(1461 ข้อความ)
- 1 คนสงสัยวัคซีนโควิด19UPDATE: ผลวิจัยเผย วัคซีน Moderna อาจมีประสิทธิภาพป้องกันเดลตาเหนือกว่า Pfizer ขณะที่โอกาสติดเชื้อหลังฉีดวัคซีนมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป . บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังคงเดินหน้าศึกษาวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโควิดเพื่อที่จะค้นหาวิธีการรักษาโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตประชากรโลกไปแล้วกว่า 4 ล้านคน โดยสำนักข่าว Reuters ได้สรุปสาระสำคัญจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดเกี่ยวกับโควิดไว้ดังนี้ . วัคซีนของ Moderna อาจป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ดีที่สุดในบรรดาวัคซีนป้องกันโควิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน . วัคซีนชนิด mRNA จาก Pfizer และ BioNTech อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวัคซีนของ Moderna เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา ตามรายงานสองฉบับที่เผยแพร่บน medRxiv ซึ่งเป็นแหล่งรวมงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพก่อนตีพิมพ์ (Preprint) โดยรายงานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่า ในการศึกษาผู้ป่วยมากกว่า 50,000 รายในระบบ Mayo Clinic Health System นักวิจัยพบว่า วัคซีน Moderna มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อที่ 76% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สายพันธุ์เดลตากลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ลดลงจากระดับ 86% ในช่วงต้นปี 2564 ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน นักวิจัยกล่าวว่าประสิทธิภาพดังกล่าวของวัคซีน Pfizer-BioNTech ลดลงเหลือ 42% จาก 76% ดร.เวนกี ซูนดาราราจัน จาก nference บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าการวิจัยของ Mayo Clinic กล่าวว่า แม้วัคซีนทั้งสองชนิดยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer หรือ Moderna เมื่อช่วงต้นปีนี้ อาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีน Moderna เป็นบูสเตอร์โดสในไม่ช้านี้ . นอกจากเดลตาแล้ว นักวิทยาศาสตร์กำลังจับตาดูการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ . ในการศึกษาอีกฉบับหนึ่งที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในเมืองออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา พบว่า ผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีน Moderna สร้างการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสูงกว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ที่น่ากังวล แอน-โคล้ด จินกราส จากสถาบันวิจัย Lunenfeld-Tanenbaum Research Institute ในโทรอนโต ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษาวิจัยดังกล่าว ระบุว่า ผู้สูงอายุอาจจำเป็นต้องได้รับวัคซีนกระตุ้น และอาจต้องเสริมมาตรการป้องกันอื่นๆ ขณะที่โฆษกของ Pfizer แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานการวิจัยทั้ง 2 ฉบับว่า “เรายังคงเชื่อว่า... อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพิ่มภายใน 6-12 เดือนหลังจากฉีดครบ 2 เข็มแล้ว เพื่อที่จะรักษาระดับการป้องกันสูงสุด” . การติดเชื้อหลังฉีดวัคซีนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เมื่อฉีดผ่านไปนานหลายเดือน . ข้อมูลใหม่เผยให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech เข็มที่ 2 นาน 5 เดือนขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะติดโควิดมากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มยังไม่ถึง 5 เดือน นักวิจัยได้ทำการศึกษาในผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเกือบ 34,000 คนในอิสราเอล เพื่อดูว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้วยังติดเชื้อโควิดหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่า พบผู้ติดเชื้อโดยรวม 1.8% ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมวิจัยได้เผยแพร่รายงานบน medRxiv โดยยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ รายงานระบุว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองทุกช่วงอายุมีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้นเมื่อได้รับวัคซีนเข็ม 2 ไปแล้วอย่างน้อย 146 วัน ขณะที่ในบรรดาผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 60 ปีนั้น มีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้นเกือบ 3 เท่าหลังฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายไปแล้วอย่างน้อย 146 วัน อย่างไรก็ดี ดร.ยูจีน เมอร์ซอน ผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัย จาก Leumit Health Services ในอิสราเอล กล่าวว่า “มีผู้ป่วยน้อยมากที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และยังเร็วเกินไปที่จะประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อใหม่เหล่านี้ในแง่ของการเข้าโรงพยาบาล ความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการเสียชีวิต” เขากล่าวเสริม “เรากำลังวางแผนที่จะทำการวิจัยนี้ต่อไป” . ถุงไข่ในรังไข่ไม่ได้รับอันตรายจากภูมิคุ้มกันโควิด . การศึกษาหนึ่งเผยว่า ถุงไข่ในรังไข่จะไม่ได้รับอันตรายจากภูมิคุ้มกันโควิด ไม่ว่าภูมิคุ้มกันเหล่านั้นจะเกิดจากการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีนก็ตาม นักวิจัยชาวอิสราเอลวิเคราะห์ของเหลวจากถุงรังไข่หรือถุงน้ำในผู้หญิง 32 คน ที่มีการเก็บไข่เพื่อนำมาผสมกับอสุจิในหลอดทดลอง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้หญิงที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนและไม่ติดโควิดจำนวน 14 คน และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ที่หายจากโรคโควิด หรือได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech มาแล้ว และใน 2 กลุ่มนี้ นักวิจัยพบภูมิคุ้มกันไวรัสโควิดในถุงน้ำ ผลการทดลองพบว่า ทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาจากความสามารถของถุงน้ำในการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง บำรุงและหล่อเลี้ยงไข่ ซึ่งจะส่งผลให้ได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้จากการศึกษาไข่ที่ได้จากผู้ป่วยแต่ละคนก็ไม่พบความแตกต่างในอัตราของตัวอ่อนที่มีคุณภาพดี จากการเปิดเผยชอง ดร.ยาคอฟ เบนทอฟ จาก Hadassah-Hebrew University Medical Center ในกรุงเยรูซาเลม ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนรายงานที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Human Reproduction เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาkulanit1363• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยCovid-19: Alert Code Red - We are under attack! เรากำลังโดน Wave#2 โจมตีแบบ Full-Scale ครับ เตือนภัยระดับสูงมากนะครับ เวลาได้หมดลงแล้ว มันชัดแล้วว่าเรากำลังโดนโจมตีแบบ Exponential จาก Wave#2 ซึ่งถ้าเราทุกคนยังไม่ทำอะไรที่เข้มงวดขึ้นกว่านี้อย่างมากถึงมากที่สุด อีกไม่เกิน 1 เดือน เราจะเผชิญกับหายนะทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ในแบบที่ยากยิ่งแก่การจินตนาการครับ ต้องย้ำนะครับ ตั้งแต่จบ WW2 มา นี่คือสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดบนโลกนี้ และรวมถึงในประเทศนี้ด้วยครับ ก้าวข้ามเส้นอันตราย: เราได้ก้าวข้ามสถานการณ์ในระดับเดียวกับเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2020 ของ Wave#1 มาแล้ว ตอนนั้นผู้ติดเชื้อสะสม 599 โดยมี %Increase ระดับ 20% เราตัดสินใจ Lockdown เข้มงวดทั้นที และจบได้ภายใน 56 วัน ณ วันนี้ Wave#2 เฉพาะแค่ติดเชื้อในประเทศไม่รวมแรงงานต่างด้าว ก้าวข้ามเส้นนั้นมาแล้ว โดยแตะระดับ 603 คน ที่ %Increase สูงถึง 28.57% ซึ่งร้ายแรงมากและแสดงถึงการโจมตีแบบ Exponential ในรูปแบบของ Wave#2 แบบเดียวกับที่ Virus เข้าโจมตียุโรป ความล้มเหลวของ Soft Lockdown ในยุโรป และความพ่ายแพ้ของเยอรมนี: ยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนีเคยชนะ Wave#1 มาอย่างมั่นใจ เมื่อ Wave#2 มาถึงจึงใช้การต่อสู้ที่เบาลงโดยใช้แค่ Soft Lockdown สุดท้าย EURO5 เข้าสู่หลักล้านกันทั่วหน้า พร้อมกับผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน เยอรมนีถูกโจมตีแบบแทบไม่ทันตั้งตัว ตัวเลขวิ่งจาก 400,000 ไปเป็น 1,000,000 ภายในเวลาแค่ 35 วัน และผู้เสียชีวิตจาก 9,000 ของ Wave#1 กลายมาเป็น 31,000 เยอรมนีสูญเสีย 20,000 ชีวิตในเวลาแค่ 2 เดือน ทั้งๆที่เป็นประเทศที่เตรียมตัวมาพร้อมมากๆ ไทย กับ Soft Lockdown ที่ไม่เป็นผล: นับตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. ผ่านมาแล้ว 11 วัน เราทยอยทำ Soft Lockdown ทีและพื้นที่ และตัวเลข %Increase ก็ยังไม่ลดลงไปต่ำกว่า 30% อย่างมีนัยยะสำคัญ ผมคิดว่าตัวเลขได้บอกเราชัดเจนว่า "หมดเวลาแล้ว" แต่ต้องกราบเรียนทีมงานสาธารณสุขทุกท่านครับว่าไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องเสียใจกับ Soft Lockdown ที่ไม่ได้ผล เพราะมันไม่เคยได้ผลเลยเมื่อเผชิญหน้ากับ Wave#2 ไม่ว่าจะในยุโรป ญี่ปุ่น เมียนมาร์ หรือมาเลเซีย ทุกประเทศทำไปได้แค่จุดนึง ระบบสาธารณสุขล่ม ก็ต้องกลืนเลือดแล้ว Full-Scale Lockdown ครับ ผมว่าเราได้พยายามเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้วครับ มองตัวเลขไปข้างหน้า ถ้า %Incrase ยังเป็น 30% และข่าวร้าย: ผมทำกราฟของ %Increase และ Total Case มาให้ดูนะครับ ของไทยที่ไม่รวมแรงงานต่างด้าวคือสีม่วง เส้นสีม่วงประคือเส้นพยากรณ์ถ้าเรายังไม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ สีเขียวคือไทยที่รวมแรงงานต่างด้าว และสีแดงคือเมียนมาร์ ส่วนสีเหลืองคือดานัง ซึ่งเราไม่ต้องมองแล้วครับเราไม่มีทางทำได้แล้ว ข่าวร้ายที่ 1: กราฟเราตอนนี้ แย่กว่า Wave#2 ของเมียนมาร์ครับ %Increase พอๆกัน แต่เราเปิดที่ตัวเลขสูงกว่ามาก และเมียนมาร์หลังจากนี้กราฟจะลดลงเพราะเขาทำ Hyper Lockdown ที่ย่างกุ้งครับ ข่าวร้ายที่ 2: เราเข้าสู่ Exponential ที่จุดพุ่งขึ้นชันแล้วครับ Golden Period ได้ผ่านไปแล้ว ข่าวร้ายที่ 3 ตัวเลขที่เราจะเห็น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป: กรณี Wave#2 ไม่รวมแรงงานต่างด้าว 1 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,400 คน 8 ม.ค. ตัวเลขระดับ 10,000 คน 16 ม.ค. ตัวเลขระดับ 100,000 คน 31 ม.ค. ตัวเลขระดับ 1,000,000 คน ผมคิดว่า ไม่มีทางที่เราจะหยุดไวรัสตัวนี้ได้ด้วย Soft Lockdown ยุโรปลองมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องไป Lockdown ที่ตัวเลขหลักล้าน เพราะสู้ไม่ไหวจริงๆ และเสียหายหนักมาก หลายคนอาจจะคิดว่าพอติดไปเยอะๆเดี๋ยวตัวเลขต่อวันมันจะอิ่มตัว ก็ลองกัน แล้วสุดท้ายมันก็ขึ้นไปได้เรื่อยๆเป็นวันละหมื่น หลายหมื่น เป็นแสน จนต้องยอมแพ้ เตรียมพร้อมครับ สำหรับการเจ็บแต่จบ: ผมคิดว่า รัฐบาลกำลังชั่งใจว่าจะ Lockdown ก่อนหรือหลังปีใหม่นะครับ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้แน่นอน ทุกท่านที่เดินทางไปเที่ยวปีใหม่ ฉลองกันในที่ต่างๆ ผมแนะนำแบบนี้ครับ 1. ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ อย่างมีสติ เพื่อเตรียมพลังใจสำหรับ Stay Home 2. หลังปีใหม่เดินทางไปที่ที่ท่านคิดว่าจะอยู่ที่นั่นอีก 3 เดือน 3. ทำธุระสำคัญ หาหมอ ตัดผม ซื้อของที่จะทำให้การอยู่บ้านมีความสุข 4. เมื่อจะออกจากโรงแรม จะออกจากร้านอาหาร ช่วยกันทิปให้มากๆ พนักงานเหล่านั้น พวกเขาจะลำบากไปอีกหลายเดือน เราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาไปอีกนาน 5. Work From Home ทันทีหลังปีใหม่ มีคนจำนวนมากที่ยังไงก็ต้องเดินทางไปทำงาน การ WFH ของท่านจะช่วยลดความเสี่ยงของคนที่เขาไม่มีทางเลือก 6. ส่งกำลังใจให้ทีมงานสาธารณสุขของเรามากๆ พวกเขาคือด่านหน้า และศึกนี้หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยตั้งแต่เราตั้งโรงเรียนแพทย์มาครับ ผมอยากจะย้ำอีกครั้งครับว่า แม้เราจะไม่มีทาง Save ปีใหม่ วันเด็ก และตรุษจีนได้แล้ว แต่ผมเชื่อว่า เรายัง Save สงกรานต์ปีหน้าได้อยู่ เรายังไม่สายเกินไปที่จะหยุด Virus ตัวนี้ครับ ช่วยกันครับ อยู่บ้าน WFH ดูแลกันและกัน ส่งกำลังใจผู้คนที่ต่อสู้ แล้วอีก 3 เดือนเราจะเตรียมออกมาฉลองปีใหม่ด้วยกันครับ "สงกรานต์" ปีใหม่ไทยของพวกเราครับ #Saveสงกรานต์โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19ได้รู้หรือยัง non-medical mask เป็นหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ใช้กันเชื้อโรคไม่ได้ ส่วน medical mask เป็นหน้ากากอนามัยที่ใช้ทางการแพทย์ กันเชื้อโรคได้ประสิทธิภาพสูง ดังนั้น ถ้าจะใช้กับโควิด ในพื้นที่เสี่ยงหรือแออัด ก็ต้องใช้ medical mask ขึ้นไปเท่านั้น"สุขภาพโควิด 2019ผู้บริโภคเฝ้าระวัง• 2 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยแนะแนวทางสกัด “infodemic” ข่าวปลอม-ข้อมูลเท็จ ซ้ำเติมสถานการณ์ “โควิด-19” ระบาดหนักเชื่อมต่อโลกออนไลน์ ระดมความคิดเห็นและแนวทางรับมือ “โรคระบาดข้อมูลข่าวสาร - infodemic” ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไร ไม่ให้ตื่นตระหนก และตกเป็นเหยื่อข่าวลวงข้อมูลเท็จ เมื่อเร็วๆ นี้ ในการเสวนาออนไลน์เรื่อง เราควรรับมือโรคระบาดข้อมูลข่าวสาร (Infodemic) อย่างไรให้สมดุล จัดโดย ภาคประชาสังคม และกลุ่ม CoFact หรือ Collaborative Fact Checking แพลตฟอร์มใหม่ของภาคพลเมืองในการตรวจสอบข่าวลวงสุขภาพโควิด 2019ศุภาพิชญ์ จันทร์ภูญา• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยน้ำมะพร้าวเพิ่มขนาดหน้าอกได้จริงหรือ?น้ำมะพร้าวเพิ่มขนาดหน้าอกได้จริงหรือ? . แพทย์หญิงภัทราวดี ศิริประภานนท์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นารีเวชศาสตร์ ตำแหน่งนายแพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากพืช สามารถออกฤทธิ์กับเนื้อเยื่อที่ตอบสนองกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงได้ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อไขมัน เนื้อเยื่อเต้านม และอวัยวะสืบพันธุ์ความสวยความงามยาสมุนไพรผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48036• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 2 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จากกระแสการแชร์ข้อมูลว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้นั้น รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้ว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ที่มีคุณภาพการผลิตดี แผ่นกรองหลายชั้น และไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนนั้น บุคคลธรรมดาก็สามารถนำมาใช้ใส่เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้โควิด 2019std47715• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จากกระแสการแชร์ข้อมูลว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19std47612• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้นั้น รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้ว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ที่มีคุณภาพการผลิตดี แผ่นกรองหลายชั้น และไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนนั้น บุคคลธรรมดาก็สามารถนำมาใช้ใส่เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้Sanem Ntch• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเผย 6 แนวโน้มข่าวลวงสุขภาพ ปี 2022! ระวังหยด "น้ำมันกัญชา" เอง เสี่ยงอันตรายข่าวลวงยังเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยเฉพาะข่าวลวงด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อร่างกาย รุนแรงได้ถึงชีวิต หากไม่รู้เท่าทัน! เมื่อวันที่ 23 ส.ค. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย จัดเวทีสัมมนาไฮบริด นักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 23 จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษาWorsorkubpom• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสสส. ร่วมพันธมิตร เปิดตัว “โคแฟค” แอปพลิเคชั่นตรวจสอบข่าวลวง ขยายสู่ชุมชนเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ธนาคารจิตอาสา มูลนิธิฟรีดิช เนามัน และภาคีเครือข่ายป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 11 เปิดตัวโคแฟค "ทำไมความจริงร่วมจึงสำคัญ" พร้อมปฐมนิเทศจิตอาสาพัฒนาทักษะด้านเท่าทันสื่อและสุขภาวะทางปัญญารุ่นแรก ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถานการณ์การระบาดของข่าวลวง อาทิ การหลอกขายสินค้า ภัยพิบัติ สุขภาพ ซึ่งหากประชาชนไม่เท่าทันสื่อตกเป็นเหยื่อ หรือส่งต่อข่าวปลอมโดยไม่รู้ตัว แนวทางการแก้ปัญหาและหยุดยั้งการระบาดของข่าวลวงในยุคชีวิติวิถีใหม่ (New Normal) จึงจำเป็นที่จะต้องมีกลไกกลางที่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้มาแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน โดยจุดประกายด้วยนวัตกรรม โคแฟค (Collaborative Fact Checking : Cofact) บนเว็บไซต์ cofact.org และไลน์ @cofact พร้อมสานพลังขับเคลื่อนสังคมขยายผู้ใช้ไปยังภาคีเครือข่าย เกิดเป็น “ชุมชนโคแฟค” และสร้างค่านิยมใหม่โดยใช้พลังพลเมืองในการร่วมตรวจสอบข่าวลวง ที่ทุกคนสามารถเป็น fact cheker เกิดพื้นที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงประเด็นสุขภาวะร่วมกันstd47848• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จากกระแสการแชร์ข้อมูลว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้std46344• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้std46448• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกัญชาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย จัดเวทีสัมมนาไฮบริด นักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 23 จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สสส. โดยเปิดเผย 6 แนวโน้มข่าวลวงสุขภาพ ปี 2022 Cofact Health Infodemics Trends 2022 โดย ChangeFusion เปิดเผยข่าวลวงที่พบได้ ดังนี้ยาสมุนไพรstd48069• 2 ปีที่แล้ว
- 15 คนสงสัยหน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จากกระแสการแชร์ข้อมูลว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask หรือหน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ ไม่สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้นั้น รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้ว่า หน้ากากอนามัยแบบ non-medical mask ที่มีคุณภาพการผลิตดี แผ่นกรองหลายชั้น และไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนนั้น บุคคลธรรมดาก็สามารถนำมาใช้ใส่เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้โควิด 2019std46756• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย"นกแอร์" ไถลออกนอกรันเวย์ ผู้โดยสารโวยแผนอพยพเมื่อเวลา 20.03 น. วันที่ 30 ก.ค. 2565 เครื่องบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD108 เส้นทางดอนเมือง-เชียงราย ทำการบินด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 737-800 บรรทุกผู้โดยสาร 164 ท่าน พร้อมลูกเรือ 6 ท่าน ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยถึงท่าอากาศแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เมื่อเวลา 21.06 น. แต่ขณะที่นักบินกำลังนำเครื่องบินลงจอด บริเวณท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงนั้น เกิดมีฝนตกหนัก ทำให้เครื่องบินลื่นไถลออกนอกรันเวย์ ต่อมา เฟซบุ๊ก Nok Air ได้แถลงชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า นักบินสามารถจอดเครื่องบินได้อย่างปลอดภัย และนำผู้โดยสารพร้อมลูกเรือทั้งหมดลงจากเครื่องเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด รวมทั้งได้ดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารในการรับกระเป๋าสัมภาระ และบริษัทฯ พร้อมจัดหาอาหารว่าง และเครื่องดื่มมาให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างพักรอ และจัดหาที่พักสำหรับผู้โดยสารเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบภาคเหนือ24phophiangliz• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยน้ำมันกัญชาเพื่อความงานจริงเหรอค่ะน้ำมันกัญชาบรรเทาอาการอักเสบ ปลอบประโลมปัญหาสิว เเละรักษาเยียวยาปัญหาทางอารมณ์ของตัวเอง นอกจากเรตินอลเเล้ว ไม่ทีสารตัวไหนรับความนิยมสูงขนาดนี้มาก่อนยาสมุนไพรความสวยความงามMxtinx260148• 3 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยยาบดน้ำหนักโทษยาลดน้ำหนักสำหรับสาวๆแล้ว การมีหุ่นดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเลยใช่ไหมคะ แต่ก็มีสาวๆหลายคนเลือกใช้ทางลัดในการลดน้ำหนัก โดยการเลือกใช้ยาลดความอ้วนสำหรับ.. โทษของยาลดความอ้วน เป็นความเสี่ยงของคนที่กำลังคิดจะกินยาลดความอ้วน หรือได้กินยาลดความอ้วนไปแล้ว ในส่วนของการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีไขมันส่วนเกิน หรือ “กำลังอ้วน” ถ้าไม่ลดความอ้วนตั้งแต่รู้ตัว ก็จะทำให้การลดน้ำหนักเพื่อลดความอ้วนเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ความอ้วนเป็นโรคที่มีอาการเรื้อรังไม่สามารถหายได้ภายใน 3 วัน 7 วัน เหมือนไข้หวัด การกินยาลดความอ้วนก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี และยังมีโทษยาลดความอ้วนมากมาย นอกจากจะได้เป็นโรคอ้วนแล้ว… ยังจะได้รับโรคแทรกซ้อนที่มากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคต้อหิน โรคไขมันในเลือดสูง ล้วนแต่เป็นโรคที่อันตรายที่มาพร้อมกับความอ้วน วันนี้พรีมาแคร์เลยอยากเตือนสาวๆที่ ตัดสินใจใช้ยาลดความอ้วนมาฝากคะลดความอ้วนdiazp121phoenix• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยวัคซีนไข้วัดใหญ่ต้องฉีดประจำทุกปี เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี ลดอาการป่วย ลดโอกาสเกิดภาวะเเทรกซ้อนรุนเเรงMxtinx260148• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยยาลดน้ำหนัก 1เดือน 15โล s factorเป็นยาลดน้ำหนักที่ไม่มีสารเคมี แต่ใช้สมุนไพรสารมารถลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัม ใน 4สัปดาห์ความสวยความงามลดความอ้วนยาสมุนไพรPYU 7 AKASEKI_• 5 ปีที่แล้ว2 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยhttps://theactive.thaipbs.or.th/read/disaster-data-provinceมีมไม่ระบุชื่อ• 8 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเป็นทางการ อาสานำพาประเทศไทยไปต่อ ท่ามกลางมวลชนสมาชิกพรรคที่มาร่วมงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่พรรคอ้างว่า มีมากกว่าเรือนหมื่นคน การประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค รทสช. ครั้งที่ 1/2566 วันนี้ (9 ม.ค.) พล.อ. ประยุทธ์ เดินทางมาถึงที่ประชุมด้วยรถเบนซ์สีดำส่วนตัว ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชน ก่อนลงนามสมัครเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ พร้อมเปลี่ยนเสื้อแจ็คเก็ตสีขาว คาดแถบธงชาติของพรรค รทสช. "เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมในการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง" พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวตอนต้น และยอมรับว่า "ตื้นตันใจ และไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรมาก่อน" เช่นวันนี้std46461• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยวัคซีนแอสตราเซเนก้าShop icon แชทกับเภสัช สั่งยาแบบไม่เสียค่าส่ง ติดตามประจำเดือน และอื่นๆ ที่ไม่มีในเว็บ ติดตั้ง Logo ค้นหาแพ็กเกจ วัคซีนโควิดแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) HDmall สรุปให้! ปิด วัคซีนแอสตราเซเนก้า (AstraZeneca) เป็นวัคซีนป้องกันโควิดชนิดไวรัลเวคเตอร์ (Viral Vector) ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทแอสตราเซเนก้า ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) กระบวนการทำงานหลักๆ คือการนำไวรัสชนิดอื่นมาดัดแปลงและฉีดเข้าร่างกาย เมื่อไวรัสเข้าสู่เซลล์ก็จะสร้างโปรตีนหนามที่คล้ายกับโคโรนาไวรัสขึ้นมา ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถตอบสนองเชื้อได้โดยไม่ป่วยเป็นโควิด จากการศึกษาพบว่าวัคซีนแอสตราเซเนก้า มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยสูงถึง 70% และมีประสิทธิภาพ 67% ต่อโควิดสายพันธุ์เดลต้าเมื่อฉีดครบ 2 เข็ม แต่ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไปวัคซีนโควิดnattikasaunsawatsuga• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยหมอพนิตไขปริศนา หลับไม่เคยเต็มตื่น! “ลุกฉี่กลางดึก” ปัญหากวนใจ ส.ว. เปิดความลับ “ตากแดด” และ “กาแฟ” ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดทั้งชีวิต! “...คุณเคยไหม? ตั้งใจนอนตั้งแต่ 3 ทุ่ม หวังหลับยาวถึงเช้า แต่ร่างกายกลับทรยศ!สะดุ้งตื่นตอน 5 ทุ่ม... ตี 1... และอีกทีตอนตี 4 ไม่ใช่เพราะฝันร้าย แต่เพราะ “ปวดฉี่” นี่คือปัญหาระดับชาติที่คนเริ่ม “สูงวัย” (แค่เริ่มนะครับ!) ต้องเจอ จนพาลคิดว่าไตมีปัญหา หรือกินน้ำเยอะไปหรือเปล่า? วันนี้ ผู้สื่อข่าวสายสุขภาพ ได้คว้าตัว นพ. พนิต จันทรภักดี มาไขคำตอบแบบบ้านๆ แต่ลึกถึงหลักการวิทยาศาสตร์ ที่รับรองว่าคุณจะร้องอ๋อ... และพบว่าวิธีแก้ปัญหาง่ายกว่าที่คิด แถมยังได้เคล็ดลับ “โบนัส” เรื่องตากแดดและกินกาแฟ ที่จะเปลี่ยนชีวิตตอนเช้าของคุณไปตลอดกาล! เปิดแฟ้มคดี: ทำไมเราต้องตื่นมาฉี่ตอนดึก? เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามคาใจของ “น้าต๋อย” สุวิทย์ บุตรพริ้ง บรรณาธิการข่าวอาวุโส ที่เล่าประสบการณ์ตรงว่า “หมอ! ทำไมนอนแป๊บๆ ก็ตื่น ตื่นมาก็อิ่มนะ แต่ต้องลุกไปฉี่ พอกลับมานอนต่อ อีกแป๊บก็ตื่นอีก... นี่มันอะไรกัน!” คุณหมอพนิต ยิ้มมุมปาก ก่อนจะเฉลยเรื่องที่หลายคนคาดไม่ถึง... ไขความลับจากคุณหมอ 🩺 “ปัญหามันอยู่ที่ ‘ขา’ ไม่ใช่ที่ ‘ไต’ อย่างเดียวครับ! ต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนเรายืนหรือนั่งทั้งวัน แรงดึงดูดของโลก (Gravity) มันดึงน้ำและเลือดให้ไปกองอยู่ที่ส่วนล่าง โดยเฉพาะ ‘น่อง’ ครับ” คุณหมออธิบายต่อว่า พอน้ำไปกองที่น่องเยอะๆ (ซึ่งน่องเนี่ย เปรียบเหมือน "กระเพาะปัสสาวะที่สอง" ของร่างกายเลยนะ) มันก็ค้างอยู่ตรงนั้น แต่พอถึงเวลาเรา “นอนราบ” เท่านั้นแหละ! “พอเรานอนราบปุ๊บ แรงดึงดูดมันหายไป” คุณหมอเล่าอย่างออกรส “น้ำที่มันไปกองอยู่ที่ขาตอนกลางวัน ทีนี้ก็ไหลกลับเข้าสู่ระบบเลือดส่วนกลาง พอมันกลับมาเยอะ ไต (Kidney) ที่ทำหน้าที่กรองของเสีย ก็เลยต้องทำงานหนักขึ้น ผลิตน้ำปัสสาวะออกมาเยอะ กระเพาะปัสสาวะคุณก็เลย ‘เต็มเร็ว’ กว่าปกติไงครับ!” นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงตื่นมาฉี่รอบแรกตอน 5 ทุ่ม หรือ ตี 1 ทั้งที่เพิ่งหลับไปไม่นาน! 💡 The Solution: ท่าไม้ตาย “เขย่งน่อง” สู้แรงโน้มถ่วง! ข่าวดีคือ เราไม่ต้องไปโรงพยาบาล หรือกินยาเพื่อเรื่องนี้ (ถ้าฉี่ยังพุ่งปกติดี ไม่ได้มีปัญหาต่อมลูกหมากโตนะครับ) คุณหมอพนิตให้การบ้านง่ายๆ ที่ทำได้ทันที How-to จากคุณหมอ 🩺 “ง่ายมาก... ให้เขย่งปลายเท้าครับ!” ใช่ครับ อ่านไม่ผิด! คุณหมอแนะนำว่า หลังทานข้าว (เช่น ข้าวกลางวัน หรือ ข้าวเย็น) ให้เรายืนตรง แล้ว “เขย่งปลายเท้า” ขึ้น-ลง ทำสลับกันไปมา หรือทำพร้อมกันก็ได้ สัก 30 ครั้ง “การทำแบบนี้” คุณหมอเสริม “มันคือการปั๊ม! บีบกล้ามเนื้อน่อง ให้มันช่วยปั๊มน้ำและเลือดที่ค้างอยู่ ให้กลับขึ้นมาสู่ส่วนกลางตั้งแต่ตอนกลางวัน พอกลางคืนน้ำที่ค้างที่ขามันน้อยลง ไตก็ไม่ต้องทำงานหนักตอนเราหลับ เราก็จะฉี่น้อยลง หลับได้ยาวขึ้น... แถมกล้ามเนื้อน่องแข็งแรงขึ้นด้วย!” แฉต่อ... ความเชื่อที่ผิดมหันต์! พอคุยเรื่องสุขภาพไหลลื่น วงสนทนาก็ขยับไปสู่การ “สร้างภูมิคุ้มกัน” และ “วิตามิน” ซึ่งพาเราไปเจอ 2 เรื่องสุดพีคที่คุณหมอขอเบรกหัวทิ่ม! 1. ตากแดด 7 โมงเช้า: “คุณได้แค่ ‘ดำ’ ครับ ไม่ได้วิตามินดี!” นี่คือความจริงที่เจ็บปวดที่สุด! เราทุกคนถูกสอนให้ไปตากแดดอ่อนๆ ยามเช้า (6-8 โมง) เพื่อรับวิตามินดี แต่คุณหมอพนิตส่ายหัว... ความจริงที่ต้องรู้ (จากปากหมอ) 🩺 “ผิดครับ! แดด 7 โมงเช้า คุณได้แค่ UVA (ยูวีเอ) ซึ่งทำให้ผิวคล้ำ ทำให้ดำ แต่ไม่ได้วิตามินดี! สิ่งที่คุณต้องการคือ UVB (ยูวีบี) ครับ!” แล้ว UVB มาตอนไหน? “UVB มันเป็นคลื่นสั้น มันจะมาแรงที่สุดตอนที่พระอาทิตย์อยู่ตรงหัวเรามากที่สุด... นั่นคือเวลา 11 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงครับ!” คำแนะนำคือ: ถ้าอยากได้วิตามินดี ให้ไปตากแดดช่วง 11 โมง (เลือกเอาสักวัน) แค่ 15 นาที ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น (ให้ผิวหนังสัมผัสแดดเยอะๆ) และ "ห้ามทากันแดด" ในช่วง 15 นาทีนั้น ร่างกายจะสร้างวิตามินดีได้มหาศาล แถมยังช่วยรีเซ็ตนาฬิกาชีวิต ทำให้นอนหลับดีขึ้น และช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ด้วย! 2. กาแฟตอนตื่นนอน: “เปล่าประโยชน์! คุณกินเร็วเกินไป” คอกาแฟที่ตื่นมาต้องกระดกแก้วแรกทันที โปรดฟังทางนี้... คุณหมอพนิตบอกว่า นั่นคือการเสียของ! ดื่มกาแฟให้เป็น (จากปากหมอ) 🩺 “ตอนเราตื่นนอนเช้าเนี่ย แบตเตอรี่สมองเรามัน ‘เต็ม 100%’ อยู่แล้วครับ ร่างกายเพิ่งพักมา พลังงาน (ATP) มันเต็มเปี่ยม คุณกินกาแฟไปตอนนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย” แล้วควรกินตอนไหน? “ควรกินหลังจากตื่นนอนไปแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง ครับ!” เหตุผลคือ: หลังจากเราตื่น 2-3 ชั่วโมง สมองจะเริ่มใช้พลังงาน และจะสร้างสารที่ทำให้ “ง่วง” (Adenosine) ออกมา ทีนี้แหละ... “กาแฟที่คุณกินเข้าไป มันจะไป ‘บล็อก’ ไอ้ตัวที่ทำให้ง่วงพอดี มันถึงจะได้ผลเต็มที่ ทำให้คุณตื่นตัวได้ยาวนานขึ้นครับ!” ปิดท้ายชวนคิด... จากการนั่งคุยกับคุณหมอพนิตวันนั้น สิ่งที่ผู้สื่อข่าวได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่คือ “ศิลปะการดูแลตัวเอง” ที่เรามักมองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไป การตื่นมาฉี่กลางดึกอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากล้ามเนื้อน่องเราเริ่มไม่แข็งแรง... การตากแดดผิดเวลา อาจทำให้เราขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว... หรือการดื่มกาแฟผิดจังหวะ ก็อาจทำให้เราไม่ได้ประโยชน์จากมันเต็มที่... สุขภาพดีเริ่มต้นจากการ “รู้ให้จริง” และ “ปรับให้ถูก” ครับ ว่าแต่... พรุ่งนี้เช้า คุณจะยังตากแดด 7 โมง และดื่มกาแฟทันทีที่ตื่นนอนอยู่หรือเปล่าครับ? #สืบจากข่าว รายงาน --- ดูคลิปในเฟซบุ๊ก >> https://www.facebook.com/share/v/1DuPuA8GVV/สุขภาพไม่ระบุชื่อ• 1 เดือนที่แล้ว
- 2 คนสงสัยเปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย11 ก.พ. 2565 12:30 น. ข่าว ทั่วไทย ข่าวประชาสัมพันธ์ เปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย สิ้นสุดแล้วโครงการ “FACTkathon” นักศึกษาร่วมระดมสมองส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวด เพื่อแก้ปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม พร้อมผลักดัน 7 ข้อเสนอให้เกิดเป็นนโยบายแก้ปัญหาเฟกนิวส์เกลื่อนโลกออนไลน์ เปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรมการแข่งขันระดมสมอง “หักล้างมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” “FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และเป็นความร่วมมือกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มูลนิธิสภาการหนังสือพิมพ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย (Fnf Thailand) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) งานนี้นอกจากจะเป็นการประชันไอเดียของคนรุ่นใหม่ระดับมหาวิทยาลัย ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ปัญหาข่าวลวงที่มากมายในโลกออนไลน์แล้ว ยังมีการระดมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการหา “ความจริงร่วม” ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมของผู้ที่มีความเห็นต่างได้อย่างปกติสุข จากการแข่งขันครั้งนี้ทีมที่ได้รับรางวัลที่ 1 ได้แก่ ทีมบอท เป็นการผสมผสานทีมจากนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีไอเดียสุดเจ๋ง “Check-on” หรือ “เช็กก่อน” โดยพัฒนาเครื่องมือ Extension เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอ่านข่าวในเว็บหรือเห็นภาพต่างๆ แล้วสงสัยว่าจริงหรือไม่ ให้คลุมดำที่ข้อความ คลิกขวา จะมีปุ่ม Check หน้าต่างของ Check-On ขึ้นมาแล้วประมวลผลความน่าเชื่อถือจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ อาทิ Cofact ชัวร์ก่อนแชร์ ศูนย์ต่อต้านข่าวลวง เป็นต้น ทีม TU Validator ซึ่งได้รับรางวัลที่ 2 รวมทีมจากคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอแพลตฟอร์มเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาร่วมค้นหาความจริงด้วยกัน พร้อมรับคะแนนและของรางวัล เพื่อสร้างชุมชนในสังคมออนไลน์ ให้ผู้ใช้งานได้มีการถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อข้อมูลต่างๆ จัดกิจกรรม Debate ถกประเด็นกัน เชื่อว่าความจริงต้องเกิดขึ้นได้ สำหรับทีมที่ได้รับรางวัลที่ 3 คือ ทีม New Gen Next FACTkathon เป็นการรวมตัวของนักศึกษาคณะต่างๆ จากมหาวิทยาลัยพายัพ ออกแบบการนำข้อมูลข่าวสาร มาถ่ายทอดในรูปแบบของการ์ตูน ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันด้วยการสร้างการ์ตูนลงแพลตฟอร์มหนังสือการ์ตูนออนไลน์ (Webtoon) เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข่าวลวงไปด้วย พร้อมมีลูกเล่นด้วยการให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมไขปริศนา โหวตว่าจริงหรือไม่จริง โดยให้สิ่งตอบแทนเป็นเหรียญ สำหรับใช้เปิดอ่านตอนต่อไป นอกจากกิจกรรมการประกวดเสนอแนวคิดนวัตกรรมแล้ว ยังได้จัดการประชุมเพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะที่จะแก้ปัญหาข่าวลวงอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นตรงกันว่าต้องผลักดันให้เกิดนโยบายที่แก้ปัญหาข่าวลวงที่เกลื่อนโลกออนไลน์ร่วมกันด้วย ดังนี้ 1) ทวงถามความรับผิดชอบกับผู้ผลิตและส่งต่อข่าวลวง : มีข้อเสนอแนะให้มีวิธีการป้องกันและแก้ไขข้อความผู้ผลิตและผู้ส่งต่อข่าวลวง ที่จะช่วยลดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นลงได้ 2) ให้ความสำคัญกับทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” : การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ไม่ใช่วิชาที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคดิจิทัล แต่ถูกพูดถึงเรื่องนี้นับตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของสื่อมวลชนยุคอนาล็อก (วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์) เช่น กลยุทธ์หรือเทคนิคที่ใช้ผลิตเนื้อหาผ่านสื่อแต่ละประเภทใช้ส่งสารถึงปัจเจกชนหรือกลุ่มคนซึ่งเป็นผู้รับสาร บทบาทของสื่อต่อการสร้างกระแสค่านิยม หรือวัฒนธรรมต่างๆ ในสังคม เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล การผลิตและส่งต่อข้อมูลข่าวสารเพิ่มมากขึ้นทั้งกว้างขวางและรวดเร็ว การรู้เท่าทันสื่อจึงยิ่งมีความสำคัญเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือน ความเข้าใจในแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, Instagram, Line ฯลฯ ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างไร และผู้ผลิตเนื้อหา (Content) ใช้วิธีการอย่างไรในการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้รับสาร ซึ่งจะซับซ้อนกว่าสื่อดั้งเดิม เช่น แพลตฟอร์มบางชนิดสามารถใช้วิธีการบางอย่างเพื่อให้สาร (ข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ คลิปเสียง) ถูกมองเห็นอย่างกว้างขวางและในความถี่ต่อเนื่อง หรือมีสถิติการส่งต่อจำนวนมาก ผู้ที่ไม่รู้เท่าทันวิธีการเหล่านี้อาจเชื่อไปก่อนแล้วว่าเป็นเรื่องจริงโดยไม่ได้ตรวจสอบ 3) ลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล : แม้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะถูกมองว่าเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) จึงใช้งานได้คล่องกว่าคนวัยอื่นๆ ที่อาจจะเพิ่งรู้จักเทคโนโลยีดิจิทัลในวัยกลางคนหรือวัยเกษียณ แต่ในความเป็นจริงก็ยังพบช่องว่าง กล่าวคือ เด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่ไม่มีทุนทรัพย์จัดหาเครื่องมือเชื่อมต่อ (Device) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้านดิจิทัล อาทิ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สัญญาณมีความเสถียร ย่อมมีข้อจำกัดในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลเมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่มีความพร้อม 4) สนับสนุนบทบาทขององค์กรที่ทำงานต่อต้านข่าวลวงที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถนำข้อมูลไปถึงผู้คนได้ง่าย : ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการต่อสู้กับปัญหาข่าวลวง ทั้งภาครัฐที่มีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ภาคสื่อมวลชนที่มีศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ของ อสมท. และภาควิชาการ-ประชาชน ที่รวมตัวกันในนามโคแฟค ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนให้องค์กรเหล่านี้ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วแล้ว ควรพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่เมื่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไปพบข้อมูลบางอย่างแล้วสงสัย สามารถส่งไปประมวลผลกับระบบขององค์กรข้างต้นได้ทันทีว่าเคยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วหรือไม่ เนื่องจากพบว่าข่าวลวงหลายข่าวมักมีลักษณะ “แชร์วนซ้ำ” บางเรื่องพิสูจน์กันไปแล้วหลายปีว่าไม่จริงแต่ก็ยังมีการส่งต่อวนกลับมาอีก 5) ขยายแนวร่วมตรวจสอบข่าวลวงสู่ระดับท้องถิ่น : ในความเป็นจริงที่การสื่อสารรวดเร็ว ข้อมูลถูกผลิตและส่งต่ออย่างมหาศาล ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนจึงมีความหลากหลายซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นกระแสมากพอที่องค์กรจากส่วนกลางจะมองเห็นและเข้าไปตรวจสอบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างแนวร่วมในระดับชุมชน ซึ่งอาจเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น หรือแกนนำชุมชน (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ฯลฯ) โดยให้ผู้ที่สนใจประเด็นข่าวลวงมาฝึกฝนทักษะการตรวจสอบ รวมถึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะว่าจะส่งเสริมเรื่องนี้ในระดับท้องถิ่นของตนเองอย่างไร เพราะแต่ละพื้นที่นั้นมีบริบททางสังคมไม่เหมือนกันผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48026• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยทฤษฎี "ลิงโกง"ทฤษฎี "ลิงโกง" เรื่องน่าคิด น่าอ่าน มากๆ อย่าพลาด คุณคิดว่าพฤติกรรมการโกงนั้นจะส่งผลต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง? บทความน่าสนใจจาก “นณณ์ ผานิตวงศ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.siamensis.org อธิบายเรื่องนี้ด้วยหลักชีววิทยา Evolutionary Stable Strategy โดย นณณ์ ผานิตวงศ์ เคยเห็นลิงหาเห็บหาเหาให้กันไหมครับ? ตัวนี้หาให้อีกตัว แล้วก็มีอีกตัวหาให้อีกตัว เสร็จแล้วมันก็ผลัดกันวนๆ หาให้กัน ถ้าทำอย่างนี้ทุกตัวในฝูงก็จะไม่มีเห็บมีเหาเหมือนกันเพราะต่างตัวต่างช่วยกันผลัดกันหา ทีนี้ลองนึกภาพว่ามีลิงหัวหมอตัวหนึ่ง เกิดเอาเปรียบเพื่อน นั่งให้เพื่อนหาเสร็จแล้วแทนที่จะหาให้เพื่อนบ้าง ก็หนีไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น ลิงที่ “โกง” ตัวนี้ได้เปรียบเพื่อนฝูงชัดเจนมาก เพราะกินแรงเพื่อนอย่างเดียว ถ้าไม่มีลิงตัวไหนจับได้ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ลิงตัวนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะประสบความสำเร็จกว่าเพื่อนๆ ตามสังคมลิงคงไม่ใช่ได้ตำแหน่งหรือเงินทอง แต่อาจจะมีลูกที่แข็งแรงและโตเร็วกว่าตัวอื่นๆ เพราะแม่มีเวลาหาอาหารมากกว่าเพื่อน เพราะโกงแรงงานเพื่อน ทีนี้สมมติว่าแม่ลิงขี้โกงมีลูกสามตัวก็สอนให้ลูกลิงขี้โกงด้วย คือไปนั่งให้เพื่อนหาเห็บเสร็จแล้วไม่หาคืนให้เพื่อน พากันไปหากินเที่ยวเล่นหาผัวหาเมียไปเรื่อย ปรากฏว่าครอบครัวนี้ประสบความสำเร็จสืบต่อกันหลายชั่วลิง เพิ่มจำนวนประชากรลิงโกงขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าความซวยจะตกแก่ใคร? ถ้าหากมีประชากรลิงขี้โกงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลิงนิสัยดีที่โดนเอาเปรียบจะมีเห็บเหาเต็มตัวและมีเวลาหากินน้อยกว่าประชากรลิงโกง ลิงนิสัยดีในฝูงก็จะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลิงดีก็จะมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะมาคอยนั่งหาเห็บหาเหาให้ลิงโกงเปล่าๆ ปรี้ๆ ผลก็คือลิงโกงก็จะมีเห็บเหา และไม่มีใครให้เอาเปรียบอีก เมื่อถึงจุดนั้น ประชากรลิงฝูงนี้ก็จะมีปัญหาเห็บหมัดและเหารุนแรงจนอาจจะล่มสลายไปก็เป็นได้ นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “กลยุทธทางวิวัฒนาการที่ไม่เสถียร” (Evolutionary Unstable Strategy) คือการโกงจะทำให้ผู้ที่ถูกเอาเปรียบอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็จะไม่เหลือใครให้โกงและเอาเปรียบ ในที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นผู้แพ้ในกลยุทธเช่นนี้ แต่ในทางกลับกันถ้าลิงทั้งฝูงทุกตัวร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยเหลือกันไม่โกงกัน เอ็งหาเห็บให้ข้า ข้าหาเหาให้เอ็ง ลิงทั้งฝูงก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุขตราบนานเท่านาน แบบนี้เรียกว่าเป็น Evolutionary Stable Strategy (ESS) หรือ "กลยุทธทางวิวัฒนาการที่เสถียร" กล่าวคือถ้าหากมีการใช้กลยุทธเช่นนี้ในสังคมแล้วจะทำให้สังคมนั้นๆ ดำรงค์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในกรณีนี้คือการร่วมมือกันต่างตอบแทนกันไม่โกงกันของสัตว์สังคมอย่างลิงอย่างคน จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้ จะเห็นว่าการโกง แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าหากมีการยอมรับและปล่อยให้สะสมไปเรื่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนส่งคำถามนี้มาถาม "ถ้ามีรัฐบาลอยู่ 2 ประเภท โดยทั้งสองประเภทมีงบประมาณเท่ากันคือ 100 บาท ประเภทที่ 1 โกงไป 80 บาท แต่ทำงานเป็น ใช้เงิน 20 บาทบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสุขความเจริญ สร้างความมั่นคงให้ชาติได้เป็น 100 บาทเท่าเดิม ส่วนประเภทที่ 2 เป็นคนดี สะอาด แต่ทำงานไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ใช้เงิน 100 บาท แต่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน...ได้แค่ 5 บาท เป็นคุณจะเลือกแบบไหน?” เลือกยากไหม? แต่ถ้าเอาตาม ESS ยังไงก็ต้องเลือกประเภทที่ 2 เพราะการที่มีคนดีมาเป็นผู้บริหาร ถึงแม้ว่าคนนี้อาจจะด้อยความสามารถ แต่ในทางวิวัฒนาการแล้ว ในที่สุดสังคมนั้นๆก็จะต้องหาคนที่ดีและเก่งมาปกครองบ้านเมืองได้ และจะไม่ล่มสลายไปเสียก่อนเนื่องจากมีตัวอย่างผู้นำที่เป็นคนดี สังคมโดยรวมก็จะเป็นคนดี ไม่เห็นการโกงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ต่างกับถ้าหากเลือกประเภทที่หนึ่ง คือปล่อยให้มีการโกงเกิดขึ้นในสังคม โดยอ้างว่าโกงไปแล้วทำงานเป็น เอาไปคนเดียว 80 ให้คืนมา 20 แต่ก็ทำคืนอีก 4 เท่าขึ้นมาเป็น 100 ได้ ในระยะสั้น ทางเลือกนี้อาจจะดีกว่าทางเลือกที่สอง แต่ถ้าหากมองให้ไกลไปกว่านั้น คนที่โกง มีหรือที่จะโกงอยู่เท่านั้น? สังคมที่ส่งเสริมคนโกง มีหรือที่จะไปได้ไกล? ลองนึกในทางกลับกัน สังคมที่ส่งเสริมให้คนที่คิดดีได้ปกครองบ้านเมืองถึงแม้จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป แต่น้ำพริกนั้นก็ยังตกแก่ส่วนรวมทั้งหมด ถามว่าสังคมที่มีแต่คนดีในที่สุดแล้วจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่จะหาคนเก่งมาปกครองบ้านเมืองและลองนึกดูเมื่อถึงวันนั้นคนที่ทำงานเก่งก็จะสามารถทำเงิน 100 มาเป็น 400 ได้ เชียวนะ Homo sapiens ไม่ได้มีวิวัฒนาการเจริญก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ จากการสนับสนุนและยอมรับคนโกงในสังคม ผมเชื่อเช่นนั้น หรือถ้าใครอยากลงลึกละเอียดขึ้นแนะนำหนังสือเรื่อง Selfish Gene ของ Richard Dawkins อ่านแล้วการมองโลกของคุณจะเปลี่ยนไปMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้ว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ
