1002 ข้อความ
- 1 คนสงสัยFacebook มีส่วนทำให้คนปฏิเสธข่าวสารเรื่อง โลกร้อน จริงไหมมีงานวิจัยอ้างว่าเฟซบุ๊กไม่ระงับเนื้อหาที่บอกว่าโลกร้อนเป็นเรื่องโกหก นั่นแสดงว่า แนวคิดปฏิเสธเรื่องโลกร้อนว่าไม่มีอยู่จริง นั้นมีอยู่ในระบบสภาพอากาศtwiningno• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนพ.มนูญ เตือนนักท่องป่า เข้าโพรงต้นไม้ใหญ่ ระวังป่วยจากเชื้อรามูลค้างคาว ทำปอดมีจุดเพียบ จริงไหมวันที่ 4 ตุลาคม 2565 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC โพสต์เตือนภัยคนที่ไปท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ บางครั้งอาจจะเคยเห็นโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งจากนี้ต้องระวังในการเข้าไปเพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีผลให้ปอดได้รับความเสียหาย โดยระบุว่า ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า การเดินเข้าไปในโพรงต้นไม้ใหญ่ในป่า เพื่อชมค้างคาวในเวลาเพียง 2-15 นาที จะหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมา แคปซูลาตุม (Histoplasma capsulatum) ที่ลอยขึ้นมาในอากาศจากมูลค้างคาวที่ตกลงบนพื้นดิน เข้าไปในปอด ทำให้ป่วยเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis)Mrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยงานวิจัย "เพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ 20% " จริงหรือ ? มีการเผยแพร่ข่าวงานวิจัย จากประเทศบราซิล ที่อ้างทำนองว่า เมื่อทดลองเปิดเพลง 3 เพลงให้กับเซลล์มะเร็งเต้านม ในห้องปฏิบัติการ คือเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 (Fifth Symphony) ของ เบโธเฟน (Beethoven) , เพลงโซนาต้า สำหรับเปียโนสองตัว ใน D (Sonata for Two Pianos in D) ของโมสาร์ท (Mozart) และเพลง "Atmosphères" ของ ลีเก็ตตี้ (Ligeti) ... พบว่าเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 และเพลง "Atmosphères" ช่วยให้เซลล์มะเร็งตายลง เมื่อเทียบกับเพลงของโมสาร์ท หรือเมื่อเงียบสนิท !? แต่ทีมวิจัยชาวบราซิลดังกล่าว ไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมเพลงที่ส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายได้ และไม่รู้ว่าในเนื้อเยื่อปรกติจริงๆ จะให้ตอบสนองแบบนี้หรือไม่อย่างไร (งานนี้ เป็นการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ไม่ใช้กับมะเร็งที่อยู่ในตัวของสัตว์ทดลอง) และนักวิจัยยังยอมรับด้วยว่า วิธีการที่ใช้ทดลองนั้น ไม่สามารถหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ ตัวเลข 20% ที่มีข่าวกันนั้นเป็นตัวเลขที่ไปเขียนกันเอาเอง ! ซึ่งตอนนี้ นักวิจัยก็บอกว่าไม่ได้ทำการทดลองเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็ง อีกต่อไปแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีทุนวิจัย ดูรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ - เมื่อไม่นานมานี้ มีการเผยแพร่ข่าวสารการวิจัยที่อ้างว่า "ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ทำให้เซลล์มะเร็งตาย 20% ในห้องปฏิบัติการได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติ" . .. โดยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ Instituto de Biofísica Carlos Chagas Filho มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ริโอเดจาเนโร (Federal University of Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล ได้ศึกษาว่า ดนตรีอาจมีบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งได้ ทีมวิจัยที่นำโดย ดร. มาร์เซีย อัลเวส มาร์เกว คาเปลลา (Dr. Márcia Alves Marques Capella) ได้ทดลองให้เซลล์เพาะเลี้ยง ทั้งเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง ได้ฟังดนตรีหลายประเภท และผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ทำลายเซลล์มะเร็งประมาณ 20% ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ในขณะที่เซลล์ปกติไม่เกิดผลกระทบ ซึ่งยังไม่ทราบว่ากลไกที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์นี้คืออะไร แต่อาจเป็นไปได้ว่า จังหวะ ความถี่ หรือความข้นของเสียง อาจเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งจะมีการทดลองเพิ่มเติมที่รวมถึงเพลงจังหวะแซมบา (Samba) และฟังค์ (Funk) ด้วย - จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เพราะข้อกล่าวอ้างดังกล่าวนี้ ได้เริ่มถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว โดยเป็นบทความข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน O Globo ในบราซิล ที่ระบุว่าเซลล์มะเร็ง MCF-7 (เป็นเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ที่ตอบสนองต่อเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และกลูโคคอร์ติคอยด์ และเป็นหนึ่งในเซลล์มะเร็งที่ได้รับการศึกษามากที่สุดในโลก) เมื่อถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ใส่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทำให้ 1 ใน 5 ของเซลล์มะเร็ง MCF-7 ที่เพาะเลี้ยงนี้ได้ตายลง ขณะที่บรรดาเซลล์ที่รอดชีวิตหลายเซลล์มีขนาดเล็กลง ส่วนเพลง "Atmosphères" ของลิเก็ตติ ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน แต่ท่อนแรกของเพลงโซนาต้าสำหรับเปียโนสองตัว ของโมสาร์ทแทบไม่ส่งผลกระทบเลย ... ในบทความอ้างว่า การทดลองนี้ สามารถเปิดทางใหม่สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง และอ้างคำพูดของนักวิจัยนำ คือ ดร. คาเปลลา ว่า "เราเชื่อว่าเพลงซิมโฟนีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม ไม่ใช่ไปทำเซลล์มะเร็งตายโดยตรง" - หลังจากนั้น ดร. คาเปลลา ได้ตีพิมพ์บทความวิจัย ในปี 2013 ในวารสาร Noise and Health และอีกบทความหนึ่ง ในวารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ในปี 2016 หลังจากการทดลองอีกครั้งกับเซลล์มะเร็งเต้านม อีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ MDA-MB-231 .. (แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า วารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine นี้ ได้หยุดเผยแพร่ไปแล้ว ในปี 2024 หลังจากถูกถอดออกจากฐานข้อมูลวารสารวิชาการของ Clarivate's Web of Science เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพ) ซึ่งในบทความได้อ้างว่า มีการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เพาะเลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ด้วยการเปิดเพลงทั้งสามเพลง ผ่านลำโพง (มีอีกชุดการทดลองที่ไม่เปิดเพลงใดๆ เป็นชุดทดลองควบคุม) ทำซ้ำการทดลองอย่างน้อย 4 ครั้ง เพื่อยืนยันผลลัพธ์ - แต่บทความวิจัยเหล่านั้น ไม่ได้รายงานเกี่ยวกับ จำนวนของเซลล์ที่ตายแล้ว หรืออ้างว่า เพลงเหล่านี้มีพลังในการรักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีการเอาเพลงไปทดลองกับเซลล์ปกติ แต่บอกเพียงแค่ว่าเซลล์มะเร็งที่ใช้ในการทดลองนั้นมีลักษณะคล้ายเซลล์เยื่อบุผิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เลยเป็นแบบจำลองที่ดีในการศึกษาวิจัย ... ทีมวิจัยระบุว่า การทดลองนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อ "ทำความเข้าใจผลกระทบโดยตรง ของการสั่นสะเทือนทางเสียง ในรูปแบบของดนตรี ต่อเซลล์มนุษย์ที่เพาะเลี้ยงไว้ ให้ดีขึ้น" - ทาง ดร. Capella เน้นว่า การทดลองเหล่านี้กับเซลล์ในจานเพาะเลี้ยง และผลลัพธ์ "ไม่สามารถขยายไปยังมนุษย์ได้" พูดง่ายๆ ว่า แม้ว่าเพลงจะฆ่าเซลล์มะเร็งในสภาพห้องปฏิบัติการที่ควบคุมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเอาเพลงนี้ไปใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้ .. แถมเธอยังบอกว่า ไม่ถูกต้องที่จะไปพูดกันว่า "หนึ่งในห้า (หรือ 20%) ของเซลล์มะเร็งตายลง หลังจากถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน" เพราะวิธีการที่ใช้ทดลองไปนั้น ไม่สามารถนำมาหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ .. แถมด้วยว่า เธอก็ไม่เคยวางแผนการทดลองเพิ่มเติม กับเพลงฟังค์ หรือเพลงซัมบ้า ของบราซิลอย่างที่แชร์กันด้วย - ดร. Capella เพิ่มเติมด้วยว่า หลังจากที่ข้ออ้างเหล่านี้ได้แพร่ระบาดไวรัลไปทั่ว เธอก็พยายามให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNN Radio เพื่อขจัดความสับสน และหลังจากนั้น เธอก็ได้หยุดงานวิจัยเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็งไปแล้ว เพราะหาทุนสนับสนุนงานวิจัยได้ยาก ข้อมูลจาก https://www.snopes.com/news/2025/02/15/study-beethovens-5th-cancer-cells/?cb_rec=djRfMl8xXzBfMTgwXzBfMF8wXwมะเร็งมีมไม่ระบุชื่อ• 3 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมhttps://mof.c-th.cc/ เป็นเว็บไซต์ใหม่ของกระทรวงการคลังsuphachoke.leng• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนานๆทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูปวันนี้ (9มี.ค.64) ตามที่มีข้อความเตือนภัยในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เล่นมือถือนานๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จความสวยความงามผู้บริโภคเฝ้าระวังมีมstd46960• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: mostly-false--middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนานๆทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูปเตือนภัยปล่อยให้ลูกเล่นมือถือตลอดเวลาอาจทำให้ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูปได้std47924• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนาน ๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูปจากกรณีที่มีการเตือนภัยว่าการเล่นมือถือเป็นระยะเวลานาน จนทำให้พักผ่อนน้อย ส่งผลให้ปลายประสาทที่เลี้ยงใบหน้าอักเสบ หน้าผิดรูป ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า การพักผ่อนน้อย หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก และปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจนstd46355• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนาน ๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูปการเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเล่นมือถือนานๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการเตือนภัยว่าการเล่นมือถือเป็นระยะเวลานาน จนทำให้พักผ่อนน้อย ส่งผลให้ปลายประสาทที่เลี้ยงใบหน้าอักเสบ หน้าผิดรูป ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า การพักผ่อนน้อย หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก และปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจนstd46355• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอวสานสายดื่ม ไวน์วันละแก้วก็ไม่ได้! แพทย์ชี้ บริโภคน้อยแค่ไหนก็ไม่ปลอดภัย . มันจะมีความเชื่อหนึ่งที่บอกว่า “ดื่มไวน์วันละแก้วแล้วดีต่อสุขภาพ” ชุดคำพูดนี้ถูกส่งต่อกันมานานหลายปี โดยอ้างงานวิจัยชุดเก่าที่ระบุว่า ดื่มไวน์ปริมาณเล็กน้อยวันละแก้วอาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อหัวใจ (ซึ่งไม่มีหลักฐานชัดเจน) แต่ตอนนี้มีข้อมูลอัปเดตใหม่ ที่ทำให้ความเชื่อดั้งเดิมดังกล่าวถูกหักล้างไปหมดสิ้น . องค์กรศัลยแพทย์ใหญ่ Vivek Murthy ของสหรัฐฯ ระบุถึงข้อค้นพบใหม่ล่าสุดว่า แม้จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นอันตรายได้ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ . “แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอย่างชัดเจน โดยก่อให้เกิดโรคมะเร็งประมาณ 100,000 กรณีต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 20,000 รายต่อปีในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมากกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ 13,500 รายต่อปี แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงความเสี่ยงนี้” . ไม่เพียงเท่านั้น องค์กรศัลยแพทย์ใหญ่ฯ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการศึกษาวิจัยใหม่ที่ค้นพบความเชื่อมโยงชัดเจน ระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดมะเร็ง 7 ประเภท รวมทั้งมะเร็งเต้านมด้วย . “ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าไม่มีระดับที่ปลอดภัยสำหรับการดื่มแอลกอฮอล์ และแอลกอฮอล์ก็เป็นสารก่อมะเร็ง กลไกการทำลายเซลล์ของสารนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันก่อให้เกิดความเครียดจากออกซิเดชันและทำลายการซ่อมแซม DNA รวมถึงกลไกอื่นๆ ที่นำไปสู่ความผิดปกติของเซลล์จนก่อตัวเป็นมะเร็ง” #กรุงเทพธุรกิจมะเร็งผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 5 เดือนที่แล้ว
- 2 คนสงสัยเสปรย์ล้างจมูกสามารถฆ่าเชื้อโควิดได้เช้าข่าว 7 สี - อย.ตรวจสอบสเปรย์ล้างจมูก สามารถยับยั้ง หรือฆ่าเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ โฆษณาเกินจริง สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภค เตรียมรวบรวมหลักฐานแจ้งความเอาผิด เรื่องนี้ นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตรียมดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผลิตภัณฑ์สเปรย์ล้างจมูกยี่ห้อหนึ่ง ที่ได้รับการจดแจ้งเครื่องมือแพทย์จาก อย. ฐานโฆษณาเกินจริง ก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ได้จดแจ้งสำหรับบรรเทาอาการไข้หวัด เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูก ช่วยลดอาการคัดจมูก แต่ภายหลังพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แอบแฝงโฆษณาอวดอ้างว่าสามารถยับยั้ง และฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่, เชื้อโควิด-19, เชื้อไวรัส RSV และสามารถต้านการอักเสบได้ ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริง สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภค ส่วนผลการทดสอบก่อนวางตลาด เป็นเพียงผลการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดฯ ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่ได้ศึกษาวิจัยในมนุษย์เพิ่มเติม ล่าสุดทาง อย. ได้รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว ฝากถึงทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสถาบันที่ร่วมทดสอบประสิทธิภาพ ให้ระมัดระวังการโฆษณาเกินจริง ขณะที่ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นสถาบันที่ร่วมทดสอบประสิทธิภาพ ยืนยันทางคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ให้บริการทดสอบประสิทธิภาพในห้องปฏิบัติการเท่านั้น โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาเกินจริง รวมถึงการขออนุญาตขึ้นทะเบียน การจัดจำหน่าย และกิจกรรมอื่นของผลิตภัณฑ์สุขภาพstd48406• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย🌿🌿เซฟไว้นะ‼️กัญชาดองน้ำผึ้ง..สรรพคุณช่วยรักษา 40 อาการ ตามสูตรดองน้ำผึ้ง15วัน 1. อัลไซเมอร์ หลงลืม 2. หลับไม่สนิท หลับยากสะดุ้งบ่อย 3. เส้นเลือดสมองตีบ 4. อัมพฤกษ์อัมพาต 5. ความดันสูง 6. ริดสีดวงทวาร 7. เบาหวาน 8. อ้วนผิดปกติ 9. กล้ามเนื้อกระตุก 10. ซึมเศร้า 11. เหน็บชา 12. ไมเกรน 13. ปวดประจำเดือน 14. สมองพิการ 15. ลมชัก 16. ปลอกประสาทเสื่อม 17. ติดมอร์ฟีน 18. เบื่ออาหาร 19. พาร์กินสัน 20. แพ้เคมีบำบัด 21. ภูมิแพ้ตัวเอง 22. มะเร็ง(เจ็บปวดบวมเป็นแผล) 23. ฝี หนอง อักเสบ 24. ต้อหินในตา 25. ตับพิการจากพิษสุรๅ 26. แผลกดทับ รอยช้ำ 27. สะเก็ดเงิน 28. เก๊าท์ 29. เครียด วิตกกังวล 30. ไฮเปอร์ สมาธิสั้น 31. น้ำท่วมแกนสมอง 32. ลำไส้อักเสบ 33. กล้ามเนื้ออักเสบ 34. ปวดตามร่างกาย 35. ขจัดฝันร้าย 36. กลากเกลื้อนตามผิว 37. แผลสดจากเบาหวานแห้งได้ 38. ภูมิแพ้ต่างๆ 39. ขยายหลอดลม ลดการหดตัว 40. แก้อาการบิด ปวดท้องท้องร่วง ส่วนผสม น้ำผึ้ง 1 ขวด กัญชา ทั้งต้น(ต้นกะเทยยิ่งดี) 1 ต้น กิ่ง ก้าน ใบ ราก ดอก หันเป็นท่อน แล้ว ตาก 1 แดด ดองไว้ 15 วัน แล้วกินวันละ1 ช้อนชา ก่อนนอน ทุกวัน ขอบคุณตำรา ดร.ปราชญา บูรพาชลทิศน์ วัดท่าไม้ @เพจ:บูรพาพัฒนะแพทย์ แผนไทย #เพจ:กัญชายาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรามาทำน้ำยาฆ่าเชื้อโรคไว้ใช้เองประหยัดและดีต่อสุขภาพค่ะ วิธีทำน้ำส้มสายชูกลิ่นผิวมะกรูด 1.น้ำส้มสายชูมีค่าPh3=ฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อราแบคทีเรียต่างๆได้ 2.น้ำส้มสายชูกลั่น5%นั้นมีน้ำส้มที่5% มีน้ำที่95% เกิดปฏิกิริยาโอโซนที่0.0001ppm.จริงๆมีผลงานวิจัย อยู่ในหนังสือจุดประกายฝัน 3.เมื่อฉีดผสมน้ำอีกอัตราส่วน1:1จะเร่งให้โอโซนแตกตัวเร็วขึ้น 4.ฉีดมากๆไม่มีผลข้างเคียงแต่กลับล้างพิษต่างๆได้เช่นควันบุหรี่ ควันรถยนต์ พื้นที่ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ใช้ได้ทำจำหน่ายเลย 5.ไม่ทำลายเนื้อเยื่อเหมือนแอลกอฮอล์ ยิ่งฉีดถูกร่างกายได้ทุกส่วนไม่มีผลข้างเคียง 6.ถ้าฉีดพ่นมากๆเท่าไหร่เป็นพันๆคน ก็จะเกิดสนามแม่เหล็กโอโซนป้องกันหมู่บ้านและชุมชนนั้นๆๆได้😇😇 7.น้ำหมักชีวภาพที่เปรี้ยวทุกชนิดนำมาฉีดพ่นโดยผสมน้ำได้ในอัตราส่วน1:1เช่นกัน(ต้องเอาแบบเปรี้ยวๆนะ) 8.ช่วยโลกสร้างชั้นบรรยากาศโอโซนได้อีกด้วยหากฉีดกันมากๆๆทุกวัน 9.ช่วยไล่ยุงและแมลงต่างๆๆได้เพราะโอโซนทำให้แมลงต่างๆแสบตาแต่กับคนพอดี แต่ถ้าเป็นโอโซนจากแท่งแก้วเป็นอันตรายต่อเยื่อจมูกและเยื่อตาของคน ลงมือทำน้ำส้มสุตรที่ฉีดพ่นทั่วบ้านถ้าทุกๆบ้านทำก็ดีเลยช่วยกันในห้องทุกๆที่พกติดตัวคอยฉีดขึ้นอากาศบนหัวเราทุกชั่วโมง https://youtu.be/HUVNxXGNK_Iยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย@ สรุปว่า..พวกเราเข้าใจคลาดเคลื่อนกันมาตลอด 😀 ปรากฎว่า *วิธีทำให้อายุยืน ด้วยการออกกำลังกาย ถูกจัดให้อยู่ในอันดับแปด* การปฏิบัติเป็นนิสัย ให้ชีวิตยืนยาว แปดอย่างข้างล่าง การออกกำลังกาย อยู่อับดับสุดท้าย แล้วหมายเลข 1 คือวิธีอะไร 😅 ในบรรดาการปฏิบัติเป็นนิสัย ให้ชีวิตยืนยาว การออกกำลังกาย ที่ได้รับการยอมรับในโลก ตามแนวคิดการแพทย์ทั่วไป เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่า การปฏิบัติเป็นนิสัย ให้อายุยืนยาวอันดับแรก คืออะไร * การปฏิบัติเป็นนิสัยให้มีอายุยืนยาว แปดประการ * คือ -อันดับที่ 8: การออกกำลังกาย -อันดับที่ 7: กินปลาสัปดาห์ละสองครั้ง -อันดับที่ 6: กินธัญพืช 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ -อันดับที่ 5: ดื่มน้ำให้เพียงพอ ทุกวัน -อันดับที่ 4: กินไข่ 1 ฟอง ต่อวัน -อันดับที่ 3: กินอาหารให้อิ่มแค่ แปดส่วน -อันดับที่ 2: การพักผ่อนนอนหลับ ที่เพียงพอ -อันดับที่ 1: การยึดมั่น ให้อารมณ์ดีตลอด "อารมณ์ความรู้สึก มีผลกระทบอย่างมาก ต่อสุขภาพ ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ในระยะยาว และความตึงเครียดสูง มีแนวโน้ม ที่จะก่อให้เกิด ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และทำให้เกิด ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่มองไม่เห็น ผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาวกว่า 100 ปี ล้วนแต่เป็น คนมองโลกในแง่ดี แม้ว่าพวกเขา จะมีประสบการณ์ชีวิตที่เลวร้าย แต่พวกเขา ก็ยังยิ้มได้ในชีวิต อารมณ์ที่มีความสุข และความสงบของจิตใจ เป็น "ยาดี" ที่ดีที่สุด สำหรับการป้องกันโรค" 💖 *หัวใจที่ร่าเริง คือ ยาที่ดี*ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ "โรคมะเร็ง" ต้องตรวจสอบก่อนแชร์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงานสุขภาพมะเร็งstd46541• 2 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเว็บไซต์ปลอมเฟคนิวส์ · สธ.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กลุ่มมิจฉาชีพ "แชร์ลิงก์เว็บไซต์ปลอม" อ้างให้เงินช่วยโควิด ลวงเหยื่อกรอกข้อมูล.สุขภาพโควิด 2019ผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd48579• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสธ.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กลุ่มมิจฉาชีพ "แชร์ลิงก์เว็บไซต์ปลอม" อ้างให้เงินช่วยโควิด ลวงเหยื่อกรอกข้อมูลโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ ทำเว็บไซต์ปลอมส่งลิงก์ต่อกันทางไลน์ อ้างกระทรวงสาธารณสุขมีกิจกรรมให้เงินช่วยเหลือโควิด 19 ลวงเหยื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ย้ำกระทรวงมีภารกิจดูแลรักษาป้องกันควบคุมโรค ไม่มีภารกิจเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือเยียวยา วันนี้ (10 กันยายน 2565) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพทำเว็บไซต์ปลอมมีโลโก้กระทรวงสาธารณสุข และส่งลิงก์เว็บไซต์ให้ประชาชนทางไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยหลอกว่ากระทรวงสาธารณสุขมีกิจกรรมให้เงินช่วยเหลือช่วงโควิด 19 เพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูลสำคัญส่วนตัว ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้มักใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัยในการเข้าใช้ระบบต่างๆ หรือทำธุรกรรมออนไลน์ เมื่อมิจฉาชีพได้ไปอาจถูกนำไปใช้ในเรื่องที่ผิดกฎหมาย ทำให้เราตกเป็นเหยื่อหรือผู้ประสบภัยทางออนไลน์ได้ จึงขอเตือนภัยว่าอย่าหลงเชื่อให้ข้อมูลส่วนตัวอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขคือการดูแลป้องกันรักษาควบคุมโรค ไม่ได้มีภารกิจเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือประชาชน และไม่ได้มีโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้เงินช่วยเหลือโควิด 19 หรือโรคระบาดแต่อย่างใด นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อหลอกลวงข้อมูลจากเหยื่อ และมักแอบอ้างหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง หากไม่แน่ใจแนะนำให้สอบถามกับหน่วยงานโดยตรง โดยเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข คือ www.moph.go.th สามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลภายในเว็บไซต์ทางการได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการคดีกลุ่มมิจฉาชีพตามกฏหมายอย่างถึงที่สุดผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd48333• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ "โรคมะเร็ง" ต้องตรวจสอบก่อนแชร์สธ.ร่วมกับภาคีเครือข่าย 20 หน่วยงาน เดินหน้ารณรงค์ “วันมะเร็งโลก” ภายใต้แนวคิด ปี 2566 “Uniting our voices and taking action ชวนให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก หากวินิจฉัยเร็ว รักษาไว เพิ่มโอกาสรอดชีวิต มีโอกาสหายขาดได้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาโรคมะเร็งมาโดยตลอด โดยได้ผลักดันการดูแลรักษาโรคมะเร็งเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนำสู่การปฏิบัติ เพิ่มขึ้นหลายประการ ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจอุจจาระ หากพบความผิดปกติก็สามารถตรวจคัดกรองต่อด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจหายีนผิดปกติ ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และ การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก นอกจากนี้ยังสนับสนุนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากวิธี PAP smear เป็นการคัดกรองด้วยวิธีการตรวจ HPV test ทำให้ความไวและความแม่นยำในการคัดกรองโรคสูงขึ้น และเมื่อคัดกรองพบว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถลัดขั้นตอนการส่งต่อในระบบปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ตามนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” (Cancer Anywhere) ซึ่งการวินิจฉัยเร็วและรักษาเร็ว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยใช้สิทธิ์มะเร็งรักษาได้ทุกที่แล้วกว่า 325,000 คน หรือ กว่า 2,900,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วย PET scan ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ สารสกัดกัญชาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา และการสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพง เช่น เครื่องฉายแสงให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยรอคอยการรักษาจำนวนมาก ทั่วประเทศ ทั้งนี้สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมะเร็งโลก” โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว นอกจากการดำเนินงานของภาครัฐแล้ว สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ด้านนายแพทย์ธงชัย เพิ่มเติมว่า การที่ประชาชนใช้โซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้พบว่า มีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อข้อมูลเท็จดังกล่าวเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น ที่ผ่านมา แม้จะมีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เพื่อตรวจสอบและให้ข้อมูลข้อเท็จจริง แต่การแชร์ข้อมูลเท็จด้านนี้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคมและประชาชนในการสร้างความตระหนักและหยุดยั้งการแชร์ข้อมูลเท็จต่าง ๆ ภายในงานยังมีกิจกรรมเสวนา หัวข้อ “ANTI FAKECANCERNEWS:หยุดแชร์ข่าวปลอม = ลงมือทำ” โดยนายแพทย์สกานต์ เปิดเผยว่า เฟคนิวส์หรือข่าวปลอมนั้นกระทบคนหลายกลุ่ม ผู้ที่ยังไม่ป่วยก็จะกลัวโรคมะเร็ง จึงเสาะหาว่าสิ่งไหนป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่การรับข่าวสารต้องระวัง เพราะบางข้อมูลจะมีความจริงบางส่วน เช่น ข่าวปลอมที่ว่า น้ำด่างและน้ำผลไม้ปั่น ป้องกันโรคมะเร็งได้ จริง ๆ แล้ว การดื่มน้ำผักและผลไม้หลากสีจะมีวิตามิน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ต้องพิจารณาว่า ป้องกันได้ในระดับไหน สิ่งที่น่ากลัว คือ กินน้ำเหล่านี้แล้วไม่ปรับพฤติกรรม ยังกินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ระวังมลภาวะ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งจะรู้สึกเคว้ง เชื่อเรื่องการรักษาด้วยวิธีง่าย ๆ เพราะคิดว่า การรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายแสง ใช้ยาเคมีบำบัดหรือการทำคีโม การผ่าตัด เป็นสิ่งที่ทรมาน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเยอะ แผลผ่าตัดเล็กลง การใช้ยาและการฉายแสง ไม่ส่งผลต่อร่างกายมากเท่าเดิม ซึ่งคนที่เชื่อข่าวปลอมก็จะทิ้งการรักษามาตรฐาน แทนที่จะเข้าสู่การรักษา แล้วกลับมาตอนที่เป็นในระยะที่ 3-4 ซึ่งยากต่อการรักษา อีกทั้งผลิตภัณฑ์บางอย่างยิ่งซ้ำเติมอาการให้รุนแรงอีกด้วย "สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เปิดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง มากว่า 2 ปีแล้ว พบข่าวปลอม 600 กว่าเรื่อง หากมีข้อสงสัยในข้อมูลที่ได้รับมา สามารถเสิร์ชหาในเว็บไซต์ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง หรือ Anti Fake Cancer News (AFCN) และยังสามารถอ่านข้อมูลจากข่าวปลอมได้ที่เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand โดยได้ทำข้อมูลความรอบรู้สู้มะเร็ง เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งที่ถูกต้องควบคู่กันไปด้วย สำหรับตัวอย่างข่าวปลอม เช่น ข่าวปลอมว่า ใช้โรลออนอย่างต่อเนื่องทำให้เป็นมะเร็งเต้านม เพราะน้ำยาระงับเหงื่อมีสารประกอบโลหะ เมื่อใช้นาน ๆ จะสะสมในร่างกาย เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง รวมถึงข่าวปลอมที่ว่า การทำ Ice Bathing สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ก็ไม่จริง แม้ว่าจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีใช้ความเย็น แต่เครื่องมือดังกล่าวต้องมีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมคือต้องติดลบหลายองศา และใช้ความเย็นจัดเฉพาะที่ตัวก้อนมะเร็งด้วยเครื่องมือพิเศษโดยแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง การลงแช่ในน้ำแข็งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงขอย้ำให้ตั้งสติก่อนแชร์ ส่วนฝั่งที่รับข่าวสารต้องหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนจะเชื่อ" นายแพทย์สกานต์ ย้ำ ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เสริมว่า ข่าวปลอมมีทั้งที่เป็นข้อมูลที่ผิด (misinformation) การบิดเบือนข้อมูล (disinformation) หรือมีข้อเท็จจริงบางส่วน กองทุนฯ เคยทำการวิจัยพบว่า ข้อมูลสุขภาพ 1200 ข่าว 900 ชิ้นเป็นข่าวปลอม เรื่องเกี่ยวกับโรคมะเร็งก็มีเยอะมาก ดังนั้น ต้องตั้งหลักแล้วคิด แล้วจะเลือกได้อย่างถูกทาง หากนึกถึงการแพร่ระบาดของโรคระบาด ข้อมูลเฟคนิวส์ก็รุนแรงพอ ๆ กัน จึงเรียกว่า Infodemic (ภาวะข้อมูลระบาด) ผู้รับสารต้องตั้งสติ อย่าใช้ความเคยชิน เมื่อเป็นโรคแล้วต้องสลัดความกลัว ตั้งหลัก ให้กำลังใจตัวเอง รับมือกับข้อมูลข่าวสารได้ ก็จะรับมือกับโรคได้ ขณะที่ น.ส.ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง อดีตผู้ป่วยมะเร็ง เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ เรื่องจริงกะเบลล์ เล่าถึงประสบการณ์การเป็นมะเร็งว่า ตอนที่เป็นมะเร็งก็สับสนข้อมูลความรู้ จะเจอกับหมอกูเกิลก่อนจะเป็นหมอจริง จึงเริ่มแชร์ประสบการณ์จริงว่า สิ่งไหนกินแล้วดีต่อร่างกาย มีผลอย่างไร หรือมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร นอกจากนี้ ยังได้รวมเครือข่ายจากหลายชมรมที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง เช่น ชมรมมะเร็งเต้านม และชมรมมะเร็งลำไส้ มารวมเป็นพลังถ่ายทอดประสบการณ์ตรง เช่น ตอนที่ให้ยาคีโม แล้วลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับได้ แต่บางกรณีก็ใช้ได้กับอีกคน ซึ่งต้องพิจารณาในแต่ละเรื่อง เพราะโรคมะเร็งไม่เหมือนโรคอื่น มันจะมีเวลาโกลเดนท์ไทม์ 2-3 เดือน จะสุขภาพดีเพื่อรับยาและการรักษาที่ถูกต้อง ถูกที่ถูกเวลา โอกาสหายขาดจะสูง ทั้งนี้ อย่าให้ความกลัวทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในชีวิต ลองสำรวจตัวเองก่อนว่า สิ่งที่คิดเป็นความจริงหรือความกลัว อยากให้ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน แม้จะตัดสินใจพลาดก็เริ่มใหม่ได้ ส่วน น.ส.สุชาตา ช่วงศรี รองอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 เสริมถึงประสบการณ์ตรงเรื่องโรคมะเร็งว่า ตอนนั้นปวดตรงหน้าอก รู้สึกว่าด้านข้างโตผิดปกติ ตอนแรกยังตัดสินใจไม่ตรวจ คิดว่า ลองลดความอ้วน คุมไขมัน แต่ยิ่งโตก็พบว่า ก้อนใหญ่ขึ้น ปวดมากโดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน จึงเข้ารับการตรวจวินิจฉัยพบก้อนเนื้อทั้ง 2 ข้าง แพทย์จึงให้คำแนะนำและเข้าสู่กระบวนการรักษา ขอย้ำว่า หากตรวจรักษาเร็วก็จะหายได้เร็ว สำหรับกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” ครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จำนวน 20 แห่ง อาทิ กรมการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค, มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ, สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, โรงพยาบาลในเขต จ.ปทุมธานี และภาคเอกชน อาทิ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์, บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งภาคประชาสังคม คือ มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง จัดกิจกรรม 2 ส่วน ประกอบด้วย การให้บริการประชาชน ได้แก่ ชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง (HPV Self Sampling) และส่วนนิทรรศการความรู้ อาทิ นิทรรศการ “ANTI FAKE CANCER NEWS : หยุดแชร์ข่าวปลอม = ลงมือทำ, สาธิตการตรวจเต้านมด้วยตนเอง, การเย็บหมวกและเต้านมเทียมเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง, ให้คำปรึกษาการตรวจสุขภาพ, HPV Vaccine, นิทรรศการสาธิตเมนูอาหาร และนิทรรศการ Thai Cancer Society เป็นต้นสุขภาพมะเร็งstd48333• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสปสช.แจ้งเตือนมิจฉาชีพแอบอ้างส่ง SMS ให้อัปเดทข้อมูลบัตรทอง มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ ย้ำอย่าหลงเชื่อ ระวังโดนแฮกข้อมูลหรือถูกหลอกให้โอนเงิน ยันบัตรทองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับคนไทยทุกคน ไม่มีการตัดสิทธิแน่นอน หากสงสัยอะไรให้โทรสอบถามที่สายด่วน 1330 ก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2566 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในระยะนี้พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพได้แอบอ้างชื่อ สปสช. ส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชน โดยอ้างว่า สปสช.มีนโยบายให้อัปเดทข้อมูลบัตรบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองให้เป็นข้อมูลปัจจุบัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิทันที พร้อมแนบลิงก์สำหรับให้คลิกเข้าไปอัปเดทข้อมูล ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. ไม่มีนโยบายโทรหรือส่ง SMS สอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด SMS เหล่านี้ไม่ได้ส่งจาก สปสช. แต่เป็นการแอบอ้างชื่อเพื่อหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่กลุ่มมิจฉาชีพ ดังนั้น โปรดอย่าได้หลงเชื่อคลิกลิงก์ที่แนบมาด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกแฮกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน หรืออาจถูกหลอกล่อด้วยวิธีการต่างๆ จนผู้เสียหายหลงโอนเงินไปให้ดังที่มักปรากฎเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งในระยะนี้ ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สิทธิบัตรทองนั้น เป็นสิทธิที่ติดตัวตั้งแต่เกิดจนตายสำหรับคนไทยทุกคน ไม่มีการตัดสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่การเปลี่ยนไปใช้สิทธิอื่น เช่น หากเข้ารับราชการก็จะเปลี่ยนมาใช้สิทธิสวัสดิการของราชการ หรือหากเข้าทำงานในบริษัทเอกชน ก็จะเปลี่ยนสิทธิมาใช้ระบบประกันสังคม และหากมีการเปลี่ยนสถานะ เช่น ลาออกจากราชการหรือลาออกจากบริษัท ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นสิทธิบัตรทองโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม คนไทยทุกคนจะต้องมีสิทธิการรักษาพยาบาลอย่างน้อย 1 สิทธิเสมอ ไม่มีการตัดสิทธิ/ยกเลิกสิทธิ จนกลายเป็นคนที่ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลใดๆ เลยแน่นอน “ระบบบัตรทองเป็น Social safety net หมายความว่า ถ้าคุณใช้สิทธิอะไรในการรักษาพยาบาลแล้วหลุดจากสิทธินั้น ก็จะมีระบบบัตรทองรองรับเสมอ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่มีการหมดสิทธิหรือยกเลิกสิทธิแน่นอน” ทพ.อรรถพร กล่าว ทพ.อรรถพร กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงให้แนบเนียนมากขึ้นเรื่อยๆ มีการแอบอ้างชื่อหน่วยงานราชการเพื่อความน่าเชื่อถือ รวมทั้ง สปสช. ก็เป็นอีกหน่วยงานที่ระยะนี้ถูกแอบอ้างชื่อบ่อยครั้งมากขึ้น ทั้งการโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ สปสช. หรือการส่ง SMS อ้างชื่อ สปสช. รวมทั้งในอนาคตอาจมีการแอบอ้างในช่องทางอื่นๆอีก ดังนั้น หากประชาชนมีข้อสงสัยใดๆ ขอให้โทรตรวจสอบมาที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือสอบถามทางไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso ก่อน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อจนสูญเสียเงินผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd48333• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมก็ฆ่าคนไข้ ข้อมูลผิดๆ ทำคนตายเพราะ COVID-19 นับร้อยข่าวปลอมทำให้คนรับสารได้รับข้อมูลผิดๆ ไป ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เราทราบกันดี แต่หลังจากนั้นล่ะ? คำถามนี้อาจจะยากสักหน่อยเพราะต้องมีการติดตามผลของการรับข่าวสารผิดๆ ซึ่งต้องใช้การลงแรงทำวิจัยพอสมควร แต่เป็นเรื่องดีที่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งทุ่มเทศึกษาผลกระทบของข่าวปลอมต่อตัวบุคคลกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลของการรับข่าวปลอมในช่วงเวลาที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีข่าวปลอมระบาดมากที่สุดช่วงเวลาหนึ่งปั๊ป’ ชาย• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรคstd48323• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมอย่าแชร์! ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิงกรณีที่มีการแชร์ข้อความว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีดาษลิงแต่อย่างใด โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้ จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อstd48943• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม ..ผักกระสังรักษามะเร็งเต้านมเมื่อเร็วๆ นี้มีผู้ส่งข้อมูลให้ cofact.org ตรวจสอบ ว่าผักกระสังดีจริงหรือไม่ โดยโคแฟคชี้แจงข้อมูลว่าผักกระสังเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยามายาวนาน หมอยาพื้นบ้านมักจะใช้ผักกระสังตำพอกฝี หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝีที่มีหนอง สาวๆ สมัยโบราณใช้น้ำต้มผักกระสังล้างหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส และยังนำมาสระผมทำให้ผมนุ่ม ป้องกันผมร่วง จากการศึกษาสมัยใหม่พบว่า ผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น แต่ผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท Mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน นั่นเป็นสรรพคุณที่พอเชื่อถือได้จากหลักฐานทางวิชาการ ซึ่งทางโคแฟคเองไม่ยืนยันว่าผักกระสังรักษามะเร็งเต้านมได้std48943• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยแก้โรคความดันโลหิตสูง แค่กำมือ – แบมือโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) พบได้จากการวัดความดันโลหิต ได้ในระดับที่สูงกว่าปกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ควรควบคุมความดันโลหิตให้น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอทstd48457• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ ว่า ไม่ควรสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ทางสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า โรคหลอดเลือดสมอง มี 2 ประเภท คือ สมองขาดเลือด และภาวะเลือดออกในเนื้อสมอง ซึ่งโดยภาพรวมพบภาวะสมองขาดเลือดมากกว่าเลือดออกในสมอง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทั้งสองภาวะนี้ คือโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่std46771• 2 ปีที่แล้ว
- 24 คนสงสัยอย่าเชื่อ! รักษา "มะเร็งระยะสุดท้าย" ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่ายกรณีที่มีผู้โพสต์แนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย (Artemisia lactiflora) เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารเบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และแอสคอบิกแอซิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้องทดลอง และปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทั้งนี้การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์มะเร็งยาสมุนไพรstd46699• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ