1 คนสงสัย
โรคไหลตาย หรือที่ทุกคนอาจจะรู้จักกันในชื่อของ ผีแม่ม่าย แท้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่?
จากเหตุการณ์การไหลตายที่เป็นประเด็นดัง จนเกิดการแชร์ต่อและถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลายของในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรีนั้น เป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดเสียชีวิตในลักษณะนอนไหลตายจนทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเกิดจากฝีมือของผีแม่ม่ายออกอาละวาดหรือเกิดตามตำนานความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งประเด็นข่าวลือเรื่องผีแม่ม่าย ได้ถูกบอกและขยายความอย่างรวดเร็วหลังเกิดกระแสในโลกออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะมีการแชร์ข้อมูลต่อแล้ว ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษะของความหวาดกลัวจนเกรงว่าอาจมีมิจฉาชีพสวมรอยเข้ามาหลอกลวงชาวบ้านในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เพราะยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้าน
Ravinnipa Yaikaew
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น

ภาคอีสานภาคตะวันออก

Ravinnipa Yaikaew เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

โดยทาง ว่าที่ร้อยตรีธนวัฒน์ ทองจีน นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชำนาญการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในประเด็น “

ที่มา

https://www.facebook.com/103979872178079⋯hotos/a.119125380663528/142120738363992/

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ตะขาบกัด เสี่ยงติดเชื้อเข้ากระแสเลือดถึงตายได้ จริงหรือ
    จากกรณีที่นายจำเนียร มูลเกษร หรือ ดอกไม้ป่า ป.พงษ์สว่าง อดีตนักมวยไทย ชาวบ้านดงบ่อ ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เสียชีวิต และญาติระบุว่าถูกตะขาบกัดที่บริเวณต้นขา มีอาการหนาวสั่น เวียนหัว เป็นไข้ แล้วปล่อยไว้หลายวันจนแผลติดเชื้อ จึงเข้ารับการรักษา ทำให้มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ประกอบกับมีโรคประจำตัวเบาหวาน จึงมีอาการโคม่าจนเสียชีวิต สถาบันโรคผิวหนัง เตือนผู้ที่ถูกตะขาบกัดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา เพราะอาจมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ พร้อมแนะวิธีการรักษาและการปฏิบัติตนให้ถูกวิธี จริงหรือ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    กล้วยดิบ 'วัคซีน' พื้นบ้าน เปลวสีเงิน : ไทยโพสต์ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 00:01 น. ผมทดลองแล้ว ลงทุนไป ๒๐ บาท รับประกันคุณภาพในการป้องกันได้กว่า ๘๐% UP! กล้วยครับ.... กล้วยน้ำว้าดิบๆ หั่นแว่นๆ ทั้งเปลือก คลุกเกลือ เคี้ยวให้เต็มปาก เจ้ายางและเมือกกล้วย จะเป็นด่านหน้า เคลือบในปากและลำคอ ฆ่าเชื้อแปลกปลอม ก่อนลงไปในท้อง ผมดูจากคลิป "ป้านิดดา หงษ์วิวัฒน์" นักธรรมชาติบำบัด สนทนากับ "รศ.ดร.โกวิน วิวัฒนพงศ์พันธ์" ที่พวกเขาส่งมาให้ ผมมันพวก "กล้วยนิยม" ฟังเสร็จ ซื้อกล้วยดิบมาลองเลย ลองมา ๒ วัน เห็นผลทันตา ปกติตื่นนอน คอผมเหมือนผ่านการกินทราย ปรากฏว่าหายไปเลย! ผมถอดคำจากคลิปมาให้ อยากให้ทดลองกัน ระหว่างวัคซีนยังไม่มา ใช้ "วัคซีนกล้วยดิบ" ไปก่อน รับรอง "โควิดยกโคตรขยาด"! โกวิน : ผมไอ แสบคอ ก็ค้นในเน็ต พบว่า เมื่อเป็นไวรัส มีรายงานศึกษาว่า โควิดตัวนี้ มีความแตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดาอย่างไร อยู่ในกลุ่มเดียวกัน อาการคล้ายกันมาก แต่จุดต่างของเขา คือ จะแสบคอมาก จะไอ (แห้ง) มาก มีไข้ ก็ไข้มากเลย มีรายงานออกมาว่า จุดเริ่มต้นของเขาอยู่ที่ลำคอ จนกระทั่งต่อมรับรสที่อยู่ที่ปลายลิ้นไม่สามารถทำงานได้ดี กินอาหารไม่อร่อย รับรสไม่ได้ "ผมก็บอกว่า เอ้ย..ถ้าอย่างนั้น มันเริ่มต้นที่คอใช่มั้ย เราหาอะไรมาจัดการที่คอให้ได้สิ ถ้าเราจัดการได้ มันก็ไม่มีลามไปที่ปอด ปอดก็ไม่เป็นไร ปอดก็ทำหน้าที่ได้ การที่เอาปอดเข้าฟอกออกซิเจนได้ ระบบอื่นก็ไม่ล้มเหลว ไม่ล้มเหลวเราก็ไม่ป่วยซี" ผมก็เริ่มต้นศึกษา แล้วก็เจอกล้วย มีอยู่ราย ผมจำไม่ได้ ต้องขอบคุณเขา ที่เขาช่วยแนะนำ เขาบอกว่ากล้วยน้ำว้า ต้องกล้วยดิบนะเขียวๆ เนี่ย เอามาแล้วต้องหั่นเป็นแว่นๆ เอาลักษณะที่เราเคี้ยวง่ายๆ มีข้อมูลแพทย์แผนไทยโบราณว่า กล้วยดิบนี้สามารถหยุดยั้งการไอที่ลำคอได้ "ผมบอกเอ๊ะ...อย่างนั้นต้องทดลองดูซี" มันหยุดไอที่ลำคอเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อมีเชื้อโรคมาเข้าร่างกาย จะผ่านระบบหายใจก่อน หรือผ่านมาที่ปาก ร่างกายก็จะมีระบบกักเชื้อโรค ลำคอนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะมีน้ำเมือกออกมา เพื่อกักเชื้อโรคจากอากาศที่มีเชื้อโรค ฉะนั้น เมื่อเชื้อโรคมาติดที่นี่ มันก็จะมีอาการอักเสบที่ลำคอก่อน พออักเสบปุ๊บ ร่างกายก็พยายามกำจัดมันออกด้วยอาการไอ ไอมากแสดงว่ามีเยอะ ถ้าแสบคอมาก แสดงว่ามีเยอะ แสบคอน้อยก็มีน้อย ผมก็เออ...เว็บไซต์ที่พูดถึงนี่ กล้วยเนี่ย ยางเขาสามารถจัดการได้ เขาบอกว่า เอายางเนี่ย แล้วก็เอาเกลือใส่เล็กน้อย แล้วก็เคี้ยว ยางก็จะค่อยๆ เคลือบลำคอ ยางมีคุณสมบัติพิเศษในการฆ่า เพราะเป็นด่างด้วย ถ้าสด ยางจะเยอะ แห้ง ยางจะน้อย แล้วผมก็ทดลอง เอากล้วยดิบทั้งเปลือกมาหั่น ใส่ทัพเพอร์แวร์แล้วเอาเกลือใส่ไว้ พกขึ้นก่อนนอน เพราะผมกลางวันไอน้อย กลางคืนไอเยอะ ถามว่าทำไมกลางวันไอน้อย เพราะกลางวันเราดื่มน้ำ เดินไป-เดินมา น้ำลายเราจะหลั่งมากในเวลากลางวัน เวลาหลั่งเราก็กลืนเข้าไปในร่างกาย ระหว่างกลืนก็พาเชื้อโรคเข้าไปในลำคอ น้ำลายเป็นด่าง พอเราดึงตัวนี้ผ่านเข้าไปในกระเพาะ กระเพาะมีกรดสูง ก็ฆ่ามันตาย แต่กลางคืนน้ำลายหลั่งน้อย ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งหลั่งน้อย เพราะฉะนั้น ผู้สูงอายุ แม้จะแปรงฟันให้สะอาดอย่างไร ก็จะมีรสเปรี้ยว-กลิ่นเปรี้ยว เพราะว่าแบคทีเรียมันเติบโต ยิ่งถ้าเกิดมีน้ำตาลในเหงือกเยอะ กินของหวานเยอะ แปรงยังไงก็ไม่สะอาดมาก ก็จะติดอยู่ แต่ถ้าเจอด่างเข้าไป ผมจิ้ม ก็จะเคี้ยว วันนั้นผมมีไข้ ไอเยอะมากเลย ผมก็ไปเอากล้วยดิบมาเลย หั่นๆๆๆๆ เก็บไว้ เกลือจิ้มไว้ กลางคืนก่อนนอน ผมก็เคี้ยวๆ พอเคี้ยวไปประมาณครึ่งลูก อาการที่ไอๆ อยู่เนี่ย ผมตกใจมากเลย เอ๊ะ...ผมไอ ทางการแพทย์นับเป็นหน่วยนะ มันหายไป ๕๐%เลย แล้วที่แสบคอ กินข้าว-กินน้ำแสบมากเลย โอ๊ะ..หายไปแฮะ ผมก็ดีใจ พร้อมตกใจนะ เอ๊ะ...เราไม่มียาอะไรในการแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเอายาอะไรมาอม ที่จะสามารถลดอาการอักเสบ ไอน้อยลง ๕๐% หลังเคี้ยวกลืนเข้าไปไม่เกิน ๕ นาที เป็นความมหัศจรรย์มากเลย ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านยุคโบราณที่เขาใช้อยู่ ผมก็เคี้ยวๆๆๆ พอเคี้ยวๆๆ เสร็จแล้ว ก็เคี้ยวให้เต็มปาก เพราะในปากก็จะมีเกลือที่ใส่กับกล้วยเข้าไป เกลือก็จะไปละลายเคลือบที่ลำคอ กล้วยนี่ก็มีเนื้อแล้วก็ยาง เมื่อเคี้ยวยางก็จะค่อยๆ ออก แล้วก็ค่อยๆ กลืนลงไป ก็จะไปเคลือบที่คอ พอเคลือบที่คอ ยางนี้เป็นด่างสูงมาก เจ้าเชื้อโรคที่มาจากหวัดทั้งหมดติดที่คอก็จะตาย พออาการไอน้อยลง ไข้น้อยลง เพราะว่าอักเสบน้อยลง ก็หลับสบาย ถ้าเมื่อไหร่ไอมาก เราจะนอนไม่หลับ พอหลับตื่นมา ก็เข้าห้องน้ำ ผมเคี้ยวต่อไปอีก เพราะว่าตื่นขึ้นปุ๊บก็กลืนน้ำลาย เคี้ยวต่ออีก ๓-๔ แว่น ต่อมาตอนเช้าผมหายเลย ป้านิดดา : อาจารย์เคี้ยวหลังแปรงฟันหรือก่อนแปรงฟัน? โกวิน : หลังแปรงฟัน หมายถึงกลางคืน อาจารย์แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เคี้ยว "คือเราแปรงฟันเรียบร้อยแล้วก็เคี้ยวเลย เคี้ยวแล้วก็เคลือบไว้เลย ไม่ต้องไปแปรงฟันใหม่นะ เพราะฉะนั้น แปรงฟันตอนเช้าก็จะมีเศษกล้วยอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น อาการอักเสบที่คอ ไอ หายไป" ป้านิดดา : เฉพาะก่อนนอนใช่มั้ย แล้วตอนเช้าเคี้ยวต่อมั้ย? โกวิน : พออาการไอมันหาย ก็ไม่ได้เคี้ยว แต่พอก่อนนอน ผมก็เตรียมไปอีก ถ้ามีอาการไอ ผมก็เคี้ยวต่อไป ทำแบบนี้ จนทุกวันนี้ติดกล้วยเลย "คำถามทางบ้าน" "มีหลายคนถามมาว่า เวลาทาน ทานทั้งเปลือกด้วยใช่มั้ยคะ?" "ใช่..ใช่ เอากล้วยทั้งลูกล้างให้สะอาด แล้วก็ฝาน พอฝานไปแล้ว ยางก็จะออกมา ส่วนกล้วย เนื้อกล้วยปกติจะมีคาร์โบไฮเดรต เป็นน้ำตาล แต่เนื่องจากเขาดิบ เป็นแป้ง เขาจึงไม่มีสภาพเป็นน้ำตาลเท่าไหร่ ฉะนั้น การที่เขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เนี่ย มันเป็นความซับซ้อน ไม่ใช่ยางอย่างเดียว ผมคาดว่า น้ำเกลือก็มีผล ยางก็มีผล เนื้อที่เป็นแป้งก็มีผล" ครับ....... ผมแกะคำมาเลย ไม่อยากสรุป ก็ยังไม่จบความดี แต่เนื้อที่หมด ที่เหลือ "ป้านิดดา" ให้ความรู้ด้านสารในกล้วยดิบ จะนำมาต่อวันหลัง ลองกันดูนะครับ "กล้วยดิบ" พิชิตโควิดได้ แต่ใครก็อย่าไปบอกธนาธรเชียวนะ เดี๋ยวมัน "อมกล้วย" ไลฟ์สดอีก ยุ่งตายหะ!
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (ชันสูตรพลิกศพ) ศพผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าโควิด-19 ไม่มีอยู่จริงในรูปของไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด
    สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (ชันสูตรพลิกศพ) ศพผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าโควิด-19 ไม่มีอยู่จริงในรูปของไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด พบโรคโควิด-19 ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดในมนุษย์ และทำให้เลือดแข็งตัวในเส้นเลือด ทำให้คนหายใจลำบาก เพราะสมอง หัวใจ และปอดไม่สามารถรับออกซิเจนได้ ทำให้คนเสียชีวิต อย่างรวดเร็ว. เพื่อหาสาเหตุของการขาดแคลนพลังงานระบบทางเดินหายใจ แพทย์ในสิงคโปร์ไม่ฟังระเบียบการของ WHO และทำการชันสูตรพลิกศพสำหรับ COVID-19 หลังจากที่แพทย์เปิดแขน ขา และส่วนอื่นๆ ของร่างกายและตรวจดูอย่างระมัดระวัง พวกเขาสังเกตเห็นว่าหลอดเลือดขยายตัวและเต็มไปด้วยลิ่มเลือด ซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและลดการไหลของออกซิเจน ในร่างกายทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับงานวิจัยนี้ กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้เปลี่ยนโปรโตคอลการรักษาสำหรับ Covid-19 ทันทีและให้แอสไพรินแก่ผู้ป่วยที่เป็นบวก ฉันเริ่มทาน 100 มก. และอิมโรแมค ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัวและสุขภาพก็เริ่มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์อพยพผู้ป่วยมากกว่า 14,000 คนในหนึ่งวันและส่งพวกเขากลับบ้าน หลังจากช่วงระยะเวลาของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แพทย์ในสิงคโปร์อธิบายวิธีการรักษาโดยกล่าวว่าโรคนี้เป็นกลอุบายทั่วโลก "ไม่ใช่แค่การแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด (ลิ่มเลือด) และวิธีการรักษา ยาเม็ดยาปฏิชีวนะ ต้านการอักเสบและ ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (แอสไพริน). แสดงว่าสามารถรักษาโรคได้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวสิงคโปร์คนอื่น ๆ ระบุว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและห้องไอซียู (ICU) โปรโตคอลสำหรับเอฟเฟกต์นี้ได้รับการเผยแพร่แล้วในสิงคโปร์ จีนรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ไม่เคยเปิดเผยรายงานของตน แบ่งปันข้อมูลนี้กับครอบครัว เพื่อนบ้าน คนรู้จัก เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน เพื่อที่พวกเขาจะได้กำจัดความกลัวของ Covid-19 และตระหนักว่านี่ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีเท่านั้น เฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากเท่านั้นที่ควรระวัง รังสีนี้ยังทำให้เกิดการอักเสบและขาดออกซิเจน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อควรรับประทาน Asprin-100mg และ Apronik หรือ Paracetamol 650mg ที่มา: กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผงมรณะหมู่
    ผงมรณะหมู่ (ขอบคุณด็อกเตอร์จิรพล สินธุนาวา ที่แนะนำข้อมูลมาเห็นด้วย 100% ครับ และเพิ่มเติมก็คือผงชูรสที่ใช้ในญี่ปุ่นนั้นทำจากสาหร่ายทะเลที่ไม่ได้อมพิษ แต่ในประเทศไทยใช้ที่เห็น ๆ ทางด้านล่างครับ) อยากตายไม่เหงา กินไป ป่วยเรื่อย ๆ ตายตาม ๆ กันไป ไทย ลาว พม่า ติดกันงอมแงม คือ ญี่ปุ่น ชาติที่ว่าพัฒนาแล้ว ฆ่าหมู่คนชัด ๆ แต่ในประเทศตัวเอง มีกฏหมายห้ามผลิตและจำหน่ายจ้ายกโรงงานมาไทย💣 • ผงชูรสฆ่าคน! ทราบไหมครับ ในการผลิตผงชูรสทั้งแบบก้อนและแบบผงในประเทศไทย ใช้แป้งมันสำปะหลังและกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก แต่แหล่งข่าวที่ผมรู้จักยืนยันว่า มันมีอะไรแปลก ๆ มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มาจากกระดูกสัตว์ อย่างกระดูกวัว กระดูกควาย โซดาไฟ และปุ๋ยยูเรีย ก็คิดดูเองสิว่า ทำไมของเหลวที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทำไมยังสามารถนำไปขายให้เกษตรกรไปเป็นปุ๋ยน้ำ รดไร่นา จนพืชขึ้นเขียวขจี (แต่กลายพันธุ์ด้วยหรือเปล่าไม่รับรองนะ) ลองสังเกตุดูสิว่า คนงานในโรงงาน และชุมชนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ โรงงานผลิตผงชูรส ถึงมีอาการอิดโรย ป่วยกระเสาะกระแสะกันทั้งชุมชน เพื่อน ๆ ผมที่อยู่โรงงานผลิตผงชูรส เขายังไม่กินผงชูรสเลย แต่เขาจะนำผงชูรสผสมน้ำอุ่น แล้วไปขัดห้องน้ำ ขัดหม้อ ที่มีเขม่าดำ ขัดหัวเข็มขัดทองเหลือง ขัดสร้อยเงิน แช่เหรียญเก่า หรือแช่พระกรุ ก็ไม่แน่ เพราะผมเคยลองขัดดูแล้วเวิร์กมาก ๆ ถ้าไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองดูเองนะครับ จริง ๆ แล้ว "ผงชูรส ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว" "ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้ต่อมรับรส เปิดกว้างขึ้น ทำให้รู้สึก ว่าอาหารมีรสชาติดีขึ้น" อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่าเกลือแกงตรงที่ว่า เกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่มากเท่าไหร่ ก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีปริมาณโซเดียมมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีรสชาติให้รู้สึก หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ผงชูรสมีพิษแฝงในเรื่องโซเดียม ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้: 1.1) ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ยิ่งถ้าคนป่วยเป็นเอดส์มาทานอาหารที่ใส่ผงชูรส ยิ่งทำให้ตายเร็วกว่าที่ควรเป็นครับ 1.2) ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่มีผงชูรสแพร่หลายในประเทศไทย ผงชูรสทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ และอาจทำให้รักษาผิดพลาด เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ยังเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายผอม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย 1.3) ผงชูรสเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เช่น โรคไต ความดันสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น 2) พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้ 2.1) ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามโรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน 2.2) ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องของขนาดและน้ำหนัก 2.3) ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสีย หรือเกิดตาบอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อย จะยิ่งเกิดผลร้ายมาก 2.4) ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจางได้ 2.5) ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้ 2.6) เกิดโรคมะเร็ง 2.7) ทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น 3) 😎 เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น แต่ถึงเห็นพิษภัยขนาดนี้ประชาชนตาดำ ๆ อย่างเราคงจะหลีกเลี่ยงผลชูรสได้ยาก เพราะตั้งแต่ภัตตาคารใหญ่ ๆ จนไปถึงร้านข้างถนน ยังขาดความรู้เรื่องโทษจากผงชูรส เรามาเริ่มต้นจากบ้านของเรา และช่วยกันรณรงค์เรื่องพิษภัยของผงชูรสกันดีกว่าครับ Cr: ขอบคุณที่มา จาก นสพ. ฐานเศรษฐกิจ
    Mrs.Doubt
     •  9 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปัตตานีเสียชีวิตจากโควิดวันเดียว 40 คน
    ปัตตานีสาหัส โควิดวิกฤติ หมู่บ้านเดียวดับ 40 ราย จนสุสานไม่มีที่ฝังศพแล้ว ต้องถมดิน 3 ครั้ง สูงเท่ากำแพง เจอฝนตกถล่มเสียหาย เร่งซ่อมแซมด่วน วันที่ 15 พ.ย.2564 อิหม่ามอับดุลลายิ บือราเฮง อิหม่ามประจำมัสยิดนูรุลฮูดา เผยว่า ขณะนี้ชาวหมู่ 8 บ้านยูโย ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เจอกับสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ รุนแรงมาก มีคนเสียชีวิตแล้ว 40 ราย ทำให้สุสานประจำหมู่บ้านไม่เพียงพอฝังศพ ต้องนำดินมาถมเพิ่มเป็นรอบที่ 3 จนพื้นดินสุสานสูงเท่ากับกำแพงสุสาน เมื่อฝนตกลงมาทำให้กำแพงพัง สร้างความทุกข์ระทมให้ชาวบ้านอย่างมาก สำหรับสุสานดังกล่าวมีพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร เมื่อมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวนมาก ทำให้ต้องถมดินสูงขึ้น โดยมีป้ายหินหลุมฝังศพใหม่จำนวนมาก ตอนนี้ต้องใช้งบประมาณซ่อมแซม เพราะกำแพงเสียหายแทบทั้งหมด และต้องปรับพื้นที่รองรับร่างผู้เสียชีวิตจากโควิด ที่คาดว่าน่าจะมีอีกเป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้ต้องไปขอบริจาคชาวบ้านเพื่อซื้อดินมาถมเพิ่ม ยิ่งมีร่างผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เข้ามาเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้องถมสูงมากขึ้น ตอนนี้ชาวบ้านอยากให้เอาร่างไปฝังที่อื่น เพราะไม่อยากให้ศพที่เสียชีวิตจากโควิด มาฝังที่กูโบร์แห่งนี้ แต่ทางอิหม่ามและผู้นำศาสนาไม่ยอม เพราะกูโบร์แห่งนี้มีมานานกว่า 100 ปี ชาวบ้านทุกคนในพื้นที่ก็ต้องฝังร่างที่แห่งนี้ ดังนั้น จะต้องช่วยกันปรับปรุง ไม่ว่าใครก็ต้องฝังร่างที่นี่ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของชาวบ้านพื้นที่หมู่ 8 บ้านยูโย ยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีก 20 ราย มีผู้ติดเชื้อสะสมทั้งสิ้น 960 ราย ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาด จ.ปัตตานี พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 261 ราย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 43,239 ราย ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 412 ราย ................................ ที่มา_ข่าวสด
    ซูลกิฟลี ภูริกานต์
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThink
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ตัวเเทนผู้ส่งสารพระเจ้าของศาสนาคริสต์
    การประกาศเป็นบุญราศี (อังกฤษ: Beatification) คือกระบวนการที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกกำหนดขึ้นเพื่อรับรองว่าบุคคลหนึ่งได้เข้าสู่สวรรค์และสามารถวอนขอพรจากพระเป็นเจ้าแทนมนุษย์บนโลกได้ กระบวนการนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สี่ของการประกาศเป็นนักบุญ ประวัติ แก้ไข แต่เดิมการประกาศเป็นบุญราศีเป็นกระบวนการที่แต่ละมุขมณฑลดำเนินการเอง และมักจะเป็นการยกย่องมรณสักขีในท้องถิ่นนั้น ๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1983 เป็นต้นมาศาสนจักรคาทอลิกกำหนดว่าต้องมีปาฏิหาริย์หนึ่งอย่างที่ (เชื่อว่า) เกิดจากการที่ผู้นั้นได้อ้อนวอนขอพรพระเจ้าตามการอธิษฐานของคริสต์ศาสนิกชน ในกรณีที่ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นมรณสักขี ศาสนจักรจะดำเนินการประกาศเป็นบุญราศีให้โดยไม่จำเป็นต้องมีเรื่องปาฏิหาริย์มารับรองความศักดิ์สิทธิ์ เพราะถือว่าการพลิชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในคริสต์ศาสนาถือเป็นวีรคุณธรรมที่แสดงความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ความเคารพและการเฉลิมฉลองบุญราศีจะจำกัดเฉพาะภายในภูมิภาคหรือประชาคมที่บุญราศีนั้นเคยเกี่ยวข้องขณะยังมีชีวิตอยู่ จนเมื่อได้รับการประกาศเป็นนักบุญแล้วจึงจะได้รับความเคารพและจัดงานฉลองจากคริสต์ศาสนิกชนได้ทั่วโลก[1] เช่น คริสตจักรโรมันคาทอลิกในประเทศไทยกำหนดให้ฉลองเจ็ดบุญราศีมรณสักขีแห่งสองคอนในวันที่ 16 ธันวาคม[2] และฉลองบุญราศีนิโคลัส บุญเกิด กฤษบำรุง ในวันที่ 12 มกราคม[3] บุญราศีชาวไทย แก้ไข ชาวไทยได้รับการประกาศเป็นบุญราศี 2 ครั้ง รวม 8 องค์ ได้แก่ เจ็ดบุญราศีมรณสักขีแห่งสองคอน ผู้สร้างวีรกรรมความศรัทธาเมื่อ ค.ศ. 1940 ในสมัยที่ไทยมีกรณีพิพาทอินโดจีนกับฝรั่งเศส กรณีดินแดนในแถบอินโดจีน ช่วงนั้นมีคนไทยหลายคนเข้าใจผิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเศส ทางการไทยจึงได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านเลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่มีชาวบ้านอยู่ 7 คนที่ไม่ยอมละทิ้งศาสนา นำโดยนายสีฟอง อ่อนพิทักษ์ (อายุ 33 ปี) , ภคินี 2 รูปคือ ซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข (อายุ 31 ปี) และซิสเตอร์คำบาง สีฟอง (อายุ 23 ปี) , สตรีสูงวัย 1 ท่านคือนางพุดทา ว่องไว (อายุ 59 ปี) , และเด็กสาวอีก 3 ท่านคือ นางสาวบุดสี ว่องไว (อายุ 16 ปี ), นางสาวคำไพ ว่องไว (อายุ 15 ปี) และเด็กหญิงพร ว่องไว (อายุ 14 ปี) ทั้งหมดถูกยื่นคำขาดว่าจะต้องถูกฆ่า หากไม่ยอมละทิ้งศาสนาคริสต์ ทั้ง 7 คนจึงพร้อมใจกันยอมสละชีวิตที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ โดยมีตำรวจเป็นคนคร่าชีวิต ปี 1989 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้ประกาศสดุดีให้ทั้ง 7 คน เป็น "บุญราศีมรณสักขี" หมายถึง คริสตชนผู้ที่ประกอบกรรมดีและพลีชีพเพื่อประกาศยืนยันความเชื่อในพระเจ้าไม่ยอมละทิ้งศาสนา อีกทั้งประกาศให้มีพิธีรำลึกบุญราศีสองคอนทั้ง 7 ในวันที่ 16 ธันวาคม โดยมีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในมหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม ซึ่งหลังจากการสถาปนาบุญราศีทั้ง 7 แล้ว โบสถ์สองคอน จึงได้จัดงานชุมนุมครั้งใหญ่ เพื่อฉลองบุญราศีที่ประเทศไทย เรียกงานนี้ว่า “งานสันติร่วมจิตใจเดียว” ในปีต่อ ๆ มา จัดเป็นงานวันรำลึกบุญราศีทั้ง 7 แต่เพื่อความสะดวกแก่ผู้ที่สนใจอยากไปร่วมงาน การฉลองที่โบสถ์สองคอนจึงกำหนดให้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ใกล้เคียงกับวันที่ 16 ธันวาคมที่สุด [4] บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง[5] เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1895 และรับศีลล้างบาปวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1895 ที่โบสถ์นักบุญเปโตร สามพราน นครปฐม และรับศีลอนุกรมเป็นบาทหลวง โดยมุขนายกเรอเน-มารี-โฌแซ็ฟ แปโร เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1926 ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ บาทหลวงบุญเกิดทำงานอภิบาลที่โบสถ์หลายแห่ง คือ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก, โบสถ์เซนต์นิโคลาส พิษณุโลก, อาสนวิหารพระหฤทัย เชียงใหม่, โบสถ์คาทอลิกในลำปาง, อาสนวิหารแม่พระประจักษ์ที่เมืองลูร์ด นครราชสีมา และโบสถ์นักบุญเทเรซา โนนแก้ว บาทหลวงบุญเกิดถูกจับในวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ หลังจากประกอบศาสนกิจที่โบสถ์นักบุญยอแซฟ บ้านหัน เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1941 ในข้อหาเป็นกบฏภายนอกราชอาณาจักร ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี ระหว่างอยู่ในคุกที่เรือนจำกลางบางขวางเป็นปีที่สาม ท่านป่วยเป็นวัณโรคเป็นเวลา 9 เดือน และถึงแก่กรรมในคุกนั้นเอง เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1944 รวมอายุ 49 ปี ศพของท่านถูกนำไปฝังไว้ที่วัดบางแพรกซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้เรือนจำ หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม มุขนายกเรอเน-มารี-โฌแซ็ฟ แปโรจึงได้รับอนุญาตให้นำศพของท่านมาฝังที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ บาทหลวงนิโคลาสเป็นบาทหลวงที่เอาใจใส่งานอภิบาล มีใจเมตตาต่อคนยากจน และมีความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดี ระหว่างที่อยู่ในคุก ท่านได้สอนคำสอนและโปรดศีลล้างบาปให้นักโทษด้วยกันที่ใกล้ตายจำนวน 68 คน พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้เสนอกรณีของท่านให้สมณะกระทรวงการสถาปนานักบุญพิจารณา หลังจากตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ชัดแจ้งว่าท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ พลีชีพเพราะเห็นแก่ความเชื่อในพระเป็นเจ้า สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้ประกาศรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2000 และประกอบพิธีสถาปนาเป็นบุญราศีมรณสักขี ในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2000 ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม ประเทศอิตาลี
    putilp148
     •  10 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การเมืองเล่นงาน เรื่องของกัญชา ที่ พ.ร.บ. ต้องถูกถอดออกจากที่ประชุมสภา แบบหักปากกาเซียนนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการเมือง ที่พรรคการเมือง จะต้องมองถึงศึกเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามาทุกวินาที เป็นศึกที่จะยอมกันไม่ได้แน่นอน จำได้ไหม ตอนนำร่าง พ.ร.บ.กัญชาเข้าสภา ในขั้นตอนยกร่าง ปรากฏว่าทุกพรรคยกมือเห็นดี เห็นงาม วันนั้น ยังมองว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย ทั้งในเรื่องของการแพทย์และเศรษฐกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท่าที ที่เคยเป็นมิตรจากฝ่ายการเมืองเริ่มไม่เหมือนเดิม เพราะรู้กันดีว่าหากปล่อยนโยบายกัญชาเดินหน้าราบรื่น รับรองว่า พรรคภูมิใจไทย กับสโลแกน “พูดแล้วทำ” กระหื่มแน่ ดังนั้น เมื่อมาถึงวาระที่ 2 ของการพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงต้องใช้โอกาสนี้ ซัดให้ล้มหงาย นำโดยพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่กลับมาจับมือกัน ทั้งที่เรื่องนี้ มีทางออก มากมายโดยไม่จำเป็นต้องถอนร่างกลับไปแก้ไขใหม่ให้เสียเวลา อาทิ การพิจารณารายมาตราต่อในที่ประชุมสภาได้เลย แต่การดึงดันที่จะให้ถอนร่างไปนั้น ก็ไม่ต่างจากการล้มนโยบายของพรรคภูมิใจไทยแล้ว เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากอายุของสภาจะหมดลง นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธาน กมธ.ร่าง พระราชบัญญัติฉบับนี้ พูดด้วยความท้อใจ “วันนี้ประเทศไทยต้องเดินหน้านับหนึ่งก่อน ถ้ามีข้อบกพร่องประการใดก็พร้อมที่จะแก้ แต่วันนี้ท่านยังไม่ได้ดูแต่ละมาตราเลย แต่บอกให้ผมเอากลับไปแก้ ผมเอามานำเสนอต่อที่ประชุมนี้ หากท่านเห็นว่ากฎหมายในแต่ละมาตราไม่ดี ก็เป็นเอกสิทธิ์ของท่าน แต่วันนี้อย่าเพิ่งติ หากท่านยังไม่เห็นรายละเอียด” นายศุภชัย กล่าว อันที่จริง กับท่าทีของพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกพิศดาร แต่เป็นพรรคประชาธิปัตย์ต่างหากที่น่าจับตามอง เพราะอย่าลืมว่า ก็เป็นพรรคร่วมมาด้วยกัน จึงถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ที่อยู่ดีๆ เอามีดมาฟันเพื่อนหัวแบะ หรือโกรธเคืองที่ถูกพรรคภูมิใจไทย ไล่เจาะพื้นที่ภาคใต้ แต่ทุกพื้นที่นั้น ทุกพรรคก็มีสิทธิ์หาเสียง และประชาชนก็มีสิทธิ์เลือก ใช่หรือไม่ ? อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ พูดอยู่เสมอว่า กังวลการใช้กัญชาอย่างเลยเถิด แต่การบังคับให้ต้องถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เท่ากับการใช้กัญชาของไทย จะยังถูกควบคุมด้วยกฎหมายเดิม ที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันสถานการณ์ การดูแลไม่ทั่วถึงครอบคลุม ช่างย้อนแย้งเสียนี่กระไร มีคำถามที่แหลมคมจากกลุ่ม “เขียนอนาคตกัญชาไทย” ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่บัดนี้ หมายรวมถึงพรรคเพื่อไทยด้วย 1.กัญชาเสรีนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 มิ.ย.จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการปล่อยให้กัญชาเสรีที่สุดเพราะไม่มีกฎหมายมากำกับ และในช่วงที่เสรีที่สุดนี้ กัญชาได้ก่อให้เกิดความวิบัติใดกับสังคมบ้าง เช่น คนติดกัญชาเพิ่มขึ้น คนติดกัญชาไปทำร้ายคนอื่น เหตุการณ์ใดที่ถูกนำมาเป็นปัจจัยชี้วัดว่ากัญชาควรกลับไปเป็นยาเสพติด โดยต้องตอบคำถามนี้เพราะในคำแถลงระบุชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง ฉะนั้นหากยืนยันว่ากระทำบนหลักการ จึงต้องชี้แจงต่อสาธารณะว่ามีข้อมูลใดที่แสดงให้เห็นว่ากัญชาควรต้องกลับไปเป็นยาเสพติด 2.ท่านไม่เห็นด้วยที่อนุญาตให้ครัวเรือนปลูกกัญชาได้ เพราะมองว่าจะเอาไปสูบแทนที่จะนำไปทำประโยชน์ทางการแพทย์ คำถามที่สำคัญคือท่านมีความรู้แค่ไหนในเรื่องกัญชา และนำหลักเกณฑ์ใดมาตัดสินว่าหากชาวบ้านมีสิทธิในการปลูกกัญชาได้แล้วจะก่อให้เกิดภาวะคนสูบกัญชาทั้งประเทศ หากท่านคิดว่าการที่คนเข้าถึงกัญชาแล้วจะทำให้คนสูบกัญชามากขึ้นนั้น เป็นความไร้เดียงสานำความไม่รู้มาตัดสินพืชพื้นเมืองที่อยู่คู่กับครัวเรือนของประเทศนี้มานานก่อนที่รัฐบาลจะประกาศให้ผิดกฎหมาย “ความตายและการเจ็บป่วยของชาวบ้านซึ่งไม่มีเงินรักษา ไม่ได้มีเงินแบบท่าน พวกเขาเหล่านั้นใช้น้ำมันกัญชาในการรักษาชีวิต อย่างที่ ท่านไม่เคยใส่ใจ และอย่าไร้เดียงสาพูดเรื่องกัญชาทางการแพทย์ หากประชาชนไม่สามารถปลูกได้ กัญชาจะกลับไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนและผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่มันอยู่ในตำรายาแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านเมื่อครั้งสมัยอยุธยาและชาวบ้านสามารถผลิตยารักษา นำไปใส่อาหารแทนผงชูรส และอย่าดูถูกประชาชนว่าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดต่อการใช้พืชพื้นเมืองชนิดนี้ ชาวบ้านปลูกกัญชาผิด เวลาพวกคุณเทเหล้าใส่ปากขวดละหลายหมื่น มึนเมากันกลับเป็นวัฒนธรรมอันดีงาม” น่าเสียดายที่พรรคนี้กีดขวางประชาชนในการเข้าถึงการผลิตยาสมุนไพรจากพืชพื้นเมืองที่ชื่อว่ากัญชา สังคมต้องตัดสินพรรคนี้ว่า ควรที่จะให้โอกาสพรรคนี้มาทำงานในสภาอีกหรือไม่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าคำถามเหล่านี้ จะไม่มีคำตอบ เพราะพวกเขาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว เป้าหมายทางการเมืองในการตัดขาคู่แข่ง เขาคิดแค่นี้ และทำมันได้แล้ว #Ringsideการเมือง
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผู้เชี่ยวชาญเรือดำน้ำ ชี้ 5 คนในเรือไททัน รู้ชะตากรรม แค่ 1 นาทีก่อนตาย
    ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเรือดำน้ำชาวสเปน วิเคราะห์ 5 ผู้โดยสารในเรือดำน้ำไททัน รู้ชะตากรรม แค่ 1 นาทีก่อนจะเสียชีวิตทั้งหมด จากการระเบิดสู่ภายใน (implosion) เมื่อ 12 ก.ค. 2566 สำนักข่าวต่างประเทศ นาย โฮเซ่ ลูอิส มาร์ติน ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือดำน้ำชาวสเปน วิเคราะห์ช่วงนาทีสุดท้ายของเรือดำน้ำไททัน ที่เกิดระเบิดสู่ภายใน ขณะดำลงไปชมซากเรือไททานิก เมื่อ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า ผู้โดยสารในเรือดำน้ำ 5 คน รู้ชะตากรรมของตัวเอง แค่เพียงประมาณ 1 นาทีเท่านั้น ก่อนจะเสียชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือดำน้ำชาวสเปน วิเคราะห์ว่า การเดินทางของเรือดำน้ำไททัน ซึ่งความจริงเป็นเพียง ยานดำน้ำ (submersible) เพื่อไปชมซากเรือไททานิก ที่จมอยู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น ‘เหมือนกับบอลลูน’ หลังตกอย่างอิสระลงมาประมาณ 3,000 ฟุต หรือราว 914 เมตร อันเนื่องมาจากเกิดความเปลี่ยนแปลงความดันอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าช่วงสุดท้ายของเรือไททัน จะใช้เวลาประมาณ 48-71 วินาที ซึ่งผู้โดยสารทั้ง 5 คนในเรือรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้น นายมาร์ติน ยังได้แบ่งปันทฤษฎีจุดจบเรือไททันของบริษัทโอเชียนเกต จากการวิเคราะห์ของเขา ระหว่างให้สัมภาษณ์กับนสพ.สเปน ‘Nius’ ว่า จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นขณะที่เรือไททันดำลงไปได้ลึกประมาณ 1,700 เมตร (5,500 ฟุต) ซึ่งขณะนั้น ระบบไฟฟ้าของเรือดำน้ำล้มเหลว และทำให้ไม่มีพลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ จนทำให้เรือไททันขาดการติดต่อกับเรือแม่ โพลาร์ พรินซ์ ซึ่งความลึกระดับนั้นมีเเรงดันน้ำที่อัดเรือสามารถทำให้วงเเหวนชั้นนอกออกมาเเละห้องโดยสารบิดเบี้ยวได้อย่างง่ายดาย
    putilp148
     •  10 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ค่าจัดการศพ ราชกิจจาฯ ประกาศให้ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ตาย ทายาท ได้ 30000บาท จาก พม.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
    #ค่าจัดการศพ ราชกิจจาฯ ประกาศให้ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ตาย ทายาท ได้ 30000บาท จาก พม.สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสียชีวิตทุกสาเหตุ ได้ทุกคนที่เป็นคนไทย คนกรุงเทพ รับที่สำนักงานเขต คนต่างจังหวัดรับที่ว่าการอำเภอ ภายใน 6 เดือน ให้ทายาทนำหลักฐานของผู้ตาย คือ 1. ใบมรณบัตร ผู้ตาย 2. ทะเบียนบ้าน ผู้ตาย 3. บัตร ปชช. ผู้ตาย 4. บัตร ปชช. ผู้รับ 5. ทะเบียนบ้าน ผู้รับ ไปยื่นเรื่องขอรับเงินดังกล่าวในเวลาราชการ ช่วยกระจายข่าวไป ให้ชาวบ้านทั่วไปได้ทราบด้วยครับ https://news.thaipbs.or.th/content/292672 #จริงใจ #เข้าถึง #พึ่งได้
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false