ดีใจได้เจออาจารย์ Peter Senge อีกครั้งในงาน MIT R&D Conference แกมาแบบเหนือชั้นอีกแล้ว คนอื่นพูดถึงเรื่องเทคโนโลยี AI, ML, AR, VR, 3D Printing, IoT, etc. โชว์สไลด์กันเต็มเหนี่ยว แต่แกมาตัวเปล่าพร้อมกับสมุดฉีกหนึ่งเล่ม (ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้)
.
Peter เริ่มจากการถามคนในห้องว่า หลังจากฟังหลายๆ sessions จนกำลังจะจบ conference ใน session แกนี้ คิดอะไรกันอยู่ในใจกันบ้าง หลายคนตอบด้วยความกังวลใจว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว กลัวจะตามไม่ทัน กลัวว่าจะ re-skill คนในองค์กรอย่างไร ฯลฯ
.
พูดไปสี่ห้าคน Peter ก็เบรก แล้วพูดว่าเขามองต่าง ต่างตรงที่เขาไม่ได้กังวลใจเรื่องเหล่านั้น แต่กังวลมากกว่าเยอะ คือปัญหาเรื่องน้ำ เรื่อง climate change เรื่องความยากจน ฯลฯ
.
Peter ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังตกเป็นทาสของเทคโนโลยี เทคโนโลยีบางตัวเป็นเหมือนยาเสพติดสมัยใหม่ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อล่อตาล่อใจคนยุคนี้โดยเฉพาะ ทำไมอยู่ดีๆ เราก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาไถทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ทีธุระปะปังสำคัญอะไร คนเราตอนนี้ขาดมือถือแทบจะไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เครื่องมือ แต่เรากลับให้มันเป็นเหมือนอีกอวัยวะหนึ่ง Peter ยังชวนให้คิดว่า การชาร์จมือถือหนึ่งครั้งก็มีส่วนทำให้นำ้แข็งขั้วโลกละลายได้ เราควรใช้อย่างระมัดระวัง (ผมเลยไม่กล้าหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปแกเลย กว่าจะถ่ายได้นี่ต้องกระมิดกระเมี้ยนมาก)
.
แกเห็นด้วยกับวลีที่ Tristan Harris กล่าวไว้ว่า “Technology is downgrading humans” หรือเทคโนโลยีกำลังทำให้เรามีความเป็นมนุษย์น้อยลง และมันกำลังทำลาย “สังคม” แบบที่มนุษย์ควรจะมี เพราะไม่ว่าจะเป็น social media, คนทำ devices เอง, หรือบรรดา entertainment companies ทั้งหลาย ก็ต่างพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์ของเขาออกมาเพื่อแย่งชิง attention ของคน สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดบนโลกใบนี้ คือ human attention โดยเฉพาะ attention ที่เราจะมีให้กับมนุษย์ด้วยกัน แบบมนุษย์ๆ
.
อาจดูเหมือนแกขวางโลก ขวางลำ ไม่เอาเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้ว Peter กำลังชี้ให้เราเห็นว่า เรายังมองแบบ ‘Systems Thinking’ กันไม่มากพอ เราควรคำนึงถึงผลของการกระทำเราให้จริงจังกันมากกว่านี้
.
Peter Senge ได้รับการยกย่องว่าเป็นกูรูด้านการบริหารจัดการเบอร์ต้นๆ ของโลก ในยุค 90 แนวคิดเรื่อง Learning Organization และหนังสือ The Fifth Discipline ได้รับความนิยมอย่างมาก ทุกๆ องค์กรก็พยายามอยากจะเป็น Learning Organization หรือองค์กรแห่งการเรียนรู้กันทั้งนั้น (เหมือนยุคนี้ ทุกองค์กรอยากทำเรื่อง Digital Transformation)
.
รากเหง้าของแนวคิดของ Peter มาจากศาสตราจารย์คนสำคัญคนหนึ่งของ MIT ชื่อว่า Jay Forrester โดย Jay เป็นคนที่เอาหลักการ Systems Dynamics มาปรับใช้กับเรื่องการจัดการเป็นคนแรกๆ Peter กล่าวถึง Jay ในงานนี้ด้วย เขาเล่าประวัติของ Jay สั้นๆ ว่าจากศาสตราจารย์ด้าน Computer Engineering ที่สนใจเรื่อง Radar วันดีคืนดี Jay เปลี่ยน field ซะงั้น โดย Jay พยายามที่จะค้นหาว่ามนุษย์เราจะจัดการกับ complexity ได้อย่างไร ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะแนวคิดเรื่อง Systems Dynamics ได้รับการพัฒนามาเป็น the Fifth Discipline หรือ Systems Thinking อย่างทุกวันนี้
.
ตอนท้าย Peter เน้นว่า Leaders ทุกคนในองค์กรควรฝึกมองแบบ Systems Thinking และควรมองให้เห็นถึงผลกระทบของธุรกิจของตัวเองที่มีกับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ climate change, poverty, inequality, etc. อย่ามองแต่ธุรกิจตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะโลกใบนี้ จะไม่เหลือพื้นที่ให้เราปู้ยี่ปู้ยำอีกแล้ว
.
“Everything we do is profoundly connected” การกระทำของเรานั้นส่งผลไปสู่สิ่งอื่นอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเชื่อมต่อกันอยู่อย่างลึกซึ้ง (แปลตรงมาก 55) เราไม่ได้อยู่ใน bubbles แต่เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของ systems หลายๆ systems ทั้งเล็กและใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่
.
คำว่า “lead” แปลตรงๆ คือ นำ แต่จริงๆ ความหมายรากเหง้าของมันคือ step ahead and across the treshold หรือการก้าวข้ามผ่านข้อจำกัด และคำว่า lead ไม่ได้หมายถึง ผู้นำแบบ hierarchy ที่เราคุ้นเคยกันในองค์กรทั่วๆ ไป แต่ทุกคนเป็น leaders ได้ “Everyone can be a leader” (กรณีนี้น่าจะหมายถึงไอเดียเรื่อง Distributed Leadership ที่ถูกสอนกันใน MIT Sloan)
.
ตบท้ายด้วยคำถามจาก Peter ว่า “How can we design a human-centered organization?” องค์กรที่มีคนเป็นศูนย์กลาง คำถามนี้ลึกซึ้ง และ Peter ไม่ได้ขยายความ เราอาจต้องมาตีความและค้นหากันเอาเองว่าคำว่า human-centered organization นั้นหน้าตาควรเป็นอย่างไร .......
สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ link นี้ครับ
https://medium.com/the-knowledge-spiral/⋯vels-โดย-peter-senge-senior-b0a438a5109d
——-
NOTE: Systems Dynamics เป็นวิชาหนึ่งที่สอนอยู่ที่ MIT Sloan เป็นวิชาหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความหิน เด็ก Sloan ทุกคนต้องเคยนั่งรัน simulation ข้ามวันข้ามคืนกันมาแล้วทั้งนั้น
#PeterSenge #MIT #MITSloan #SystemsDynamics #KnowledgeSpiral
.
Peter เริ่มจากการถามคนในห้องว่า หลังจากฟังหลายๆ sessions จนกำลังจะจบ conference ใน session แกนี้ คิดอะไรกันอยู่ในใจกันบ้าง หลายคนตอบด้วยความกังวลใจว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว กลัวจะตามไม่ทัน กลัวว่าจะ re-skill คนในองค์กรอย่างไร ฯลฯ
.
พูดไปสี่ห้าคน Peter ก็เบรก แล้วพูดว่าเขามองต่าง ต่างตรงที่เขาไม่ได้กังวลใจเรื่องเหล่านั้น แต่กังวลมากกว่าเยอะ คือปัญหาเรื่องน้ำ เรื่อง climate change เรื่องความยากจน ฯลฯ
.
Peter ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังตกเป็นทาสของเทคโนโลยี เทคโนโลยีบางตัวเป็นเหมือนยาเสพติดสมัยใหม่ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อล่อตาล่อใจคนยุคนี้โดยเฉพาะ ทำไมอยู่ดีๆ เราก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาไถทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ทีธุระปะปังสำคัญอะไร คนเราตอนนี้ขาดมือถือแทบจะไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เครื่องมือ แต่เรากลับให้มันเป็นเหมือนอีกอวัยวะหนึ่ง Peter ยังชวนให้คิดว่า การชาร์จมือถือหนึ่งครั้งก็มีส่วนทำให้นำ้แข็งขั้วโลกละลายได้ เราควรใช้อย่างระมัดระวัง (ผมเลยไม่กล้าหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปแกเลย กว่าจะถ่ายได้นี่ต้องกระมิดกระเมี้ยนมาก)
.
แกเห็นด้วยกับวลีที่ Tristan Harris กล่าวไว้ว่า “Technology is downgrading humans” หรือเทคโนโลยีกำลังทำให้เรามีความเป็นมนุษย์น้อยลง และมันกำลังทำลาย “สังคม” แบบที่มนุษย์ควรจะมี เพราะไม่ว่าจะเป็น social media, คนทำ devices เอง, หรือบรรดา entertainment companies ทั้งหลาย ก็ต่างพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์ของเขาออกมาเพื่อแย่งชิง attention ของคน สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดบนโลกใบนี้ คือ human attention โดยเฉพาะ attention ที่เราจะมีให้กับมนุษย์ด้วยกัน แบบมนุษย์ๆ
.
อาจดูเหมือนแกขวางโลก ขวางลำ ไม่เอาเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้ว Peter กำลังชี้ให้เราเห็นว่า เรายังมองแบบ ‘Systems Thinking’ กันไม่มากพอ เราควรคำนึงถึงผลของการกระทำเราให้จริงจังกันมากกว่านี้
.
Peter Senge ได้รับการยกย่องว่าเป็นกูรูด้านการบริหารจัดการเบอร์ต้นๆ ของโลก ในยุค 90 แนวคิดเรื่อง Learning Organization และหนังสือ The Fifth Discipline ได้รับความนิยมอย่างมาก ทุกๆ องค์กรก็พยายามอยากจะเป็น Learning Organization หรือองค์กรแห่งการเรียนรู้กันทั้งนั้น (เหมือนยุคนี้ ทุกองค์กรอยากทำเรื่อง Digital Transformation)
.
รากเหง้าของแนวคิดของ Peter มาจากศาสตราจารย์คนสำคัญคนหนึ่งของ MIT ชื่อว่า Jay Forrester โดย Jay เป็นคนที่เอาหลักการ Systems Dynamics มาปรับใช้กับเรื่องการจัดการเป็นคนแรกๆ Peter กล่าวถึง Jay ในงานนี้ด้วย เขาเล่าประวัติของ Jay สั้นๆ ว่าจากศาสตราจารย์ด้าน Computer Engineering ที่สนใจเรื่อง Radar วันดีคืนดี Jay เปลี่ยน field ซะงั้น โดย Jay พยายามที่จะค้นหาว่ามนุษย์เราจะจัดการกับ complexity ได้อย่างไร ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะแนวคิดเรื่อง Systems Dynamics ได้รับการพัฒนามาเป็น the Fifth Discipline หรือ Systems Thinking อย่างทุกวันนี้
.
ตอนท้าย Peter เน้นว่า Leaders ทุกคนในองค์กรควรฝึกมองแบบ Systems Thinking และควรมองให้เห็นถึงผลกระทบของธุรกิจของตัวเองที่มีกับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ climate change, poverty, inequality, etc. อย่ามองแต่ธุรกิจตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะโลกใบนี้ จะไม่เหลือพื้นที่ให้เราปู้ยี่ปู้ยำอีกแล้ว
.
“Everything we do is profoundly connected” การกระทำของเรานั้นส่งผลไปสู่สิ่งอื่นอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเชื่อมต่อกันอยู่อย่างลึกซึ้ง (แปลตรงมาก 55) เราไม่ได้อยู่ใน bubbles แต่เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของ systems หลายๆ systems ทั้งเล็กและใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่
.
คำว่า “lead” แปลตรงๆ คือ นำ แต่จริงๆ ความหมายรากเหง้าของมันคือ step ahead and across the treshold หรือการก้าวข้ามผ่านข้อจำกัด และคำว่า lead ไม่ได้หมายถึง ผู้นำแบบ hierarchy ที่เราคุ้นเคยกันในองค์กรทั่วๆ ไป แต่ทุกคนเป็น leaders ได้ “Everyone can be a leader” (กรณีนี้น่าจะหมายถึงไอเดียเรื่อง Distributed Leadership ที่ถูกสอนกันใน MIT Sloan)
.
ตบท้ายด้วยคำถามจาก Peter ว่า “How can we design a human-centered organization?” องค์กรที่มีคนเป็นศูนย์กลาง คำถามนี้ลึกซึ้ง และ Peter ไม่ได้ขยายความ เราอาจต้องมาตีความและค้นหากันเอาเองว่าคำว่า human-centered organization นั้นหน้าตาควรเป็นอย่างไร .......
สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ link นี้ครับ
https://medium.com/the-knowledge-spiral/⋯vels-โดย-peter-senge-senior-b0a438a5109d
——-
NOTE: Systems Dynamics เป็นวิชาหนึ่งที่สอนอยู่ที่ MIT Sloan เป็นวิชาหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความหิน เด็ก Sloan ทุกคนต้องเคยนั่งรัน simulation ข้ามวันข้ามคืนกันมาแล้วทั้งนั้น
#PeterSenge #MIT #MITSloan #SystemsDynamics #KnowledgeSpiral
Medium
https://medium.com/the-knowledge-spiral/transformational-change-from-within-cultivating-leadership-at-all-levels-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-peter-senge-senior-b0a438a5109dApologies, but something went wrong on our end.Refresh the page, check Medium’s site status, or find something interesting to read.