1003 ข้อความ
- 1 คนสงสัยยูเครน ประกาศชัยชนะสงครามในโลกโซเชียล แต่ยับเยินสงครามในโลกจริง วิธีการหนึ่งชาติตะวันตกที่ใช้ในการจัดระเบียบโลกคือ "ปั้นน้ำเป็นตัว" สร้างข่าวเท็จออกมา แล้วให้สื่อของตนเต้าข่าว แล้วกระจายไปยังประเทศบริวาร มีค่าจ้างให้สสื่อท้องถิ่นแต่ละประเทศ นำข่าวในทิศทางต้องการนั้นไปหลอกลวงประชาชนต่อ แต่ถ้าสื่อใดจะเสนอข่าวหลายมุมที่ชาติตะวันตกไม่ได้สั่งมา เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ สื่อนั้นก็จะถูกเล่นงานใต้ดินทันที กรณี สื่อใหญ่ตะวันตกและสื่อไทยประโคมข่าวลวงโลกว่า ประธานาธิบดีปูติน หวาดระแวงวางยาพิษ ไล่พ่อครัวและคนเกี่ยวข้องออกเกือบ 1,000 คน แต่พอไปดูต้นทางข่าวกลายเป็นเว็ปไซต์แทปลอยด์บล็อกเกอร์รัสเซีย ที่มีพฤติกรรมเต้าข่าวเป็นนิจเป็นที่เอือมระอาชาวรัสเซียมานาน และแทปลอยด์นี้เซิฟเวอร์อยู่นอกประเทศ เพราะรัสเซียมีโทษจำคุก 15 ปีสำหรับสื่อที่ปล่อยข่าวปลอม ดังนั้นบรรดาสื่อตะวันตกที่อยู่ในรัสเซีย จึงเผ่นกลับบ้านหมด กรณีสื่อใหญ่ตะวันตกและสื่อไทยประโคมข่าวลวงโลกว่า รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ถูกประธานาธิบดีปูตินดุ จนเข้าโรงพยาบาลหัวใจวายเสียชีวิต และมีนายพลรัสเซีย 6 - 7 รายถูกสังหารในสนามรบ แต่ทุกคนตามรายชื่อที่สื่อตะวันตกอ้างถึง ก็ออกมานั่งประชุมกินกาแฟกันตามปกติและแถลงข่าว ทางสื่อตะวันตกและสื่อไทยที่หน้าแตกก็จะเขินเงียบไปดื้อๆ ไม่แสดงความรับผิดชอบขออภัยใดๆ ทั้งที่ระบุชื่อพวกเขาว่าเสียชีวิต กรณีสื่อใหญ่ตะวันตกและสื่อไทยประโคมภาพและข่าวว่ากลาโหมยูเครน เผยแพร่คลิปยิงเครื่องบินรบ และเฮลิปคอปเตอร์กองทัพรัสเซียตกเป็นใบไม้ร่วงนั้น แท้จริงแล้วคือภาพจากเกมส์สงครามแอนิเมชั่นชื่อ Arma3 ที่เจ้าของผู้ผลิตเกมส์ออกมายืนยันทุกครั้งที่กลาโหมยูเครนเผยแพร่คลิป ว่าคือภาพจากเกมส์คอมพิวเตอร์ของเขา ไม่ใช่เหตุการณ์สงครามจริง กรณีสื่อใหญ่ตะวันตกและสื่อไทยประโคมภาพและข่าวครึกโครมว่ากองทัพยูเครน ใช้ระบบจรวดหลายลำกล้อง BM-21 Grad ยิงถล่มเรือคอร์เวต Project 22160 Vasily bykov ของ กองทัพรัสเซีย ขณะลอยลำใกล้ชายฝั่งจนจมไปที่ก้นทะเลนั้น ในความจริงเรือลำดังกล่าวเป็นเรือปลดระวางแต่นำมาใช้ขนยุทโธปกรณ์ทางทหาร ปัจจุบันก็ยังปกติดี และก็กำลังแล่นไปมาที่ฐานทัพเรือ Sevastopol ในแหลมไครเมีย กรณีสื่อใหญ่ตะวันตกและสื่อไทยประโคมภาพและข่าวว่ากองทัพรัสเซีย ยิงจรวดใส่บ้านเรือนประชาชนยูเครน ตกทะลุหลังคาและฝ้าเพดาน ลงไปปักในห้องครัว โดยไม่ระเบิด อุปกรณ์ทำอาหาร ขวดไม่แตกนั้น ความจริงภาพนี้เป็นเหตุการสงครามที่จอร์เจีย เมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน กรณีที่ทำประจำคือสื่อตะวันตกและสื่อไทย ประโคมข่าวทุกวันว่า กองทัพรัสเซีย ปิดล้อมเมืองไม่ให้ประชาชนออกมา ทิ้งระเบิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงละคร มีเด็กเสียชีวิตดรามาทำนองนี้ ก็ล้วนลวงโลกทั้งสิ้น เพราะมีสื่อใหญ่ออสเตรเลีย ส่งนักข่าวไปทำข่าวภาคสนามในพื้นที่สื่อตะวันตกอ้าง ในยูเครน โดยได้ไปดูหน้างานจริงโรงเรียนเป้าหมายที่ไม่มีนักเรียนมาเรียน “พบว่าโรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างเป็นค่ายกองกำลัง Azov นีโอนาซีขนาดใหญ่..กองทัพยูเครนได้ใช้โรงเรียน โรงพยาบาล และอาคารสาธารณะ ดัดแปลงเป็นค่ายทหารส่งผลให้โดนถล่มหมด ด้านนายเซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน และพรรคพวกก็ไม่ได้อยู่ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงยูเครน มากว่าเดือนแล้ว เนื่องจากเสื้อผ้าที่เขาใส่นอกอาคารเปิดโล่งเป็น "เสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียว เป็นสถานที่ประเทศภูมิอากาศค่อนข้างอบอ้าว" ขัดกับความจริงในกรุงเคียฟ ที่มีสภาพอุณหภูมิหนาวเย็นมาก ชาวบ้านต้องใส่เสื้อกันหนาวหนา โดยผู้นำยูเครนไม่เคยปรากฎตัวทางสาธาณะต่อประชาชนยูเครนมานานกว่า 1 เดือนแล้ว แม้ว่าจะมีสื่อตะวันตกและสื่อไทย จะประโคมภาพเขาไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 13 มี.ค.65 ที่ผ่านมา โดยในภาพมีคุณหมออินน่า เดรุสโซ เดินคู่มากับผู้นำยูเครนด้วย แต่เนื่องจากหมออินน่า ได้เสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ระหว่างที่ไปช่วยทหารบาดเจ็บ และผู้นำยูเครน ก็เป็นคนมอบเหรียญกล้าหาญให้กับศพคุณหมอไปตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.65 แล้ว ดังนั้นคุณหมออินน่า เดรุสโซ จึงไม่อาจฟื้นคืนชีวิต กลับมาเดินกับผู้นำยูเครนในโรงพยาบาลในวันที่ 13 มี.ค.65 ที่ผ่านมาได้อีก ล่าสุดนายเซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน "ในโลกโซเชียล" ก็ตัดพ้อ NATO ว่า “ยูเครนไม่สามารถสู้ขีปนาวุธของรัสเซียด้วยปืนลูกซองและปืนกลได้”..สงสัยเขาจะลืมประกาศชัยชนะให้ยูเครน แต่เดี๋ยวสื่อตะวันตกและสื่อไทยคงประกาศให้เอง 😂😂 ที่มา : กลาโหมรัสเซีย , RT, ABC News, สื่อท้องถิ่นยูเครน #WorldUpdateไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยยารักษาโรคมะเร็งหายขาดยารักษาโรคมะเร็งให้ไม่มีเชื้อ หายขาดจากมะเร็ง เป็นยาช่วยทำให้คนมีเรี่ยวมีเเรง โดยไม่ใช้เคมีgreen.immek• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชัชชาติ สิทธิพันธุ์ : สำรวจงบ กทม. ไปไหน ท่ามกลางดราม่า “งบเหลือ 94 ล้าน”นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับข้อมูลผ่านสาธารณะว่างบลงทุนของ กทม. เหลืออยู่เพียง 94 ล้านบาท ในวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ถึงกระนั้นทั้งผู้ว่าฯ และปลัด กทม. ต่างยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะ กทม. มีเงืนสะสมนับหมื่นล้านบาท ปัญหางบประมาณของ กทม. ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง หลังจากนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ออกมาเปิดประเด็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาเมื่อ 1 มิ.ย. โดยแจกแจงรายละเอียดของงบประเภทต่างๆ ก่อนสรุปว่า กทม. มีงบประมาณรายจ่ายเหลือเพียง 94 ล้านบาท "ด้วยเหตุนี้ ในปีงบประมาณ 2565 ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ คงไม่สามารถนำนโยบายที่ใช้หาเสียงมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มาก" ขณะที่ผู้ว่าฯ กทม. เจ้าของนโยบาย 214 ข้อ กล่าวว่า ไม่กังวลใจ เพราะเชื่อว่ามีเงินยังไม่ได้จ่ายเหลืออยู่ และยังมีเงินสะสมของ กทม. เป็นหมื่นล้านบาท ซึ่งให้สภา กทม. อนุมัติได้ อีกทั้งนโยบาย 214 ข้อ ก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานว่าใช้เงินเยอะ หลายเรื่องเดินได้โดยไม่ต้องใช้เงินข่าวการเมืองTulakarn Loyhar• 3 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยขอเชิญร่วมลงชื่อคัดค้าน และเรียกร้องให้รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท และร่วมร้องเรียนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจ ดำเนินการส่งเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทบัญญัติในส่วนของหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ข้าพเจ้า วิรังรอง ทัพพะรังสี ได้ทำการยื่นหนังสือร้องเรียนถึงผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วตามรายละเอียดด้านล่างนี้ หากท่านเห็นด้วยกับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว และต้องการเป็นผู้หนึ่งในการร่วมคัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท โปรดสนับสนุนด้วยการร่วมลงชื่อในแบบฟอร์มนี้ค่ะ https://forms.gle/4fuBV1WFaHWn2HUn9 ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมลงชื่อ ขออนุญาตรวบรวมชื่อของท่าน เพื่อส่งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ ขอบกราบขอบพระคุณคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่านที่ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” และขออนุญาตนำแถลงการณ์นำส่งเป็นเอกสารแนบยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุและผลที่ควรยกเลิกนโยบายดังกล่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงมาก ข้าพเจ้าไม่อาจทราบว่าที่กระทำไปนี้จะได้ผลอย่างไรหรือไม่ เพราะรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีนสิน ดูจะเดินหน้าไม่ฟังเสียงประชาชนเลย คิดว่าคงทำได้ตามกำลังเพียงเท่านี้ แต่ก็รู้สึกดีกว่าการที่จะไม่ได้ทำอะไรเลย....... วิรังรอง ทัพพะรังสี ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ _________________________ ที่ ๐๔/ ๒๕๖๖ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เรื่อง ร้องเรียนนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทบัญญัติในส่วนของหน้าที่ของรัฐหรือไม่ สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน ๑ ฉบับ ๒. แถลงการณ์ นักวิชาการและอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่าน เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงิน ดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาท กราบเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่ปรากฏในสื่อสารมวลชนว่า รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายแจกเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้กับประชาชนทุกคนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไปเพื่อกระตุ้นการบริโภค และได้มีผู้ที่มีความรู้ตลอดจนประชาชนจำนวนมาก ออกมาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายดังกล่าว แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไป ล่าสุด เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ นักวิชาการและอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่าน รวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ๒ ท่าน คือ นางธาริษา วัฒนเกส และนายวิรไท สันติประภพ ได้ร่วมกันลงชื่อในแถลงการณ์ เห็นพ้องต้องกันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะเป็นนโยายที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย” โดยให้เหตุผลประกอบอย่างละเอียด (เอกสารแนบ ๒) ด้านสังคมและเศรษฐกิจ ข้าพเจ้า นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง มีความเห็นว่า นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมในสังคมให้เกิดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน ๑๖ ปี จะได้รับเงินช่วยเหลือด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังห่วงใยว่า นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่เป็นการสร้างหนี้จำนวนสูงมากโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจจะส่งผลทำลายเสถียรภาพทางด้านการคลังของประเทศในระยะยาว โดยประชาชนทั้งประเทศจะต้องแบกรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับกรณีโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้านกฎหมาย รัฐบาล โดย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖ ว่าการจ่ายเงินดิจิทัล สามารถทำได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยืนยันว่าไม่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน แม้รัฐบาลจะประกาศว่า “เงินดิจิทัล” ที่จะออกมาตามโครงการ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” นั้น จะไม่ใช่การออก “คริปโตเคอร์เรนซี” ซึ่งจะไม่สามารถทำได้ เพราะจะผิดตาม พ.ร.บ.เงินตรา ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย “หนึ่งประเทศจะมีสองสกุลเงินไม่ได้” แต่จะออกมาในรูปแบบเหรียญ “ดิจิทัลโทเคน” ประเภท “ยูทิลิตี้ โทเคน (Utility Token)” ซึ่งจะเป็น “โทเคน” เพื่อการอุปโภคบริโภค จึงไม่ได้เป็นการสร้างสกุลเงินใหม่ และไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna หรือ USDT แต่เป็นเหรียญ คูปอง หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้ “ดิจิทัลโทเคน” ประเภทยูทิลิตี้ โทเคน จะเป็นเหรียญ หรือจะเป็นคูปอง แต่เมื่อออกโดยรัฐบาล และประชาชนสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าได้แทนเงินสดกับร้านค้าได้ทั้งหมด เช่น ร้านโชห่วย ร้านสะดวกซื้อ ห้างแม็คโคร รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าจะแตกต่างกับการใช้เงินตราตรงไหน เหตุใดจึงไม่แจกเป็นเงินสดเข้ากระเป๋าสตางค์ให้แก่ประชาชนอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องยุ่งยาก ร้านค้าที่รับก็ไม่ต้องลำบากในการนำไปแลกคืนกับรัฐบาลเพื่อรับกลับมาเป็น “เงินบาท” ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า ลักษณะของเหรียญ หรือคูปอง ที่รัฐบาลจะนำออกมาใช้นี้ อาจเข้าข่ายเป็นการออกเงินตราอย่างหนึ่ง และเมื่อมีสภาพเป็นเงินตราก็จะเข้าบังคับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ เนื่องด้วย “.....ตามเกณฑ์ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย “ยูทิลิตี้ โทเคน จะสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้า และการบริการต่างๆ แบบเฉพาะเจาะจง ภายในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือโครงการใดโครงการหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องไม่มีลักษณะเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง ในลักษณะของการใช้แทนเงิน (Means of Payment: MOP) เป็นการทั่วไป ดังนั้น จึงอาจจะต้องพิจารณาให้ดีว่า การใช้โทเคนดังกล่าวในการซื้อสินค้า และบริการกับร้านค้าทั่วประเทศ อาจจะเข้าข่ายเป็น “การชำระในลักษณะการเป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง” หรือ การใช้แทนเงิน ซึ่งจะผิดกฎเกณฑ์ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย.....” ที่มาของข่าวและข้อมูล: https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7856583 https://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2721853 สุดท้าย แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นนโยบายที่ตรงไปตรงมา ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชน และไม่เกี่ยวกับการฟอกเงินตามที่มีผู้กล่าวอ้าง แต่ประชาชนจำนวนมากมีความเห็นว่า หากรัฐบาลมีเงินสดที่จะแจกให้กับประชาชนได้ การแจกเงินก็ควรจะสามารถทำได้ตรงๆ เหมือนสมัยที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยแจกประชาชนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยและใช้เป็นอยู่แล้ว แต่การที่รัฐบาลไม่แจกเป็นเงิน ทำให้เกิดเป็นเรื่องยุ่งยากที่ถกเถียงกันในสังคมทั้งด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องและด้านกระบวนการปฏิบัติ ยังไม่รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการชำระเงินดิจิทัล สร้างแอปพลิเคชันในการชำระเงิน และสร้างบล็อกเชนใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนและระยะเวลาจำนวนมาก สังคมจึงมีความเคลือบแคลงสงสัยว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติในภาพรวม แต่อาจเป็นการหลบเลี่ยงหรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศ และขัดต่อวินัยการเงินและการคลังของประเทศอย่างร้ายแรง ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความห่วงใยประเทศชาติ จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนนี้มากราบเรียนขอให้ท่านผู้ตรวจการแผ่นดิน วินิจฉัย หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ส่งเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่ากระทำดังกล่าวของรัฐบาลขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร ต่อไป ขอแสดงความนับถือ นางวิรังรอง ทัพพะรังสีข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนักเรียนรรชื่อดังตบกันมีนักเรียนโรงเรียนดังตบกันแต่แม่มาช่วยลูกตบMoui• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไปเทยวเกาหลีอยากไปสิริกร ฯ.• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยเตือน!! "ยาชุด" ซุกร้านชำ อันตรายผสมเอ็นเสด ทำ "ไตวาย" ไม่รู้ตัว พบระบาดถึงเมืองกรุงอันตราย! "ยาชุด" ซุกซ่อนร้านชำต่างจังหวัด แพร่ระบาดถึง กทม. มียาเอ็นเสดประกอบหลายตัว ส่งผล "ไตวาย" จากการใช้ยา บางคนใช้ไม่รู้ตัวว่าป่วยยิ่งซ้ำเติม จี้รัฐ สธ. อย. เอาผิด กวาดล้างโฆษณายาชุด เผย 8 ปัจจัยเสี่ยงทำไตเสื่อใจากยาเอ็นเสด เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่สถาบันวิจัยสังคม อาคารวิศิษฐ์-ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานแถลงข่าว “ดูแลไตอย่างไรให้มีสุขภาพดี: เมื่อต้องใช้ยา” ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวว่า ปัจจุบันไทยติด 1 ใน 5 ประเทศของโลกที่มีอัตราการเกิดโรคไต ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคพบว่า ผู้ป่วยไตเรื้อรังมี 11.6 ล้านคน โดยมากกว่า 1 แสนคนต้องล้างไต สาเหตุมาจากกินเค็มและการใช้ยา ซึ่งหลายชนิดก่อปัญหาโรคไตได้ ทั้งยาชุด ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรบางชนิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะยาชุดยังคงเป็นปัญหา มีอันตราย เพราะไม่มีชื่อทางยาใดๆ มีส่วนประกอบ ทั้งสเตียรอยด์ กลุ่มยาเอ็นเสด พาราเซตามอล ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะ ยาแก้แพ้ เมทีลีนบลู ซึ่งถอนทะเบียนแล้วแต่ยังมีคนเจอ ไซบูทรามีน วิตามิน นอกจากนี้ ยังมียากษัยเส้นบำรุงไต แต่องค์ประกอบพบกลุ่มเอ็นเสด มีผลทำให้ไตวายได้ง่าย "ยาเอ็นเสด เป็นยาอันตรายหรือควบคุมพิเศษ มีทั้งหมด 29 ชื่อสามัญทางยา รวม 1,163 ทะเบียนตำรับยา มียาฉีด 8 ชื่อสามัญทางยา รวม 49 ทะเบียนตำรับยา มีคำเตือนเยอะมาก ทั้งห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร คนเป็นโรคตับ โรคไต อย่างรุนแรง หลายคนไม่รู้ อย่างชาวบ้านใช้กันมาก โดยไม่รู้จักชื่อยา ใช้โดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคไต ที่สำคัญไม่มีเครื่องมือตรวจว่า กินยาเอ็นเสดไปแล้ว ซึ่งยาชุดหลังๆ เลี่ยงสเตียรอยด์ หันมาใช้เอ็นเสดแทน และใช้หลายเม็ด ดังนั้น มาตรการควบคุม ควรมีการสแกนในชุมชน ใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล” ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวstd48402• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยกินยาชุดหายทุกโรคจริงมั้ย" ยาชุด" ซุกซ่อนร้านชำต่างจังหวัด มียาเอ็นเสดประกอบหลายตัว ส่งผล "ไตวาย" จากการใช้ยา และไม่สามารถรักษาโรคได้std47912• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยเปิดตัว TJA&COFACT ดึง “นักข่าว” ร่วมตรวจสอบ FAKE NEWS ประเดิม 5 ข่าวปลอม ข่าวลวง ที่ถูกแชร์วนซ้ำวันที่ 1 เมษายน 2564 นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย(TJA) เปิดเผยว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ร่วมมือกับ “COFACT Thailand” หรือ ภาคีโคแฟคประเทศไทย ภายใต้ชื่อ TJA&Cofact ในการตั้งกองบรรณาธิการเฉพาะกิจ ที่ดึงนักข่าวมืออาชีพจากหลากหลายสายข่าว เข้ามาเป็น Fact-Checking ร่วมตรวจสอบ Fake news หรือ ข่าวลวง ข่าวปลอม ที่แพร่กระจายอยู่ในโซเชียลมีเดียด้วยวิธีการทำข่าวอย่างนักข่าวมืออาชีพ โดยจะมีการนำข่าวลวง ข่าวปลอม ไปสัมภาษณ์ขอข้อมูลจากบุคคลที่นักข่าวเรียกว่า “แหล่งข่าว” ในหน่วยงาน/องค์กร ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อยืนยันว่าข่าวว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร “TJA&Cofact จะเริ่มความร่วมมือตรวจสอบข่าวลวง ข่าวปลอมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นโครงการนำร่อง 3 เดือนก่อนในเบื้องต้น จะมีการแถลงความร่วมมือในวันที่ 2 เมษายน2564 สมาคมนักข่าวฯมีความยินดีที่ Cofact เชิญเข้าร่วมในภารกิจนี้ เพราะมองเห็นปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม ตรงกันว่า เป็นปัญหาสำคัญของโลกในปัจจุบัน แม้บางข่าวจะดูเป็นข้อความที่อาจจะไม่สำคัญ แต่หากเกี่ยวข้องสุขภาพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้”std48204• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย“น้ำมะนาว” ยาวิเศษแก้สารพัดโรคก่อนหน้านี้ “น้ำมะนาว” ถูกแชร์ต่อๆกันว่า เอาไปผสมโซดาแล้วจะช่วยฆ่าเชื้อมะเร็งได้ ยุคหลังๆมาบอกว่า “น้ำมะนาว” ช่วยฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ ไม่ว่าจะฆ่าเชื้อมะเร็ง หรือ ฆ่าเชื้อโควิด-19 ก็ได้รับการยืนยันจาก นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรค รวมถึงคุณหมออีกหลายคน ที่พูดตรงกันว่า ข่าวนี้เป็นข่าวปลอม มะนาวเป็นผลไม้มีวิตามินซีสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ช่วยไม่ให้เชื้อโรคสามารถฝังเข้าไปในเซลล์ของทางเดินหายใจและปอดได้ง่ายเท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่าไวรัสได้โควิด 2019ยาสมุนไพรstd48096• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยปิดมือถือหนี “รังสีคอสมิก”00.30 - 03.30 น. เป็น “ช่วงเวลาทอง” ของการปิดโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เนื่องจากดาวเคราะห์ของเราจะมีการแผ่รังสีที่สูงมาก “รังสีคอสมิก” จะผ่านเข้ามาใกล้โลก และอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ ข่าวนี้ถูกส่งต่อมานานมาก เป็นหนึ่งในข่าวปลอมยุคดึกดำบรรพ์ที่เล่นตลกกับชีวิตเรามากผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48096• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 10%เป็นอีกหนึ่งข่าวปลอมสุดคลาสสิกที่ถูกนำมาแชร์กันต่อเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้สิ้นสุดปีงบประมาณของทุกปี แต่หากใครติดตามข่าวสารเป็นประจำก็จะรู้ได้ทันทีว่า “เป็นเรื่องปกติ” เพราะรัฐบาลจะต่ออายุการลดภาษี VAT เป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยลดผลกระทบทั้งค่าครองชีพ และรักษาการบริโภคภายในประเทศ ภาษี VAT” มีอัตราการจัดเก็บที่ 10% แบ่งเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจริง 9% และภาษีท้องถิ่นอีก 1% แนวทางนี้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2535 แต่ไม่เคยจัดเก็บจริงข่าวการเมืองstd48096• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยใครเป็นใคร! แกะรอยกลุ่มทุนควัก 20 ล.ให้ รทสช.โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 66ใครเป็นใคร! แกะรอย 9 “กลุ่มทุน” ทุ่มเงิน 20 ล้านบาท บริจาคให้พรรค รทสช. ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 66 “P5 Group” 4 แห่ง 5 ล้านบาทข่าวการเมืองเลือกตั้งmr.toro• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยMedPark Hospital พระราม4 เปิดให้จองวัคซีน Covid-19 แล้ว จองวันนี้ได้ฉีดปลายเดือนสิงหาคม (ฟรีเฉพาะคนไทยอายุมากกว่า 18ปี สนับสนุนโดยรัฐบาลไทย) ^_^ www.medparkhospital.com/page/covid19-vaccine-registration https://www.marketingoops.com/news/biz-news/medpark-hospital/ https://youtu.be/MP-JV3YL2Rwวัคซีนโควิดไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผลิตภัณฑ์ RENOVIX โฆษณาเกินจริงเอกภพ จันทร วัย 32 ปี หนีออกจากงานแต่งงานหลังจากที่ได้เห็นบัตรประชาชนของเจ้าสาวตัวเอง หญิงสาวแสนสวยนั้นจริงๆ แล้วเธอมีอายุ 64 ปีแล้วความสวยความงามMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยติดเชื้อในบ้านพุ่ง!!ย้ำใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างสธ.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่โควิด-19 เพิ่ม 28 ราย รวมยอดสะสม1,288 ราย ใน 68 จังหวัด เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย ระบุ 3 แหล่งติดเชื้อของผู้ป่วยโควิด-19 เผยติดเชื้อในบ้านพุ่ง ย้ำประชาชนใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างทางบุคคลในบ้านโควิด 2019Ad.tar• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังอย่าแชร์! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ยังไม่มีข้อมูลหรือข้อแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารดังกล่าว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร น้ำหนักลด การสูญเสียกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาโรค ผู้ป่วยมะเร็งควรรับประทานอาหารในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น จำกัดการบริโภคอาหารทะเลบางชนิดที่อาจมีคอเลสเตอรอลสูง เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด ควรรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากแหล่งอาหารที่หลากหลาย เช่น ปลา ไก่ ไข่ และนม ซึ่งอาหารในกลุ่มปลาหมึก หอย และปลา เป็นอาหารที่ให้สารอาหารในกลุ่มโปรตีน ถือเป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกายมีส่วนในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพออาจส่งผลให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปใช้เป็นพลังงานส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" จริงหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" ควรเลือกกินมังสวิรัติ รศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับ Hfocus ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งแล้ว และกำลังทำการรักษา ทั้งการรักษาแบบเคมีบำบัด (คีโม) ผ่าตัด หรือฉายแสง โดยเชื่อว่าต้องเลือกรับประทานอาหาร มะเร็งจะได้ขาดอาหารแล้วตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง เซลล์มะเร็งก็เป็นเซลล์ของร่างกายเหมือนกัน เพียงแต่มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ยีนต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง มีความต้องการอาหาร ต้องการอากาศเหมือนกัน ไม่ต่างกับเซลล์ปกติ ถ้างดอาหาร เซลล์ปกติหรือร่างกายก็จะขาดอาหารไปด้วย รศ.นพ.เอกภพ ยืนยันว่า การอดอาหารจึงไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง เพราะมะเร็งมีความสามารถในการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง แม้เราจะไม่ให้อาหารเลย มะเร็งก็ไปแย่งอาหารจากร่างกายเรา สังเกตได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งร่างกายจะซูบผอมเนื่องจากถูกแย่งอาหารไปการงดอาหารในการรักษามะเร็งไม่ได้ช่วย นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังมีโทษ สภาพร่างกายทั่วไปจะผอมลง เวลาได้รับเคมีบำบัดจะมีผลข้างเคียง และต้องฟื้นตัวเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ทันเวลาที่จะรับเคมีบำบัดรอบต่อไป หากได้รับอาหารไม่เต็มที่ ร่างกายผู้ป่วยจะฟื้นตัวช้า การได้ยา รับการรักษาก็จะไม่เต็มที่ตามแผนการที่วางไว้ ประสิทธิภาพการรักษาก็จะแย่ลง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัว จึงไม่มีผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษามะเร็ง ทั้งนี้ การศึกษาในประเทศอังกฤษยังพบว่า คนไข้มะเร็งเต้านมในกลุ่มที่ทานเนื้อสัตว์รักษาตัวได้ดีกว่ากลุ่มที่งดทานเนื้่อสัตว์ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่สำคัญ 3 ประการ คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียและพยาธิบางชนิด ปัจจัยจากพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและไหม้เกรียม ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีน และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อตัดสินใจผิดพลาด จนได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้นได้ สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ / ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง หรือ Anti Fake Cancer News (AFCN) และยังสามารถอ่านข้อมูลจากข่าวปลอมได้ที่เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรมการแพทย์พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 1.4 แสนคน หรือ 400 คนต่อวัน ขยายการรักษาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org เฟคนิวส์ โรคมะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็งห้ามกิน 468 views เรื่องที่เกี่ยวข้อง ข่าว รพ.ร้อยเอ็ด พัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งครบวงจร ข่าว กรมอนามัยเผยหญิงไทยป่วย มะเร็งเต้านม สูงสุด แนะตรวจเต้านมด้วยตนเอง เฟคนิวส์ ข่าวปลอม! ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นสารก่อมะเร็ง ข่าว สถาบันมะเร็ง สปสช. รามาฯ สวรส. ลงนามร่วมพัฒนาห้องปฏิบัติการเชิงนโยบายสำหรับโรคมะเร็ง อัพเดทล่าสุด ข่าว มีผลแล้ว! อัตราค่าตอบแทน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ ข่าว สช. สานพลังภาคี 5 หน่วยงาน สร้างความเข้มแข็งระบบคุ้มครองผู้บริโภค ข่าว รพ.วิมุต เปิดศูนย์ส่องกล้อง หน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร ข่าว อภ.ชู “จีพีโอ เถาวัลย์เปรียง” ผ่านการศึกษาวิจัยทางคลินิกแพทย์ศิริราช บรรเทาข้อเข่าเสื่อม infographic วายร้ายหน้าฝน "โรคฉี่หนู" สิทธิบัตรทอง รับบริการใส่รากฟันเทียม ฟรี กรณีการบรรจุข้าราชการปฏิบัติงานโควิดรอบสอง เตรียมพร้อมและเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ อีเมล: hfocus1713@gmail.com มูลนิธิภิวัฒน์สาธารณสุขไทย เลขที่ 7 ถ.อธิบดี ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 Copyright © Hfocus.org. All rights reserved. (Log in) Thailand Web Statstd48864• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThinkไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยแม่พิมพ์ชำรุด ? หรือใส่เสื้อติดกระดุมผิด ? หรือศึกษาพาณิชย์ ? คือต้นเหตุของการฝังรากลึกของการคอรัปชั่นในทุกย่อมยาก 1.ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกครับ ที่คนจบมหาวิทยาลัยตกงานมากกว่าคนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่สถิตินี้สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันได้ดีครับ 2.ขอวกเข้าเรื่องสาเหตุข้อสังเกตุมั้ยครับ อยู่ๆเมืองไทยก็มี “โรงเรียนอินเตอร์” เกิดขึ้นมากมาย แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเด็กต่างชาติแต่อีกส่วนมาก ที่เอามารวมๆกันเป็นจำนวนหลายพันคนในวันนี้คือ “เด็กเยาวชนไทย” ครับ 3.คำถามคือคนรวยในไทยที่สามารถจ่ายค่าเทอมลูกอย่างต่ำปีละ 600,000-1,000,000 บาท มันมีมากขนาดนั้นจริงๆเหรอ?คำตอบคือ “ไม่ครับ”ประเทศเราไม่มีคนรวยมากมายขนาดนั้น 4.แล้วปัญหาคืออะไร?ปัญหาคือ เรากำลังเกิดวิกฤติหนีตายทางการศึกษาติดกระดุมผิดครับ 5.ในอดีต คุณภาพโรงเรียนในไทยไม่ต่างจากเมืองนอกเท่านี้เอาง่ายๆ ไม่ต้องสาธิต มาแตร์ เซ็นโยเชฟ สตรีวิทยา หรือพวกเซ็นต่างๆก็ได้ เอาลงมาอีกหน่อย เช่นโรงเรียนวัดดังๆ ผมว่าคุณภาพก็ยังสู้ประเทศอื่นๆในอาเซียน หรือบางประเทศในเอเชียสบาย 6.แต่วันนี้ไม่ใช่ Ranking โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาตกหนักมากโรงเรียนจำนวนมากมีมาตรฐานต่ำกว่าสปป.ลาวแล้ว ชนะแค่เมียนม่าร์ และกัมพูชา เห็นข้อสอบที่สอบแทบอ้วก ยิ่งสอนเด็กยิ่งโง่น่าสงสารเด็กและครูมาก 7.พ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูกๆเข้าสาธิต มาแตร์ สตรีวิทยา เซ็นต์ต่างๆไม่ได้ จึงต้องหนีตายเข้าอินเตอร์อีกพวก ขี้เกียจลุ้นโรงเรียนไทยดีๆ ก็เอาเข้าอินเตอร์ไปเลยขายบ้านขายที่ดินส่งลูก 8.ซึ่งวนกลับมาคำถามที่ว่า คนรวยในไทยเยอะขนาดนี้จริงหรือ? คำตอบคือเปล่าครับเพราะเกิน 60% นั้น ใช้การ “ขายทรัพย์สิน” เพื่อให้ลูกเรียนครับ 9.อย่างคนรู้จักผมหลายคน ทำงานรัฐวิสาหกิจดีๆ เงินเดือน 80,000-160,000 บาทรวมสามี-ภรรยา หักค่าใช้จ่ายรายเดือน ให้ตายก็ส่งลูก 2-3 คนเรียนอินเตอร์ไม่ไหวผมพูดถึง 700,000 X 2 คน X 12 ปี = 16.8 ล้าน กลมๆก็ 17 ล้านหละครับหมด 17 ล้าน ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเลยแล้วเอาเงินที่ไหน? คำตอบคือขายที่ดินของปู่ย่าตายายครับ 10.เพื่อสร้าง “ทุน” เพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดี เพื่อไม่ให้ตกงาน เช่นหมอ สถาปัตย์ วิศวะ ไบโอเคมี จีโนม เอไอในจุฬาฯ, มหิดล, มอ.หาดใหญ่, มข., มช., บางมด, ลาดกระบังนะ ที่มีโอกาสได้งานสูง 11.ดีขึ้นไปอีก คือส่งเรียนมหาวิทยาลัยดีเมืองนอกเน้นนะครับ ส่งไปมหาวิทยาลัยดีเมืองนอก ไม่ใช่แค่ส่งไปเมืองนอก แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยอะไรก็ไม่รู้เป็นห้องแถวขายปริญญา 12.ถ้าสำเร็จตามนี้หมด 17 ล้านแรก ก็จะได้ลูก 2 คน ที่เข้าจุฬาฯ หรือ มช. ได้ “แน่ๆ” หรือไปถึงมหาวิทยาลัยดีๆในอังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกาได้เพื่อจบแล้ว “ไม่ตกงาน”ส่วนค่าเทอมมหาวิทยาลัย ก็ว่ากันอีกรอบ ขายที่ดินกันอีกผืนหรือหลายผืน 13.นี่แหละครับความเป็นจริงของปัญหาการ “ขายที่เพื่อหาทางหนีตายให้ลูก” จากระบบการศึกษาที่ล้มเหลว"ศึกษาพาณิชย์"เพื่อการถอนทุนคอรัปชั่นจึงฝังรากลึกด้วยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา "มือใครยาวสาวได้สาวเอา" 14.นักการเมืองถึงกับพลั้งปากว่าเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง "รักชาติจนน้ำลายไหล" 15.เพื่อไม่ให้ลูกตัวเองตกอยู่ใน 60% ของการจบมหาวิทยาลัยแล้วตกงานเพราะตัวเลขนี้เกิดจาก 16. เรียนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาที่ห่วย วิชาการเรียนห่วย เอาแต่ท่องจำ ไม่สอน critical thinking ไม่สร้าง growth mindset ยังเรียนแบบเดิมไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอยู่เลย 17.แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ห่วยต่อเรียนเพื่อให้ได้วุฒิปริญญาตรี ทำการเรีนวิชาที่ล้าสมัย ไม่ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน "ไม่มีหลักสูตรรองรับอนาคต" ที่เป็นยุทธศาสตร์ของพื้นที่และชุมชน เช่นยุทธศาสตร์ 5เชียงกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ 4 เหลี่ยมเศรษฐกิจ(ไทย เมียนม่าร์ จีน สปป.ลาว)เอาแต่ ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เน้นแต่แต่งตัวสวย พิธีการเยอะชอบงานสบายขายของเก่า 18.ข้อสอบเน้นปรนัยเลือกคำตอบครูตรวจง่ายเรียนมาทั้งปีมาวัดผลการเรียนกันไม่กี่วันไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเป็นแบบอัตนัยครูตรวจยากให้คะแนนยาก ต้องคิด เขียน ตอบต่างกันแต่ตรงเป้าหมาย ต่างวิธีคิด มีวิธีทำแต่เป้าหมายเดียวกัน 19.ครูเองก็ต้องทำผลงานเพื่อปรับวุฒิให้ตัวเองเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางวิชนการ งานสูงขึ้นเงินเดือนมากขึ้นไม่สนใจพัฒนาระบบสารสนเทศการศึกษาต่อนักเรียนของครูเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด 20.บุคคลากรทางการศึกษา ทั้งระบบเน้นปรับวุฒิ/เรียนจบง่าย/รายได้สูง/ไม่รับผิดชอบต่อสังคมศาสตร์ที่จะเกิดและที่เป็นไปในอนาคต 21.ครูจัดระเบียบตัวเองด้านเศรษฐกิจและสังคมยังไม่ได้ไม่มีวุฒิภาวะเป็นหนี้สินมาก กว่าที่จะมีความตั้งใจที่จะไปสอนเด็กทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำลงในอัตราเร่งขึ้น 22.การเรียนป.โท /ป.เอก วิทยานิพนธ์ ไม่ได้เอาไปใช้จริงให้ขับเคลื่อนสังคมได้ เรียนทำเพื่อให้จบ พาอาจารย์ไปดูงานต่างประเทศช่วยกันจ่ายดูแลอาจารย์ก็จบเกม ได้ปรับชั้นยศตำแหน่งเงินเดือน 23.ห่วย 2 เด้ง เด็กมันถึงตกงาน พ่อแม่คนไหนไม่มีที่ดินให้ขายแพงๆ โอกาสการศึกษาลูกก็ต่ำเตี้ย แพ้เด็กสปป.ลาว ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาเกิดขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นปัญหานี้สร้างโดยผู้ใหญ่ครับ 24.รัฐบาลใหม่ต้องแก้ด่วน ชุมชนร้าง ภูมิปัญญาสูญหาย ไม่มีคนสืบสานต่อ มีแต่คนชรา ปราชญ์ชาวบ้านหาย สูญพันธุ์ โรงเรียนร้าง วัดร้าง หลักสูตรที่ผูกกับท้องถิ่นไม่มี ต้องทำงานหากินในเมืองใหญ่แล้วส่งเงินให้พ่อแม่เลี้ยงลูกตัวเอง ถ้าพ่อแม่เสียชีวิต ลูกกับหลานเกิดช่องว่างทางสังคม เกิดปัญหายาเสพติด เด็กติดเกมพนัน ท้องก่อนแต่ง ปัญหาหย่าร้างสูง 25.ไม่รู้จักหน้าที่ตนเองและความรับผิดชอบต่อครอบครัว และสังคมเพราะว่า"เลิกเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม" การหย่าร้างสูง ภาคภูมิใจที่เอาความรู้ที่เรียนมาไปเอาเปรียบสังคมทุกมิติ(แก๊งคอลเซ็นเตอร์) แล้วยังภูมิใจ 26.หาเงินโดยเอาสุขภาพตนเองไปแลกเงินในทุกมิติ สุดท้ายเงินที่หามาได้ก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่พอจ่ายเพาะว่าเลิกเรียนวิขาสุขศึกษา แม้พุทธวจน ได้กล่าวไว้ว่า" คนไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" 27.ประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชา และสอนพิเศษมากที่สุดในโลกในทุกระดับชั้น และทุกสาขาวิชาอาชีพ นี่แหละ คือต้นตอของการตกต่ำด้านการศึกษา คิดไม่เป็น เก็งข้อสอบ ต้องท่องจำ เพราะว่าเจ้าของโรงเรียน พิเศษ กวดวิชาและต้องการให้นักเรียนสอบได้ " เป็นการศึกษาพาณิชย์ " และเป็นต้นทางสาเหตุ และปัจจัยที่ต้องคอร์รัปชั่นถอนเงินทุนคืน ที่ต้องเสียเงินไปเพื่อการศึกษาเรียนพิเศษ กวดวิขาเพิ่มคนจนๆไม่มีสิทธิ์นะครับ 28.มีการขายปริญญาดร.กิติมศักดิ์โดยต้อวจ่ายเงินมีคนมาเสนอให้ผมผ่านไปอีก1ปีจะให้ตำแหน่งศาสตราจารย์ โดยต้องจ่ายเงินเดือนผมไม่ตอบรับปริญญา กระดาษ แต่ผมขอเป็นปราชญ์ชาวบ้านในปริญญาชีวิต เป็น นักคิด นักพัฒนา ด้านสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ มีความสุข ภูมิใจที่มีคนเรียกว่าครูอาจารย์ ได้รับเขิญบรรยายพิเศษในหลายเรื่อง ในปัญหาของสังคม และความมั่นคงของมนุษยชาติอยู่อย่างมีความสุข มีคุณค่าและมีคุณภาพ Facebook: Pongprom Yamarat CD.ชูศักดิ์ ไตรศรี ศิลป์ 0819509566 นักวิชาการอิสระ ด้นการศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน นักคิด นักพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ข่าวการเมืองการเงิน เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยใครชอบกินมะม่วงต้องอ่าน!!! เปิดอนาคตวงการแพทย์ คิดไม่ถึงว่า "มะม่วง" จะส่งผลต่อร่างกายขนาดนี้ ถ้าไม่อ่าน ระวังคุยกับคนทั้งโลกไม่รู้เรื่อง!!! ถ้าพูดถึงผลไม้ที่คนไทยนิยมทานกันอย่างแพร่หลาย เชื่อว่าหนึ่งในตัวเลือกของคุณต้องมี "มะม่วง" อยู่อย่างแน่นอน ทั้งมะม่วงเปรี้ยว มะม่วงมัน มะม่วงน้ำปลาหวาน แต่ละเมนูทำเอาเปรี้ยวปากทั้งนั้น แต่ความเด็ดของมะม่วงไม่ได้มีดีแค่รสชาติเท่านั้น แต่มะม่วงยังมีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว มะม่วงนั้นไม่ว่าจะกินตอนดิบหรือสุกแล้วก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่ก็มีหลายคนไม่ชอบทาน เพราะเชื่อว่ามะม่วงมีแป้งเยอะ ทานแล้วจะทำให้อ้วน หารู้ไม่ว่ามะม่วงนี่ล่ะคือผลไม้มากคุณประโยชน์ที่รู้แล้วต้องกรี๊ด วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปพบกับข้อมูลคุณประโยชน์ของมะม่วงอันน่าตื่นตาตื่นใจ ว่าจะดีจริงหรือไม่ รับประทานแล้วจะอ้วนหรือเปล่า ต้องอ่านไม่งั้นเดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ มะม่วง เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี 6 วิตามินเอ และวิตามินซี รวมทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี นอกจากนี้ก็ยังมีเควอซิทิน (Quercetin) เบต้าแคโรทีน (Beta Carotine) กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน (astragalin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีทรงพลัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ริ้วรอยก่อนวัย โรคมะเร็ง หรือภาวะเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ ลองมาดูกันสิว่ามะม่วง มีแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์ขนาดนี้ แล้วคุณประโยชน์จะมีมากขนาดไหนกัน บอกได้เลยว่าเพียบ ! 1. ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต มะม่วงเป็นผลไม้ที่สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ เพราะในมะม่วงมีสารอาหารที่สำคัญต่อระบบการไหลเวียนของเลือดอย่างโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ระดับความดันโลหิตถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้มะม่วงยังมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศอีกด้วย 2. ป้องกันโรคมะเร็ง สารประกอบฟีนอล ที่พบในมะม่วงอย่างเช่น เควอซิทิน (Quercetin) ไอโซเควอซิทริน (isoquercitrin) แอสตรากาลิน (astragalin) ไฟเซติน (fisetin) เมทิลแกทเลท (methylgallat) มีฤทธิ์เป็นสารต้านนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ในการตอต้านการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในมะม่วงก็ยังมีเพคติน (pectin) สูง และมีผลการวิจัยพบว่าสารเพคตินนี่ล่ะที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้ 3. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารขอแนะนำให้รับประทานมะม่วงเลยล่ะ เพราะในมะม่วงนั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการดูดซึมของร่างกาย ขณะที่ไฟเบอร์ในมะม่วงก็สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย 4. ป้องกันโรคหัวใจ วิตามินเอและวิตามินอีในมะม่วงรวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ ไม่เพียงเท่านั้นในมะม่วงยังมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วยการลดระดับโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine) เพราะเจ้าโฮโมซิสเตอีนนี่เป็นกรดอะมิโนที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผนังหลอดเลือดได้ อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง 5. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในร่างกาย เพคตินและวิตามินซีในมะม่วงเป็นพระเอกที่ขาดไม่ได้เลย เพราะสารอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีในร่างกายได้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูงก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทานจะดีกว่า 6. บำรุงสมอง วิตามินบี 6 ในมะม่วงนอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจแล้ว ก็ยังช่วยป้องกันและสร้างเสริมการทำงานของสมอง เพราะเจ้าวิตามินบี 6 นี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีส่วนช่วยในการกำหนดอารมณ์และรูปแบบในการนอนหลับ การเติมมะม่วงลงไปในอาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับกลูตาไมน์ (Glutamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองสามารถจดจำและมีสมาดีขึ้น และยังทำให้เซลล์สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย 7. รักษาโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคืออการไม่รับประทานของหวาน ซึ่งมะม่วงก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงแต่ขอบอกไว้เลยว่ามะม่วงนี่ล่ะช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ เพียงแค่นำใบมะม่วง 10-15 ใบแช่ลงในน้ำอุ่นและปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นในตอนเช้านำน้ำนี้มาดื่มในขณะที่ท้องว่าง จะสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ วิธีนี้สามารถรับประทานได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็ได้หากผู้ที่มีสุขภาพปกติดื่มน้ำแช่ใบมะม่วงก็จะยิ่งช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น 8. บำรุงสายตา มะม่วงมีวิตามินเอสูง ดังนั้นจึงช่วยบำรุงสายตาให้ยังใสปิ๊งปั๊งอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องการการเสื่อมของจอประสาทตาเมื่ออายุมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ 9. บำรุงผิวพรรณ ต้องยกความดีความชอบให้กับวิตามินเออีกครั้งเพราะวิตามินเอในมะม่วงนั้นมีคุณประโยชน์เพียบพร้อมจริง ๆ แม้แต่ในเรื่องผิวพรรณ การรับประทานมะม่วงทำให้เราได้รับวิตามินเอที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อและผิวหนัง ช่วยให้การอุดตันของรูขุมขนลดลงส่งผลให้ผิวพรรณเรียบเนียนได้ 10. รักษาสิว หากใครไม่ชอบทานมะม่วงแต่ก็อยากรักษาสิวให้หายโดยไม่พึ่งยาละก็ลองหันมาใช้มะม่วงในการรักษาได้ค่ะ เพราะเนื้อมะม่วงนี้แม้เราจะไม่ได้รับประทานแต่ก็สามารถใช้บำรุงผิวพรรณ ลดสิวบนใบหน้าที่กวนใจได้ เพียงฝานมะม่วงบาง ๆ วางใบหน้าทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างออก วิตามินเอในมะม่วงก็ช่วยลดการเกิดสิวได้เป็นปลิดทิ้งเลย 11. รักษาโรคโลหิตจางในหญิงที่ตั้งครรภ์ มะม่วงเปรี้ยว ๆ ถือเป็นของที่ถูกใจว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามะม่วงมีดีเพียงแค่นั้น เพราะมะม่วงก็มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เช่นเดียวกันเพราะหญิงตั้งครรภ์นั้นมักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย และการรับประทานมะม่วงก็จะช่วยให้ธาตุเหล็กอันเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางมีระดับสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ 12. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีมเช่นเดียวกับผักผลไม้มีสีส้มและสีเหลืองอื่น ๆ เช่น แครอท เป็นต้น โดยสารเบต้าแคโรทีนนั้นเป็นสารแคโรทีนอยด์อันมีคุณสมบัติในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ฉะนั้นถ้าไม่อยากป่วยง่ายก็ควรจะรับประทานมะม่วงเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับสารพิษและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โอ้โห! ประโยชน์ดีเพียบพร้อมขนาดนี้ จะให้เมินมะม่วงก็คงจะไม่ใช่เรื่องแล้วใช่ไหมล่ะ แต่จะเลือกมะม่วงดิบหรือมะม่วงสุกก็ว่ากันไป ที่สำคัญคือห้ามลืมว่ามะม่วงสุกมีน้ำตาลสูง ไม่อยากอ้วนละก็อย่ารับประทานจนเกินพอดีละ ไม่อย่างนั้นจะได้รอบเอวหนา ๆ มาเพิ่มด้วยจะร้องไม่ออกนะจะบอกให้ นี่คือข้อดีของมะม่วง เมื่อผู้ป่วย เป็นโรคมะเร็งเราจะให้เข้าคอร์สกินข้าวสวยมะม่วงเกลือผลไม้อื่นๆ 10 วัน ทุกคน กินผ่านวิกฤตของอาการป่วยได้ เพราะมันคือยาฆ่าเชื้อ และมีแร่ธาตุวิตามิน เสริมให้กับร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์แล้วร่างกายฟื้นขึ้นมาเร็วและสามารถขับของเสีย จนร่างกายมีภูมิต้านทานสู้กับโรคได้สุขภาพมะเร็งยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยท่านทูตสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ประเทศไทย และบทสรุปท่านทูตสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ประเทศไทย และบทสรุป จุดแข็งประเทศไทย 1. ตั้งอยู่ใจกลางโลก รอบข้างมีประเทศประชากรมาก อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เวียดนาม เกาหลี ตลาดใหญ่ 2. พื้นที่เป็นแหลมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นแหล่งอาหาร ติดต่อกับทุกประเทศสะดวก 3. แผ่นดินสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร ทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย ป่าไม้ แหล่งน้ำน้ำจืด ทะเล ในป่า บ้าน สวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร พืชสมุนไพร เป็นทั้งครัว คลังยาโลก 4. ใต้ผืนดินมีแร่ธาตุนานาชนิด แหล่งน้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ มากกว่ากลุ่มโอเป็กหลายประเทศ 5. มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรสืบทอดจากบรรพชน สามารถวิจัยพัฒนาต่อยอดเป็นยาสมุนไพรมีมาตรฐานในการรักษาโรค ส่งเป็นสินค้าออกได้ 6. มีธรรมชาติสวยงาม หาดทรายสองฝั่งทะเล น้ำตก ถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม แหล่งท่องเที่ยวที่ดีมาก 7. อยู่ในเขตร้อน ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้ไม่หมด มีลมบก ลมทะเล ที่แปลงเป็นไฟฟ้าได้ 8. ตั้งอยู่ในเขตไม่เสี่ยงภัยธรรมชาติรุนแรง ห่างศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟคุกกรุ่น ลมพายุรุนแรง 9. มีพุทธศาสนา ที่คำสอนสมบูรณ์ 10. คนไทยจิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ ฉลาด เรียนรู้เร็ว พัฒนาง่าย 👉 จุดแข็ง 10 ข้อ ไทยเป็นสวรรค์บนดิน ใครได้เกิดประเทศนี้ ถือว่าโชคดี 👉 คนไทยควรมีความสุข สุขภาพดี ฐานะมั่งคั่ง ⚠️ ความเป็นจริงตรงกันข้าม ❌ จุดอ่อนประเทศไทย ❎ คนไทยไม่กี่ตระกูลเป็น 🎠 1. ขุนทหาร 🚔 2. ข้าราชการผู้ใหญ่ 🎭 3. นักการเมืองใหญ่ 💰 4. นายทุนระดับชาติ เท่านั้นที่ร่ำรวย เสพสุขบนกองทุกข์ประชาชน ราวเทพยดาเดินดิน 😢 คนส่วนใหญ่อยู่ในขุมนรกความยากจน นับวันยิ่งจน หนี้พอกพูนรุนแรง 🌳 ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้เป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่เกษตร แม่น้ำลำธาร เต็มด้วยสารพิษทางการเกษตร สัตว์น้ำลดลง การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลง แหล่งอาหารธรรมชาติลดลง ต้องซื้ออาหารจากตลาดราคาแพง 🏥 คนป่วยมะเร็งมาก จากสารเคมีปนเปื้อนในพืชผัก อาหาร น้ำ โรคไต เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิต อ้วน จากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม คนป่วยล้นโรงพยาบาล ทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ⚰ ไม่ปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฏหมาย ยาเสพติด อาชญากรรม เต็มเมือง คนธรรมดาไม่ปลอดภัย 💲 ทุจริต คอรัปชั่น เพิ่มทวี ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็ก โกงตามที่มีแรงโกง มือใครยาว สาวได้ สาวเอา ชนชั้นนำตั้งแต่ 2500 ใช้ รัฐศาสตร์มาร ปกครองบ้านเมืองแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง คดในข้อ งอในกระดูก ทำให้ประชาชนอ่อนแอ อยู่ในวงจรอุบาทว์ โง่ เลว จน เจ็บ ทำให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง สะดวก ง่าย ข้อคิดน่าวิเคราะห์ของสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน หนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ เติบโต ขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรง จากโครงสร้างการปกครองชั่วร้าย รวบอำนาจ ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจดีพอ ผู้ปกครอง ทำ ไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองขัดขวางการแก้ไขปัญหา เร่งปัญหา ปัญหาขยายใหญ่ขึ้น มากขึ้น ↗️ ทำให้ประชาชนโง่ การศึกษาทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบคิด หาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ประวัติศาตร์ วีรชนสามัญชน การเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม การรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจ ↙️ ทำให้ประชาชนเลว เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยการศึกษา ⬅️ ไม่ฝึกการมีวินัย ⬅️ ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนา คนไม่คิดพัฒนาจิตใจ ความเป็นมนุษย์ ⬅️ ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา ปัญญาชน ทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัว ⬅️ เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่ต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ด้อยกว่า 🚸 ไม่มีใครขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน ⛔ ใครพูดการเมือง ปัญหาชาติ บ้านเมือง ชนชั้นกลางก็ต่อต้านไม่ให้พูด ปกป้องคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติ 🚷 ทำให้ประชาชนจน ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม 🚫 เลิกสนับสนุนเกษตร งดสนับสนุนวิทยาลัยเกษตร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ⬇️ ปล่อยให้บุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และสมุนไพร ↘️ สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ทำลายสัตว์น้ำธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ ✔ เกษตรกรล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ เป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืชสัตว์ เครื่องจักรกกล ✔ เกษตรกรต้องทิ้งลูกเมีย ไร่นา ไปเป็นกรรมกร ✔ อ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ละเลยเกษตร อาชีพคนส่วนใหญ่ ❌ สามัญชน 66 ล้านคนไทย ไม่มีใครมีศักยภาพครอบครองเทคโนโลยีสูง เป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เป็นแต่ลูกจ้าง ทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร ✖ ทำให้ประชาชนเจ็บ ⚰ เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า อ้างว่าช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อได้ถูก ทำให้นายทุนยาพิษรวย ยาเหล่านี้ปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ ทำให้ปลา สัตว์น้ำธรรมชาติสูญพันธุ์ คนไทยได้รับยาผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยมะเร็ง โรคสารพัด ธุรกิจความตายเติบโต สูบเงินคนไทย 🎭 หลายคนไม่ทราบว่าสารพิษเคมีเกษตร ปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ↗️ แต่จุลลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย คนไทยทำได้เอง ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ความคดในข้อ ของกฎหมายออกโดยคนชั้นสูง) 🚫 เพื่อกีดกันด้านการค้า ชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ปลอดภัยผลิตได้เอง 🔜 บทสรุป 🔚 1. ชนชั้นนำไทย พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ตน โคตรตระกูล 2. ชนชั้นกลางไร้ความรับผิดชอบบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมการปกครอง เป็นความวุ่นวาย ต่อต้านการต่อสู้ประชาชน แทนที่ร่วมสู้กับประชาชน 🔜รอวันล่มสลาย!!! Cr:Line KWMข่าวการเมือง เสียดสีMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยมาทำความรู้จัก กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงของกลุ่มนิสิตนักศึกษาทั้งจริงและปลอมกัน ...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโต้โผใหญ่ ที่ยึดไร่ฝิ่นในอาฟกานิสถาน และปล้นน้ำมันในซีเรีย และอิรักแบบไม่ยอมถอนทหารออกจากชาติดังกล่าว ทั้งที่ผู้ก่อการร้ายถูกปราบจนแทบจะสูญพันธุ์หมดแล้ว. สิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงคือ " NED" หรือเนด...ที่เป็น SPONSOR / สปอนเซอร์ ฮ่องกงโมเดล ที่ทำลายฮ่องกงจนยับเยิน บัดนี้กับเบื้องหลังกลุ่มผู้ประท้วงในไทย เริ่มจากเกมรุกอย่างอ่อน ( soft power ) ไปจนถึง radicialization ( การใช้ความรุนแรงแบบสุดโต่งเหมือนที่เห็นในฮ่องกง ) ทำจีนและอิหร่านไม่ประสบผลสำเร็จตอนนี้หันมาจัดการไทย สั่นคลอนอำนาจทำลายเสถียรภาพของ "รัฐบาลประยุทธ จันทร์โอชา " . NED ...ตอน..1 NED กับอิทธิพลในไทย . NED คือ อะไร ...คือ กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา สังกัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฯ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ซีไอเอภาคพลเรือน มีชื่อเต็มว่า " National Endowment For Democracy " . เพื่อภาระกิจแทรกแซงการเมือง และสังคมไทย เพื่อการควบคุมจัดการผลประโยชน์ของประเทศเรา เป็นองค์กรที่รัฐบาลสหรัฐสนับสนุน บทบาทคือ แทรกซึม - ชอนไช ไปทั่วโลกตามกลุ่มประเทศเป้าหมาย รวมทั้งประเทศไทย ภายใต้หน้ากากเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย. เหล่าบรรดาอาจารย์โลภไร้สามัญสำนึกและหิวเงิน พวกหากินทางสังคม ทางการศึกษา ทางกฎหมาย ทางสื่อ ทางแพลตฟอร์มออนไลน์ พวกเสแสร้งเป็นคนดี พวกสยบตะวันตกเป็นอาชีพ กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะถูกตะวันตก กองทุน NED ของสหรัฐควบคุมและบงการทั้งสิ้น. NED จะแทรกซึมเข้าไป ให้ก่อตั้งชมรม มูลนิธิ องค์กร แล้วเสนอให้เงินสนับสนุน ด้วยนโยบายฉาบหน้าทางสังคมสวยหรู แต่เจตนาข้างใน ให้เหล่าคนขายชาติ ทำอะไรก็ได้ ที่กัดเซาะ ชอนไชสถาบันไทยให้เซทรุด ด้วยข้อแลกเปลี่ยน ด้วยการเชิดชูคนเหล่านั้นให้เป็นใหญ่. และรัฐบาลของสหรัฐจะชักใย " ควบคุมประเทศ " โดยผ่านการกำหนดแผนการจากซีไอเอ อยู่เบื้องหลัง โดยผ่านหน้าฉากคนไทยที่ยินยอมทำลายชาติตนเอง หรือ เหล่าไทยขายชาติที่ไม่รู้จักบุญคุณของแผ่นดิน. พวกองค์กรสิทธิมนุษยชน ,ฮิวเมนไรท์ ล้วนเป็นขบวนการเครือข่ายใต้น้ำเลี้ยงของ NED ทั้งสิ้น ที่เห็นหลากหลาย มากมาย มีกลุ่มนั้น องค์กรนี้ ที่ออกมาเคลื่อนไหวบ่อยๆ ล้วนมี NED เป็นสปอนเซอร์ทั้งสิ้น เป็นการขุนไว้ใช้งาน เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่อเมริกาต้องการล้มล้าง....แท้จริง NED คือ กองทุนสนับสนุนต่อกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลที่อเมริกาไม่ชอบใจ ** แต่ใช้คำว่า กองทุนเพื่อประชาธิปไตย บังหน้า ** ความเป็นจริง NED ให้การสนับสนุน นักปลุกระดมคนมาตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจแล้ว เพราะสหรัฐต้องการปลุกระดมให้คนออกมาต่อต้านคสช.. มีข้อมูลจากสื่อออนไลน์ พบหลักฐานว่า สภาคองเกรส ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรดังกล่าว ด้วยเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ 2560 เป็นเงินกว่า 2ล้านดอลล่าร์ หรือ 70 ล้านบาทไทย ให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน ไม่แสวงหาผลกำไร ที่อ้างว่าทำงานเพื่อสร้างประชาธิปไตย และการป้องกันสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย จำนวน 22 องค์กร. มีรายงานว่า NED ซึ่งมีนายแอนดรูว์ เอช การ์ด ( Andrew H. Card )อดีตหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นประธาน สังกัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และอยู่ภายใต้การดูแลของสถานทูตอเมริกา เรียกกันว่า เป็นซีไอเอ.ภาคพลเรือน มีภาระกิจแทรกแซง การเมือง และสังคมไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อ การควบคุมจัดการผลประโยชน์ต่างๆในประเทศไทย ด้วยการให้เงินงบประมาณสนับสนุน นักการเมือง และกลุ่มมวลชน รวมถึงสื่อมวลชน นักวิชาการ อาจารย์ มหาวิทยาลัย ให้ออกมาดำเนินการเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆ ทั้งทางการเมือง ความมั่นคง สังคม และระบอบการปกครองไทย. เปิดข้อมูลที่หลายคนไม่เคยรู้ ..... ปี 2560 " NED" สนับสนุนเงินทุนกว่า 2 ล้านดอลล่าร์ ให้กับเอ็นจีโอ กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ,สถาบันส่งเสริมกรรมการบริษัทไทย และกลุ่มสื่อมวลชนในไทย. .☆ ความสัมพันธ์ของ Open Society และ NED ในไทย ☆. จอร์จ โซรอส เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรค เดโมแครต และเป็นคนสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยให้การสนับสนุนหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ ด้วยเงินทุนส่วนตัวมาโดยตลอด และใช้มูลนิธิ Open Society เป็นตัวแทน ให้เงินสนับสนุนเป็นจำนวนมาก แก่องค์กรการกุศล ,องค์กรภาคเอกชน และภาครัฐทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ จนสามารถชี้นำในองค์กรเหล่านั้นได้ เพื่อสนับสนุนให้เปิดสังคมนั้นๆเป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐ หรือสังคมประชาธิปไตยแบบเสรี. ที่สำคัญ จอร์จ โซรอส ยังให้เงินทุนสนับสนุนแก่ NED ด้วย จึงเป็นพันธมิตรที่ดีในการทำงานร่วมกัน เพื่อแทรกแซงประเทศตนเอง และประเทศต่างๆ แนวทางการทำงานขององค์กรเหล่านี้ จะใช้การกระตุ้นความตื่นตัวของพลเมือง โดยข้ออ้างเรื่องหลักๆคือ ประชาธิปไตย , สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ผ่านการทำงานของบุคคล 3 กลุ่มหลักคือ. 1.นักวิชาการ ในการผลิตชุดความรู้ เผยแพร่ข้อมูลที่อ้างอิงได้จากผู้เชี่ยวชาญ ...เพื่อสร้างน้ำหนักให้สังคมคล้อยตาม . 2 .นักเขียน , สื่อ , บล็อกเกอร์ หรือ ผู้มีอิทธิพล ( influencer ) ทางสังคม ผ่านช่องทางต่างๆเช่น สื่อออนไลน์ เพื่อสร้างกระแสการติดตาม และส่งต่อเป็นเครือข่ายเหมือนไฟลามทุ่ง. 3.NGO. หรือนักเคลื่อนไหว เพื่อปลุกระดม หรือทำการเคลื่อนไหวต่อต้าน เช่นต่อต้านนโยบายของรัฐที่ไม่ตอบสนองต่อนโยบายของสหรัฐอเมริกา โดยอ้างประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม บังหน้า . เงินทุนกว่า 2ล้านดอลล่าร์ ไปอยู่ที่ไหนบ้าง.???. 1 สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการ บริษัทไทย [ IOD]. เพื่อการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในตลาดหลักทรัพย์ และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน จำนวน 257,361 ดอลล่าร์ . ☆ บุคลากร -- นายเกริกไกร จีระแพทย์ ตำแหน่งนายกสมาคม , นายบัณฑิต นิลถาวร ,นางเกศรา บัญชูศรี , นางทองอุไร ลิ้มปิติ , นายประสัณห์ เชื้อพาณิช , นางนวลพรรณ ล่ำซำ , นายบรรจง จิตต์แจ้ง ,นายปรีดี ดาวฉาย ,นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ,นางภัทรียา เบญจพลชัย. 2 ศูนย์ข้อมูล และข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง [ TCIJ ]. เพื่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบ ต่อการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน 30,000 ดอลล่าร์. 3. ฮิวแมนไรท์ วอชประเทศไทย [ นาย สุนัย ผาสุก ] กับโครงการย่อยอีก 6โครงการ --- โครงการเสริมสร้างประชาสังคม เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยในภาคเหนือ จำนวนเงินสนับสนุน 52,220 ดอลล่าร์. ---โครงการเพิ่มขีดความสามารถของผู้นำชุมชน ในการส่งเสริมประชาธิปไตย ของนักเคลื่อนไหวระดับรากหญ้า จำนวน 31,100 ดอลล่าร์ --- สนับสนุนการทำกิจกรรมคุ้มครองสิทธิชุมชน 35,000ดอลล่าร์ . --- ☆☆☆สนับสนุนการทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวของนักศึกษา นักกิจกรรม และผู้นำชุมชน จำนวน 45,000 ดอลล่ารฺ☆☆☆ . ----ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองในการสนับสนุนประชาธิปไตย 50,000ดอลล่าร์ และจ่ายให้อีก 50,000 ดอลล่าร์ ถ้าสามารถสร้างจำนวนนักเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าได้เพิ่มขึ้น. 4.เดอะอีสาน เรคคอร์ด . เพื่อเสริมสร้างนักข่าวพลเมืองในภาคอิสาน จำนวน 46,000 ดอลล่าร์. 5. Asian Network For Free Election Foundation ....☆☆☆เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนในขบวนการประชาธิปไตย จำนวน 70,000 ดอลล่าร์ [ บุคลากร นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการไทยพีบีเอส และอดีตอำนวยการบริหารเอเซีย เน๊คเวิร์ค ]. 6. มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม จำนวน 80,500 ดอลล่าร์ [ บุคลากร - นางสุรัสวดี หุ่นยนต์, **นายโคทม อารียา ** , นายเดช พุ่มคชา , นายประพจน์ เกตรากาศ , นายวิทูรย์ เลี่ยมจำรูญ , **นายจอน อึ้งภากรณ์** ,นาย นิมิตร เทียนอุดม]. 7 .สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เพื่อสร้างเครือข่าย ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน จำนวน 50,000 ดอลล่าร์. 8.Solidarity Center [ SC]...เพื่อส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพในการทำงานในระดับสากล ในหลักการและการปฎิบัติ ตลอดจนสิทธิของแรงงานข้ามชาติ จำนวน 754,904 ดอลล่าร์. 9. Union For Civil Liberty....เพื่อส่งเสริมสทธิมนุษยชน และเพิ่มการเข้าถึงยุติธรรม สำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการละเมิดสิทธิ จำนวน 12,500ดอลล่าร์. 10. Cafe Democracy. เพื่อเป็นเงินทุน โครงการส่งเสริมการเจรจา และส่งเสริมคุณค่า ทางประชาธิปไตยจำนวน ..35,000 ดอลล่าร์. 11 . บริษัทดิวันโอวัน เปอร์เซ็นต์จำกัด. เพื่อการจัดทำแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองที่สำคัญ จำนวน 50,000 ดอลล่าร์. [ บุคลากร นายปกป้อง จันวิทย์ , นายสราวุธ เอ็งสวัสดิ์ เจ้าของนามปากกา " นิ้วกลม "] 12. มูลนิธิธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม. เพื่อทำกิจกรรมการเสริมสร้างความสามารถพลเมือง ในการใช้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 55,000 ดอลล่าร์ [ บุคลากร นายไพโรจน์ พลเพชร เป็นประธานมูลนิธิ ,นายสมชาย ปรีชา ศิลปกุล ]. 13. International Repubican Institute [IRI]. เพื่อเสริมสร้างหลักการประชาธิปไตย จำนวน 405,000. 14. มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาชุมชน...เพื่อการเผยแพร่ประเด็น ปัญหาด้านการเมือง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผ่านเว็บไซต์ ประชาไท จำนวน 50,000 ดอลล่าร์. วิธีการให้เงินสนับสนุนของ. NED ถือเป็นเกมรุกอย่างอ่อนหรือ Soft power ที่แสดงถึงความเลวไร้มรรยาทและไร้ซึ่งศีลธรรมในด้านแนวความคิดที่ใช้ความเป็นมหาอำนาจ ตักตวงผลประโยชน์ และมีแนวความคิดที่เหิมเกริมต้องการเปลี่ยนแปลงหลักการปกครองของไทย เจตนาร้ายต่อสถาบัน ถึงขั้นต้องการยึดประเทศไทยโดยการบริหารงานผ่านผู้นำหุ่นเชิดของตนที่เป็นคนไทย https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=532710264318527&id=100027386730023ข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ2 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 2 คนสงสัยเศรษฐีอินเดียแห่เช่าเหมาลำ บินหนีโควิด-19 บางลำบินเข้าไทย🛬#เพื่อนบอกโปร - เศรษฐีอินเดียแห่เช่าเหมาลำ บินหนีโควิด-19 บางลำบินเข้าไทย🛬 . 🦠 สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่อินเดีย มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงกว่าวันละ 300,000 คน ทำลายสถิติโลกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ทำสถิติสูงสุดในวันเสาร์ที่ 24 เม.ย. 64 จำนวน 346,786 คน . การระบาดหนักรุนแรงทำให้หลายประเทศทั่วโลก มีคำสั่งห้ามผู้เดินทางจากประเทศอินเดียเดินทางเข้าประเทศเพื่อป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย เล็ดลอดเข้าประเทศ . ในระหว่างนี้เศรษฐีอินเดียจึงพากันช่วงชิงโอกาสเดินทางไปยังประเทศที่ยังไม่มีมาตรการห้ามผู้เดินทางจากอินเดียเข้าประเทศ . สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนเศรษฐีอินเดียในช่วงนี้ ส่งผลให้ราคาตั๋วเครื่องบินโดยสารพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว . สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ราคาตั๋วเครื่องบินเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เม.ย. เที่ยวบินจากเมืองมุมไบไปยังดูไบ ราคาพุ่งขึ้น 10 เท่าตัว และราคาตั๋วจากกรุงนิวเดลีไปยังดูไบพุ่งขึ้น 5 เท่าตัว . สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศระงับเที่ยวบินไปยังประเทศอินเดียตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 25 เม.ย. 64 . เที่ยวบินจากอินเดียไปยังดูไบในวันเสาร์ที่ 24 เม.ย. เต็มทุกเที่ยวบิน . สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า เครื่องบินเจ็ตเช่าเหมาลำก็บินออกจากอินเดียกันขวักไขว่ . “ลูกค้าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดบินไปดูไบ แต่มีบางรายที่บินไปประเทศไทย” บริษัทบริการเครื่องบินเช่าเหมาลำรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพี . 📲 แหล่งข่าว : https://bit.ly/3njqsVE ภาพจาก AP . #เพื่อนบอกข่าวโควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่ จังหวัดเชียงใหม่ได้ออกประกาศเขตพื้นที่สีแดงภายในจังหวัดเนื่องจากโควิด19จังหวัดเชียงใหม่ได้ออกประกาศพื้นที่สีแดงภายในจังหวัด และขอความร่วมมืองดการเข้าออกพื้นที่สีแดงโควิด 2019nutyty_MJU• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสายการบินเอมิเรตส์ประกาศทำ Rapid Test ตรวจโควิด-19 ผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง 10 นาทีรู้ผล เป็นแอร์ไลน์แรกของโลก เริ่มเที่ยวบินระหว่างดูไบ-ตูนีเซียสายการบินเอมิเรสต์เป็นสายการบินแรกที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีตรวจเร็ว หรือ Rapid Test ( การตรวจหาภูมิคุ้มกัน) โดยดำเนินการเป็นครั้งแรกในกลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางจากดูไบ ไปยังประเทศตูนีเซีย เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมาโควิด 2019naydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: mostly-true--middle2 ความเห็น

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ