759 ข้อความ
- 1 คนสงสัยชาวอียิปต์เดินเท้าข้ามชายแดนไปส่งของบริจาคยังกาซาข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 6 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยชาวเลบานอนปีนกำแพงข้ามแดนไปช่วยกาซาข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 6 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยครม. อนุมัติสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคายข่าวการเมืองภาคอีสานไม่ระบุชื่อ• 6 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกระทรวงการคลังจัดทำเอกสารการเบิกถอนวงเงินฉุกเฉิน 840 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้า SME ธนาคารทหารไทย ได้สิทธิ์เงินกู้ข่าวการเมืองแอคปลอมไม่ระบุชื่อ• 6 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเขาแชร์มา ............ วันเสาร์ ที่ 21 นี้ ไม่จำเป็นอย่าผ่านไปแยกอโศกเขาแชร์มา ............ วันเสาร์ ที่ 21 นี้ ไม่จำเป็นอย่าผ่านไปแยกอโศก ชาวมุสลิมจะไปชุมนุมกัน คิดว่าอาจเคลื่อนไปสถานฑูตอเมริกา งานนี้ไม่ธรรมดา อย่าเสี่ยง บอกลูกเล็กเด็กๆ ที่บ้านด้วย มีชุมนุมที่สถานทูตอิสราเอล ฝ่ายความมั่นคงเตรียมป้องกันอย่างสูง เกิดเหตุเผาสถานทูตสหรัฐ ที่ เบรุต และอีกหลายแห่งในประเทศอาหรับ ม็อบนัด 10.00 น. ควรเลี่ยงอโศก/สุขุมวิท ! มีประมาณ 600 คน ! จากใต้มีมาไม่น้อย ! ฝ่ายความมั่นคงไทยพร้อมรับมือข่าวการเมืองภาคใต้ เสียดสีMrs.Doubt• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยปาเลสไตย์ แห่ศพประท้วงอิสราเอล สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ต่างวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน รวมทั้งศพที่ตายแล้วยังลุกขึ้นวิ่งหนีไม่คิดชีวิตข่าวการเมืองมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวเงิน ค่าป่วยการ อสม.ปีงบประมาณ 67 2,000 บาทใช่ไหมข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองล้อเลียน เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอ่าต่อหน้า3 ……….ข้อเขียนนี้ดีมากครับ ขออนุญาตเน้นเสริม เพื่อให้ถูกต้องเพิ่มเติมในบางแง่มุมนะครับ ….ทั้งหมดเหล่านี้ในท่อนที่1 เกิดขึ้นได้ก็ด้วยความขั่วอัปรีย์ทุรชาติของไอ้โกงชาติ ที่ขายหุ้นเครือมือถือให้สิงคโปร์เอาไป lock ซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลของ ปตท. ที่มันเองทำการแปรรูป ….. ทั้งหมดเหล่านี้ถ้าเกลือไม่เป็นหนอนนรก พวก Zionists ก็จะทำไม่ได้ไม่ได้….. (ดูกรณีในจีน หรืออีกหลายๆ ประเทศที่พวก Zionists ไม่สามาร้ข้าไปทำอะไรได้)…. ส่วนในตอนที่ 2 นั้นผู้เขียนปูพรมกล่าวหานักการเมืองทุกฝ่ายที่เข้าบริหารประเทศ และตีกันให้โจรขายชาติที่เคยหนีไปอยู่ดูไบเป็นแค่นอมินีนั้นไม่น่าจะถูกต้อง ….. ในอดีตฝ่ายพวกโกงชาติที่ร่วมทำประเทศวิบัติทำให้ไอ้โกงชาติร่ำรวยมหาศาลเป็นเสือนอนกินเป็นตัวบงการที่แท้จริงอย่างไม่รู้จบ ….. แต่รัฐบาลที่เข้ามาแก้ช่วงก่อนคือท่านชวน ที่ถือว่ามือสะอาด ไม่โกงทุรชาติ ไม่ร่ำรวยมหาศาล หรือก่อนหน้านั้นก็เป็นป๋าเปรม ที่ไ่ม่ได้โกงมหาศาล ท่านตายไปก็ยกมรดกมี่มีเพียงร้อยกว่าล้านให้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ ….. หรือล่าสุดก็คือลุงตู่ที่เข้ามาแก้ความวิบัติของประเทศจากหนี้สินมหาศาลที่โกงจากจำนำข้าวและพิษโควิด….. ในขณะที่นักการเมืองชั่วที่เข้ามาร่วมทีมเป็น รมต. ช่วง 4 ปีหลังบางคน ก็พยายามถ่วงพยายามกันท่าการดำเนินงานเพื่อให้เอื้อกับการกับเข้ามาของโจรโกงชาติใหม่อย่างที่เห็น …. ลุงไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำมันแพงได้ก็มีเบื้องหลังอย่างบทความกล่าวไว้ในหลายช่วงบวกกับการแปรรูป ปทต. และการถือหุ้นมหาศาลของพวกโกงชาติ …….ข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยทัวร์ลง 'พรรคก้าวไกล' แสดงละครเก่ง ดีแต่ตรวจสอบคนอื่น เรื่องสส.ฉาวเงียบกริบ12 ต.ค.2566 - จากกรณีฉาวโฉ่ของนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล โดนแฉว่ามีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศทีมงานอาสาสมัครหญิงสาวรายหนึ่ง ล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล - Move Forward Party โพสต์กราฟิกเป็นภาพ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. หนึ่งในคณะกรรมการวินัยตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ระบุข้อความว่า “สนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ความเหลื่อมล้ำที่รู้ๆกัน ความยุติธรรมจึงถูกตั้งคำถาม” อย่างไรก็ตามได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เช่น เคลียร์คนในพรรคตัวเองให้ได้ก่อน พูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว , ดีแต่ว่าคนอื่น ไม่ดูคนในพรรคตัวเองเลย 5555555 ดีอย่างเกียวคือด่าเก่ง แสดงละครเก่ง สะตอเก่ง , ตรวจสอบคนในพรรคตัวเองก่อนเลย พูดแถลงเหมือนกับแถ , แต่ละเรื่องไม่เมาก็สตรี , อย่ามัวเงียบเรื่องฉาว สส.ของพรรค , ดีแต่ตรวจสอบคนอื่น เรื่องในพรรคตัวเองไม่จัดการเรื่องตั้งแต่สิงหาคม แต่ไม่เห็นทำอะไรเลยทั้งๆที่หลักฐานเยอะไปหมด , แถลงการณ์ให้ไวกว่านี้อย่าให้ประชาชนหมดศรัทธาข่าวการเมือง เสียดสีanywaystravel02• 7 เดือนที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนิยายเรื่องเงินดิจิทัลฉบับลูกทุ่ง ตอนที่2.... เอาละครับ มาถึงตอนนี้คิดว่าทุกคนคงเข้าใจแล้วนะว่าเงินดิจิทัลมันมีที่มาที่ไปอย่างไร เข้าสร้างมันมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แม้ว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของมันมันจะดูไม่ขาวนักก็หลิ่วตาเสียบ้าง ถ้ามันจะทำให้ท่านรวยได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทได้ภายในห้าหกเดือนหลังที่มันออกมาใช้ ผมไม่ได้พูดเล่นๆนะ พูดเรื่องจริงเลย เรื่องเงินดิจิทัลนี้มันเป็นความฝันของนักการเงินและนักคอมพิวเตอร์ในเมืองไทยกันอย่างมาก ที่จะสร้างเหรียญดิจิทัลของคนไทยให้มันดังกระหึ่มโลก เย่างเช่นบิตคอยล์ แม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์เอง ก็ยังมาลงทุนในธุรกิจนี้เลย แต่มาติดขัดในกฎเกณฑ์ที่ออกมาโดย กกต., กลต., ธปท., และหน่วยงานอื่นๆอีกเยอะ เพื่อเบรกการทำธุรกิจเรื่องเงินดิจิทัลในเมืองไทย ใครจะทำธุรกิจในเรื่องนี้ต้องไปขออนุญาตจากหน่วยงานต่างๆมากมาย ที่อาจจะผ่าน อาจจะไม่ผ่าน อาจจะต้องรอฟังผลคำพิจารณา อาจะต้องรอแก้กฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร์ก่อน ที่รวมๆแล้วไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานกี่สิบปี ธุรกิจนี้ก็เลยยังไม่รุ่งเรืองในเมืองไทย ซะที อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคอันใหญ่หลวงของวงการเงินดิจิทัล ที่ทำให้ธุรกิจนี้ไม่มั่นคง ก็คือการรับประกันค่าเงินเหรียญที่ตนออกมาว่าจะมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่านี้ เท่านั้น ไม่มีวันต่ำกว่านี้ เช่นจะมีค่าต่ำสุดหนึ่งบาท ไม่มีวันต่ำกว่านี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีบางเหรียญจะเริ่มมีคนออกมาค้ำประกันบ้างแล้วก็ตาม แต่ว่าเครดิตของคนค้ำประกันนั้น คนไม่ค่อยเชื่อถือ วันหนึ่งถ้าคนค้ำประกันอาจจะมุดดินหายไปแบบนาย Nakamoto จะไปตามเอากับใคร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผ่านมามีผู้ที่ทำธุระกิจเกี่ยวกับเงินดิจิทัลในต่างประเทศมีการล้มละลายไปแล้วหลายแห่ง พอมาถึงยุคพรรคเพื่อไทยเจ้าพ่อโปรแจ๊ค นักคิดแบบศรีธนนทชัย ก็มองออกว่า ช่องทางเดินมันจะทำอย่างไรจึงจะเลี้ยวลดผ่านวงเขาวงกตไปได้อย่างสบายบื้อ สะดือโบ๋ แก้ปัญหาข้างต้นได้ทั้งหมด ซึ่งต้องขอปรบมือให้นักคิดแห่งพรรคเพื่อไทยจริงๆ วิธีการของพรรคเพื่อไทยก็คือ 1) เอาเรื่องการแจกเงินดิจิทัล ที่มีมูลค่า 10,000 บาทให้กับประชาชน มาเป็นตัวดึงดูดเสียงสนับสนุนจากประชาชนหลายล้านคนที่ไม่รู้เรื่องในรายละเอียดของเงินแบบนี้ ทำให้เกิดความกดดันกับทุกหน่วยงานที่คุมกฎ 2) วางหมากให้นายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆที่คุมกฎเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยจะทำเรื่องเงินดิจิทัลนี้ แทนที่ขั้นตอนต้องมายื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบ Buttom Up จากข้างล่างไปข้างบน แบบนักธุรกิจทั่วไป มันกลายเป็นการสั่งลงมาจากข้างบนลงมาข้างล่าง แบบ Top Down เพื่อที่การแก้ไขกฎระเบียบต่างๆที่ขัดขวางการทำงานในโครงการนี้ ให้มันคล่องตัว หรืออนุมัติมาเลย แบบหลักการที่ว่ากฎนั้นคนออกมาได้ คนก็แก้ได้ แก้แล้วอะไรมันจะเกิด ก็ไม่รู้แล้ว แม้กระทั่งผู้ว่าแบ็งค์ชาติท่านยังเรียกมานั่งคุยเลย ถึงแม้ว่าไม่เปิดเผยเรื่องที่คุยกัน เราก็เดาได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร 3) ปัญหาที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของเงินดิจิทัล คือการประกันค่าเงินขั้นต่ำของเหรียญที่ต้องทำให้คนเชื่อมั่นว่าค่าเงินจะมั่นคง ทางพรรคก็บอกว่า รัฐบาลไทยจะค้ำประกันว่าค่าเงินของเหรียญที่พรรคออกมานั้นจะเท่ากับหนึ่งบาท หลังจากออกเหรียญไปแล้วหกเดือน ผู้ถือเหรียญสามารถนำมาขึ้นเงินกับรัฐบาลได้ ในอัตรา หนึ่งเหรียญต่อหนึ่งบาท โดยไม่ได้ระบุวันหมดอายุ หรือวันที่สิ้นสุดของการเอาเหรียญมาแลกเป็นเงินสดแดงๆ นั่นคือไม่ว่ารัฐบาลท่านเศรษฐาจะหมดสมัยไปด้วยสาเหตุอะไรก็ตามรัฐบาลใหม่ที่มาก็ต้องให้แลกเงินต่อไปในอัตราหนึ่งบาทเช่นเดิม นี่คือสววรค์ของพวกฟอกเงินชัดๆ ที่ไม่มีรัฐบาลใดในโลกนี้ที่จะกล้าออกมาค้ำประกันเงินดิจิทัลที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ออก เห็นไม๊ครับ ไม่ให้ผมปรบมือให้ได้อย่างไร เพราะกุนซือแห่งพรรคเพื่อไทยสามารแก้ปัญหาทั้งสามข้อที่เป็นจุดอ่อนของเงินดิจิทัลของโลกได้อย่างสวยงาม ไชโย! ไชโย! ไชโย! ขอให้โครงการนี้ของพรรคเพื่อไทยสำเร็จโดยเร็ว....... ไม่ใช่ผมอยากได้เงินหมื่นบาทที่จะมาแจกนะครับ เงินแค่หมื่นบาทมันกระจอกสำหรับผม เพราะโครงการนี้มันจะทำเงินให้ผมหลายแสนบาท หรืออาจจะหลายล้านบาท หรืออาจะหลายร้อยล้านบาทหากผมมีแรงทำ คุณคิดออกหรือยังว่าเราจะทำเงินกันได้อย่างไร? ผมหมดเวลาเขียนต่อพอดี ผมอยากให้ท่านไปลองคิดดูสักพักว่าเราจะทำเงินจำนวนมากๆจากโครงการนี้ได้อย่างไร? แล้วผมจะมาเฉลย มาดูว่าที่ท่านคิดกับที่ผมคิดมีอะไรตรงกันบ้าง และอะไรที่ไม่ตรงกันแต่เอามาปรับใช้หาประโยชน์จากโครงการนี้ไปด้วยกัน เขียนมาถึงตอนนี้มีคนข้างห้องตะโกนถียงกับโฆษกทีวีว่า “แล้วมันจะเอาเงิน 560,000 ล้านบาทมาจากไหนมาแจกให้ชาวบ้าน?” ทำให้ผมนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นได้ ผมจะเฉลยคร่าวๆตรงนี้ก่อน แล้วจะอธิบายรายละเอียดต่อไปภายหลัง คำตอบของผมก็คือ มันจะมีคนมาขอขึ้นเป็นเงินสดแดงๆน้อยมาก น้อยพอๆกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลคาดการว่าจะเก็บมาได้นั่นแหละ ส่วนที่เหลือทำไมมันไม่มีคนมาขึ้นเงินหว่า???? ............ ผมจะมาเฉลยในตอนที่สามครับ ..... ...ณรงค์ กุลาข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนิยายเรื่องเงินดิจิทัลฉบับลูกทุ่ง ตอนที่1... เนื่องจากในขณะนี้มีการพูดถึงการที่รัฐบาลจะจ่ายเงินดิจิทัลให้กับประชาชนทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปเป็นจำนวนเงิน เทียบเท่าเงินบาทที่เป็นกระดาษที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ 10,000 บาทต่อคน กันอย่างกว้างขวาง ทำให้ชาวบ้านทั่วๆไปงุนงง ฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที บางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี สับสนไปหมด ผมเลยอยากจะเอาเรื่องนี้มาพูดอธิบายใหม่เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ เอาแบบลูกทุ่งที่ไม่ใช่แบบนักวิชาการ หรือนักการเมืองพูด เริ่มแรก โปรดเข้าใจก่อนว่า รัฐบาลไม่ได้เอาเงินกระดาษใบแดงๆมาแจกให้ หรือไม่ได้เอาเงินไปเข้าธนาคารให้เราแต่อย่างใด แต่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่แทนธนาคารทั้งๆที่ไม่ใช้ธนาคาร เอาเงินดิจิทัลที่ตีมูลค่าว่าเท่ากับ 10,000 บาทมาจ่ายให้เราแทน ไอ้เงินดิจิทัลนี้พรรคเพื่อไทยก็สร้างขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีอะไรมาค้ำเป็นหลักประกันมูลค่า เหมือนพิมพ์แบ็งค์กงเต็ก หรือคูปองออกมาแจก ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ให้นึกย้อนไปถึงยุคดึกดำบรรพ์ สมัยที่คนเรายังไม่มีเงินตราใช้ แต่เอาเปลือกหอยมาตีเป็นมูลค่า ไปใช้แรกสินค้าชนิดต่างๆ มายุคนี้พรรคเพื่อไทยก็ให้คอมพิวเตอร์มันมาสร้างเหรียญ (แทนที่จะเป็นเปลือกหอยแล้วตีมูลค่าว่าหนึ่งเหรียญมีคาเท่ากับหนึ่งบาท) ที่จับต้องไม่ได้ เก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ลงทะเบียนไว้ว่าเหรียญดิจิทัลเลขที่เท่าไรถึงเลขที่เท่าไรเป็นของนายแดง เลขที่เท่าไรถึงเลขที่เท่าไรเป็นของนายดำ เลขที่ไหนบ้างเป็นของนายเขียว ฯลฯ .....ทำบัญชีแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 56 ล้านคน ทุกอย่างควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น ไม่มีใครเห็นอะไร ไม่มีใครจับต้องอะไรได้ เพราะมันเป็นประจุไฟฟ้าที่เก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ เหมือนกับเวลาที่คุณถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือ คุณจับต้องรูปไม่ได้ แต่รู้ว่ามันมีอยู่และเปิดดูได้จากโทรศัพท์ ฉันใดก็ฉันนั้น ก่อนที่จะไปในรายละเอียดอื่นๆ ผมอยากจะขอเล่าประวัติความเป็นมาของเงินดิจิตทัลก่อน เมื่อเข้าใจที่มาที่ไปของเงินดิจิทัลนี้แล้วคุณจะมองเห็นภาพทั้งหมดชัดเจนยิ่งขึ้น เรื่องให้คอมพิวเตอร์สร้างเงินดิจิทัลขึ้นมานี้ พรรคเพื่อไทยหรือคนในพรรคเพื่อไทย หรือท่านนายกเศรษฐาไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมาคนแรกของโลก แต่เรื่องนี้มีคนญี่ปุ่นชื่อนายนากาโมโต้เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเป็นคนแรกของโลกเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นนายคนนี้เรียกมันว่า เหรียญคริปโต หรือคริปโตเคอร์เร็นซี่ และตั้งชื่อให้เหรียญชนิดนี้ของตนว่า “บิทคอยล์” พรรคเพื่อไทยก็ยืมไอเดียนี้มาใช้บ้าง ทีนี้มาดูกันว่าเรามีเงินที่พิมพ์บนกระดาษเป็นร้อยๆสกุลเงิน ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยใช้กันมาหลายร้อยปีแล้ว ทำไมจะต้องคิดเงินดิจิทัลออกมาอีก? อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้คิด ประเด็นมันก็คือ เงินที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันไม่ตอบโจทย์ของมนุษย์บางกลุ่ม คนบางจำพวก กล่าวคือ ปัญหาข้อที่ 1 เงินที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เวลาเราจะส่งไปให้คนอื่น เราต้องส่งผ่านธนาคาร มีธนาคารเป็นตัวกลาง เพราะเราต้องเปิดบัญชีไว้กับธนาคารเอาเงินแดงๆฝากเข้าบัญชีไว้ ตอนเราจะส่งไปให้คนอื่น เราต้องแจ้งธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่ว่า เราจะส่งเงินจากบัญชีของเราไปให้ใคร ชื่ออะไร มีบัญชีอยู่กับธนาคารไหน เลขที่บัญชีอะไร จำนวนเงินเท่าไร การแจ้งนั้นก็ทำได้หลายวิธี จะเดินไปที่ธนาคารที่เราเปิดบัญชีไว้ หรือจะแจ้งทางโทรศัพท์มือถือก็ได้ ถ้าส่งกันภายในประเทศก็จบแค่นี้ ไม่มีค่าโอน ไม่มีการซักถามอะไรอีก แต่ที่สำคัญมากๆคือ การทำธุรกรรมนี้ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของธนาคารไปอีกหลายปี ดังนั้นกำนันนกคนดังแห่งนครปฐมจะโอนไปให้ใครที่ไหน ไม่ว่าพลเรือน ตำรวจ ทหาร ฯลฯ กี่ครั้ง กี่หน เป็นจำนวนรวมทั้งหมดเท่าไร สามารถเช็คเส้นทางการเงินได้หมด (แต่ท่านบิ๊กโจ๊กชอบพูดสั้นๆเวลาให้สัมภาษณ์ว่า “เส้นเงิน” นั่นแหละ) ดังนั้นมนุษย์มาเฟีย นักการเมืองที่ฉ้อโกงทั่วโลกไม่ชอบการโอนเงินแบบนี้ เพราะมันจะนำมาเป็นหลักฐานมัดตัวได้ ปัญหาข้อที่ 2 หากเราโอนไปให้ผู้รับที่อยู่ต่างประเทศ แบ็งค์ชาติก็มีกฎเกณฑ์แถมเข้ามาอีก ว่าจำนวนเงินโอนที่จะโอนไปแต่ละครั้ง ต้องไม่เกินเท่าไร ถ้าเกินต้องขออนุญาตก่อน ต้องบอกว่าโอนไปทำไม ถ้าโอนไปเป็นค่าซื้อขายสินค้า ก็ต้องมีเอกสารต่างๆประกอบอีกเป็นบึกๆ นอกจากนั้นธนาคารยังคิดค่าโอนอีกเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินที่โอนไป เสียส่วนต่างในอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับสกุลเงินต่างประเทศอีกด้วย สรุปแล้วไม่ถูกจริตกับพวกค้าขายผิดกฎหมาย มาเฟีย นักการเมืองที่ฉ้อโกง พวกที่ต้องการฟอกเงิน ฯลฯ นี่แหละที่เป็นสาเหตุจูงใจ หรือแรงผลักดันให้นาย Nakamoto มานั่งคิดหาวิธีการว่าประชาชนชาวมาเฟียจะโอนเงินให้กันด้วยวิธีไหน จึงไม่ต้องผ่านธนาคารที่เป็นตัวกลาง ไม่ต้องเสียเงินให้ธนาคาร และที่สำคัญที่สุดไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีหลักฐาน ในที่สุดแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อนนายคนนี้ก็คิดสำเร็จ ออกเหรียญดิจิทัลของตัวเองออกมาชื่อเหรียญ “บิตคอยล์ (Bitcoin)” โดยระบุว่าจะแจกเหรียญนี้ให้กับประชาชนฟรีๆ โดยจะออกมาทั้งหมดแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น (เมืองไทยก็กำหนดว่าจะแจกแค่ ห้าแสนหกหมื่นล้านเหรียญเท่านั้น – ประเด็นนี้สำคัญนะครับจำไว้ให้ดี) ใครอยากได้เหรียญให้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาดึงเอาเหรียญไป ---- ศัพท์ที่นักล่าเหรียญเค้าใช้คือ “การขุดหาเหรียญ” ผมจะไม่อธิบายในทางเทคนิคว่าทั้งหมดมันมีการทำงานอย่างไร เดี๋ยวเอกสารนี้จะกลายเป็นวิทยานิพนธ์ไป ประชาชนกินข้าวแกงอย่างเรารู้แค่นี้ก็พอ พอมีคนขุดเหรียญได้ คอมพิวเตอร์ควบคุมกลางของนายนากาโมโต้มันก็ลงบัญชีไว้ทันทีว่าเหรียญหมายเลขอะไรบ้างไปอยู่ที่คนไหน แต่มันไม่บอกให้ใครรู้ ใครจะมาบีบบังคับยังไงก็ไม่ได้ และพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากพวกมาเฟียที่จะมาจับตัวเอาไปรีด บีบบังคับ เอาความลับพวกนี้ไป นายนากาโมโต้ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ และปรากฏต่อมาชื่อที่ใช้ก็เป็นชื่อปลอม ในตอนนั้นก็มีแนวร่วมของนายคนนี้ออกมารณรงค์ให้คนออกมาใช้เหรียญนี้ในการซื้อขายจิรง โดยให้กำหนดมูลค่าของเหรียญกันเองตามความพอใจ มีประวัติระบุว่าการใช้เหรียญบิตคอยล์ในการซื้อขายครั้งแรกนั้น ทำกันแบบสนุกๆในอเมริกา โดยมีร้านพิซซ่าแห่งหนึ่งขายพิซซ่าไปสองถาดแลกกับบิตคอยล์จำนวน 10,000 เหรียญ พอเหรียญนี้ตกไปอยู่ในมือของร้านขายพิซซ่า เจ้าคอมพิวเตอร์ก็ลงบัญชีต่อท้ายจากเจ้าของเดิมว่าเหรียญนี้ไปเป็นของร้านพิซซ่าแล้ว ทุกครั้งที่เหรียญเปลี่ยนเจ้าของ คอมพิวเตอร์ก็จะลงรหัสของเจ้าของใหม่ต่อท้ายไปเรื่อยๆยาวเป็นบัญชีเป็นหางว่าว เทคนิคนี้เรียกว่าบล็อกเชน เห็นไม๊ครับว่าการเปลี่ยนมือของเหรียญนั้นไม่มีธนาคารใดๆมาเกี่ยวข้อง ไม่มีใครรู้ใครเห็นเก็บข้อมูลไม่ได้ นอกจากคอมพิวเตอร์ของนายนากาโมโต้ ที่มุดหายลงใต้ดินไปแล้ว มันก็เลยเป็นความลับที่บิ๊กโจ๊ก ปิ๊กต่อ ก็สืบไม่เจอ ครั้นพอเรื่องนี้รู้ไปถึงหูกลุ่มมาเฟีย พวกนี้ก็มองเห็นสวรรค์ของการฟอกเงินขึ้นมาทันใด อยากลองบ้าง ก็เลยมีการเปิดเว็บไซต์รับแลกเหรียญบิตคอยล์กับเงินแดงๆขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาชุดหาเหรียญ โดยไม่ต้องเอาเหรียญนี้ไปซื้อสินค้าใดๆให้เสียเวลา ยิ่งความต้องการมีมากขึ้นเท่าไร คนก็ยิ่งให้ราคาที่ต้องการซื้อสูงขึ้นไป เหรียญก็มีจำนวนจำกัด คนก็แห่กันเข้าไปขุดมากขึ้น กว่าจะขุดได้ก็ใช้เวลาเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น......ตั้งแต่วันที่มีการใช้เหรียญบิตคอยล์ 10,000 เหรียญไปแลกซื้อพิซซ่าได้สองถาด จนถึงวันที่บิตคอยล์มีราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบิตคอยล์ ซึ่งอยู่ที่มากกว่า US$ 30,000. นั้นใช้เวลาไม่กี่ปี !!!!! จากนั้นคนก็แห่เข้ามาสร้างเงินดิจิทัลแบบเดียวกันอีกมากมายทั่วโลก ตั้งชื่อเหรียญไปต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยก็มีผู้ออกเหรียญต่างๆมาหลายชื่อ จนกระทั่งรัฐบาลแทบทุกประเทศทั่วโลกตกใจกลัวว่าหากไม่มีการหยุดยั้งการใช้เงินดิจิทัลนี้ การเงินของโลกคงจะเข้าขั้นวิกฤตเป็นแน่ ก็พากันมาออกกฎระเบียบต่างๆในการควบคุมการออกเหรียญดิจิทัล ไม่ปล่อยให้ออกกันแบบเสรีและมีกฎอื่นๆตามมาอีกเยอะ เช่นไม่อนุญาตให้ใช้จ่ายในการชำระหนี้แทนเงินแดงๆเป็นต้น ทำให้เหรียญที่ออกมาใหม่ๆในระยะหลังๆนี้ ไม่มีผู้สนใจ และมูลค่าไม่สูงมากเหมือนรุ่นแรกๆ เหรียญที่ออกโดยคนไทยก็แห้วแขวนดอยรอวันตายกันไป เอาละครับผมเล่าประวัติความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการสร้างเงินดิจิทัลขึ้นมาในโลกนี้ของนายนากาโมโต้ในการแก้ปัญหาที่ต้องโอนเงินผ่านธนาคารมาให้ท่านฟังแล้ว แรงบันดาลใจออกจะสีเทาๆชอบกลนะ ท่านพอมองเห็นอะไรในการเอาเงินดิจิทัลที่ออกโดยพรรคเพื่อไทยในนามของรัฐบาล มาให้คนไทยใช้ในการซื้อสินค้าแทนที่จะแจกเงินแดงๆแบบที่มีอยู่ในกระเป๋าทุกวันนี้ โดยการอ้างเหตุผลนานาประการ ผมคงจะขอจบตอนที่1 ไว้แค่นี้ก่อน ให้ท่านได้นอนคิดไปสักสองสามวัน ว่าท่านเห็นอะไร ...........................ในระหว่างที่ผมเขียนตอนที่ 2 เมื่อผมเขียนตอนที่สองเสร็จก็จะส่งมาให้ท่านอ่านต่อไป ...ขอกระซิบบอกให้ท่านทราบเบาๆว่า ในตอนหน้าผมจะบอกเคล็ดลับที่รัฐบาลไม่บอก ในการที่ท่านจะทำเงินได้มหาศาลจากเงินดิจิทัลของไทยได้อย่างไร เป็นเพียงเกาะกระแสร์ไว้ให้ดี อย่าพลาดนะครับ อ่านดีๆมีสิทธิรวยจ้า..... เขียนโดย ณรงค์ กุลาข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองล้อเลียน เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองมีมล้อเลียนไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยขอเชิญร่วมลงชื่อคัดค้าน และเรียกร้องให้รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท และร่วมร้องเรียนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจ ดำเนินการส่งเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทบัญญัติในส่วนของหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ข้าพเจ้า วิรังรอง ทัพพะรังสี ได้ทำการยื่นหนังสือร้องเรียนถึงผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วตามรายละเอียดด้านล่างนี้ หากท่านเห็นด้วยกับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว และต้องการเป็นผู้หนึ่งในการร่วมคัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท โปรดสนับสนุนด้วยการร่วมลงชื่อในแบบฟอร์มนี้ค่ะ https://forms.gle/4fuBV1WFaHWn2HUn9 ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมลงชื่อ ขออนุญาตรวบรวมชื่อของท่าน เพื่อส่งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไปค่ะ สุดท้ายนี้ ขอบกราบขอบพระคุณคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่านที่ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” และขออนุญาตนำแถลงการณ์นำส่งเป็นเอกสารแนบยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุและผลที่ควรยกเลิกนโยบายดังกล่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงมาก ข้าพเจ้าไม่อาจทราบว่าที่กระทำไปนี้จะได้ผลอย่างไรหรือไม่ เพราะรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีนสิน ดูจะเดินหน้าไม่ฟังเสียงประชาชนเลย คิดว่าคงทำได้ตามกำลังเพียงเท่านี้ แต่ก็รู้สึกดีกว่าการที่จะไม่ได้ทำอะไรเลย....... วิรังรอง ทัพพะรังสี ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ _________________________ ที่ ๐๔/ ๒๕๖๖ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เรื่อง ร้องเรียนนโยบายแจกเงินดิจิทัลผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ๑๐,๐๐๐ บาท ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทบัญญัติในส่วนของหน้าที่ของรัฐหรือไม่ สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน ๑ ฉบับ ๒. แถลงการณ์ นักวิชาการและอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่าน เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงิน ดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาท กราบเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่ปรากฏในสื่อสารมวลชนว่า รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายแจกเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้กับประชาชนทุกคนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไปเพื่อกระตุ้นการบริโภค และได้มีผู้ที่มีความรู้ตลอดจนประชาชนจำนวนมาก ออกมาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายดังกล่าว แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไป ล่าสุด เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ นักวิชาการและอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ๘๑ ท่าน รวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ๒ ท่าน คือ นางธาริษา วัฒนเกส และนายวิรไท สันติประภพ ได้ร่วมกันลงชื่อในแถลงการณ์ เห็นพ้องต้องกันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะเป็นนโยายที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย” โดยให้เหตุผลประกอบอย่างละเอียด (เอกสารแนบ ๒) ด้านสังคมและเศรษฐกิจ ข้าพเจ้า นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง มีความเห็นว่า นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมในสังคมให้เกิดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน ๑๖ ปี จะได้รับเงินช่วยเหลือด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังห่วงใยว่า นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่เป็นการสร้างหนี้จำนวนสูงมากโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจจะส่งผลทำลายเสถียรภาพทางด้านการคลังของประเทศในระยะยาว โดยประชาชนทั้งประเทศจะต้องแบกรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับกรณีโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้านกฎหมาย รัฐบาล โดย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖ ว่าการจ่ายเงินดิจิทัล สามารถทำได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยืนยันว่าไม่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน แม้รัฐบาลจะประกาศว่า “เงินดิจิทัล” ที่จะออกมาตามโครงการ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” นั้น จะไม่ใช่การออก “คริปโตเคอร์เรนซี” ซึ่งจะไม่สามารถทำได้ เพราะจะผิดตาม พ.ร.บ.เงินตรา ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย “หนึ่งประเทศจะมีสองสกุลเงินไม่ได้” แต่จะออกมาในรูปแบบเหรียญ “ดิจิทัลโทเคน” ประเภท “ยูทิลิตี้ โทเคน (Utility Token)” ซึ่งจะเป็น “โทเคน” เพื่อการอุปโภคบริโภค จึงไม่ได้เป็นการสร้างสกุลเงินใหม่ และไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna หรือ USDT แต่เป็นเหรียญ คูปอง หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้ “ดิจิทัลโทเคน” ประเภทยูทิลิตี้ โทเคน จะเป็นเหรียญ หรือจะเป็นคูปอง แต่เมื่อออกโดยรัฐบาล และประชาชนสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าได้แทนเงินสดกับร้านค้าได้ทั้งหมด เช่น ร้านโชห่วย ร้านสะดวกซื้อ ห้างแม็คโคร รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าจะแตกต่างกับการใช้เงินตราตรงไหน เหตุใดจึงไม่แจกเป็นเงินสดเข้ากระเป๋าสตางค์ให้แก่ประชาชนอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องยุ่งยาก ร้านค้าที่รับก็ไม่ต้องลำบากในการนำไปแลกคืนกับรัฐบาลเพื่อรับกลับมาเป็น “เงินบาท” ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า ลักษณะของเหรียญ หรือคูปอง ที่รัฐบาลจะนำออกมาใช้นี้ อาจเข้าข่ายเป็นการออกเงินตราอย่างหนึ่ง และเมื่อมีสภาพเป็นเงินตราก็จะเข้าบังคับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ เนื่องด้วย “.....ตามเกณฑ์ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย “ยูทิลิตี้ โทเคน จะสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้า และการบริการต่างๆ แบบเฉพาะเจาะจง ภายในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือโครงการใดโครงการหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องไม่มีลักษณะเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง ในลักษณะของการใช้แทนเงิน (Means of Payment: MOP) เป็นการทั่วไป ดังนั้น จึงอาจจะต้องพิจารณาให้ดีว่า การใช้โทเคนดังกล่าวในการซื้อสินค้า และบริการกับร้านค้าทั่วประเทศ อาจจะเข้าข่ายเป็น “การชำระในลักษณะการเป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง” หรือ การใช้แทนเงิน ซึ่งจะผิดกฎเกณฑ์ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย.....” ที่มาของข่าวและข้อมูล: https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7856583 https://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2721853 สุดท้าย แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นนโยบายที่ตรงไปตรงมา ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชน และไม่เกี่ยวกับการฟอกเงินตามที่มีผู้กล่าวอ้าง แต่ประชาชนจำนวนมากมีความเห็นว่า หากรัฐบาลมีเงินสดที่จะแจกให้กับประชาชนได้ การแจกเงินก็ควรจะสามารถทำได้ตรงๆ เหมือนสมัยที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยแจกประชาชนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยและใช้เป็นอยู่แล้ว แต่การที่รัฐบาลไม่แจกเป็นเงิน ทำให้เกิดเป็นเรื่องยุ่งยากที่ถกเถียงกันในสังคมทั้งด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องและด้านกระบวนการปฏิบัติ ยังไม่รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการชำระเงินดิจิทัล สร้างแอปพลิเคชันในการชำระเงิน และสร้างบล็อกเชนใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนและระยะเวลาจำนวนมาก สังคมจึงมีความเคลือบแคลงสงสัยว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติในภาพรวม แต่อาจเป็นการหลบเลี่ยงหรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศ และขัดต่อวินัยการเงินและการคลังของประเทศอย่างร้ายแรง ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความห่วงใยประเทศชาติ จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนนี้มากราบเรียนขอให้ท่านผู้ตรวจการแผ่นดิน วินิจฉัย หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ส่งเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่ากระทำดังกล่าวของรัฐบาลขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร ต่อไป ขอแสดงความนับถือ นางวิรังรอง ทัพพะรังสีข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยจริงหรือเท็จ หากไม่ลงทะเบียนในแอป Thaid จะไม่สามารถรับเงินดิจิทัลได้ข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 7 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสิงคโปร์ห้ามนำเข้าอาหารปนเปื้อนกัมมันตรังสีจากญี่ปุ่นข่าวการเมืองผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 8 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยนายกญี่ปุ่นล้มป่วยเพราะกินอาหารทะเลปนเปื้อนกัมมันตรังสีข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 8 เดือนที่แล้วmeter: false1 ความเห็น