(14491 ข้อความ)
- 1 คนสงสัย"ห้องเช่าสุดเฮี้ยน" หมอปลายอมรับสมคำร่ำลือ สาวเผยเรื่องหลอนหลังเลิกงาน"หมอปลา" ลงพื้นที่พิสูจน์ความเฮี้ยน "อาถรรพณ์ห้องเช่า" ที่ระยอง สังเวย 4 ศพ ยอมรับสมคำร่ำลือ เชื่อ "อดีตดีเจ" เขียนบรรยายไดอารี่ "เห็นผีเต็มห้อง" ด้าน ขณะที่หนึ่งในผู้อยู่อาศัยเผยเรื่องสุดหลอน เห็นผู้ตายยืนอยู่หน้าห้อง-มองหน้าทุกวันstd47912• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสาวเล่าเจอดวงไฟสีแดงๆ คล้าย "กระสือ" ที่ราชบุรี หมอปลา เตรียมบุกพิสูจน์หนีอุตลุด สาววัยรุ่นเล่านาทีระทึก เจอดวงไฟสีแดงๆ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่เหนือยอดต้นมะพร้าว เชื่อเป็นกระสือแน่นอน บริเวณดังกล่าวเป็นสวน ขณะที่ "หมอปลา" และทีมงาน เตรียมบุกพิสูจน์ใช่เรื่องลี้ลับหรือไม่ภาคเหนือstd47912• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกกต.ชี้ ผู้แทนก้าวไกลตีหญิง ลาออก-ถูกขับ หาพรรคไม่ทัน พ้น ส.ส.ทันที ต้องเลือกใหม่ อุบชดใช้ค่าเสียหายเลขาฯ กกต.ขอรอดูปม ส.ส.ก้าวไกล ทุบผู้ช่วยหาเสียง ชี้ หากลาออกจากสมาชิกพรรค-ถูกขับ หาพรรคใหม่สังกัดไม่ทัน ทำพ้น ส.ส.ทันที ต้องเลือกตั้งใหม่ อุบตอบฟ้องชดใช้ค่าเสียหายจัดเลือกตั้ง แต่ยันรักษาผลประโยชน์รัฐstd47912• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! โครงการไทยมีงานทำ จากกรมการจัดหางาน รับสมัครคนมีเวลาว่าง จำนวนจำกัดX mobile-menu Logo ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand searchiconmobile mobile-menu Logo ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand searchiconmobile จำนวนผู้เข้าชม 15,590,327 ข่าวปลอม นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร ข่าวปลอม อย่าแชร์! โครงการไทยมีงานทำ จากกรมการจัดหางาน รับสมัครคนมีเวลาว่าง จำนวนจำกัด 14 มิถุนายน 2023 | 13:30 Facebook Twitter Link Youtube กรณีที่มีการโฆษณาว่า โครงการไทยมีงานทำ จากกรมการจัดหางาน รับสมัครคนมีเวลาว่าง จำนวนจำกัด ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางาน โครงการไทยมีงานทำ รับสมัครคนมีเวลาว่าง รายได้ 300-1,500 บาท รับจำนวนจำกัด ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ภาพประกาศเชิญชวนรับสมัครงาน ที่มีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต นั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรมการจัดหางานตรวจสอบพบว่าข้อความดังกล่าวมิได้มาจากส่วนราชการของกรมการจัดหางาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากพบเห็นข้อความดังกล่าวโปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะอาจมีการขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ หรืออาจถูกหลอกลวงจนเกิดความเสียหายstd47606• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยคนชรากินปาท่องโก๋ที่ใส่แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ทำให้ไตทำงานหนักกรณีที่มีการบอกต่อข้อมูลโดยระบุว่า หากให้ผู้สูงอายุ รับประทานปาท่องโก๋ที่ใส่แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต จะทำให้ไตทำงานหนัก ทางกรมอนามัย หน่วยงานสำนักอนามัยผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตไม่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ หากคนชรากินจะทำให้ไตทำงานหนัก ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งปาท่องโก๋มีสารที่นิยมใช้ในการทำให้ขึ้นฟู 3 ชนิด คือ ผงฟู ยีสต์ และแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต (NH₄HCO₃) จะช่วยให้ปาท่องโก๋กรอบพองฟู สารแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติในการทำให้เกิดการขึ้นฟูในขั้นตอนที่ต่างกัน หากใช้แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตในปริมาณที่เหมาะสม แก๊สจะระเหยออกไปหมดโดยจะไม่ส่งกลิ่นทิ้งไว้ในปาท่องโก๋ แต่การทอดด้วยน้ำมันไม่ร้อนจัด ทอดแบบแน่นเกินไป หรือใส่สารมากเกิน สารแอมโมเนียระเหยไม่หมด ทำให้เกิดกลิ่นของแอมโมเนีย ไม่เป็นอันตราย แต่จะทำให้ผู้ทอดระคายคอ แต่ไม่ควรกินปาท่องโก๋เป็นประจำ เพราะให้พลังงานสูงราว 120 – 180 กิโลแคลอรี พลังงานส่วนใหญ่มาจากไขมัน มีไขมันอิ่มตัวสูง ส่งผลเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด และส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา และหากทอดแบบผ่านความร้อนนาน หรือผ่านการทอดในน้ำมันซ้ำ จะเกิดสารก่อมะเร็งได้ อันตรายต่อทั้งผู้ทอดและผู้บริโภค และการที่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ส่งผลเสียต่อไต และความดันโลหิตสูง ผลที่ตามมาคือเกิดความดันในหน่วยไตสูงขึ้น และเกิดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะมากขึ้น นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารบางอย่าง ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น แต่ในปาท่องโก๋ไม่ได้ใส่เกลือหรือผงฟูมากขนาดนั้น หากไม่กินมากจนเกินไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายbhoonbhoon743• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยบ้านปู ร่วมกับ ก.ล.ต. เปิดโอกาสฝากหุ้นระยะยาว ปันผลกำไรมากกว่า 3%จากกรณีที่มีการตรวจพบข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท บ้านปู จำกัด ร่วมกับ ก.ล.ต. เปิดโอกาสฝากหุ้นระยะยาว เริ่มต้นลงทุน 1,000 หน่วย ปันผลกำไรมากกว่า 3% ต่อสัปดาห์ ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า เป็นการให้ข้อมูลลงทุนโดยแอบอ้างใช้ชื่อบริษัทจดทะเบียนและโลโก้ ก.ล.ต. โดยไม่ได้รับอนุญาต ก.ล.ต. มีคำแนะนำเกี่ยวกับจุดสังเกตที่ต้องระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 6 ข้อดังนี้ 1. เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง เร่งรัดให้ตัดสินใจลงทุน 2. คำโฆษณา ชักชวนว่า ไม่มีความรู้ก็ลงทุนได้ 3. อ้างสัญลักษณ์ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือสมาคมที่เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ 4. แอบอ้างรูปดารา คนดัง หรือผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ 5. ชื่อผู้รับโอนใช้ชื่อบัญชีส่วนตัว 6. ปลอมแปลงใบอนุญาต/อ้างชื่อ/ตั้งชื่อให้ใกล้เคียงบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐbhoonbhoon743• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รับสมัครผู้สนใจหารายได้เสริม วุฒิ ป.6 ขึ้นไป รายได้ดีLogo ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand searchiconmobile จำนวนผู้เข้าชม 15,590,327 ข่าวปลอม นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร ข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รับสมัครผู้สนใจหารายได้เสริม วุฒิ ป.6 ขึ้นไป รายได้ดี 14 มิถุนายน 2023 | 10:30 Facebook Twitter Link Youtube กรณีที่มีการโฆษณาว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รับสมัครผู้สนใจหารายได้เสริม วุฒิ ป.6 ขึ้นไป รายได้ดี ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รับสมัครผู้สนใจหารายได้เสริม วุฒิการศึกษา ป.6 ขึ้นไป รายได้ 500-850 บาทต่อวัน รับสมัคร วันนี้ถึง 31 ก.ค. 66 ทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ตามที่เพจ Facebook Jook มีการแอบอ้างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้ชื่อ “กระทรวงมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” รับสมัครคนทำงานฝีมือเพื่อนำไปทำงานที่บ้าน ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นหน่วยงานภาครัฐมีภารกิจหน้าที่ในการฝึกอบรมอาชีพให้แก่ประชาชน จึงไม่มีนโยบายในการรับงานไปทำที่บ้าน รวมถึงมีการใช้โลโก้ “มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” ซึ่งกรมฯ ไม่ได้ใช้โลโก้และชื่อดังกล่าวstd47606• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกระทรวงแรงงานเปิดโควตาไปนิวซีแลนด์ ทำงานนวดและงานฟาร์มแกะกรณีที่มีโฆษณาประกาศว่า กระทรวงแรงงานเปิดโควตาไปนิวซีแลนด์ ทำงานนวดและงานฟาร์มแกะ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข้อมูลเผยแพร่เกี่ยวกับรับสมัครโควตาแรงงานไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ งานนวด 2 อัตรา และงานฟาร์มแกะ 4 อัตรา ผ่านกระทรวงแรงงาน ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การโฆษณาจัดหางานเชิญชวนคนหางานไปทำงานทางสื่อโซเชียลมีเดียดังกล่าว ไม่มีรายละเอียดชื่อบริษัทจัดหางาน ตำแหน่งงาน และคุณสมบัติ ซึ่งไม่สามารถทำได้ เนื่องจากฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มีความผิดตามมาตรา 66 โดยการโฆษณาจัดหางานเพื่อพาคนไปทำงานต่างประเทศสามารถทำได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นbhoonbhoon743• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยลดน้ำหนัก ดีท็อกซ์ลำไส้ ด้วยสูตรน้ำส้มสายชู โยเกิร์ต และน้ำอัดลมmobile-menu Logo ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand searchiconmobile จำนวนผู้เข้าชม 15,589,656 ข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลดน้ำหนัก ดีท็อกซ์ลำไส้ ด้วยสูตรน้ำส้มสายชู โยเกิร์ต และน้ำอัดลม ข่าวปลอม อย่าแชร์! 15 มกราคม 2020 | 10:09 Facebook Twitter Link Youtube ตามที่ได้มีข่าวปรากฎในสื่อออนไลน์ต่างๆ ในประเด็นเรื่อง ลดน้ำหนัก ดีท็อกซ์ลำไส้ ด้วยสูตรน้ำส้มสายชู โยเกิร์ต และน้ำอัดลม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าข้อมูลที่ปรากฏดังกล่าว เป็น ข้อมูลเท็จ จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าให้นำน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ นมเปรี้ยว 2 ขวดเล็ก และน้ำสไปรท์ 1 ขวดเล็ก มาผสมรวมกันแล้วดื่มเพื่อลดน้ำหนักนั้น นักปฏิบัติการวิจัยของสถาบันโภชนาการ ได้ให้ข้อมูลว่า จากสูตรดังกล่าวไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แถมยังมีโอกาสเพิ่มน้ำหนัก เพิ่มการสะสมของไขมันบริเวณหน้าท้องอีกด้วย เมื่อพิจารณาสูตรจากส่วนผสมที่ละอย่าง ได้แก่ น้ำส้มสายชู ที่คาดว่าน่าจะเริ่มต้นมาจากแอปเปิลไซเดอร์หรือผลไม้ที่ผ่านการหมักดอกแล้วนำไปกลั่น ยังไม่มีงานวิจัยมาสนับสนุนอย่างชัดเจนว่าช่วยลดน้ำหนักหรือดีท็อกซ์ได้ นมเปรี้ยว มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกับสุขภาพ คือแคลเซียม และวิตามินต่างๆ แต่ว่าในนมเปรี้ยวปกติจะมีน้ำตาลอยู่ที่ 2-3 % ซึ่งมีส่วนทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับน้ำตาลเพิ่ม 8.5 กรัม น้ำสไปรท์ จะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบที่ประมาณ 9 % โดยหนึ่งขวด 450 มิลลิลิตร จะมีน้ำตาล 40.5 กรัม เมื่อทั้งสามส่วนผสมรวมกันที่น่าเป็นห่วงคือ ปริมาณน้ำตาล ที่สูงถึง 49 กรัม เกินจากที่องการอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำไว้ว่า ในหนึ่งวันควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม สำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักหรือดีท็อกซ์ ให้ทานผักในทุกมื้ออาหารและทานผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยจะดีกว่า เพราะมีใยอาหารที่จะช่วยตรงนี้อยู่แล้ว โดยในหนึ่งวันแนะนำให้กินผัก และผลรวมกันอยู่ที่ 400-500 กรัม หลีกเลี่ยงกลุ่มอาหาร หวาน มัน เค็ม ก็จะมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพป้องกันโอกาสน้ำหนักเกินได้bhoonbhoon743• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! หัวไชเท้าผสมน้ำผึ้งรักษาโรคริดสีดวงทวารตามที่มีข้อความข่าวสารถูกเผยแพร่เกี่ยวกับผู้บริหาร ก.ล.ต. เป็นสมาชิกทีมผู้ดูแลโทเคนดิจิทัลนั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีโฆษณาเรื่องผู้บริหาร ก.ล.ต. เป็นสมาชิกทีมผู้ดูแลโทเคนดิจิทัล ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ด้วยมีการเผยแพร่ภาพผู้บริหาร ก.ล.ต. พร้อมด้วยโลโก้ สำนักงาน ก.ล.ต. และอ้างว่า เป็นสมาชิกทีมผู้ดูแลโทเคนดิจิทัลนั้นไม่ได้มาจากหน่วยงานแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีคำแนะนำเกี่ยวกับจุดสังเกตที่ต้องระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 6 ข้อดังนี้ 1. เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง เร่งรัดให้ตัดสินใจลงทุน 2. คำโฆษณาชักชวนว่า ไม่มีความรู้ก็ลงทุนได้ 3. อ้างสัญลักษณ์ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือสมาคมที่เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ 4. แอบอ้างรูปดารา คนดัง หรือผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ 5. ชื่อผู้รับโอนใช้ชื่อบัญชีส่วนตัว 6. ปลอมแปลงใบอนุญาต/อ้างชื่อ/ตั้งชื่อให้ใกล้เคียงบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd47606• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! ตั้งแต่เดือน มิ.ย. – ก.ค.นี้ จะเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ตามที่มีการโพสต์ข้อความเผยแพร่ระบุตั้งแต่เดือน มิ.ย. – ก.ค.นี้ จะเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการเตือนโดยกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ มิ.ย. – ก.ค. หรือ ส.ค. นี้ เกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เดือน มิถุนายน 2566 ช่วงประมาณครึ่งแรกของเดือน ประเทศไทยยังคงมีฝนตกชุกและต่อเนื่อง โดยจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 – 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่งในบางวัน เว้นแต่ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 – 80 ของพื้นที่ กับจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในบางวัน จากนั้นปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เนื่องจาก ช่วงประมาณครึ่งแรกของเดือน มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยยังคงมีกำลังค่อนข้างแรงเป็นระยะ ๆ จากนั้นจะมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับในบางช่วงจะมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนในช่วงปลายเดือน สรุปเดือนนี้ คาดว่า ปริมาณฝนรวมส่วนใหญ่จะน้อยกว่าค่าปกติร้อยละ 5 – 10 เว้นแต่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะใกล้เคียงค่าปกติ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยยังคงใกล้เคียงค่าปกติ เดือนนี้มักจะมีพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก และเคลื่อนตัวผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงสู่ทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาไว้ด้วยสภาพอากาศstd47606• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ จะถูกดูดน้ำย่อยในลำไส้ ทำให้ร่างกายขาดน้ำกรณีที่มีบทความเตือนโดยระบุว่า กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบจะดูดน้ำย่อยในลำไส้ ทำให้เกิดอาการขาดน้ำ จนเกิดภาวะช็อกได้นั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ ไม่สามารถดูดน้ำย่อยในลำไส้ได้ และไม่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำมาจากแป้งและทำให้สุกด้วยน้ำร้อน ก่อนจะนำไปทอดในน้ำมัน หรือนำไปอบแห้ง แล้วถึงจะนำมาต้มอีกที ซึ่งเมื่อนำมาเติมน้ำร้อน หรือต้ม เส้นบะหมี่จะดูดน้ำและพองตัวในระดับหนึ่ง รวมทั้งมีความอ่อนนุ่ม เหมาะแก่การบริโภค หากนำมากินดิบ เมื่อบริโภคเข้าไปในร่างกายก็เหมือนกับการกินแป้งหรือขนมปัง จึงไม่สามารถไปดูดน้ำย่อยในลำไส้ และทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ แต่การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบอาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องได้bhoonbhoon743• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วันตามที่มีการโฆษณาทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเพื่อทำความสะอาด สวยงามแต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ โดยเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้ข้อมูลว่า โครงสร้างของจมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อน โดยห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่งจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกายของมนุษย์ รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ทำให้ดั้งโด่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณที่โกหก เพราะครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนผู้บริโภคให้คิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่าง ๆ ว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th และหากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงขอให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ความสวยความงามอย. เพิกถอนผู้บริโภคเฝ้าระวังpeekapatpeekapat• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวฉลอมผลิตภัณฑ์ keyto ลดน้ำหนัก 15กิโล 1สัปดาห์ตามที่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ KeyTo ช่วยลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีชวนเชื่อโดยอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์ KeyTo สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวไม่สามารถลดน้ำหนักได้ อย่าหลงเชื่อรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว เพราะไม่ได้ผลแถมอาจมีสารที่เป็นอันตราย มีผลข้างเคียงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ลดความอ้วนอย. เพิกถอนผู้บริโภคเฝ้าระวังpeekapatpeekapat• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรมจัดหางาน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจ Ange Bianตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจสร้างรายได้รับค่าจ้าง 1,500 – 2,500 บาทต่อวัน ผ่านเพจ Ange Bian ทางผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมPakin Bunya-arak• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมอย่าแชร์!สมุนไพรขันทองพยาบาทรักษามะเร็งกรณีที่มีการแชร์สรรพคุณของสมุนไพรขันทองพยาบาท ว่าสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่าขันทองพยาบาทไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็ง และไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งได้ ซึ่งปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา โดยผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ สำหรับสมุนไพรขันทองพยาบาท (Suregada multiflora) เป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในตำหรับยาสมุนไพรพื้นบ้านมีกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น อัลคาลอยด์ ซาโปนิน ฟลาโวนอยด์ เป็นต้น และจากผลการศึกษาวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการ พบว่าสารนี้อาจมีส่วนในการยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง แต่ผลดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้น และยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าขันทองพยาบาทช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบว่าขันทองพยาบาทไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งและไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งได้มะเร็งยาสมุนไพรpeekapatpeekapat• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสรรพสามิตเตรียมแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษีใหม่สรรพสามิตเตรียมแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษีใหม่ ทางกรมสรรพสามิตข่าวการเมืองPakin Bunya-arak• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยห่วงแชร์ข่าวปลอมหายารักษาโควิดเองสถานการณ์ของโควิด-19 ในหลายพื้นที่ยังคงน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องช่วยกันเฝ้าระวังอีกอย่างในช่วงนี้ คือข่าวปลอม หรือ Fake News การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยเฉพาะยารักษาโควิด-19 ซึ่งหากใครหลงเชื่อ ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนกรณีการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมในหัวข้อยา 6 ชนิด ที่เตรียมไว้ใช้รักษาโควิด-19 ด้วยตนเองที่บ้าน โดยทางรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีนโยบายในการสร้างการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนหรือข่าวปลอม (Fake News) จากผู้ไม่หวังดีที่โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งได้มีการตรวจพบข่าวปลอม (Fake News) กรณียา 6 ชนิด ที่เตรียมไว้ใช้รักษาโควิด-19 ด้วยตนเองที่บ้านนั้น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แล้ว ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวนั้น เป็นข่าวปลอม (Fake News) เนื่องจากในการจ่ายยาให้ผู้ป่วยโควิด-19 ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์เป็นรายบุคคล เพราะหากเลือกรับประทานยาเอง อาจทำให้เกิดอันตราย จากภาวะแทรกซ้อนของยาได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูล จนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม และเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ เพราะในปัจจุบันนี้มีข่าวปลอมในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน การกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2), (5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอม และผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไปpeekapatpeekapat• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยยาผีบอกรักษาทุกโรคยาผีบอก คือ ผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณที่โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินกว่าความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นแก้ปวดเมื่อย รักษามะเร็ง โรคเก๊า ภูมิแพ้ รูมาตอยด์ ขับสารพิษ โดยจะมีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาลอยู่ในบรรจุภัณฑ์สีใส อยู่ในหมวดหมู่ยาควบคุมพิเศษ ภายใต้การดูแลของแพทย์ ก่อนจะใช้ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะมีผลข้างเคียงสูง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แม้ว่าในช่วงแรกที่ใช้นั้นมันจะบรรเทาอาการความเจ็บป่วยได้ก็ตามstd47611• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยเปิดตัว“โคแฟค” ตัดวงจรข่าวลวงที่ระบาดมากับโควิด-19Main navigation" style="box-sizing: border-box; color: rgb(255, 255, 255); background-color: transparent; text-decoration: none; transition: color 0.4s ease 0s; border-bottom: 1px solid rgb(67, 67, 67); display: block; margin: 0px; padding: 10px 0px;">หน้าแรกข่าวเฟคนิวส์สุขภาพปฐมภูมิโรคอุบัติใหม่รายงานInfographicชุมชนสุขภาพ Search Wednesday, 15 April 2020 เปิดตัว“โคแฟค” ตัดวงจรข่าวลวงที่ระบาดมากับโควิด-19 สสส.จับมือ ภาคีป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง เปิดตัวเว็บไซต์-Chatbot “โคแฟค” ชวนสังคมค้นหาข่าวจริง ตัดวงจรข่าวลวงที่ระบาดมากับโควิด-19 ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้มาพร้อมกับการระบาดของข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดข่าวลวงข่าวปลอมแพร่กระจายในสื่อไปทั่วโลก รวมทั้งในไทย สร้างความเข้าใจผิด ๆ ในเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคระบาด และความปลอดภัยของประชาชน สสส. ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ChangeFusion Wisesight Open Dream Center for Humanitarian Dialogue (HD) มูลนิธิ Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF) สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และองค์กรวิชาชีพสื่อ นำร่องกลไกภายใต้โครงการโคแฟค (Collaborative Fact Checking : Cofact) เปิดพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านเว็บไซต์ cofact.org และโปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติ (Chatbot) ไลน์ @cofact เพื่อร่วมตรวจสอบข่าวลวงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะประเด็นโควิด-19 เป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ทุกคนเปิดรับสื่ออย่างรู้เท่าทัน ร่วมตรวจสอบข่าว นำมาสู่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเท่าทันสื่อของพลเมืองดิจิทัล ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศสื่อและสังคมสุขภาวะ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า โครงการโคแฟค เปิดพื้นที่ให้ช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริงกับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงผู้รู้จริง เพราะบางครั้งข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงต้องการสร้างพื้นที่กลางในการค้นหาความจริงร่วมกัน โดยผ่านเว็บไซต์ cofact.org เป็นการผสานการผลักดันการใช้เทคโนโลยีของภาคพลเมือง กับงานเชิงข่าวด้านวารสารศาสตร์ มีกองบรรณาธิการร่วมกับอาสาสมัครทำการกรองข่าวที่เกิดขึ้นโดยอิงข้อมูลจากหน่วยงาน หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องstd47620• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยInfodemic: การแพร่ระบาดของข้อมูลเท็จในวิกฤติ 'โควิด-19'Infodemic: การแพร่ระบาดของข้อมูลเท็จในวิกฤติโควิด-19 กับมาตรการจัดการข่าวลวงของแต่ละประเทศ ในขณะที่เชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือโรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดใน 180 ประเทศทั่วโลก รัฐบาลต้องประสบกับการแพร่กระจายของข่าวลวง (Fake news) และข่าวลือ (Rumor) ที่สร้างความตระหนก และความสับสน รวมทั้งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ปรากฏการณ์นี้เรียกกันว่า “การแพร่ระบาดของข้อมูล” หรือ “Infodemic” ซึ่งพบทั้งข้อมูลเท็จที่ปล่อยมาอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ (Misinformation) ได้แก่ ข่าวลือและข่าวเล่นตลกซึ่งผู้ปล่อยไม่มีเจตนาสร้างความเสียหาย และข่าวบิดเบือนที่ปล่อยอย่างตั้งใจ (Disinformation) เช่น ข้อมูลให้ร้าย โฆษณาชวนเชื่อ หรือข่าวลวงที่ตั้งใจก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นใน Facebook, Instagram, Youtube, Whatsapp ไปจนถึง Line ต่างพบว่าข้อมูลเท็จในหลายโพสต์มียอดเอ็นเกจเมนท์สูงกว่าข้อมูลถูกต้อง ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และภาครัฐเสียอีก Infodemic สร้างความกังวลให้กับรัฐบาลและองค์กรนานาชาติต่างๆ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ซึ่งต้องรีบออกแก้ไขข้อมูลเท็จในหน้าเว็บ Myth Busters และยังส่งตัวแทนเข้าหารือกับบริษัทโซเชียลมีเดียและสื่อดิจิตัลต่างๆ รวมทั้ง Facebook, Pinterest และ Amazon เพื่อขอความร่วมมือในการลบข้อมูลเท็จหรือสินค้าปลอมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อโควิด-19 แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะรีบออกนโยบายจัดการกับข้อมูลเท็จในทันที แต่ก็ไม่สามารถเก็บล้างได้หมด ร้อนถึงรัฐบาลในแต่ละประเทศ ที่ต่างต้องออกมาตรการออกมาจัดการกับข้อมูลเท็จเพื่อมิให้สร้างความสับสนต่อสาธารณะ รวมทั้งกระทบต่อความเชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาลในการระงับการระบาดของโรคโควิด-19std47620• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอันตราย! ลัทธิกินอุจจาระ- ปัสสาวะรักษาโรค ส่งผลเสียสุขภาพกาย และจิตใจเข้าขั้นงมงายร่วมหลงผิดกรณีลัทธิประหลาดกินปัสสาวะ - อุจจาระ รักษาโรค ว่า เรื่องนี้ขอตอบในหลักวิทยาศาสตร์ว่า ปกติในอุจจาระปัสสาวะร่างกายของคนเรา เป็นของเสียที่ถูกขับออกมา ในอุจจาระ มีเชื้อโรค แบคทีเรีย มีพยาธิ เชื้อรา แม้ปัสสาวะ จะเป็นผ่านการกรองจากร่างกาย แต่ก็ไม่สมควรรับประทานอยู่ดี ปกติคนที่มีโรค หรือ มีการติดเชื้อทางเดินทางอาหาร การรับประทานอุจจาระก็สามารถได้รับเชื้อโรคจากอุจจาระได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่รับประทานทั้งอุจจาระ และ ปัสสาวะ เสมหะ หรือ หนองเข้าไปแล้วรู้ผิดปกติ ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรบริโภคstd47611• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ "โรคมะเร็ง" ต้องตรวจสอบก่อนแชร์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาโรคมะเร็งมาโดยตลอด โดยได้ผลักดันการดูแลรักษาโรคมะเร็งเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนำสู่การปฏิบัติ เพิ่มขึ้นหลายประการ ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจอุจจาระ หากพบความผิดปกติก็สามารถตรวจคัดกรองต่อด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจหายีนผิดปกติ ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และ การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก นอกจากนี้ยังสนับสนุนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากวิธี PAP smear เป็นการคัดกรองด้วยวิธีการตรวจ HPV test ทำให้ความไวและความแม่นยำในการคัดกรองโรคสูงขึ้น และเมื่อคัดกรองพบว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถลัดขั้นตอนการส่งต่อในระบบปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ตามนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” (Cancer Anywhere) ซึ่งการวินิจฉัยเร็วและรักษาเร็ว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยใช้สิทธิ์มะเร็งรักษาได้ทุกที่แล้วกว่า 325,000 คน หรือ กว่า 2,900,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วย PET scan ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ สารสกัดกัญชาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา และการสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพง เช่น เครื่องฉายแสงให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยรอคอยการรักษาจำนวนมาก ทั่วประเทศ ทั้งนี้สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมะเร็งโลก” โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว นอกจากการดำเนินงานของภาครัฐแล้ว สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งstd47626• 2 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเตรียมรับมือพายุอินเดียเข้าไทย ทุกภูมิภาคระวังน้ำท่วมใหญ่ ในช่วงวันที่ 3 – 8 ก.ค. 66เตรียมรับมือพายุอินเดียเข้าไทย ทุกภูมิภาคระวังน้ำท่วมใหญ่ ในช่วงวันที่ 3 – 8 ก.ค. 66สภาพอากาศPakin Bunya-arak• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ยังไม่มีข้อมูลหรือข้อแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารดังกล่าว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุoilchadar• 2 ปีที่แล้ว
