ดังนั้น อย่างน้อย ฝึกนั่งสควอต (ยืน/นั่ง ยอง วันละ 20-30 ครั้ง) หรือ ยืนขึ้นทันที เมื่อก้นของคุณ สัมผัสที่นั่งบนเก้าอี้ วันละ 20-30 ครั้งก็ยังดี ดังนั้น วันนี้ คุณต้องใส่ใจกับ ซาร์โคเพเนีย!แล้วนะ ขึ้น & ลงบันได ... การเดิน ในทุกวัน สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้! เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…สำหรับทุกคนเมื่อเป็นผู้สูงวัย... ▪️การศึกษา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์กพบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ของการไม่เดิน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สามารถ ลดประสิทธิภาพของขาลงได้ถึง 1 ใน 3 ซึ่งเท่ากับอายุเพิ่มขึ้น 20 - 30 ปี !! งั้นเดินไปเถอะ ▪️เมื่อใด กล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแอลง เราจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวในภายหลัง ▪️ดังนั้น การเดินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ▪️ 50% ของกระดูก & 50% ของกล้ามเนื้อ อยู่ในสองขาของเรา ▪️ข้อต่อ & กระดูกที่ใหญ่ที่สุด & แข็งแรงที่สุด ก็อยู่ที่ขาของเรา ดังนั้น พยายามเดินให้ได้ ในทุกวันMrs.Doubt• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยฝากบอกพวกเรา แชร์ด้วยนะคะ. พยาบาลวิสัญญี ศิริราชส่งมาให้ช่วยอ่าน บทความนี้ ....! สมมุติว่าเป็นเวลา หกโมงเย็น และคุณกำลัง ขับรถกลับบ้านคนเดียว หลังจากเสร็จสิ้นงาน สำคัญ คุณรู้สึกเหนื่อย ล้าและคับข้องใจเป็น อย่างมาก คุณรู้สึก เครียด กดดัน และ โกรธจัด .. ! ทันใดนั้น .. จู่ ๆ คุณก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก อย่างรุนแรงและเฉียบ พลัน และความเจ็บนั้น เริ่มแผ่กระจายไปตาม แขนและลามขึ้นมาถึง ขากรรไกรของคุณ ถึงแม้คุณอยู่ห่าง จากโรงพยาบาลที่ใกล้ บ้านคุณที่สุดเพียงแค่ 8 กิโลเมตรกว่าๆเท่านั้น แต่คุณก็ไม่รู้ว่า คุณจะ ขับรถไปถึงโรงพยาบาล ไหวหรือไม่ ..? . แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ? คุณเคยได้รับการ อบรมเรื่องการผายปอด และนวดหัวใจให้กับ ผู้ป่วย .. แต่ผู้อบรมไม่ได้ บอกวิธีการปฐมพยาบาล ตนเองเวลาเกิดเหตุฉุก เฉินเช่นนี้ คุณจะเอาชีวิตรอด อย่างไรเมื่อเกิดหัวใจ ล้มเหลวกระทันหัน ขณะกำลังอยู่คนเดียว.. คนหลายๆคนอาจ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว เฉียบพลันขณะอยู่คน เดียวโดยไม่มีใครช่วย เหลือได้ และคนที่มี ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เช่นนี้ จะมีเวลาเพียง แค่10 วินาที เท่านั้น ก่อนที่จะหน้ามืดและ หมดสติ " ... หัวใจล้มเหลว เวลาอยู่คนเดียว ... จะทำอย่างไร ...? " * คำตอบ * อย่าตื่นตระหนก ..! คุณสามารถช่วยเหลือ ตนเองได้ด้วยการ .. ไอแรงๆหลายๆครั้ง ติดต่อกัน ..สูดลมหายใจ ลึกๆ ก่อนการไอแต่ละ ครั้ง ... * ต้องไอให้ยาวๆลึกๆ เหมือนตอนคุณพยายาม ขากเสมหะที่ติดอยู่ใน ลำคอลึกๆออกมา .. นั่นแหละ การหายใจลึกๆและ ไอแรงๆ จะต้องกระทำ ต่อเนื่องทุก 2 วินาที ( *ย้ำ ทุกๆ 2 วินาที ) จนกว่าคุณจะได้รับการ ช่วยเหลือจากแพทย์ หรือจนกว่าคุณจะรู้สึก ว่าหัวใจกลับสู่การเต้น ที่เป็นปกติอีกครั้ง ... * การหายใจลึกๆ จะช่วยให้ปอดได้รับ ออกซิเจน ... ส่วนการไอเเรงๆนั้น จะทำให้เกิดแรงกระเทือน ที่ไปช่วยบีบหัวใจ และ ช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ และแรงบีบหัวใจจากการ ไอนี้ จะช่วยให้หัวใจกลับ สู่การเต้นปกติได้ การทำเช่นนี้จึงทำ ให้ผู้ประสบอาการหัวใจ ล้มเหลวสามารถพาตัว เองไปถึงโรงพยาบาลได้ บทความนี้ได้รับ การตีพิมพ์ในเอกสาร Gournal of General hospitol Rochester บอกต่อคนที่คุณ รู้จักให้มากที่สุดเท่าที่ คุณสามารถทำได้เผื่อ ว่ามันอาจจะช่วยชีวิต ของพวกเขาได้ ... * อย่าประมาท ! คิดว่าหัวใจล้มเหลว ไม่มีทางเกิดขึ้นกับคุณ ทุกวันนี้สภาพการ ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน อ ทำให้คนเกิดภาวะหัวใจ ล้มเหลวเฉียบพลัน สามารถเกิดกับคน ... ... ได้ทุกวัย .... .. อย่าลืมส่ง บทความนี้ต่อให้กับ เพื่อนของคุณและ คนอื่นๆ ให้มากที่สุด ...!ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: true1 ความเห็น
- 2 คนสงสัย"พื้นที่ที่มี จุดเสี่ยง ในกรุงเทพมหานคร" Update พื้นที่ที่มี "จุดเสี่ยง ในกรุงเทพมหานคร" ทั้งหมด ของการระบาดระลอกใหม่ จากตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร *ใครมีจุดเพิ่มเติมแนะนำได้นะ เก็บ Timeline มาได้เท่านี้ เป็นห่วงทุกคนนน* 25 เขต ในกทม. ที่มีจุดพื่นที่เสี่ยง ------------------------------------- 1. เขต คลองสาน - ร้านสมศักดิ์ ปูอบ สาขาบีทีเอสกรุงธน 2. เขต คันนายาว - รพ.สินแพทย์ จ.กรุงเทพฯ 3. เขต จตุจักร - BTS ห้าแยกลาดพร้าว - MRT บางซื่อ - เซ็นทรัล ลาดพร้าว - ยูเนี่ยน มอลล์ Union Mall - สถานีขนส่งหมอชิต(จตุจักร) กรุงเทพฯ 4. เขต จอมทอง - ตลาดอินดี้ ดาวคะนอง 5. เขต ดอนเมือง - สนามบิน ดอนเมืองอาคาร 2 ผู้โดยสารภายในประเทศ กรุงเทพฯ 6. เขต ดุสิต - โรงพยาบาลวชิระ - กองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง กรมชลประทาน สามเสน - รพ.รามาธิบดี 7. เขต ธนบุรี - คอนโด IDEO สาทร กรุงเทพฯ 8. เขต บางแค - เดอะมอลล์ บางแค 9. เขต บางกอกน้อย - ตลาดศาลาน้ำร้อน - ทรูช้อป@ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า - ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า 10. เขต บางกะปิ - เดอะมอลล์ บางกะปิ - โรงแรมอเล็กซานเดอร์ - หอพักหน้ารามคำแหงซอย 29 11. เขต บางขุนเทียน - โรงพยาบาลนครธน - ขนส่งจังหวัดเขตบางขุนเทียน - สำนักงานขนส่งทางบก กรุงเทพมหานครพื้นที่ ๑ 12. เขต บางซื่อ - นมโจ ประชาชื่น (สาขาประชาชื่น39) - รพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่น จ.กรุงเทพฯ - ศรีสุวรรณ 13. เขต บางนา - ย่านอุดมสุข 14. เขต บางพลัด - ร้านอีสานกรองแก้ว 15. เขต บางรัก - Le Meridien Hotel Bangkok - Pullman G Hotel Bangkok - โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กรุงเทพฯ - วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก) กรุงเทพฯ - สีลมคอมเพล็กซ์ 16. เขต บึงกุ่ม - วัดสุวรรณประสิทธิ์ - ตลาดนวดจันทร์ 17. เขต ปทุมวัน - สามย่านมิตรทาวน์ - BTS ราชเทวี - Central World - Mrt ลุมพินี - Mrt หัวลำโพง - โรงแรมอโนมา - มาบุญครอง - สยามสแควร์วัน 18. เขต ป้อมปราบศัตรูพ่าย - โรงพยาบาลกลาง 19. เขต พระนคร - ครัวแซ่บอีสาน 20. เขต ภาษีเจริญ - Seacon Bangkae - โรงพยาบาล พญาไท 3 21. เขต ราชเทวี - แพลตินัม - โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน กรุงเทพฯ - โรงพยาบาลรามาธิบดี Ramathibodi Hospital 22. เขต วังทองหลาง - โรงพยาบาลลาดพร้าว 23. เขต วัฒนา - Lamptitud เอกมัย - ตลาดอ่อนนุช 24. เขต สาทร - อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ 25. เขต หลักสี่ - รพ.มงกฏวัฒนะ จ.กรุงเทพฯ ข้อมูล: ณ วันที่ 25 ธ.ค. 63 โดยศูนย์ติดตามสถานการณ์ COVID-19 และกรมควบคุมโรค #COVID-19 #Covid #โควิด-19 #โควิด #สถานการณ์โควิด19 #สถานการณ์โควิด-19 #สถานการณ์COVID-19 #สถานการณ์COVID19 #ข่าวโควิด #โควิดวันนี้ #ข่าวโควิด #โควิด #ติดตามโควิด #ข่าว #ติดตามข่าวไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยฎีกาออกมาแล้ว จอดรถตามห้างสรรพสินค้าฎีกาออกมาแล้ว จอดรถตามห้างสรรพสินค้า ถึงแม้ว่าจะไม่มีบัตรจอดรถก็ตาม ถ้ากลัวรถหาย มีข้อแนะนำดังนี้ 1.เมื่อขับรถเข้าจอดในห้างใดหรือเข้าพักในโรงแรมหรือรีสอร์ทใด ไม่ว่าในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด เราควรจะถ่ายภาพรถให้เห็นป้ายทะเบียนและให้เห็นสภาพสถานที่จอดให้ชัดเจนว่าเป็นที่ใดด้วยโทรศัพท์มือถือ 2.ถ้ารถหายในห้างอย่าเพิ่งโวยวาย ถ้ายังไม่มีใบเสร็จในการซื้อสินค้าให้รีบเข้าซื้อสินค้าในสรรพสินค้าพื่อให้ได้ใบเสร็จว่าเราได้เข้ามาใช้บริการซื้อสินค้าในห้าง 3.จากนั้นแจ้งห้างว่ารถหายกับแจ้งความกับตำรวจถ่ายสำเนาใบเสร็จให้ไปแต่เราเก็บใบเสร็จตัวจริงไว้ ถ้าห้างฯไม่จ่ายจะได้ใช้ใบเสร็จกับภาพถ่ายรถในโทรศัพท์มือถือเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องทางศาล ซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันรถหาย ถ้าเกิน 1 ปี คดีจะขาดอายุความ 4.ชนะคดีแน่นอน เพราะมีฎีกาที่7471/2556 รองรับแล้ว #รถหายในห้างสรรพสินค้าผู้บริโภคเฝ้าระวังMrs.Doubt• 2 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยคำแนะนำของ พญ.อิสรีย์ ประดิษฐ์กุลมาตรวจสุขภาพ เจอหมอ (พญ อิสรีย์ ประดิษฐ์กุล) ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยพบมาในชีวิต อธิบายละเอียดทุกตัวเลขครึ่งขั่วโมง และได้ความรู้ใหม่คือ 1. ห้ามออกกำลังกายด้วยการขึ้นลงบันไดเด็ดขาด ทำให้เข่าพัง 2. ห้ามเล่นฮูลาฮูป เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อน 3. ถ้าออกกำลังด้วยการเดินสายพาน ห้ามใข้โหมดขึ้นเขา 4. ควรให้ร่างกายสัมผัสแดดอ่อนๆ ทุกวัน 5. คนอายุ 50+ ต้องออกกำลังแบบ cardio และ ยกเวท (ดัมเบล ห้ามบาร์เบล) เบาๆ เพื่อออกกำลังหลังให้แข็งแรง 6. ใครที่เป็นไขมันพอกตับต้องออกกำลังเท่านั้น ไขมันถึงจะหลุด 7. ลด LDL ด้วยการลดอาหารทอด มัน ทะเล อาหารแปรรูป(ไส้กรอก) 8. กะทิกินได้เป็น HDL (หมอคำนวณให้เห็นว่า ถ้า HDL สูงพอจะไป cover LDL ได้) 9. ส่องกล้องหามะเร็งลำไส้ไม่จำเป็นถ้าตรวจสารบ่งชี้มะเร็งทุกปี และถ้าไม่มีอาการท้องผูกปวดท้องต่อเนื่องลดความอ้วนยาสมุนไพรความสวยความงามภาคตะวันออกMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัย#ขอเชิญชวนทำบุญ ถวายกุศลแด่ครูอาจารย์ทั้งทางโลกทางธรรมกันนะครับ# บุญซ่อมแซมและปิดทองพระประธานอุโบสถวัดโตนด หลวงพ่อสำเร็จ พระประธานประจำอุโบสถวัดโตนด ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งได้สร้างมาในสมัยอยุธยา ได้เกิดรอยร้าวตั้งแต่ สถานการณ์น้ำท่วมในปี พ.ศ.2554 ทำให้เกิดความชื้น ปูนกะเทาะ เกิดรอยร้าว จากองค์พระประธาน ในการนี้ทางคณะกรรมการวัดโตนด มีความเห็นตรงกันว่า วัดจะต้องรีบบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระประธาน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการะต่อไป อานิสงส์ในการบูรณะพระประธาน 1. ช่วยยกชีวิตตกต่ำ ให้รุ่งเรืองขึ้น 2. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกเว้นการจองเวร 3. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัย สามารถร่วมบุญได้ที่ ชื่อบัญชี บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระประธานและอุโบสถ วัดโตนด ธนาคารออมสิน สาขาบางกรวย เลขที่บัญชี 020350809461 สอบถามได้ที่ เจ้าอาวาสวัดโตนด 0823330444 Cr.#วัดโตนด บางกรวย นนทบุรีไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยกินเร็วกินรีบๆ ทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ จริงหรือมีคนเคยบอกว่า การรับประทานอาหารแบบเร็วๆรีบๆ ทำให้อ้วนได้ การกินเร็วเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะที่เรียกว่า “Metabolic Syndrome” คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายผิดปกติ มีสาเหตุมาจากการดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) และความอ้วน มักพบในผู้ที่มีไขมันหน้าท้องมาก หรือที่เรียกว่า อ้วนลงพุง (Central Obesity) Metabolic Syndrome ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ เกิดหัวใจขาดเลือด จากการศึกษาพบว่าคนที่กินเร็วมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนที่กินปกติถึง 2.5 เท่า จริงหรือanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยขณะนี้ ประเทศไทยกำลังทดลองผลิตวัคซีนโควิดที่ผลิตจากใบยาสูบ จริงหรือศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทย โดยนักวิจัยไทย บริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม สามารถพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำจากใบยาพืช โดยการใส่รหัสพันธุกรรมที่กำหนดการสร้างโปรตีนของไวรัสและภายใน 1 สัปดาห์ พืชจะสร้างโปรตีนที่ต้องการ ทั้งนี้ลักษณะโครงสร้างและลำดับของโปรตีนไม่ได้ผิดเพี้ยนไป เมื่อเทียบกับการสร้างวัคซีนด้วยกลวิธีอื่นๆ “วัคซีนใบยาผ่านการทดสอบในหนูและในที่สุดในลิง ด้วยการฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ และลิงมีความปลอดภัยไม่ปรากฏมีผลข้างเคียง ผลเลือดในลิง ค่าเอนไซม์ตับปกติ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวปกติ ทำให้ลิงมีระดับภูมิคุ้มกันสูงมาก ที่เรียกว่า Neutralizing antibody ซึ่งสามารถยับยั้งไวรัสได้ ทั้งนี้ทำการตรวจสอบด้วยการวัดระดับจากการตรวจทาง Elisa surrogate isotype independent virus neutralizing antibody และจากการทดสอบในการยับยั้งไวรัสจริงในเซลล์โควิด 2019anonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยการแอบดูโทรศัพท์ของแฟนหรือของผู้อื่น เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ.คอม จริงหรือคะเพจ "สายตรงกฎหมาย" โดย ทนายรัชพล ศิริสาคร ประธานชมรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ได้แชร์ข้อมูลกฎหมายน่ารู้ เกี่ยวกับกรณีการลักลอบ-แอบดูข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่แฟน สามี หรือภรรยา ก็ตามนั้นถือเป็นความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยทนายรัชพล ระบุข้อความว่า การแอบดูโทรศัพท์ของแฟนหรือของผู้อื่น กฎหมายไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นความผิด แต่มันจะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ.คอม เพราะโทรศัพท์สมัยนี้มันดันเป็นสมาทโฟนซะเกือบหมดแล้ว ดังนั้น พรบ.คอม มันจึงเข้ามาคุ้มครองการแอบเข้าไปดูข้อมูลโทรศัพท์เหล่านี้ด้วย กรณีที่มีการล็อครหัสไว้ พฤติกรรมการเข้ารหัสโทรศัพท์ของแฟนหรือของคนอื่น อาจเข้าข่ายเป็นการเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จริงหรือคะผู้บริโภคเฝ้าระวังanonymous• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย'กลุ่มเปราะบาง' ที่ลงทะเบียนหลัง 31 พ.ค. หมดสิทธิ์รับเงินเยียวยา 3,000 บาท จริงหรือคะกลุ่มเปราะบาง จำนวนรวมทั้งสิ้น 6,781,881 ราย ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) เด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (อายุ 0-6 ขวบ) จำนวน 1,394,756 ราย 2) ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จำนวน 4,056,596 ราย 3) คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ จำนวน 1,330,529 ราย รองปลัด พม. ได้ย้ำถึงการรับสิทธิ์ว่า จะต้องเป็น "1 คน 1 สิทธิ์" คือ จะต้องไม่ได้รับเงินจากกระทรวงการคลัง จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือได้รับเงินประกันสังคมจากกระทรวงแรงงานมาก่อน จึงจะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์เงินเยียวยา 3 พันบาทจาก พม. โดยไม่ต้องลงทะเบียนเพิ่มเติม อาจมีบางท่านที่จะ "ไม่ได้รับเงิน" เพราะเพิ่งลงทะเบียนของการรับเบี้ยยังชีพทั้งสามกลุ่ม ภายหลังจากวันที่ 31 พ.ค. 63 จริงหรือคะanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอย. ยกเลิกเลขสารบบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลีน เอฟเอส-ทรี Lyn FS-Three (Dietary supplement product by pim)สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เพิกถอนเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลีน เอฟเอส-ทรี Lyn FS-Three (Dietary supplement product by pim) ในช่วงปี พ.ศ.2561 ข้อมูลนี้ส่งถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชน มีรายละเอียด ดังนี้ ชื่ออาหารบนฉลาก: ลีน เอฟเอส-ทรี (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) กรณีความผิด/สาเหตุที่ต้องยกเลิก: อาหารปลอม ข้อมูลสถานประกอบการ: บริษัท ฟู้ด ซายน์ ซัพพลาย เซอร์วิส จำกัด (จ.ปทุมธานี) (ใบอนุญาตที่ 13-1-05459) ที่ตั้งสถานประกอบการ: บ้านเลขที่ 99/29 หมู่ 2 ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 12160 เลขสารบบอาหารที่ถูกยกเลิก: 13-1-05459-5-0017 คำสั่งยกเลิก เลขสารบบอาหาร/ลงวันที่: คำสั่ง อย. ที่ 222/2561 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 อ้างอิงจากเอกสารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา: https://drive.google.com/open?id=1dZAqXAtvIHw1UPBlLaol19JLC2balkgTอย. เพิกถอนnaruemonjoy• 5 ปีที่แล้วmeter: true3 ความเห็น
- 2 คนสงสัยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง จริงหรือเนื่องจากว่าอาการ ไข้หวัดใหญ่ มีลักษณะอาการคล้ายโควิดมาก ทางกรมควบคุมโรคจะมีการฉีดวัคซีนฟรีให้กลุ่มเสี่ยงดังนี้ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป โรคอ้วน (น้ำหนัก>100 กิโลกรัม หรือ BMI >35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และผู้มีโรคเรื้อรัง (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน)anonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยฟ้าคำรามความเชื่อ กับความจริง ดูจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างความรู้สึกกับข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็น ในส่วนของวงการออกกำลังกาย ก็มีความเชื่อเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่ความจริงเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องค้นคว้า ทั้งนี้ ถือว่าโชคดีที่เราไม่ต้องเสียเวลาไปหาเอง พอดีไปอ่านเจอมาจากเพจเฟซบุ๊ก MICE & Communication ซึ่งอ้างอิงมาจาก samitivejhospitals ได้มีการนำเสนอเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ เลยอยากนำมาแชร์ต่อให้ได้ทราบกัน โดยมีทั้งหมด 7 ความเชื่อ แต่ด้วยข้อจำกัดของเนื้อที่เรียงหน้าชน วันนี้เลยขอนำ 4 ข้อแรกมาให้ได้รับรู้กันก่อน และคิวต่อไปจะนำอีก 3 ข้อที่เหลือ มาบอกกล่าวกัน จริงหรือเท็จกับ 7 ความเชื่อ ก่อนและหลังการออกกำลังกาย ความเชื่อ 1 : ห้ามดื่มน้ำก่อนออกกำลังกายเพราะจะทำให้จุก ความจริง การดื่มน้ำมากๆก่อนออกกำลังกายทันทีอาจทำให้จุกแน่นได้ เนื่องจากน้ำยังไม่สามารถไปถึงทางเดินอาหารส่วนล่าง อย่างไรก็ตาม ควรดื่มน้ำประมาณ 200-300 cc ก่อนออกกำลังกายประมาณ 30 นาที โดยเฉพาะหากต้องเสียเหงื่อมากระหว่างออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายหลังตื่นนอน เพราะร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานานจากการนอนหลับ รวมถึงควรจิบน้ำทีละน้อยๆ แต่จิบบ่อยๆในขณะออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ความเชื่อ 2 : ออกกำลังกายขณะท้องว่าง ช่วยเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ความจริงการออกกำลังกายขณะท้องว่างจะทำให้ประสิทธิภาพในการออกกำลังกายลดลง ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารมื้อเล็กๆที่ย่อยได้ง่ายก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เช่น กล้วยหอมครึ่งผล ลูกเกด หรือแครกเกอร์ชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายมีสารอาหารเตรียมพร้อมให้มีพลังงานในการออกกำลังกาย สำหรับการเผาผลาญไขมันได้ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบและระยะเวลาในการออกกำลังกาย หากต้องการเผาผลาญไขมันจะต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิกนาน 30 นาทีขึ้นไป ซึ่งร่างกายจะดึงพลังงานทั้งจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อออกมาใช้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้สูญเสียกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย จึงควรสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยเวทเทรนนิ่งควบคู่ไปด้วย ความเชื่อ 3 : เหงื่อออกมาก ยิ่งเผาผลาญแคลอรีมาก ความจริง เหงื่อออกมากขณะออกกำลังกายเกิดจากการขับน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ส่วนการเผาผลาญแคลอรีขึ้นอยู่กับกิจกรรมและระยะเวลาของการออกกำลังกาย จะเห็นได้ว่าทั้งสองอย่างนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน การที่เหงื่อออกมากกลับทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บ เป็นตะคริว หรือหากขาดน้ำมากเกินไปอาจทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือเกิดโรคลมแดด (Heat stroke) ซึ่งเป็นอันตราย อย่างมาก ดังนั้นหากมีเหงื่อออกมากขณะออกกำลังกายควรจิบน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งความสวยความงามลดความอ้วนstd48917• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยล่าสุดมีผลการวิจัยออกมาว่า วาซาบิไม่ได้เป็นแค่เครื่องปรุงรสชาติจัดจ้านอีกต่อไป เพราะมันสามารถช่วยป้องกัน “ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป”ได้อีกด้วย ปัญหาใหญ่ทางสุขภาพที่ผู้สูงอายุหลายคนต้องเผชิญก็คือสมองเสื่อม โดยเฉพาะในกลุ่มที่อายุมากกว่า 60 ปี เพราะเมื่อเริ่มเข้าสู้วัยสูงอายุ เซลล์สมองจะค่อยเสื่อมลง แล้วก็ทยอยตายไปในที่สุด และ ไม่มีเซลล์สมองเกิดใหม่มาทดแทน ทำให้สมองส่วนหน้าที่ดูแลเรื่องความทรงจำเริ่มเสียหาย จนเกิดปัญหาด้านความจำและนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อม ไปจนถึงสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพ การเข้าสังคม การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ในกรณีที่รุนแรงบางคนอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ที่ผ่านมาการป้องกันภาวะสมองเสื่อมมีหลายวิธีด้วยกัน โดยหนึ่งในวิธีที่อาจจะได้ผลดีก็คือ การกินวาซาบิเป็นประจำ ล่าสุดมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients พบว่าวาซาบิสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป มีความจำที่ดีขึ้นได้ . ข้อมูลจาก Sciencealert อธิบายว่า ในวาซาบิมีสารเคมีสำคัญที่ชื่อว่า 6-MSITC, 6 methylsulfinyl hexyl isothiocyanate (6 เมทิลซัลฟินิล เฮกซิล ไอโซไทโอไซยาเนต) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ เชื่อมโยงกับสารต้านอนุมูลอิสระกับฤทธิ์ต้านการอักเสบ ทำให้สามารถชะลอความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้ ทีมวิจัยทำการทดลองกับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งหมด 72 คนเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับประทานวาซาบิแบบเม็ดวันละหนึ่งครั้ง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับประทานยาหลอก (เช่น ยาเม็ดน้ำตาล เพื่อใช้ในการทดลองทางการแพทย์) จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่รับประทานวาซาบิแบบเม็ด แสดงให้เห็นว่ามีความทรงจำที่ดีขึ้น เช่น การนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต และความทรงจำในการทำงาน รวมถึงสามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก แม้ว่าผลการวิจัยจะชี้ให้เห็นว่า สารสำคัญ 6-MSITC ในวาซาบิจะส่งผลดีต่อการรับรู้ด้านความทรงจำของผู้สูงอายุทั่วไปได้จริง แต่ก็ยังไม่ได้ทดลองกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม แต่ทีมวิจัยก็เชื่อว่า สารต้านอนุมูลอิสระกับฤทธิ์ต้านการอักเสบในวาซาบินั้น มีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิภาพการรับรู้ในผู้สูงอายุ . อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1098035?anm= . #วาซาบิ #ภาวะสมองเสื่อม #ผู้สูงอายุ #สารต้านอนุมูลอิสระ #ฤทธิ์ต้านการอักเสบ #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealthยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 6 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ?ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ? การย้อมสีผมในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการย้อมเพื่อเปลี่ยนลุคและสไตล์ หรือการซ่อนผมขาว ได้รับการยอมรับในทุกช่วงวัย การย้อมสีผมบ่อยๆจะทำให้เราได้รับสารเคมีอย่างต่อเนื่อง แต่สารเคมีเหล่านั้นไม่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่หากการได้รับสารเคมีในน้ำยาย้อมสีผมเป็นประจำอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ (ข้อมูลจาก Harvard Medical School) ยาย้อมผมตามท้องตลาดมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทสีชั่วคราว ถ้าสระผมแล้วสีก็จะค่อยๆหายไป 2. ประเภทสีกึ่งถาวร หรือเรียกว่าสีโกรกผม สามารถปิดหงอกได้ไม่เกิน 30% ถ้าสระผม 5-6 ครั้ง ก็จะค่อยๆหลุดออกไป 3. ประเภทสีย้อมถาวร หรือเรียกว่าสีย้อมผม สามารถปกปิดผมได้ สระแล้วสีไม่หลุดลอก แต่วิธีนี้งานวิจัยระบุว่าจะทำให้โครโมโซมร่างกายเสียหาย ถ้าย้อมบ่อยๆเซลล์อาจจะกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ ส่วนผสมในน้ำยาย้อมผมที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้ 1. สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ : ทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบ และระคายเคือง 2. สารฟีนิลินไดอะมีน หรือสีย้อมผมชนิดถาวร : อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้ 3. แอมโมเนีย : สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมเสีย รากผมอ่อนแอ 4. สารซิลเวอร์ไนเตรต : ทำให้เกิดการระคายได้ 5. สารเลดอะซีเตด : หากสะสมในร่างกายจะทำลายสมอง ประสาทสัมผัส และจัดอยู่ในสารก่อมะเร็ง (ข้อมูลจาก Herbplus+) เราจึงควรมีหลักการในการเลือกน้ำยาย้อมสีผม ดังนี้ 1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน มีวันหมดอายุ วิธีใช้ ส่วนผสม และเลขที่จดแจ้งระบุไว้ชัดเจน 2. เลือกน้ำยาที่ไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย 3. ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้ง 4. เช็กความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ไม่ควรมีมากกว่า 6% เพราะจะทำให้ผมแห้ง ผมกระด้าง และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะได้ 5. ใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเป็นหลัก (ข้อมูลจาก Herbplus+ และ Wongnai) นอกจากนี้ คนที่ย้อมสีผมอยู่แล้ว ไม่ควรย้อมเกิน 9 ครั้งต่อปี นพ.วีรวุฒิ อิ่มสาราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ยังไม่เคยย้อมผมไม่ควรย้อมสีผม โดยเฉพาะคนที่ผมบางหรือผมน้อยอยู่แล้ว เพราะการย้อมผมทำให้รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดร่วงได้ง่าย หากสะสมในร่างกาย อาจทำร้ายสมอง ประสาทสัมผัส ที่สำคัญยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน และ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า น้ำยาย้อมสีผมยังเป็นอันตรายต่อช่างทำผม เพราะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่าผู้ที่ย้อมผม เนื่องจากต้องสัมผัสกับสารเคมีที่มาจากน้ำยาต่างๆเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยต่างๆ พบว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ายาย้อมสีผมเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ ดังนั้นเวลาที่ย้อมสีผมควรอยู่ในที่ที่ระบายอากาศได้ดี มีการสวมถุงมือ และใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีทุกครั้ง (สาธิตา แสวงลาภ, ฤดีรัตน์ มหาบุญปี ติ, อัจฉรา นราศรี, 2562) (ข้อมูลจาก Herbplus+,สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข) เครือข่าย : ชมรมสื่อสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามสุขภาพมะเร็งapinya25460• 10 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ .....ความเห็นของหมอสันต์ ที่ให้คำแนะนำ ในฐานะแพทย์ประจำครอบครัวนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ .....ความเห็นของหมอสันต์ ที่ให้คำแนะนำ ในฐานะแพทย์ประจำครอบครัวว่า 1. เกิดเป็นผู้ชายหากอายุมาก (เกิน 75 ปี) และอยู่สุขสบายดี ไม่ต้องไปตรวจ PSA 2. หากเผลอตรวจ PSA ไปแล้ว พบว่า ได้ค่าสูงแต่อยู่สุขสบายดี ยังฉี่ออก และอั้นฉี่ได้ ก็ไม่ต้องไป ตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก 3. หากเผลอไปตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากไป และยืนยันว่า เป็นมะเร็งแล้ว โดยที่ยังอยู่สบายดีฉี่ออกอยู่ ก็ไม่ควรไปตรวจการแพร่กระจาย (bone scan, MRI) 4. หากเผลอไปตรวจการแพร่กระจายแล้วไม่ว่า ผลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องเดินหน้ารักษามะเร็ง ด้วยผ่าตัดฉายแสง หรือฮอร์โมนบำบัด หรือเคมีบำบัด คำแนะนำข้อ 1 และ 2 นั้น เป็นไปตามคำแนะนำล่าสุดของ คณะกรรมการป้องกันโรคของรัฐบาลสหรัฐฯ (USPSTF) ว่า เกิดเป็นชาย ที่อยู่มาได้ถึง อายุ 75 ปีแล้ว อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน โดยการเที่ยวตรวจ PSA เพราะผลที่ได้ออกมา จะนำไปสู่การตรวจ และการรักษาที่ไม่จำเป็นต่างๆ นานา โดยที่เมื่อเทียบกับ คนที่อยู่นิ่งๆ อยู่เปล่าๆ โดยไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว อัตราตายจากมะเร็งต่อมลูกหมาก โหลงโจ้งแล้วก็ ไม่แตกต่างกัน ส่วนคำแนะนำ ข้อที่ 3 และ 4 นั้น เป็นผลจากการใช้ดุลพินิจเทียบประโยชน์ และความเสี่ยงของการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ในคนแก่อายุ 84 ปี กล่าวคือ ในการจะรักษา ด้วยวิธีการรุนแรง รุกล้ำทั้งหลาย วงการแพทย์ มุ่งประโยชน์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในสองอย่างคือ (1) ความยืนยาวของชีวิต (2) คุณภาพชีวิต หากทำไปแล้ว ไม่ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ การรักษานั้น เรียกว่าเป็นการรักษา ไร้ประโยชน์ (futile treatment) ซึ่งตามหลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ แพทย์ ไม่พึง ให้การรักษาที่ไร้ประโยชน์แก่คนไข้ ข้อมูลการแพทย์ปัจจุบัน พิสูจน์ ไม่ได้ว่า การรักษา มะเร็งต่อมลูกหมาก ที่แพทย์ทำไปสารพัดนั้น จะยืดอายุคนป่วยให้ยืนยาวออกไปได้จริง หรือเปล่า แปลไทย ให้เป็นจีน ก็คือ รักษา ไม่รักษา ก็แปะเอี้ย คือ ตายในเวลาเท่าๆ กัน เพราะทุกวันนี้ วงการแพทย์ยังไม่ทราบเลยว่า โรคมะเร็งต่อมลูกหมากนี้ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ (natural course) มันจะเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่รู้เลยว่า ปล่อยโรคไว้ จะเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า การเข้าไปรักษา ผ่าตัด คีโม ฉายแสง จะดีกว่าโรคปล่อยไว้ จริงแมะ ดังนั้นมะเร็งต่อมลูกหมากนี้ จะใช้หลักคิดแบบมะเร็งที่อื่น ที่ว่า ตรวจวินิจฉัยได้เร็ว รักษาได้เร็ว อัตราการหายสูงนั้น ใช้ไม่ได้ งานวิจัยเรื่องนี้ที่ดีที่สุดชื่อ PIVOT study ซึ่งเอาคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก มา 695 คน จับฉลาก แบ่งเป็นสองพวก พวกแรกผ่าตัดรักษาไปตามสูตร พวกที่สองทิ้งไว้ ไม่ทำอะไรเลย แล้วตามดูไป 10 ปี พบว่า พวกที่ทำผ่าตัด เกิดมะเร็ง ขยายตัว และแพร่กระจายน้อยกว่าพวกไม่ทำ อย่างมีนัยสำคัญ แต่อัตราการรอดชีวิต (length of life) ของทั้งสองพวก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการรักษา กลับพบว่า ไม่ต่างกันเลย ส่วนเรื่องประโยชน์ ในด้านคุณภาพชีวิตนั้น คุณพ่อของคุณ ตอนนี้ ฉี่ได้ อั้นได้ นี่เรียกว่า มีคุณภาพชีวิตที่สุดยอดแล้ว การรักษา มีแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตที่ดี ๆ อยู่นี้ แย่ลง ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ยังไม่นับถึงที่จะโดน พิษของรังสี และของยาอีก เมื่อความยืนยาวของชีวิต ก็ไม่ได้ คุณภาพชีวิต ก็มีแต่จะขาดทุน แล้วจะรักษา ไปทำพรือ ละครับ คำแนะนำของผม อาจไม่เหมือนกับของหมอคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา คำแนะนำของผม เกิดจากการชั่งน้ำหนักหลักฐานวิทยาศาสตร์จากมุมมอง แบบองค์รวมของแพทย์ประจำครอบครัว ย่อมแตกต่างจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ที่มองมา จากมุมของการมุ่งรักษาโรคนั้น ให้สุดๆ กันไปเลย รู้ดี รู้ชั่ว กันไปข้างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง การแพทย์แผนปัจจุบันนี้ มี สองด้าน ด้านสว่าง ก็คือ การมุ่งเอาวิทยาศาสตร์ มาช่วยรักษาคนป่วย ให้หาย อีกด้านหนึ่ง ซึ่งผม ขอเรียกว่า เป็นด้านมืดของการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็คือ การที่ธุรกรรมทั้งหมด มีธรรมชาติ เป็นการเสนอขายสินค้า ผม หมายถึงว่า ทั้ง การวินิจฉัย ก็ดี การตรวจ ก็ดี และการรักษา ก็ดี คือ สินค้า ที่ บริษัทยา บริษัทเครื่องมือ โรงพยาบาล ซึ่งเรา เรียกรวมๆ ว่า medical industry เป็นผู้ขาย คุณจะต้องเรียนรู้ ที่จะใช้ประโยชน์จากด้านสว่าง แต่หลีกเลี่ยง การพลัดหลง เข้าไปสู่ด้านมืด นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์สุขภาพMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้ความเห็นนี้ จริงหรือไม่ถามความเห็นของหมอสันต์ ผมแนะนำในฐานะแพทย์ประจำครอบครัวว่า 1.. เกิดเป็นผู้ชายหากอายุมาก (เกิน 75 ปี) และอยู่สุขสบายดี ไม่ต้องไปตรวจ PSA 2.. หากเผลอตรวจ PSA ไปแล้วพบว่าได้ค่าสูงแต่อยู่สุขสบายดียังฉี่ออกและอั้นฉี่ได้ ก็ไม่ต้องไปตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก 3.. หากเผลอไปตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากไปและยืนยันว่าเป็นมะเร็งแล้ว โดยที่ยังอยู่สบายดีฉี่ออกอยู่ก็ไม่ควรไปตรวจการแพร่กระจาย (bone scan, MRI) 4. หากเผลอไปตรวจการแพร่กระจายแล้วไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องเดินหน้ารักษามะเร็งด้วยผ่าตัดฉายแสงหรือฮอร์โมนบำบัดหรือเคมีบำบัด คำแนะนำข้อ 1 และ 2 นั้นเป็นไปตามคำแนะนำล่าสุดของคณะกรรมการป้องกันโรคของรัฐบาลสหรัฐฯ (USPSTF) ว่าเกิดเป็นชายที่อยู่มาได้ถึงอายุ 75 ปีแล้ว อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยการเที่ยวตรวจ PSA เพราะผลที่ได้ออกมาจะนำไปสู่การตรวจและการรักษาที่ไม่จำเป็นต่างๆนาๆ โดยที่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่นิ่งๆอยู่เปล่าๆโดยไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว อัตราตายจากมะเร็งต่อมลูกหมากโหลงโจ้งแล้วก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนคำแนะนำข้อที่ 3 และ 4 นั้นเป็นผลจากการใช้ดุลพินิจเทียบประโยชน์และความเสี่ยงของการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในคนแก่อายุ 84 ปี กล่าวคือในการจะรักษาด้วยวิธีการรุนแรงรุกล้ำทั้งหลาย วงการแพทย์มุ่งประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในสองอย่างคือ (1) ความยืนยาวของชีวิต (2) คุณภาพชีวิต หากทำไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ การรักษานั้นเรียกว่าเป็นการรักษาไร้ประโยชน์ (futile treatment) ซึ่งตามหลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ แพทย์ไม่พึงให้การรักษาที่ไร้ประโยชน์แก่คนไข้ ข้อมูลการแพทย์ปัจจุบันพิสูจน์ไม่ได้ว่าการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากที่แพทย์ทำไปสาระพัดนั้นจะยืดอายุคนป่วยให้ยืนยาวออกไปได้จริงหรือเปล่า แปลไทยให้เป็นจีนก็คือรักษาไม่รักษาก็แปะเอี้ย คือตายในเวลาเท่าๆกัน เพราะทุกวันนี้วงการแพทย์ยังไม่ทราบเลยว่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากนี้ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ (natural course) มันจะเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่รู้เลยว่าปล่อยโรคไว้จะเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าการเข้าไปรักษาผ่าตัดคีโมฉายแสงจะดีกว่าโรคปล่อยไว้ จริงแมะ ดังนั้นมะเร็งต่อมลูกหมากนี้จะใช้หลักคิดแบบมะเร็งที่อื่นที่ว่าตรวจวินิจฉัยได้เร็ว รักษาได้เร็ว อัตราการหายสูงนั้น ใช้ไม่ได้ งานวิจัยเรื่องนี้ที่ดีที่สุดชื่อ PIVOT study ซึ่งเอาคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกมา 695 คน จับฉลากแบ่งเป็นสองพวก พวกแรกผ่าตัดรักษาไปตามสูตร พวกที่สองทิ้งไว้ไม่ทำอะไรเลย แล้วตามดูไป 10 ปี พบว่าพวกที่ทำผ่าตัดเกิดมะเร็งขยายตัวและแพร่กระจายน้อยกว่าพวกไม่ทำอย่างมีนัยสำคัญ แต่อัตราการรอดชีวิต (length of life) ของทั้งสองพวก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการรักษา กลับพบว่าไม่ต่างกันเลย ส่วนเรื่องประโยชน์ในด้านคุณภาพชีวิตนั้น คุณพ่อของคุณตอนนี้ฉี่ได้อั้นได้นี่เรียกว่ามีคุณภาพชีวิตที่สุดยอดแล้ว การรักษามีแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีๆอยู่นี้แย่ลง ต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาล ยังไม่นับว่าจะโดนพิษของรังสีและของยาอีก เมื่อความยืนยาวของชีวิตก็ไม่ได้ คุณภาพชีวิตก็มีแต่จะขาดทุน แล้วจะรักษาไปทำพรือละครับ คำแนะนำของผมอาจไม่เหมือนกับของหมอคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา คำแนะนำของผมเกิดจากการชั่งน้ำหนักหลักฐานวิทยาศาสตร์จากมุมมองแบบองค์รวมของแพทย์ประจำครอบครัว ย่อมแตกต่างจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่มองมาจากมุมของการมุ่งรักษาโรคนั้นให้สุดๆกันไปเลยรู้ดีรู้ชั่วกันไปข้างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง การแพทย์แผนปัจจุบันนี้มันมีสองด้าน ด้านสว่างก็คือการมุ่งเอาวิทยาศาสตร์มาช่วยรักษาคนเจ็บไข้ให้หาย อีกด้านหนึ่งซึ่งผมขอเรียกว่าเป็นด้านมืดของการแพทย์แผนปัจจุบันก็คือการที่ธุรกรรมทั้งหมดมีธรรมชาติเป็นการเสนอขายสินค้า ผมหมายถึงว่าทั้งการวินิจฉัยก็ดี การตรวจก็ดี และการรักษาก็ดี คือสินค้า โดยที่บริษัทยา บริษัทเครื่องมือ โรงพยาบาล ซึ่งเราเรียกรวมๆว่า medical industry เป็นผู้ขาย คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากด้านสว่าง แต่หลีกเลี่ยงการพลัดหลงเข้าไปสู่ด้านมืด นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์มะเร็งMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: true1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยฟ้าทะลายโจร ต้านโควิด 19 ได้🛎 กระทรวงสาธารณสุขยืนยันฟ้าทะลายโจร ต้านโควิด-19 ได้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันแล้ว ฟ้าทะลายโจรมีสาร "แอนโดร กราโฟไลด์" ต้านโควิด-19 ไม่ให้เข้าเซลล์ และต้านการแตกตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในร่างกายได้ หารับประทานเพื่อป้องกันกันได้เลยวันนี้ .. .. ✅วิธีเลือกซื้อยาฟ้าทะลายโจร 🔺ยาฟ้าทะลายโจรมี 2ชนิด คือ แบบสกัดและแบบบดผง 🔺ดูบนฉลากว่ามีสารแอนโดรกราโฟไลด์ ไม่น้อยกว่า 20มก. ถ้าไม่มีระบุแปลว่าเป็นแบบบดผง 🔺ฟ้าทะลายโจรแบบบดผง จะมีสารแอนโดนกราโฟไลด์ประมาณ 4-5 มก. (เทียบกับแบบสกัดที่มีถึง 20 มก. และยังสกัดสาร AP3 มีผลข้างเคียงทำให้แขนขาอ่อนแรงออกไปแล้ว) 🔺สามารถกินเป็น immune booster สร้างภูมิต้านทานเชื้อให้กับร่างกายได้ 🛎คำแนะนำการใช้ยาแคปซูลสกัดฟ้าทะลายโจรแบรนด์การบูร เพื่อป้องกันการติดเชื้อในภารกิจประจำวันช่วงการแพร่ระบาดรอบ 3 นี้ ให้รับประทานเป็น Immune Booster วันละ 3 แคปซูล ตอนเช้าก่อนออกนอกบ้าน เพื่อรักษาปริมาณความเข้มข้น 60 มก. ของสารแอนโดรกราโฟไลด์ไว้ในกระแสโลหิตให้ได้ประมาณ 10-12 ชม. ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจประจำวัน ซึ่งจะไม่เกิดผลข้างเคียงเพราะสกัดเอาสาร AP3 ที่หากทานต่อเนื่องจะทำให้แขนขาอ่อนแรงออกไปแล้ว เราสามารถใช้การทานเป็น Imune booster ต่อเนื่องเช่นนี้ได้ โดยหยุดรับประทานเฉพาะวันที่พักผ่อนอยู่กับบ้านเท่านั้น 🔺สำหรับเด็กอายุ 7-12 ขวบ น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก. ให้รับประทาน 2 แคปซูล/วัน 🔺สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน 🛎 คำแนะนำสำหรับกรณีสัมผัสผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เองแล้ว ให้รับประทานวันละ 3/3/3 แคปซูล มื้อเช้า กลางวัน เย็น รวมเป็น 9 แคปซูลต่อวัน ทานต่อเนื่อง 5 วัน 45 แคปซูล ระหว่างรอผลตรวจหรือทานเมื่อทราบผลตรวจแล้วว่าติดโควิด-19 และต้องกักตัวเอง ด้วยเหตุสถานพยาบาลเต็ม รพ.ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อีก ในกรณีที่เป็นผู้ที่รอผลตรวจ แล้วผลตรวจรอบแรกออกเป็น negative ก็ให้กินต่อจนครบ 5 วันตามโดสรักษาที่แนะนำเพื่อรอการตรวจรอบสอง เพราะบางท่านไปตรวจพบเชื้อตอนรอบสอง หากเราใช้โดสรักษาของกรมการแพทย์แผนไทยฯ ตามนี้ แล้วติดเชื้อ เราก็สามารถหายเป็นปกติได้หากร่างกายแข็งแรง เพราะสารแอนโดรกราโฟไลด์เข้มข้นในแคปซูลสกัดฟ้าทะลายโจรนี้สามารถจะเพิ่มภูมิต้านทานเชื้อให้กับให้ร่างกายได้ สำหรับเด็กอายุ 7-12 ขวบ น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก. โดสรักษาให้รับประทานครึ่งหนึ่งของโดสสำหรับผู้ใหญ่ คือที่ 5 แคปซูล/วัน แบ่งเป็น 3 เวลาก่อนอาหาร คือ 2/2/1 แคปซูล .. https://youtu.be/QtmUGfkGfp8โควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: middle4 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรอง ผบ.ตร.นำกำลังบุกบ้านผู้จำหน่ายยาดีท็อกซ์ลดความอ้วนอันตรายย่านบางแก้ว หลังพบมีผู้เสียชีวิต 4 รายพล.ต.อ.วีระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.พร้อมด้วย นพ.รังสรรค์ วงษ์บุญหนัก หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดสมุทรปราการ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแก้ว สมุทรปราการ ได้ร่วมกันนำกำลังเข้าทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 46/124 หมู่ 17 หมู่บ้านกฤตยา ซ.6 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังสืบทราบมาว่าที่บ้านหลังดังกล่าวลักลอบจำหน่ายยาดีท็อกซ์และยาลดความอ้วนที่มีส่วนผสมของสารต้องห้าม เป็นอันตรายต่อร่างกาย และทำให้ผู้ที่ทานยาทั้งสองชนิดนี้เสียชีวิตไปแล้ว 4 รายภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมตัวนายจิรายุส คงวัฒนานุกูล อายุ 45 ปี เจ้าบ้านหลังดังกล่าว พร้อมยึดของกลางยาดีท็อกซ์และยาลดความอ้วนที่มาในรูปอาหารเสริม ยี่ห้อลีน (LYN) อยู่ในกระเป๋าเดินทางมี 2 ชนิดคือแบบดีท็อกซ์กล่องสีดำ และแบบบล็อกแอนด์เบิร์น กล่องสีขาว จำนวน 153 กล่อง ที่มีการซื้อขายกันทางโซเชียลอย่างแพร่หลาย ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ได้สุ่มตรวจตัวอย่างยาดีท็อกซ์และยาลดความอ้วนยี่ห้อดังกล่าวแล้วพบว่า สารบิซาโคดิล (Bisacodyl) และไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นสารอันตรายต่อร่างกายและมีการประกาศห้ามใช้ตั้งแต่ปี 2522 เพราะมีอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้สั่งซื้อยาชนิดนี้ไปรับประทาน เพื่อหวังลดความอ้วน ผ่านไป 1 เดือนผู้ที่ซื้อยาชนิดนี้ไปทานเสียชีวิตแล้วถึง 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 รายมีอาการเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน จากการสอบสวนนายจิรายุส เจ้าบ้านหลังดังกล่าว ให้การว่า ก่อนหน้านี้ตนมีรูปร่างอ้วน แต่หลังจากที่สั่งซื้อยาชนิดนี้มาทานได้ไม่นาน น้ำหนักลดลง รูปร่างดีขึ้นจนเห็นได้ชัด และมีคนมาสอบถามจำนวนมาก ตนจึงได้หันมาสั่งซื้อยายี่ห้อดังกล่าวมาจากตัวแทนจำหน่ายรายอื่นมาในช่วงก่อนสงกรานต์ จำนวน 500 กล่อง และมาจัดจำหน่ายเองผ่านระบบออนไลน์ และมีลูกค้าสั่งซื้อไปแล้วประมาณ 350 กล่องในช่วงสงกรานต์ โดยไม่รู้ว่าอาหารเสริมตัวดังกล่าว เป็นยาอันตรายต่อผู้บริโภค ขณะที่ นพ.รังสรรค์ วงษ์บุญหนัก หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า นอกจากยาที่พบจะมีสารต้องห้ามเจือปน ซึ่งผิดกฎหมาย แล้วการโฆษณาที่บรรจุภัณฑ์ ก็ยังเป็นความผิด เพราะพบว่าอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนำส่ง อย.เพื่อทำการตรวจหาสารปนเปื้อนอย่างละเอียด และยังไม่มีการแจ้งข้อหาแก่นายจิรายุส แต่อย่างใด แต่หากผลการตรวจสอบออกมาแล้วพบว่า อาหารเสริมล็อตนี้มีสารปนเปื้อนก็จะแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับนายจิรายุสอีกครั้งลดความอ้วนThanyaphon Phuangket• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย7 Health Benefits of Sunlight1. Improves your sleep Your body creates a hormone called melatonin that is critical to helping you sleep. Because your body starts producing it when it’s dark, you usually start to feel sleepy two hours after the sun sets, which is one of the reasons our bodies naturally stay up later in the summer. Research indicates that an hour of natural light in the morning will help you sleep better. Sunshine regulates your circadian rhythm by telling your body when to increase and decrease your melatonin levels. So, the more daylight exposure you can get, the better your body will produce melatonin when it’s time to go to sleep. Related: 5 Tips for Preventing Skin Cancer 2. Reduces stress Melatonin also lowers stress reactivity and being outside will help your body naturally regulate melatonin, which can help reduce your stress level. Additionally, because you're often doing something active when you’re outside (walking, playing, etc.), that extra exercise also helps to lower stress. 3. Maintains strong bones One of the best (and easiest) ways to get vitamin D is by being outside. Our bodies produce vitamin D when exposed to sunlight—about 15 minutes in the sun a day is adequate if you’re fair skinned. And since Vitamin D helps your body maintain calcium and prevents brittle, thin, or misshapen bones, soaking in sun may be just what the doctor ordered. 4. Helps keep the weight off Getting outside for 30 minutes sometime between 8 a.m. and noon has been linked to weight loss. There, of course, could be other factors to this, but it seems there's a connection between sunlight in the early morning and weight loss. 5. Strengthens your immune system Vitamin D is also critical for your immune system, and with consistent exposure to sunlight, you can help strengthen it. A healthy immune system can help reduce the risk of illness, infections, some cancers, and mortality after surgery. 6. Fights off depression It’s not just in your head; there’s a scientific reason being in the sunshine improves your mood. Sunshine boosts your body’s level of serotonin, which is a chemical that improves your mood and helps you stay calm and focused. Increased exposure to natural light may help ease the symptoms of seasonal affective disorder--a change in mood that typically occurs in the fall and winter months when there are fewer hours of daylight. 7. Can give you a longer life A study that followed 30,000 Swedish women revealed that those who spent more time in the sun lived six months to two years longer than those with less sun exposure. More research needs to be done in this area, but it’s something scientists are continuing to study. Related: 5 Effective Ways to Soothe Sunburns At Home Of course, a little sunshine can go a long way (and too much is harmful for our skin). Depending on the shade of your skin, scientists estimate your body can produce vitamin D in about 5 to 30 minutes in the sun. If you're wearing sunscreen, you may not produce as much vitamin D. If you're outside for some much-needed vitamin D, don't expose bare skin longer than 5 to 30 minutes.JonLingAndLang• 3 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยใครเคยทิ้ง "เม็ดขนุน" ระวังจะเสียดาย เพราะเจ้าเม็ดเล็กๆ นี้ สรรพคุณใหญ่กว่าที่คิด! แค่ต้มกินหรือนำมาคั่ว ก็กลายเป็นสมุนไพรดีๆ ประจำบ้านได้แล้ว วันนี้รวมมาให้ 20 สรรพคุณของเม็ดขนุนที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน 1. บำรุงไตให้แข็งแรง 2. ช่วยขับปัสสาวะ 3. ลดความดันโลหิต 4. ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด 5. ลดไขมันในเลือด 6. บำรุงหัวใจ 7. กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร 8. แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ 9. ช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น 10. ป้องกันโรคริดสีดวง 11. บำรุงกระดูกและฟัน (มีแคลเซียมสูง) 12. ลดอาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง 13. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ 14. ลดการอักเสบในร่างกาย 15. บำรุงผิวพรรณให้สดใส 16. ชะลอวัย 17. ป้องกันการเกิดนิ่วในไต 18. บำรุงเลือด 19. ลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะ 20. เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย วิธีกินง่ายๆ แค่ต้มเม็ดขนุนให้สุก (อย่าลืมลอกเปลือกออกก่อนกิน) หรือจะเอาไปคั่วให้หอม ก็กินเพลิน อร่อย แถมได้ประโยชน์อีกด้วย! #สมุนไพรในครัว #เม็ดขนุนไม่ใช่ของเหลือสุขภาพยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 2 เดือนที่แล้ว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ