314 ข้อความ
- 1 คนสงสัยน้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาโรคหัวใจได้สุขภาพ• 1 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 1 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นสามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น คือ น้ำมันที่ได้จากเนื้อมะพร้าวสดโดยไม่ใช้ความร้อนสูงในกระบวนการสกัด หรือที่เรียกว่าวิธีการสกัดเย็น ซึ่งการสกัดแบบนี้จะช่วยรักษาสารอาหารและคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันมะพร้าวไว้ได้มากที่สุด สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็นที่ช่วยในการลดน้ำหนัก คือ 1. กรดไขมันกลาง การรบริโภคกรดไขมันสายกลางสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย 2. เพิ่มความอิ่ม การบริโภคน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยเพิ่มความอิ่มและลดความอยากอาหาร 3. เพิ่มกระบวนการเผาผลาญไขมัน กรดไขมันสายกลางในน้ำมันมะพร้าวที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น - ทานก่อนมื้ออาหาร 1 ช้อนโต๊ะประมาณ 20 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วและลดปริมาณการทานอาหารในมื้อนั้น - ใส่น้ำมันมะพร้าวในอาหารเช้า เช่น โยเกิร์ตหรือข้าวโอ๊ต เพื่อเพิ่มพลังงานและช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน (ข้อมูลจากเว็ปไซต์ : https://www.bedee.com/articles/wellness/virgin-coconut-oil-for-weight-loss ) แต่เนื่องจากยังไม่มีผลวิจัยที่ชัดเจนจึงไม่ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักเสียเอง หรืออาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องเสีย หรือเกิดอาการแพ้ได้ แม้กระทั่งอาจเป็นการเพิ่มคอเรสเตอรอลในเลือดจำนวนมากทำให้เสี่ยงเกี่ยวกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ ข้อแนะนำในการรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นคือ ควรรับประทานในปริมาณที่พอดี ใช้เป็นเพียงตัวช่วยเสริมในการลดน้ำหนัก หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยนช์ และพักผ่อนให้เพียงพอควบคู่ไปด้วย และควรเลือกซื้อยี้ห้อที่เป็นสากลและต้องมีการขออนุญาตและได้รับรับรองแล้ว (ข้อมูลจาก : เภสัชกรณภัทร นวลสกุลกฤป)สุขภาพความสวยความงามลดความอ้วนjirachyaa• 1 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรับประทานเฉพาะไข่ต้ม 7 วัน ลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ไข่ต้มเมนูที่หลายคนนิยมนำมาเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยความเชื่อว่าไข่ต้มมีโปรตีนที่สูง ช่วยให้อิ่มนาน และมีแคลอรี่ต่ำ แต่การกินไข่ต้มเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 7 วัน จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริงหรือ? จากการสัมภาษณ์ อ.ดร. ธาริณี นิลกำแหง อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ ประจำหลักสูตรวิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า การรับประทานไข่ต้ม ต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากไข่ต้มมีโปรตีนสูงช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ควบคุมความอยากอาหาร และยังช่วยในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ มีแคลอรี่ที่ต่ำเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ ทำให้สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักเพิ่ม ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.rattinan.com/ ) นอกจากนั้นไข่ต้มยังมีประโยชน์ในเรื่อง ช่วยเร่งการเผาผลาญ โปรตีนจากไข่ต้มสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก สะดวกและง่ายต่อการเตรียม ไข่ต้มเป็นอาหารที่เตรียมง่าย สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคอาหารและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น การบริโภคที่หลากหลาย ไข่ต้มสามารถนำไปใช้ในเมนูอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น สลัดไข่ต้ม แซนด์วิชไข่ หรือแม้กระทั่งเป็นส่วนประกอบในซุป ทำให้ไม่น่าเบื่อและสามารถใช้ในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.jenniferoomthailand.com ) แต่ร่างกายของคนเรานั้นต้องการแคลอรี่ใน 1 วัน ประมาณ 1800 - 2000 ต่อวันซึ่งไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง การกินไข่ต้มทุกวันวันละ 1-2 ฟอง จึงเป็นการเพิ่มพลังงานและสารอาหารให้ร่างกายได้อย่างเหมาะสม แต่ไม่ควรทำต่อเนื่องเพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อระบบการย่อยและการดูดซึม ส่วนบุคคลที่เป็นโรคไตไม่ควรทำเพราะจะทำให้ไตเกิดการทำงานหนักขึ้น แต่อย่างไรก็ตามควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยควรควบคู่กับการควบคุมแคลอรีจากอาหารอื่นๆ รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.homefittools.com/news/boiled-eggs-low-fat.html ) ดังนั้น การกินไข่ต้มเป็นส่วนหนึ่งของอาหารมื้อเพื่อสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การกินไข่ต้มเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 7 วัน ไม่ใช่ทางลัดในการลดน้ำหนักที่ยั่งยืนและปลอดภัย ควรเลือกวิธีการลดน้ำหนักที่เน้นความสมดุลของสารอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวสุขภาพภาคอีสานsuthinantanle20192545• 1 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัย30 บาทรักษาทุกที่ เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถขอรับยาฟรี 32 อาการได้ที่ร้านยาสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 1 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอาการ Mucus Fishing Syndrome หากดึงเมือกออกมา จะกระตุ้นการระคายเคืองสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 1 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?“ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้งสุขภาพธนกฤต ราชัย• 1 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังมีมไม่ระบุชื่อ• 1 เดือนที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่กินเม็ดชาไข่มุกทําให้เป็นมะเร็ง...!!จากกระแสบนโลกออนไลน์ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการกินเม็ด ชานมไข่มุกที่ส่งมาจากประเทศไต้หวัน จะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งเพราะ มีสาร ที่เป็นอันตรายต่อตับ ไต ระบบเลือด และระบบประสาท ซึ่งเป็น สาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งต่างๆ จากข้อความดังกล่าวที่มีการแชร์บน โลกออนไลน์นั้น ได้มีการตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) และได้ชี้แจงข้อสรุปว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง จากการที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประเทศไต้หวัน ได้มีการตรวจ สอบสิ่งที่พบจริงในเม็ดไข่มุกคือสารอะซิโตฟีโนน ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ ชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายอัลมอนด์ มักถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมน้ำหอมและอุตสาหกรรมยา ในเม็ดไข่มุกบางยี่ห้ออาจพบ สารเหล่านี้ในปริมาณน้อยมากแต่ไม่ใช่สารก่อมะเร็งดังที่ข่าวลือกล่าวอ้าง (อ้างอิงข้อมูลจากเว็ปไซต์ https://shorturl.asia/i74FQ ) และข้อมูลจากงานวิจัยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดไข่มุกเสริมใยอาหารพร้อมบริโภค ของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าในเม็ดไข่มุก หลายยี่ห้อมีส่วนผสมของแป้งมันสำปะหลังเป็นหลัก ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเป็นสาร อาหารหลักชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราต้องการและสวนผสมอื่นประกอบด้วย ผงเห็ดนางฟ้า เมือกกระเจี๊ยบเขียว อินูลิน แป้งดัดแปร คอนยัค คาราจีแนน น้ำตาล น้ำ เพียงเท่านั้น เป็นส่วนประกอบที่สามารถบริโภคได้ปกติทั่วไป (อ้างอิงข้อมูลโดยเว็บไซต์ https://shorturl.asia/mR2zQ ) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการกินเม็ดชาไข่มุกนั้นไม่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ดังที่แชร์ กันเพราะไม่มีสารประกอบใดๆที่เป็นอัตรายหรือก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่ถึงแม้ว่า การกินเม็ดไข่มุกไม่ได้ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็ง แต่ถ้าหากเราบริโภคไข่มุกในปริมาณที่ มากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ แทนได้เช่นกันสุขภาพมะเร็งประมุขตรัย ผิงอัน• 2 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 36%สุขภาพไม่ระบุชื่อ• 2 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยน้ำประปาสามารถดื่มได้หรือไม่?ในทุกวันนี้มนุษย์เราต้องการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อย่างไรก็ดี การซื้อน้ำดื่มมาบริโภคก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายจำนวนมากในแต่ละเดือน จนทำให้ใครหลายคนเริ่มหาวิธีนำน้ำประปามาบริโภค แล้วปัจจุบันน้ำประปายังสะอาดและสามารถดื่มได้หรือไม่ (แหล่งข้อมูลจาก https://wells.co.th/is-tap-water-safe/) (https://uu.co.th/th/article/blog/is-tap-water-safe-to-drink#precautions-when-drinking-tap-water) จากการสัมภาษณ์ คุณคงกฤษ นาแซง ตำแหน่งนายช่างเครื่องกล6 การประปาส่วนภูมิภาคสาขามหาสารคาม ได้ข้อมูลว่า น้ำประปาสามารถดื่มได้ เนื่องจากได้รับการรับรองจะกรมอนามัยตามโครงการ “น้ำประปาดื่มได้” มีคุณภาพน้ำประปาตามเกณฑ์คุณภาพน้ำบริโภค ซึ่งก็จะมีการออกตรวจสอบน้ำตามชุมชนตามบ้านผู้ใช้น้ำ โดยมีหน่วยงานผลิต หน่วยงานของนักวิทยาศาสตร์ และกรมอนามัย อีกทั้งยังมีการผลิตน้ำประปาที่ได้มาตรฐานตามขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำ การเติมสารเคมีฆ่าเชื้อโรค การตกตะกอนของน้ำ การกรอง ไปจนถึงการสูบน้ำเพื่อส่งไปยังบ้านผู้ใช้น้ำ อีกทั้งยังมีการเฝ้าระวังตรวจสอบน้ำทุก ๆวันในแต่ละชุมชนซึ่งจะตรวจสอบค่าของคลอรีนที่ควบคุมไว้อยู่ที่ 0.2 มิลลิกรัม หากต่ำกว่า 0.2 มิลลิกรัมประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคก็จะลดลงนั่นเอง ทั้งนี้ ก่อนนำน้ำประปาจากก๊อกมาดื่มจึงควรระวังเรื่องความสะอาด และความปลอดภัยของน้ำประปาก่อนเสมอ แต่เพื่อความสบายใจว่าเมื่อดื่มน้ำประปาไปแล้วจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ ก็ควรติดตั้งเครื่องกรองน้ำขนาดเล็กเอาไว้อีกขั้นก็ได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าน้ำประปาที่ผ่านระบบการกรองน้ำประปามาแล้วจะมีความสะอาด ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์อยู่ดี ไม่ว่าจะนำไปต้มดื่ม ผ่านความร้อน หรือวิธีการใด ๆ ก็ตาม แต่หากต้องการดื่มน้ำประปาได้อย่างปลอดภัย การติดตั้งเครื่องกรองน้ำไว้ในบ้านจึงถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพราะเครื่องกรองน้ำจะช่วยกรองน้ำประปาอีกครั้ง ทำให้น้ำสะอาดมากขึ้นจนอยู่ในระดับมาตรฐาน ที่จะสามารถนำมาใช้ดื่มได้อย่างปลอดภัยต่อร่างกาย แหล่งข้อมูลจาก(https://www.taksak.co.th/can-drink-tap-water/)สุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังChennarong Yongmong• 2 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยหากลืมรับประทานยา สามารถทานรวมกับมื้อถัดไปได้หรือไม่ ?ยาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและคำแนะนำในการรับประทานแตกต่างกัน เช่น ยาบางชนิดต้องการความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อรักษาระดับยาในเลือด หากไม่รับประทานตามเวลาที่กำหนด อาจทำให้ยาออกฤทธิ์ไม่เต็มที่และส่งผลเสียต่อร่างกายได้ "ดังนั้นการลืมรับประทานยาจึงไม่ควรรับประทานรวมกับครั้งถัดไป เพราะอาจทำให้ยาออกฤทธิ์ไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดการดื้อยา และร่างกายอาจได้รับยาเกินขนาด"สุขภาพThitiwut Apiraktanakul• 2 เดือนที่แล้วmeter: mostly-false--middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไฟไหม้โรงงานในนิคมฯมาบตาพุด ทำให้สารเคมีรั่วไหลสู่ชุมชนส่งผลให้อากาศเป็นพิษ อันตรายต่อชุมชนสุขภาพภาคตะวันออก สภาพอากาศKANTA• 2 เดือนที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรากฟันเทียมฟรี สำหรับคนอายุ 55 ปีขึ้นไปสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 2 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ?ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ? การย้อมสีผมในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการย้อมเพื่อเปลี่ยนลุคและสไตล์ หรือการซ่อนผมขาว ได้รับการยอมรับในทุกช่วงวัย การย้อมสีผมบ่อยๆจะทำให้เราได้รับสารเคมีอย่างต่อเนื่อง แต่สารเคมีเหล่านั้นไม่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่หากการได้รับสารเคมีในน้ำยาย้อมสีผมเป็นประจำอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ (ข้อมูลจาก Harvard Medical School) ยาย้อมผมตามท้องตลาดมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทสีชั่วคราว ถ้าสระผมแล้วสีก็จะค่อยๆหายไป 2. ประเภทสีกึ่งถาวร หรือเรียกว่าสีโกรกผม สามารถปิดหงอกได้ไม่เกิน 30% ถ้าสระผม 5-6 ครั้ง ก็จะค่อยๆหลุดออกไป 3. ประเภทสีย้อมถาวร หรือเรียกว่าสีย้อมผม สามารถปกปิดผมได้ สระแล้วสีไม่หลุดลอก แต่วิธีนี้งานวิจัยระบุว่าจะทำให้โครโมโซมร่างกายเสียหาย ถ้าย้อมบ่อยๆเซลล์อาจจะกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ ส่วนผสมในน้ำยาย้อมผมที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้ 1. สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ : ทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบ และระคายเคือง 2. สารฟีนิลินไดอะมีน หรือสีย้อมผมชนิดถาวร : อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้ 3. แอมโมเนีย : สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมเสีย รากผมอ่อนแอ 4. สารซิลเวอร์ไนเตรต : ทำให้เกิดการระคายได้ 5. สารเลดอะซีเตด : หากสะสมในร่างกายจะทำลายสมอง ประสาทสัมผัส และจัดอยู่ในสารก่อมะเร็ง (ข้อมูลจาก Herbplus+) เราจึงควรมีหลักการในการเลือกน้ำยาย้อมสีผม ดังนี้ 1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน มีวันหมดอายุ วิธีใช้ ส่วนผสม และเลขที่จดแจ้งระบุไว้ชัดเจน 2. เลือกน้ำยาที่ไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย 3. ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้ง 4. เช็กความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ไม่ควรมีมากกว่า 6% เพราะจะทำให้ผมแห้ง ผมกระด้าง และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะได้ 5. ใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเป็นหลัก (ข้อมูลจาก Herbplus+ และ Wongnai) นอกจากนี้ คนที่ย้อมสีผมอยู่แล้ว ไม่ควรย้อมเกิน 9 ครั้งต่อปี นพ.วีรวุฒิ อิ่มสาราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ยังไม่เคยย้อมผมไม่ควรย้อมสีผม โดยเฉพาะคนที่ผมบางหรือผมน้อยอยู่แล้ว เพราะการย้อมผมทำให้รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดร่วงได้ง่าย หากสะสมในร่างกาย อาจทำร้ายสมอง ประสาทสัมผัส ที่สำคัญยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน และ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า น้ำยาย้อมสีผมยังเป็นอันตรายต่อช่างทำผม เพราะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่าผู้ที่ย้อมผม เนื่องจากต้องสัมผัสกับสารเคมีที่มาจากน้ำยาต่างๆเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยต่างๆ พบว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ายาย้อมสีผมเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ ดังนั้นเวลาที่ย้อมสีผมควรอยู่ในที่ที่ระบายอากาศได้ดี มีการสวมถุงมือ และใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีทุกครั้ง (สาธิตา แสวงลาภ, ฤดีรัตน์ มหาบุญปี ติ, อัจฉรา นราศรี, 2562) (ข้อมูลจาก Herbplus+,สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข) เครือข่าย : ชมรมสื่อสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามสุขภาพมะเร็งapinya25460• 2 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกินผลิตภัณฑ์วิตามินซี รักษาไข้หวัดได้สุขภาพไม่ระบุชื่อ• 2 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยคนมีอายุต้องห้ามกินส้มโอ !! ******* ใครกินยาลดความดัน ยาลดไขมันควรอ่าน งานจะยุ่งขนาดไหน ก็ต้องอ่าน เพียงกินแค่ส้มโอ ก็ทำให้เกือบเสียชีวิตได้ อันตราย...จำเป็นต้องระวัง!! วันนี้ที่เมืองเจียงซี มีผู้สูงวัยคนหนึ่งกินส้มโอเข้าไป หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงรู้สึกผิดปกติ ที่บ้านจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะที่เดินทางไปโรงพยาบาล ผู้สูงวัยก็รู้สึกโลกหมุน หัวใจเต้นเร็ว และก็เป็นลมไป เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตรวจร่างกายเรียบร้อย แพทย์ที่รักษาดูอาการได้วิเคราะห์สาเหตุออกมาว่า ส้มโอไม่มีพิษภัยต่อร่างกาย ถ้าจะมีปัญหาคือ ก่อนกินส้มโอ ผู้สูงวัยได้กินยาลดความดัน แพทย์ได้แนะนำว่า ส้มโอมีผลต่อการทำงานของยาลดความดัน ทำให้ยากลายเป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกายได้ ภายในส้มโอมีสาร Coumarin ซึ่งมีผลต่อเอนไซม์ในตับ ทำให้การทำงานของเอนไซม์นั้นลดลง ซึ่งเอนไซม์นี้มีผลต่อการเผาผลาญยา เมื่อยาเผาผลาญไม่ได้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเลือดเข้มข้นขึ้น ทำให้สะสมกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ ในส้มโอยังมีสารที่เรียกว่า Naringenin ทำให้ยาเข้าไปในลำไส้ได้เร็วขึ้น เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าไป ก็จะทำให้ในเลือดมีความเข้มข้นของยาสูง ทำให้ร่างกายของคนเกิดอาการมึนหัวหรือความดันเลือดต่ำได้ แพทย์ผู้ชำนาญการได้เตือนว่า การกินส้มโอแบบนี้ให้โทษแก่ร่างกาย หากเป็นห่วงคนรอบตัว กรุณาส่งต่อให้พวกเขา! 1.ส้มโอไม่ควรกินพร้อมกับอาหารทะเล เพราะส้มโอมีวิตามินซีสูง ในอาหารทะเลจะมีธาตุสารหนูสูง วิตามินซีและสารหนู เมื่อเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เกิดสารจำพวกอาร์เซนิกไตรออกไซด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหากร่างกายได้รับเป็นปริมาณมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 2.ส้มโอไม่สามารถกินร่วมกับยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดไขมันในเส้นเลือด, ยาแก้แพ้ (Terfenadine), ยากดภูมิคุ้มกัน (Cyclosporine), คาเฟอีน, ยาต้านแคลเซียม (Calcium Channel Blocker), ยาลดอาการปวด (Cisapride) เป็นต้น ดังนั้นผู้ป่วยที่รับประทานยาเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ไม่ควรกินส้มโอหรือน้ำส้มโอ เรื่องนี้กรุณาอย่าเก็บไว้ดูเพียงคนเดียว ส่งต่อให้คนอื่นให้ได้มากที่สุด สิ่งนี้อาจช่วยชีวิตคนรอบข้างและเพื่อนๆ ของคุณให้พ้นจากอันตรายเหล่านี้ได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนนิยมกินส้มโอ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน หวังว่าคุณจะเป็นคนแรกที่ส่งต่อเรื่องราวที่มีประโยชน์นี้ ยิ่งส่งต่อมาก ก็จะทำให้คนยิ่งระมัดระวังกันมากขึ้น เพียงใช้เวลาแค่หนึ่งวินาทีในการส่งต่อแก่คนรู้จัก ขอบคุณมากๆ Cr.น.พ.อนันต์ ประสานสุขสุขภาพลดความอ้วนไม่ระบุชื่อ• 3 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจีนตรวจพบทุเรียนไทยปนเปื้อนแคดเมียมสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 3 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยฟ้าทะลายโจรรักษาไข้หัดแมวได้จริงไหมปัจจุบัน “แมว” เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสัตว์ ทำให้จำนวนแมวที่เลี้ยงเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคไข้หัดแมวซึ่งเป็นสาเหตุการตายสูงในแมวทุกปี หลายคนจึงหันไปใช้ “ฟ้าทะลายโจร” เป็นสมุนไพรในการรักษาโรคนี้ แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมันในการรักษาโรคไข้หัดแมว (แหล่งข้อมูล https://www.vetdiags.com/post/vetdiags-feline-parvovirus) จากการสัมภาษณ์ อาจารย์นายสัตวแพทย์ วัชระ วิปัสสา อาจารย์ประจำคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ให้ข้อมูลว่า “ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าการใช้ฟ้าทะลายโจร มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไข้หัดแมวมากเพียงใด และยังไม่ทราบว่ามีพิษหรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่จะไปใช้ในสัตว์ ด้วยข้อมูลที่เคยศึกษา การใช้ฟ้าทะลายโจรยังไม่เป็นที่ยอมรับและยังมีคำถามอยู่มากว่า ฟ้าทะลายโจรมีพิษอย่างไรต่อแมวที่เป็นไข้หัดมากเพียงใด จึงไม่แนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาหลักในการรักษาไข้หัด” ทั้งนี้ อาจารย์นายสัตวแพทย์ วัชระ วิปัสสา ได้ให้ข้อแนะนำเมื่อแมวติดไข้หัดแมวว่า “แผนการรักษาในปัจจุบันที่ดีที่สุดคือการรักษาแบบ supportive หรือการรักษาตามอาการ อาการของแมวจะดีขึ้นภายใน 2ถึง 3 วันและจากนั้นภูมิคุ้มกันในร่างกายแมวจะขจัดเชื้อออกไปเอง” (ข้อมูลเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567) (แหล่งข้อมูล https://www.youtube.com/watch?v=c6qPM3n10do, https://www.thairath.co.th/news/society/1000267) ดังนั้น ฟ้าทะลายโจรจึงไม่สามารถรักษาโรคไข้หัดแมวได้ และการรักษาตามอาการเป็นวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบันสุขภาพยาสมุนไพรธิติวัฒน์ ทารมย์• 3 เดือนที่แล้วmeter: false3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่ กินหมูกระทะเสี่ยงเป็นมะเร็งเตือนประชาชนกินอาหารปิ้ง ย่าง หรืออาหารประเภท รมควันไหม้เกรียม รวมทั้ง “หมูกระทะ”เป็นประจำ หากสะสมนาน เสี่ยงได้รับสารอันตราย ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งตับ และท่อน้ำดี (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/181163/ ) โดยพบสารก่อมะเร็งในหมูกระทะ ที่ปนเปื้อนมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ สารไนโตรซามีน (Nitrosamines) สารกลุ่มพัยโรลัยเซต (Pyrolysates) และสารในกลุ่มของพีเอเอช (PAHs) โดยการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็งจะพบได้ในส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหาร พบในควันที่เกิดจากการปิ้งย่างของอาหารและควันที่เกิดจากการเผาไหม้ของเตาถ่าน (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ ) จากการสัมภาษณ์ อ.ดร.นิจฉรา ทูลธรรม อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลว่า “การกินหมูกระทะ” บ่อยครั้ง ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารอันตรายจากการรับประทานหมูกระทะมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ สารไนโตรซามีน (nitrosamines) ที่พบใน ปลาทะเลย่าง ทำให้เสี่ยงสารก่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร สารพัยโรลัยเซต (Pyrolysates) พบมากใน ส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่าง สารกลุ่มนี้บางชนิดมีฤทธิ์ร้ายแรงทางพันธุกรรม สารพีเอเอช(PAHs) สารนี้จะพบในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารที่ปรุงด้วยการปิ้ง ย่าง หรือรมควันของเนื้อสัตว์ที่มีไขมัน หากกินเข้าไปเป็นประจำจะมีโอกาสเสี่ยงต่อ การเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับและท่อน้ำดี อ.ดร.นิจฉรา ทูลธรรม ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ข้อปฏิบัติในการเลือกกินหมูกระทะให้ปลอดภัย” หากกินหมูกระทะตามร้านอาหาร เช่น ร้านหมูกระทะบุฟเฟต์ ควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะการปิ้ง ย่าง เช่น เตาไฟฟ้า หรือเตาไร้ควัน ซึ่งสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน หรือ เลือกร้านที่ได้รับป้ายอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) ดังนั้น การรับประทานหมูกระทะ ควรรับประทานไม่เกิน 1-2 ครั้งต่อเดือน และควรออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่ดี (ข้อมูลเมื่อ 16 กรกฎาคม 2567)สุขภาพมะเร็งญาณาธิป ชะศรี• 3 เดือนที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยทานไข่ลวกดีต่อสุขภาพจริงหรือ“ไข่” ถือเป็นอาหารที่แสนพิเศษ มีสารอาหารหลายชนิด ส่วนของไข่ขาวมีโปรตีนสูง มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนไข่แดงก็มีสารอาหารหลายชนิด ทั้งโปรตีน ไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว คนส่วนใหญ่จึงนำไข่มาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน ในปัจจุบันสายรักการดูแลสุขภาพ ก็เลือกการรับประทานไข่คู่กับผักผลไม้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ และอีกเมนูที่นิยมรับประทาน ก็คงไม่พ้นเมนู “ไข่ลวก” เมนูง่ายๆในมื้อเช้าและมักเป็นเมนูที่หลายคนชอบทานคู่กับเมนูโปรด แต่การรับประทานไข่ลวกนั้นดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่? (ข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.techace.co.th/blog-1/2023/1/4 : https://www.samrong-hosp.com88 จากการสัมภาษณ์ อ.ดร.นิจฉรา ทูลธรรม อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีทางสุขภาพและความปลอดภัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า “ไข่ลวกหากซื้อมาแล้วพบว่ามีส่วนของไข่ที่ไม่สุกเลย มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อโรค โดยเฉพาะส่วนของไข่ดาวที่ไม่สุกจะเกิดการขัดขวางการดูดซึมวิตามินที่เรียกว่า ไบโอติน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย และเสี่ยงได้รับเชื้อที่เรียกว่า ซัลโมเนลลา ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้ท้องเสีย หากได้รับเชื้อในปริมาณที่มากก็เสี่ยงทำให้ถึงแก่ชีวิตได้” ทั้งนี้ อ.ดร.นิจฉรา ทูลธรรม ได้ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานไข่เพิ่มเติมว่า “ในหนึ่งวันควรมีเมนูที่ประกอบไปด้วยไข่ แต่ไม่ควรรับประทานไข่เพียงอย่างเดียว ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีความหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคไขมัน คอเลสเตอรอลสูง ควรรับประทานไข่ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ” (ข้อมูลเมื่อ 16 ก.ค. 67) สรุปได้ว่า การรับประทานไข่ลวก เสี่ยงได้รับเชื้อ “ซัลโมเนลลา” ในไข่ดิบที่ทำให้ท้องเสีย อาเจียน และการรับประทานไข่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ เครือข่าย : ชมรมสื่อสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หมวดหมู่ : ให้ความรู้สุขภาพPare Petchara• 3 เดือนที่แล้วmeter: mostly-false--middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยการสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่มวลได้หรือไม่รู้หรือไม่ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่มวน หลายคนเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีในการเลิกบุหรี่มวน แต่จากงานวิจัยและข้อมูลทางการแพทย์ พบว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่มวนได้จริง และยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกมากมาย ข้อมูลจาก https://www.hfocus.org/content/2023/09/28520 จากการสัมภาษณ์ เภสัชกรหญิง อริสา คำรินทร์ เภสัชกรหญิง ร้านยาในจังหวัดมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า การสูบบุรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยให้เลิกเลิกบุหรี่มวล แต่เป็นการทำให้เสพติดสารนิโคตินที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งนำไปสู่ โรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง และโรคในระบบทางเดินหายใจ พร้อมกับให้คำแนะนำว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางออกในการเลิกบุหรี่มวน 1.ไม่ช่วยเลิกบุหรี่: ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มวนส่วนใหญ่จะติดบุหรี่ไฟฟ้าแทน หรือสูบทั้งสองชนิดควบคู่กันไป 2.อันตรายต่อสุขภาพ: บุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปอด หัวใจ และระบบอื่นๆ ในร่างกาย ผลกระทบอื่นๆ: 1.ไม่ปลอดภัย: แม้จะไม่มีควันบุหรี่ แต่บุหรี่ไฟฟ้าก็ปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายออกมา 2.เสพติด: นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดการเสพติดได้เช่นเดียวกับบุหรี่มวน 3.ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องความปลอดภัย: งานวิจัยเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุมเพียงพอที่จะยืนยันความปลอดภัยได้ “เลิกบุหรี่มวนดีกว่า แต่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลิกบุหรี่ที่ปลอดภัยและได้ผล” เลิกบุหรี่ โทร 1600 หรือปรึกษาที่ร้านยามหาวิทยาลัยมหาสารคาม และร้านยาที่มีเภสัชกรใกล้บ้านสุขภาพWisit Kongkam• 3 เดือนที่แล้วmeter: middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่ เทคฮอร์โมนในปริมาณที่มากทำให้ใบหน้าสวยขึ้นในปัจจุบันมีผู้คนหลากหลายที่มีความสนใจในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศ การเทค ฮอร์โมนจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมมาก แต่มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่ทราบการเทคฮอร์โมนอย่างถูกต้อง และอาจไปซื้อยา มาเทคฮอร์โมนเองจนเกิดอันตรายต่อร่างกาย ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ) จากการสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิง ข้ามเพศเป็นการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับให้ยากดฮอร์โมนเพศชายที่มีตามเพศสภาพให้ ลดลง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการเทคฮอร์โมนในกลุ่มนี้จะทำให้สรีระร่างกายใกล้เคียงเพศหญิงมากขึ้น เช่น มี หน้าอก เสียงเล็กแหลมขึ้นหนวดเคราน้อยลง กล้ามเนื้อเล็กลง เป็นต้น (ข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ) ข้อแนะนำในการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิงข้ามเพศ • ร่างกายของคนข้ามเพศแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนจึงต่างกัน ควรที่จะเข้ารับการปรึกษา จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มให้ฮอร์โมน • หาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาฮอร์โมนที่ถูกต้อง รวมทั้งอันตรายของการใช้ยาเกินขนาด • วัดระดับฮอร์โมน testosterone และ estradiol ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่จะ ตามมา ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ) ดังนั้นการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิงข้ามเพศ เป็นการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย และกดฮอร์โมนเพศชาย ให้ลดลง ซึ่งนั่นจะทำให้สรีระร่างกายใกล้เคียงเพศหญิงมากขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่นรูปลักษณ์ของใบหน้าได้ ปรับเปลี่ยนได้แค่สรีระร่างกายสุขภาพความสวยความงามChittakon Pawakho• 3 เดือนที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผู้อาวุโสที่รักเคารพนับถือ . สิ่งที่ต้องทำตั้งแต่วันพรุ่งนี้ หมั่นตรวจวัด : 1. ค่าความดันโลหิต 2. ค่าน้ำตาล 3. ค่า 𝒕𝒓𝒊𝒈𝒍𝒚𝒄𝒆𝒓𝒊𝒅𝒆𝒔 4. ค่า 𝒄𝒉𝒐𝒍𝒆𝒔𝒕𝒆𝒓𝒐𝒍 . ทานให้น้อยที่สุด : 1. เกลือ 2. น้ำตาล 3. แป้งขัดขาว 4. ผลิตภัณฑ์จากนม 5. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป . ควรทาน : *𝑭𝑶𝑶𝑫 𝑵𝑬𝑬𝑫𝑬𝑫:* 1. ผัก 2. ธัญญพืช 3. ถั่วทุกชนิด 4. ไข่ 5. น้ำมันสกัดเย็น (มะพร้าว, มะกอก) 6. ผลไม้ . และควรลืม 3 สิ่งนี้ : 1. อายุ 2. อดีต 3. คำตำหนิ-ติเตียน-นินทา . และสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาเอาไว้ : 1. ครอบครัว 2. เพื่อนที่ดี 3. การคิดบวก 4. บ้านที่สะอาดและอบอุ่น . และ 3 สิ่งพื้นฐานที่ต้องยอมรับ : 1. ยิ้มและหัวเราะเสมอ 2. ออกกำลังเป็นประจำ 3. ควบคุมน้ำหนัก . และะ 6 สิ่งที่ต้องอยู่ในวิถีชีวิต : 1. อย่ารอจนกระหายน้ำแล้วจึงดื่มน้ำ 2. อย่ารอจนเหนื่อยแล้วจึงพัก 3. อย่ารอจนป่วยแล้วจึงหาหมอ 4. อย่ารอจนให้มีปาฏิหาริย์แล้วจึงเชื่อในศาสนา 5. อย่าได้เสียความมั่นใจในตนเอง 6. คิดบวกและเชื่อมั่นว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าเสมอ . ช่วยกันส่งให้ผู้ที่เรารู้จักในวัย 50-90 ปีสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 3 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยรับประทานยาชุด เสี่ยงอันตรายจริงหรือ ?รับประทานยาชุด เสี่ยงอันตรายจริงหรือ ? ” ยาชุด “ คือ ยาหลายชนิดที่ถูกจัดรวมกันเป็นชุด ภายใน 1 ชุดอาจมียา 3–5 ชนิด แต่ละชุดจะมีสรรพคุณต่างกัน ซึ่งอาจประกอบไปด้วยยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร หรือแม้แต่ยาปลอม ยาชุดหาซื้อได้ง่าย ตามร้านของชำ รถหาบเร่หรือแม้แต่ร้านยาที่ไม่ได้มาตรฐานบางร้าน อีกทั้งการใช้ยาชุดยังส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ( ข้อมูลเว็บไซต์ : https://yaya.co.th ) • จากการสัมภาษณ์ เภสัชกรหญิงอริสา คำรินทร์ เภสัชกรปฏิบัติการประจำร้านยา จังหวัดมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลว่า “ ยาชุดอันตรายจริง เพราะไม่รู้ว่ายาที่อยู่ในนั้นมียาอะไรบ้าง อาจได้รับชนิดเดียวกันใน 3 - 5 เม็ด ทำให้ได้รับยาซ้ำซ้อนทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงของยา เช่น ยาแก้ปวดกินหลายตัวรวมกันจะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือกินต่อเนื่องกันบ่อยๆก็ทำให้ไตวาย ตับวายได้เหมือนกัน “ • นอกจากนี้เภสัชกรหญิงอริสา คำรินทร์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ อีกหนึ่งอย่างคือเราไม่รู้เลยว่าในยาชุดนั้นเป็นยาจริง ยาปลอม ยาสมุนไพร ยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งเป็นอันตรายมากๆในการใช้ยาเพราะยาชุดไม่ได้ระบุไว้ว่ามียาอะไรบ้าง แต่ถ้าคนที่มีประวัติแพ้ยารับประทานเข้าไป การที่เรากินยาที่เราแพ้เข้าไป อาการของการแพ้ยาอาจทำให้เสียชีวิตได้เลย “ • ทั้งนี้ เภสัชกรหญิงอริสา คำรินทร์ ให้ข้อแนะนำว่า “ อย่างแรกหยุดกินยาชุด หรือไม่ซื้อยาชุดตามร้านทั่วไป ถ้าไม่แน่ใจควรไปปรึกษาซื้อยาที่ร้านขายยาที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีเภสัชกรประจำร้านขายยาประจำอยู่ ถ้าอาการหนักควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้านที่มีหมอประจำอยู่ ” (ข้อมูลวันที่ 09 สิงหาคม 2567 ) • ดังนั้น ควรหยุดใช้ หยุดซื้อยาชุดเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรงต่อร่างกาย • เครือข่าย : สื่อสร้างสรรค์ มมส. Official หมวดหมู่ : ให้ความรู้สุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังpepsiteeraphat• 3 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น