ความลับทักษิณถูกเปิดเผยแล้ว
งามหน้าละทีนี้!!!
เคยมีข่าวมานาน แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน!!!
คราวนี้ไม่ต้องสืบแล้ว เพราะต่างประเทศลงข่าวว่า
บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ที่ทำธุรกิจด้านพลังงานของรัฐอาบูดาบี ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ออกคำแถลงผ่านสื่อต่างประเทศว่าพวกเขาได้รับสัมปทานเข้าไปพัฒนาแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ที่เรียกว่า “แหล่งนงเยาว์” โดยจะเริ่มดำเนินการพัฒนา ในเชิงพาณิชย์ภายในปีห...น้า (2558) เป็นต้นไป รายงานข่าวดังกล่าวเผยแพร่โดยสำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อสองสามวันก่อน ที่อ้างคำแถลงอย่างเป็นทางการจากบริษัทดังกล่าวที่มี คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค เป็นซีอีโอ เปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ โดย เขายังควบตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีกในอังกฤษ ที่ซื้อกิจการต่อมาจาก ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ตามรายงานข่าวดังกล่าว ระบุว่า บริษัท มูบาดาลาฯ จะได้รับประโยชน์จากสัญญาสัมปทานพลังงานแปลง “นงเยาว์”ในอ่าวไทย ในสัดส่วนราวร้อยละ 75 และมีบริษัทพลังงาน ในชื่อ คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วน ได้รับส่วนแบ่งที่เหลืออีกร้อยละ 25 ที่น่าสนใจก็คือ แหล่งน้ำมันแห่งนี้ มีศักยภาพในการผลิต น้ำมันรองรับได้ถึงวันละ 15,000 บาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทพลังงาน ของรัฐอาบูดาบี ดังกล่าว ยังมีการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทยในชื่อ “เพิร์ล ออยส์ (ประเทศไทย) จำกัด” มีสำนักงานอยู่ที่ “ตึกชินวัตร 3” โดย บริษัทเพิร์ลออยส์ฯ ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านธุรกิจพลังงานกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในด้านการทำธุรกิจด้านพลังงานในอ่าวไทย ทั้งที่อยู่ในเขตไทย และในเขตที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ โดยมีการดึงเอาบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือ ปตท.สผ.เข้ามาเป็นหุ้นส่วนมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ที่ยกทรัพยากรธรรมชาติของชาติไปให้ ทักษิณ ชินวัตร ไปขายให้กับต่างชาติ สอดคล้องกัน กับคำให้สัมภาษณ์ของ ปลัดกระทรวงพลังงาน ณอคุณ สิทธิพงศ์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งเป็นกรรมการปิโตรเลียม เปิดเผยว่าคณะกรรมการปิโตรเลียมได้เปิดพื้นที่ ผลิตปิโตรเลียมใน แหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยมีบริษัท เพิร์ลออยส์ฯ เข้าไปพัฒนา อยู่ในแปลงสำรวจ จี11/48 ในอ่าวไทย เมื่อเชื่อมโยง คำแถลงล่าสุดของบริษัท คัลดูน คาลิฟาฯ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และตัวซีอีโอที่ออกมายอมรับการเข้าทำธุรกิจพลังงาน ในอ่าวไทย โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป และการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ที่มาที่ไปกับ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามสั่งการ รวมไปถึงบรรดารัฐมนตรี “ขี้ข้า” ที่พร้อม “รับงาน” ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพลังงาน ทั้งคนก่อน คนปัจจุบันอย่าง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ความเคลื่อนไหวที่เห็น แม้ไม่ต้องอธิบาย ก็สามารถหลับตานึกภาพเห็นได้ชัดเจนกันอยู่แล้ว ว่านี่คือ รายการ “สมคบกันฮุบ ทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัว โดยใช้อำนาจรัฐ ใช้รัฐบาลที่มีน้องสาวนตัวเอง และบรรดารัฐมนตรี “ขี้ข้า” ทั้งหลายช่วยอำนวยความสะดวก ทุกอย่างเป็น “จิ๊กซอว์” ที่ต่อเชื่อมเห็นภาพได้ อย่างชัดเจน และที่ผ่านมาแม้ว่า จะมีการรับรู้ และคาดการณ์กันอยู่ล่วงหน้าในทำนองว่า “กูว่าแล้ว” อะไรประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่า ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน มีแต่การปะติดปะต่อ คาดเดาจากความเคลื่อนไหวและการเดินสายไปเจรจากับ ต่างประเทศที่มีพิรุธ และสื่อต่างประเทศก็เคยมีการรายงานตั้งข้อสงสัย ออกมาให้เห็นเป็นระยะ ไล่หลังการเดินทางของ ทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ทักษิณ ชินวัตร อยู่เสมอในเรื่องของ ผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจพลังงานทั้งในอ่าวไทย พม่า เป็นต้น รวมทั้งเวลานั้นกระแสต่อต้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ยังไม่มีแรงพอ ทำให้สังคมเกิดความรู้สึกร่วมได้มากเหมือนในตอนนี้ ดังนั้นการยอมรับและ การแถลงอย่างเป็นทางการ ของบริษัทพลังงานที่เข้ามารับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยของบริษัทที่เชื่อมโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร คราวนี้มันจึงไม่ต่างจาก “ใบเสร็จ” ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวนี้กำลัง “ฮุบทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัว อย่างหน้าไม่อาย และนี่แหละคือ “ทุนสามานย์ข้ามชาติ” ที่คนอย่างเขาทำตัวทั้งเป็น “นายหน้า” และร่วมหุ้นแบบที่ ไม่ต้องลงทุน ขณะเดียวกันกรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างและเป็นอีกคำตอบว่า ทำไมการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทรราชย์ของ “มวลมหาประชาชน” ในไทยจึงได้รับการบิดเบือน และโจมตีจาก มหาอำนาจตะวันตก ก็เพราะมีผลประโยชน์ ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นแหละ ยิ่งเห็นภาพชัดแบบนี้ ก็ต้องถึงเวลาที่รวมพลังกัน ขับไล่พวกทรราชย์ไปทั้งโคตร!! แชร์แฉเรื่องจริงเรื่องนี้ ไปให้เยอะๆ เพราะสื่อหลัก มันไม่ทำข่าวพวกนี้ให้ ปชช.ทั่วไปรู้ ยิ่งคนรู้มากยิ่งช่วย ประเทศได้มาก อ่านแล้ว ช่วยส่งต่อให้มากที่สุดด้วย
งามหน้าละทีนี้!!!
เคยมีข่าวมานาน แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน!!!
คราวนี้ไม่ต้องสืบแล้ว เพราะต่างประเทศลงข่าวว่า
บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ที่ทำธุรกิจด้านพลังงานของรัฐอาบูดาบี ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ออกคำแถลงผ่านสื่อต่างประเทศว่าพวกเขาได้รับสัมปทานเข้าไปพัฒนาแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ที่เรียกว่า “แหล่งนงเยาว์” โดยจะเริ่มดำเนินการพัฒนา ในเชิงพาณิชย์ภายในปีห...น้า (2558) เป็นต้นไป รายงานข่าวดังกล่าวเผยแพร่โดยสำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อสองสามวันก่อน ที่อ้างคำแถลงอย่างเป็นทางการจากบริษัทดังกล่าวที่มี คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค เป็นซีอีโอ เปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ โดย เขายังควบตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีกในอังกฤษ ที่ซื้อกิจการต่อมาจาก ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ตามรายงานข่าวดังกล่าว ระบุว่า บริษัท มูบาดาลาฯ จะได้รับประโยชน์จากสัญญาสัมปทานพลังงานแปลง “นงเยาว์”ในอ่าวไทย ในสัดส่วนราวร้อยละ 75 และมีบริษัทพลังงาน ในชื่อ คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วน ได้รับส่วนแบ่งที่เหลืออีกร้อยละ 25 ที่น่าสนใจก็คือ แหล่งน้ำมันแห่งนี้ มีศักยภาพในการผลิต น้ำมันรองรับได้ถึงวันละ 15,000 บาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทพลังงาน ของรัฐอาบูดาบี ดังกล่าว ยังมีการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทยในชื่อ “เพิร์ล ออยส์ (ประเทศไทย) จำกัด” มีสำนักงานอยู่ที่ “ตึกชินวัตร 3” โดย บริษัทเพิร์ลออยส์ฯ ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านธุรกิจพลังงานกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในด้านการทำธุรกิจด้านพลังงานในอ่าวไทย ทั้งที่อยู่ในเขตไทย และในเขตที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ โดยมีการดึงเอาบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือ ปตท.สผ.เข้ามาเป็นหุ้นส่วนมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ที่ยกทรัพยากรธรรมชาติของชาติไปให้ ทักษิณ ชินวัตร ไปขายให้กับต่างชาติ สอดคล้องกัน กับคำให้สัมภาษณ์ของ ปลัดกระทรวงพลังงาน ณอคุณ สิทธิพงศ์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งเป็นกรรมการปิโตรเลียม เปิดเผยว่าคณะกรรมการปิโตรเลียมได้เปิดพื้นที่ ผลิตปิโตรเลียมใน แหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยมีบริษัท เพิร์ลออยส์ฯ เข้าไปพัฒนา อยู่ในแปลงสำรวจ จี11/48 ในอ่าวไทย เมื่อเชื่อมโยง คำแถลงล่าสุดของบริษัท คัลดูน คาลิฟาฯ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และตัวซีอีโอที่ออกมายอมรับการเข้าทำธุรกิจพลังงาน ในอ่าวไทย โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป และการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ที่มาที่ไปกับ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามสั่งการ รวมไปถึงบรรดารัฐมนตรี “ขี้ข้า” ที่พร้อม “รับงาน” ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพลังงาน ทั้งคนก่อน คนปัจจุบันอย่าง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ความเคลื่อนไหวที่เห็น แม้ไม่ต้องอธิบาย ก็สามารถหลับตานึกภาพเห็นได้ชัดเจนกันอยู่แล้ว ว่านี่คือ รายการ “สมคบกันฮุบ ทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัว โดยใช้อำนาจรัฐ ใช้รัฐบาลที่มีน้องสาวนตัวเอง และบรรดารัฐมนตรี “ขี้ข้า” ทั้งหลายช่วยอำนวยความสะดวก ทุกอย่างเป็น “จิ๊กซอว์” ที่ต่อเชื่อมเห็นภาพได้ อย่างชัดเจน และที่ผ่านมาแม้ว่า จะมีการรับรู้ และคาดการณ์กันอยู่ล่วงหน้าในทำนองว่า “กูว่าแล้ว” อะไรประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่า ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน มีแต่การปะติดปะต่อ คาดเดาจากความเคลื่อนไหวและการเดินสายไปเจรจากับ ต่างประเทศที่มีพิรุธ และสื่อต่างประเทศก็เคยมีการรายงานตั้งข้อสงสัย ออกมาให้เห็นเป็นระยะ ไล่หลังการเดินทางของ ทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ทักษิณ ชินวัตร อยู่เสมอในเรื่องของ ผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจพลังงานทั้งในอ่าวไทย พม่า เป็นต้น รวมทั้งเวลานั้นกระแสต่อต้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ยังไม่มีแรงพอ ทำให้สังคมเกิดความรู้สึกร่วมได้มากเหมือนในตอนนี้ ดังนั้นการยอมรับและ การแถลงอย่างเป็นทางการ ของบริษัทพลังงานที่เข้ามารับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยของบริษัทที่เชื่อมโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร คราวนี้มันจึงไม่ต่างจาก “ใบเสร็จ” ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวนี้กำลัง “ฮุบทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัว อย่างหน้าไม่อาย และนี่แหละคือ “ทุนสามานย์ข้ามชาติ” ที่คนอย่างเขาทำตัวทั้งเป็น “นายหน้า” และร่วมหุ้นแบบที่ ไม่ต้องลงทุน ขณะเดียวกันกรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างและเป็นอีกคำตอบว่า ทำไมการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทรราชย์ของ “มวลมหาประชาชน” ในไทยจึงได้รับการบิดเบือน และโจมตีจาก มหาอำนาจตะวันตก ก็เพราะมีผลประโยชน์ ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นแหละ ยิ่งเห็นภาพชัดแบบนี้ ก็ต้องถึงเวลาที่รวมพลังกัน ขับไล่พวกทรราชย์ไปทั้งโคตร!! แชร์แฉเรื่องจริงเรื่องนี้ ไปให้เยอะๆ เพราะสื่อหลัก มันไม่ทำข่าวพวกนี้ให้ ปชช.ทั่วไปรู้ ยิ่งคนรู้มากยิ่งช่วย ประเทศได้มาก อ่านแล้ว ช่วยส่งต่อให้มากที่สุดด้วย