นิยายเรื่องเงินดิจิทัลฉบับลูกทุ่ง ตอนที่2....
เอาละครับ มาถึงตอนนี้คิดว่าทุกคนคงเข้าใจแล้วนะว่าเงินดิจิทัลมันมีที่มาที่ไปอย่างไร เข้าสร้างมันมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แม้ว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของมันมันจะดูไม่ขาวนักก็หลิ่วตาเสียบ้าง ถ้ามันจะทำให้ท่านรวยได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทได้ภายในห้าหกเดือนหลังที่มันออกมาใช้ ผมไม่ได้พูดเล่นๆนะ พูดเรื่องจริงเลย
เรื่องเงินดิจิทัลนี้มันเป็นความฝันของนักการเงินและนักคอมพิวเตอร์ในเมืองไทยกันอย่างมาก ที่จะสร้างเหรียญดิจิทัลของคนไทยให้มันดังกระหึ่มโลก เย่างเช่นบิตคอยล์ แม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์เอง ก็ยังมาลงทุนในธุรกิจนี้เลย แต่มาติดขัดในกฎเกณฑ์ที่ออกมาโดย กกต., กลต., ธปท., และหน่วยงานอื่นๆอีกเยอะ เพื่อเบรกการทำธุรกิจเรื่องเงินดิจิทัลในเมืองไทย ใครจะทำธุรกิจในเรื่องนี้ต้องไปขออนุญาตจากหน่วยงานต่างๆมากมาย ที่อาจจะผ่าน อาจจะไม่ผ่าน อาจจะต้องรอฟังผลคำพิจารณา อาจะต้องรอแก้กฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร์ก่อน ที่รวมๆแล้วไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานกี่สิบปี ธุรกิจนี้ก็เลยยังไม่รุ่งเรืองในเมืองไทย ซะที
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคอันใหญ่หลวงของวงการเงินดิจิทัล ที่ทำให้ธุรกิจนี้ไม่มั่นคง ก็คือการรับประกันค่าเงินเหรียญที่ตนออกมาว่าจะมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่านี้ เท่านั้น ไม่มีวันต่ำกว่านี้ เช่นจะมีค่าต่ำสุดหนึ่งบาท ไม่มีวันต่ำกว่านี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีบางเหรียญจะเริ่มมีคนออกมาค้ำประกันบ้างแล้วก็ตาม แต่ว่าเครดิตของคนค้ำประกันนั้น คนไม่ค่อยเชื่อถือ วันหนึ่งถ้าคนค้ำประกันอาจจะมุดดินหายไปแบบนาย Nakamoto จะไปตามเอากับใคร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผ่านมามีผู้ที่ทำธุระกิจเกี่ยวกับเงินดิจิทัลในต่างประเทศมีการล้มละลายไปแล้วหลายแห่ง
พอมาถึงยุคพรรคเพื่อไทยเจ้าพ่อโปรแจ๊ค นักคิดแบบศรีธนนทชัย ก็มองออกว่า ช่องทางเดินมันจะทำอย่างไรจึงจะเลี้ยวลดผ่านวงเขาวงกตไปได้อย่างสบายบื้อ สะดือโบ๋ แก้ปัญหาข้างต้นได้ทั้งหมด ซึ่งต้องขอปรบมือให้นักคิดแห่งพรรคเพื่อไทยจริงๆ วิธีการของพรรคเพื่อไทยก็คือ
1) เอาเรื่องการแจกเงินดิจิทัล ที่มีมูลค่า 10,000 บาทให้กับประชาชน มาเป็นตัวดึงดูดเสียงสนับสนุนจากประชาชนหลายล้านคนที่ไม่รู้เรื่องในรายละเอียดของเงินแบบนี้ ทำให้เกิดความกดดันกับทุกหน่วยงานที่คุมกฎ
2) วางหมากให้นายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆที่คุมกฎเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยจะทำเรื่องเงินดิจิทัลนี้ แทนที่ขั้นตอนต้องมายื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบ Buttom Up จากข้างล่างไปข้างบน แบบนักธุรกิจทั่วไป มันกลายเป็นการสั่งลงมาจากข้างบนลงมาข้างล่าง แบบ Top Down เพื่อที่การแก้ไขกฎระเบียบต่างๆที่ขัดขวางการทำงานในโครงการนี้ ให้มันคล่องตัว หรืออนุมัติมาเลย แบบหลักการที่ว่ากฎนั้นคนออกมาได้ คนก็แก้ได้ แก้แล้วอะไรมันจะเกิด ก็ไม่รู้แล้ว แม้กระทั่งผู้ว่าแบ็งค์ชาติท่านยังเรียกมานั่งคุยเลย ถึงแม้ว่าไม่เปิดเผยเรื่องที่คุยกัน เราก็เดาได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร
3) ปัญหาที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของเงินดิจิทัล คือการประกันค่าเงินขั้นต่ำของเหรียญที่ต้องทำให้คนเชื่อมั่นว่าค่าเงินจะมั่นคง ทางพรรคก็บอกว่า รัฐบาลไทยจะค้ำประกันว่าค่าเงินของเหรียญที่พรรคออกมานั้นจะเท่ากับหนึ่งบาท หลังจากออกเหรียญไปแล้วหกเดือน ผู้ถือเหรียญสามารถนำมาขึ้นเงินกับรัฐบาลได้ ในอัตรา หนึ่งเหรียญต่อหนึ่งบาท โดยไม่ได้ระบุวันหมดอายุ หรือวันที่สิ้นสุดของการเอาเหรียญมาแลกเป็นเงินสดแดงๆ นั่นคือไม่ว่ารัฐบาลท่านเศรษฐาจะหมดสมัยไปด้วยสาเหตุอะไรก็ตามรัฐบาลใหม่ที่มาก็ต้องให้แลกเงินต่อไปในอัตราหนึ่งบาทเช่นเดิม
นี่คือสววรค์ของพวกฟอกเงินชัดๆ ที่ไม่มีรัฐบาลใดในโลกนี้ที่จะกล้าออกมาค้ำประกันเงินดิจิทัลที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ออก
เห็นไม๊ครับ ไม่ให้ผมปรบมือให้ได้อย่างไร เพราะกุนซือแห่งพรรคเพื่อไทยสามารแก้ปัญหาทั้งสามข้อที่เป็นจุดอ่อนของเงินดิจิทัลของโลกได้อย่างสวยงาม ไชโย! ไชโย! ไชโย! ขอให้โครงการนี้ของพรรคเพื่อไทยสำเร็จโดยเร็ว....... ไม่ใช่ผมอยากได้เงินหมื่นบาทที่จะมาแจกนะครับ เงินแค่หมื่นบาทมันกระจอกสำหรับผม เพราะโครงการนี้มันจะทำเงินให้ผมหลายแสนบาท หรืออาจจะหลายล้านบาท หรืออาจะหลายร้อยล้านบาทหากผมมีแรงทำ คุณคิดออกหรือยังว่าเราจะทำเงินกันได้อย่างไร? ผมหมดเวลาเขียนต่อพอดี ผมอยากให้ท่านไปลองคิดดูสักพักว่าเราจะทำเงินจำนวนมากๆจากโครงการนี้ได้อย่างไร? แล้วผมจะมาเฉลย มาดูว่าที่ท่านคิดกับที่ผมคิดมีอะไรตรงกันบ้าง และอะไรที่ไม่ตรงกันแต่เอามาปรับใช้หาประโยชน์จากโครงการนี้ไปด้วยกัน
เขียนมาถึงตอนนี้มีคนข้างห้องตะโกนถียงกับโฆษกทีวีว่า “แล้วมันจะเอาเงิน 560,000 ล้านบาทมาจากไหนมาแจกให้ชาวบ้าน?”
ทำให้ผมนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นได้ ผมจะเฉลยคร่าวๆตรงนี้ก่อน แล้วจะอธิบายรายละเอียดต่อไปภายหลัง คำตอบของผมก็คือ มันจะมีคนมาขอขึ้นเป็นเงินสดแดงๆน้อยมาก น้อยพอๆกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลคาดการว่าจะเก็บมาได้นั่นแหละ ส่วนที่เหลือทำไมมันไม่มีคนมาขึ้นเงินหว่า???? ............ ผมจะมาเฉลยในตอนที่สามครับ .....
...ณรงค์ กุลา