1 คนสงสัย
PM2.5 คือสาเหตุการเกิดมะเร็งปอด‼️

🏵 วันหยุดวันนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือก็ยังผจญกับ PM2.5 ในระดับเลวร้าย ประจวบเหมาะวันนี้ Nature เผยแพร่วารสารฉบับล่าสุด (6 เมษายน) ทำปกและ headline เกี่ยวกับ PM2.5 และกลไกการเกิดมะเร็งปอด ซึ่งเป็นงานที่เคยนำเสนอใน ESMO ล่าสุด ลงตีพิมพ์ในฉบับนี้พอดี

🏵 Paper นี้เป็นผลงานของทีม TRACERx นำโดยนักวิจัยจาก UK ร่วมกับอีกหลายประเทศ เริ่มศึกษาจากมะเร็งปอดชนิด non-small cell lung cancer (NSCLC) ที่มี EGFR mutation กว่า 3 หมื่นคน มะเร็งปอดที่พบการกลายพันธุ์ของยีนนี้จะพบบ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะชาวเอเชีย พบว่าอุบัติการณ์ของโรคสัมพันธ์กับระดับ PM2.5 ในพื้นที่ของผู้ป่วยอย่างชัดเจน จากกราฟเทียบระดับ PM2.5 ที่ 10 กับ 40μg/m3 จะเห็นว่าอัตราเกิดมะเร็งปอดต่างกันราว 7 เท่า

🏵 การศึกษาในหนูที่สร้างขึ้นมาให้มีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ในเนื้อปอด หายใจอากาศที่มี PM2.5 ต่างกันคือ 0, 5 และ 50μg/m3 เป็นเวลา 10 สัปดาห์ แล้วเอาเนื้อปอดมาตรวจดูจะเห็นชัดว่ามี PM2.5 สะสมในปอดหนูต่างกันมาก และจำนวนจุดที่พบการขยายตัวของกลุ่มเซลล์เนื้องอกที่มียีน EGFR mutation ในเนื้อปอด (จุดสีต่าง ๆ หลากสีในภาพแถวที่ 2 ด้านขวา) ระหว่างกลุ่มควบคุม (0) กับ 50μg/m3 ก็ต่างชัดเจน พรึ่บไปหมด

🏵 การศึกษาเนื้อปอดของคนปกติ พบว่าเซลล์ปอดของเรามียีน EGFR กลายพันธุ์ได้อยู่แล้วนิดหน่อย เฉลี่ย 1 ใน 550,000 เซลล์ และเมื่อสุ่มตรวจพบว่าคนปกติ 18% มียีนนี้กลายพันธุ์อยู่แล้ว และสัดส่วนเพิ่มขึ้นตามอายุ

🏵 เมื่อหายใจเอา PM2.5 เข้าไปสะสมในเนื้อปอด ส่งผลกระตุ้นการอักเสบ เกิดการลุกฮือของเซลล์ macrophage เข้ามารุมและปล่อย interleukin-1 (IL-1) ออกมา ซึ่ง IL-1 นี่เองที่กระตุ้นให้เซลล์ปอดที่มี EGFR mutation อยู่เดิมเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็น cancer stem cells เป็นจุดเริ่มของการขยาย clone ของเซลล์มะเร็ง (การทดสอบพบว่าการยับยั้ง IL-1 ด้วยยา canakinumab สามารถหยุดกระบวนการนี้ได้)

🏵 โดยสรุป PM2.5 เป็นเหตุของการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะที่มีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ซึ่งพบบ่อยที่สุดในคนเอเชียรวมถึงคนไทยด้วย แม้ว่าการกลายพันธุ์ของยีนนี้เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติและเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่การกระตุ้นให้เซลล์ที่มียีนกลายพันธุ์เติบโตเพิ่มจำนวนจนกลายเป็นมะเร็งต้องอาศัย PM2.5 การป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดที่ดีสุดคือการเลี่ยง PM2.5 ครับ

🏵 ไม่ควรจะเห็นใครที่ยังตะแบงบอกไม่มีข้อมูลว่า PM2.5 มีผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะมะเร็งปอดอีก และเลิกทำอะไรหน่อมแน้มแบบที่ผ่านมา ควรเอาจริงเอาจังกับปัญหาได้แล้วครับ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nature.com/articles/s41586-023-05874-3
ไม่ระบุชื่อ
 •  1 ปีที่แล้ว
meter: middle
1 ความเห็น

มะเร็งภาคเหนือสภาพอากาศผู้บริโภคเฝ้าระวัง

Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

เหตุผล

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย (เป็นอันดับ 2 ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับ และเป

ที่มา

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/⋯ร็ง-เสี่ยงเสียชีวิตสูง-ตายปีละ-7-หมื่นคน

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    อนุทิน ให้ทุกจังหวัด เปิดวอล์กอินฉีดวัคซีน COVID-19 เข็มแรกได้ จริงหรือ
    ที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2 /2564 มีมติเห็นชอบเพิ่มการจัดหาจำนวนวัคซีน COVID-19 อีก 50 ล้านโดส เพื่อเตรียมไว้ฉีดให้กับประชากร ทำให้ไทยจะมีวัคซีน COVID-19 ในปี 2565 จำนวน 150 ล้านโดส และเร่งเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน เพื่อจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมการกลายพันธุ์ รวมทั้ง​ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็วที่สุด เพื่อลดความรุนแรงของโรค เริ่มได้ทันทีตามความพร้อมของแต่ละจังหวัด โดยการฉีดวัคซีนจะมี 3 รูปแบบ​ คือ 1.นัดหมายผ่าน แอปหรือไลน์ หมอพร้อม 2.การนัดหมายเป็นกลุ่มก้อน ของทางหน่วยงาน เพื่อขอรับวัคซีน 3.รับการฉีดแบบไม่นัดหมายล่วงหน้า หรือ วอร์กอิน
    anonymous
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ "โรคมะเร็ง" ต้องตรวจสอบก่อนแชร์
    เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาโรคมะเร็งมาโดยตลอด โดยได้ผลักดันการดูแลรักษาโรคมะเร็งเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนำสู่การปฏิบัติ เพิ่มขึ้นหลายประการ ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจอุจจาระ หากพบความผิดปกติก็สามารถตรวจคัดกรองต่อด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจหายีนผิดปกติ ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และ การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก นอกจากนี้ยังสนับสนุนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากวิธี PAP smear เป็นการคัดกรองด้วยวิธีการตรวจ HPV test ทำให้ความไวและความแม่นยำในการคัดกรองโรคสูงขึ้น และเมื่อคัดกรองพบว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถลัดขั้นตอนการส่งต่อในระบบปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ตามนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” (Cancer Anywhere) ซึ่งการวินิจฉัยเร็วและรักษาเร็ว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยใช้สิทธิ์มะเร็งรักษาได้ทุกที่แล้วกว่า 325,000 คน หรือ กว่า 2,900,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วย PET scan ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ สารสกัดกัญชาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา และการสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพง เช่น เครื่องฉายแสงให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยรอคอยการรักษาจำนวนมาก ทั่วประเทศ ทั้งนี้สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมะเร็งโลก” โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว นอกจากการดำเนินงานของภาครัฐแล้ว สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
    std47626
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    🔴 ในที่สุดก็ประกาศข่าวร้าย: สหรัฐอเมริกาประกาศอย่างเป็นทางการ: อาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่มีสารพิษร้ายแรงได้ระเบิดในที่สุด 🔴 การระบาดของเนื้องอกในวงกว้างเกี่ยวข้องกับอาหารดัดแปลงพันธุกรรม กระจายข่าวด่วนและแจ้งให้ญาติและเพื่อนของคุณ (ของคุณ) ทราบ! อย่าลืมใส่ใจ! 🔴ทุกคนต้องดูให้ดีเมื่อไปซุปเปอร์มาร์เก็ต: 🔴บาร์โค้ดที่ขึ้นต้นด้วย "8" เป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรม! ⭕ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร ขอแค่ดัดแปลงพันธุกรรม อย่าซื้อหรือกิน! ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญจะสนับสนุนว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างไร เราก็ต้องจำไว้ว่า: 1. คนอเมริกันไม่กินมัน 2. ห้ามโดยเด็ดขาดโดยสหภาพยุโรป; 3. ห้ามใช้ระบบอาหารพิเศษของจีนโดยเด็ดขาด 4. ห้ามเด็ดขาดในงาน World Expo; 5. ห้ามโดยเด็ดขาดในเอเชียนเกมส์ 6. ชาวแอฟริกันจะไม่นำเข้ายีนดัดแปลงพันธุกรรมแม้ว่าพวกเขาจะอดอาหารจนตายก็ตาม 7. ห้ามอย่างเคร่งครัดในมหาวิทยาลัยโลก 8. รัสเซียยืนยันว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมทำให้สัตว์สูญพันธุ์มาสามชั่วอายุคน 🔴 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปลอม (มีพิษ) เหล่านี้: 🔴 1.มะเขือเทศเนื้อแดงมียีนพิษแมงป่อง! 🔴 2. ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอย่างแท้จริง! 🔴 3. มันเทศสีม่วงยังเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกด้วย! ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกา "ข้าวโพดหวาน" ที่เรากินกันอย่างมีความสุขมานานกลายมาเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมา คนธรรมดาๆ หลายคนไม่มีความรู้เรื่องนี้ และยังชอบซื้อข้าวโพดหวานมารับประทานอีกด้วย คนหนุ่มสาว คนที่ยังไม่แต่งงาน และคนที่ยังไม่คลอดบุตร ไม่ควรกิน! แน่นอนว่าหลังจากทราบข่าวนี้แล้วทุกคนเพื่อตนเองและครอบครัว อย่าลืม: อย่ากินอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกต่อไป 🔴โปรดจำไว้ว่า: ผลไม้นอกฤดูกาลทุกชนิดไม่สามารถรับประทานได้! ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหน กรุณาส่งต่อให้เพื่อนของคุณ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  6 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อ่านหน่อยนะ เตรียมตัวไว้นะ คนเยอะแยะบอกเราว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดไวรัสโคโรน่า แต่ไม่ยักมีใครสักคนบอกว่า ถ้าเกิดติดไวรัสแล้ว จะต้องทำอย่างไร ขอบคุณนะ คุณพยาบาลในจักรภพอังกฤษที่รวบรวมคำแนะนำนี้ให้เรา นี่เป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลบางประการ จากพยาบาลทั่วไปในอังกฤษ นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเจอคำแนะนำว่า แรกที่สุดต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกพ้นจากการติดไวรัส: • ล้างมือให้สะอาดหมดจด รักษาอนามัยร่างกาย อยู่ห่างๆ​ ผู้คน แต่ที่ดิฉันไม่เคยเห็นเลย คือ คำแนะนำว่า ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมาจริงๆ​ จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งนี่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้นะ ดังนั้น ในฐานะเป็นพยาบาลเพื่อนใกล้บ้าน ดิฉันขอให้คำแนะนำบางประการ: ถ้าคุณ เกิดติดเชื้อ โควิด-19 ขึ้นมา คุณต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คล้ายๆกับว่า คุณรู้แล้วว่าคุณโดนไอ้เจ้าเชื้อทางเดินลมหายใจเล่นงานเข้าแล้ว เช่น เป็นมีภาวะหลอดลมอักเสบ หรือ ภาวะปอดบวม คุณต้องนึกไว้นะว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับตัวคุณ คุณต้องเริ่มทำสิ่งต่อไปนี้เดี๋ยวนี้เลย : ให้แสงแดดชะโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้) แสงแดดจะเพิ่มระดับไวตามิน D ให้คุณมากมาย นี่จะไปเสริมความสามารถของภูมิคุ้มกันของตัวคุณ ถ้ามีกำลังทรัพย์ ให้กินอาหารเสริมดีๆ ร่วมกับไวตามิน C 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รวมทั้ง สังกะสี ซิลิเนียม และ สารกลูทาไธโอน น้ำมันตับปลายี่ห้อ Scott’s Emulsion ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีทีเดียว (น้ำมันตับปลาค้อด) สิ่งที่คุณจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเข้าไว้ก่อน คือ: *กระดาษ Kleenex* *ยาพาราเซตามอล Paracetamol* *ยาแก้ไอ ตามที่ชอบ (ให้ดูฉลากยาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ยาแก้ไอจะไม่มียาพาราเซตามอลไปเพิ่มอีก) *ยาอมผสมสังกะสี *สะเปรย์พ่นคอ เช่น Andolex หรือ TCP *น้ำผึ้งกับมะนาวก็ได้นะ ดีทีเดียวละ​ ! ยาหม่อง Vicks* vaporub ก็ดีนะ คนใช้กันเยอะ *เครื่องลดความชื้น ก็ควรจะซื้อมาใช้ในห้องที่คุณจะนอนทั้งคืน (คุณอาจจะใช้วิธีอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว และนั่งในห้องน้ำ หายใจเอาไอน้ำเข้าตัวก็ได้นะ) ถ้าคุณเคยเป็นหอบหืด และหมอเคยจ่ายยาพ่นให้ ต้องแน่ใจนะว่า มันยังไม่หมดอายุ ให้หายาพ่นมาสำรองไว้นะ *อาหารการกิน* นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การทำอาหารดีๆกิน ให้ทำซุบไว้เยอะๆเลย ใส่ตู้เย็นเอาไว้ พร้อมทุกเมื่อ *น้ำ น้ำ น้ำ* ตุนไว้เลยนะ ของเหลวใสๆที่คุณชอบนั่นแหละ เอาไว้ดื่มกิน น้ำประปาก็น่าจะดีนะ บางครั้งบางคราวคุณอาจนะต้องใช้ *การจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อมีไข้สูงกว่า 38°c ให้กินยา Paracetamol จะดีกว่ายา Ibuprofen. *พักผ่อนเยอะๆ * คุณไม่ควรออกจากบ้านนะ​ ! ถึงแม้ว่าคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็อาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่กับตัวไปตั้ง 14 วัน ดังนั้น คนแก่กับคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว อย่าไปใกล้เขานะ *ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย* เพื่อป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อไปให้คนอื่นในบ้านของคุณเอง *กักตัว* ในห้องนอน ถ้าคุณไม่ได้อยู่แต่ลำพัง ให้บอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้ วางสิ่งที่จะส่งให้คุณไว้ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดต่อ *ทำความสะอาด* ซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าบ่อยๆ และล้างห้องน้ำด้วยน้ำยาทำความสะอาดด้วย *คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เว้นไว้แต่ว่า คุณกำลังหายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมาก(มากกว่า 39°C) แล้ว ใช้หยูกยาต่างๆ​ ไม่ได้ผล กับผู้ใหญ่ ที่มีสุขภาพดีแล้ว 90% สามารถดูแลได้ที่บ้าน โดยการพักผ่อน ดื่มน้ำ กินยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา ถ้าคุณกังวล หรือไม่สบายใจ​ รู้สึกว่า ตัวเองอาการจะหนักขึ้น *ความเสี่ยงที่มีอยู่แล้ว* ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพปอด (เช่น​ หายใจติดขัด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด) หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ต้องคุยกับหมอแล้วละว่า คุณควรจะทำอย่างไร หากคุณเกิดไม่สบายขึ้นมา *สำหรับเด็กๆ* พ่อแม่ออกจะโล่งใจว่า โคโรนาไวรัส ญาติดีกับเด็กมาก มันมักจะเป็นไม่กี่วันก็หาย (แต่มันก็ยังเป็นเชื้อโรคติดต่อนะ) จึงต้องคำนึงถึงสภาพเด็กๆ​ ด้วย . *ให้มีสติและตระเตรียมตามควรแก่เหตุ* แล้วทุกอย่างจะไม่เสียหาย จะบอกคุณเอาไว้ว่า ค่า pH ของโคโรนาไวรัสทั้งหลาย มีได้ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.5. สิ่งที่เราต้องทำ ในการจัดการกับไวรัสโคโรนา คือ เราต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่า pH สูงกว่าของไวรัส ดังที่บอกไว้ข้างบนนี้ อาหารเหล่านั้น เช่น *มะนาวฝรั่ง - 9.9pH* *มะนาว - 8.2pH* *อะโวคาโด - 15.6pH* *กระเทียม - 13.2pH* *มะม่วง - 8.7pH* *ส้มเขียวหวาน - 8.5pH* *สับปะรด - 12.7pH* *ดอกเก็กฮวย(?) - 22.7pH* *ส้ม - 9.2pH* คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดไวรัสโคโรนาเข้าให้แล้ว? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. ไอแห้งๆ 4. มีไข้ตัวร้อน 5. หายใจถี่ หอบ 6. ไม่ได้กลิ่น และไม่รู้รส 7. นิ้วเท้า มีสีเขียวคล้ำ หรือดำ ดังนั้น เมื่อใดมีอาการอย่างนี้ให้กินน้ำอุ่น ร่วมกับน้ำมะนาวเข้าไปเลย อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ กรุณาส่งต่อๆไปให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยนะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    WHO ประกาศเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ จริงหรือ
    มีข่าวใหญ่ว่าเชื้อโควิดมีการกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่พบทางตอนใต้แอฟริกา มีชื่อว่า โอไมครอน เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลและมีการประกาศห้ามเดินทางระหว่างประเทศในอีกหลายประเทศ
    Sofia Idea
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขน เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือไม่
    ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาหรือฉีดใต้วงแขน เพื่อช่วยลดความเปียกชื้นหรือป้องกันกลิ่นตัวที่เกิดจากการทำงานของต่อมเหงื่อใต้วงแขน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ผลิตภัณฑ์นี้จะช่วยเข้าไปยับยั้งเหงื่อที่หลั่งจาก Eccrine sweat glands (ต่อมเหงื่อที่ทำหน้าที่หลั่งเหงื่อ เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย) เมื่อระงับเหงื่อได้กลิ่นกายก็จะลดลง (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://shorturl.asia/93IHs ) มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่เกิดเนื่องจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนมทำให้เกิดเป็นก้อนเนื้องอก โดยหากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งจะโตขึ้นและกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ก่อนที่จะกระจายไปอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก จนเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/breast-cancer/ ) จากการสัมภาษณ์ เภสัชกร ณภัทร นวลสกุลกฤป เภสัชกรปฏิบัติการประจำร้านขายยาเภสัชกรอิ่ม ได้ให้ข้อมูลว่า “การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขนเป็นประจำ อาจเสี่ยงที่จะได้รับสารที่มีชื่อว่า อลูมิเนียมคลอไฮเดรต ซึ่งมีการศึกษาที่ระบุว่าสารชนิดนี้สามารถเปลี่ยนเป็น เอสโตรเจน คือฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านมได้ แต่สารนี้มีการใช้กันมาอย่างยาวนานในทางการแพทย์ จุดประสงค์หลักที่ใช้คือเพื่อทำให้ต่อมเหงื่อมีขนาดเล็กลง จะช่วยลดปริมาณเหงื่อ ช่วยลดการอับชื้น และลดโอกาสเกิดกลิ่นกายได้ ซึ่งสารชนิดนี้เมื่อโดนกับเหงื่อจะกลายเป็นของแข็ง และมีโอกาสน้อยมากที่ร่างกายจะดูดซึมเข้าไป ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่าสารตัวนี้มีความสัมพันธุ์กับมะเร็งเต้านมอย่างไร ดังนั้นจึงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขนได้ตามปกติ แต่ควรเลือกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขนที่เป็นที่นิยมในตลาดและมีความน่าเชื่อถือ” ทั้งนี้ เภสัชกร ณภัทร นวลสกุลกฤป ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วยว่า “สิ่งที่สัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม สาเหตุหลักเกิดจากคุณพ่อ คุณแม่ หรือคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั้นเอง และอีกสาเหตุที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งเต้านมคือกิจวัตรประจำวันบางอย่าง เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง การมีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือแม้กระทั่งการกินยาคุมต่อเนื่องนานเกิน 5ปี และไม่มีการเว้นพัก ซึ่งถ้าเกิดว่ามีความกังวลในเรื่องของมะเร็งเต้านม ก็ควรที่จะตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ” (ข้อมูลเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567) ดังนั้น การใช้ผลิตระงับกลิ่นกายใต้วงแขนไม่ได้ทำให้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขนที่เป็นที่รู้จัก และมีความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัย ทั้งนี้หากมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านม ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำทุกปี
    Amy Onanong
     •  18 วันที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    (มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว)(มะนาว) ที่บ้าน ท่านปลูก มะนาวหรือยัง ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีเเพทย์ศิริราช.ได้แนะวิธีทำน้ำด่างทานง่ายๆ (น้ำมะนาวแช่ใส่น้ำเย็น/โซดา ) ตัดชิ้นบางๆของมะนาว🍋ใส่ในแก้ว(มะนาว)หรือโถ แล้วดื่มมันจะกลายเป็นน้ำที่มีความเป็นด่างสูงมาก เชื้อโรคในร่างกายไม่สามารถเติบโตในสภาพที่มีความเป็นด่าง ดังนั้น การทานน้ำด่างทุกวัน จึงช่วยทำลายเชื้อโรค ดื่มน้ำด่างจะทำให้มีสุขภาพดีขึ้นมาก สถาบันทางวิทยาศาตร์อนามัย ระบุว่า นี่คือยาที่มีผลต่อมะเร็งดีเยี่ยมล่าสุดของโลก มะนาว(มะนาว)(มะนาว)เป็นผลไม้ที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็น 1หมื่นเท่ามากกว่า-เคโมเทอราฟี .. ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่า ปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้นไม่ยอมพูดเรื่องนี้เพราะมันจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้ ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่า (มะนาว)น้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯ คนมากมายอาจตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์ นับล้านๆ ของบริษัทยาใหญ่ๆ ทราบไหมว่า (มะนาวแป้น มะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่น กินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆ ก็ตาม แต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง แต่ถ้าดื่มน้ำ(มะนาว)มะนาวผสมกับโซดาจะทำให้น้ำมะนาว ดูดซึมเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่น่าสนใจ คือ มันขจัด ซีสต์ได้ (ก้อนเนื้อร้าย) .. ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้วว่า สามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่า (มะนาว)มันมีผลประโยชน์ในการกำจัดมะเร็งหลายชนิด (มะนาว)ป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย เชื้อราได้ (มะนาว)สามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน (มะนาว)ทำให้เกร็ดลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป เข้าสู่ภาวะปกติ (มะนาว)ทำให้คลายเครียด (มะนาว)ต่อต้านโรคประสาท (มะนาว)ป้องกันโรคฟุ้งซ่าน ข่าวสารเรื่องนี้มาจากบริษัทผลิตยาขนาดใหญ่มากกว่า 20 บริษัทในโลกได้ทำการทดลองเรื่องนี้ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า (มะนาว)มะนาวสามารถทำลาย มะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรงได้ถึง 12 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - มะเร็งลำไส้เล็ก - มะเร็งเต้านม - มะเร็งต่อมลูกหมาก - มะเร็งปอด - มะเร็งตับอ่อน (มะนาว)ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโมทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหยุดอยู่กับที่(คงที่) นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากในการรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง โดยไม่มีผลข้างเคียง มาดื่มน้ำมะนาวกันเถอะ ส่งให้คนที่รักนะ แต่ถึงเกลียดก็ส่งเถอะได้บุญใหญ่หลวงนะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กัญชารักษา39โรคนี้ได้จริงไหมครับ
    💝39โรค หายได้ด้วยกัญชา ประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์💝 🍀💐เอาสิ พี่กัญออกฤทธิ์. ปราบเรียบ 39 โรค มีอะไรบ้างไปดูกันเล้ย😊🤟 1 กัญชาสามารถหยุดการแพร่กระจายของมะเร็งไม่ให้ลุกลามและกำจัดเซลมะเร็งได้ โดยไม่ทำร้ายหรือสร้างความเสียหายให้กับเซลปกติ 2 กัญชาสามารถรักษาต้อหิน 3 กัญชาสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้(thcสามารถยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์) 4 กัญชาสามารถช่วยลดอาการอักเสบ 5 กัญชาสามารถควบคุมและรักษาโรคลมชัก 6 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม 7 กัญชาสามารถรักษโรคโครห์น (Crohn’s Disease) ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ได้ 8 กัญชาสามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคพากินสัน 9 กัญชาสามารถลดความวิตกกังวล 10 กัญชาสามารถช่วยในการยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งและปรับปรุงสุขภาพปอดได้ 11 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากเคมีบำบัด 12 กัญชาสามารถปรับปรุงอาการของโรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี (โรคพุ่มพวง) 13 กัญชาสามารถช่วยปกป้องสมองจากความเสียหายของโรคหลอดเลือดสมอง 14 กัญชาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อกระตุก 15 กัญชาสามารถรักษาโรคลำไส้อักเสบ 16 กัญชาสามารถช่วยขจัดฝันร้าย 17 กัญชาสามารถปกป้องสมองจากการถูกกระทบกระแทกและการบาดเจ็บ 18 กัญชาสามารถช่วยให้เจริญอาหาร 19 กัญชาสามารถช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม 20 กัญชาสามารถแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง 21 กัญชาสามารถช่วยแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี 22 กัญชาสามารแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน 23 กัญชาสามารถแก้ปวดหัวไมเกรน 24 กัญชาช่วยรักษาการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง 25 กัญชาสามารถช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติดชนิดรุนแรงเช่นเฮโรอีน 26 กัญชาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูงได้ (รักษาเบาหวาน) 27 กัญชาสามารถช่วยรักษาแผลสด แผลหายยากจากเบาหวาน ให้แห้งและหายได้ 28 กัญชาช่วยทำให้มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสมีสมาธิและจิตใจสงบ 29 กัญชาสามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อHIVหรือเอดส์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น 30 กัญชาสามารถช่วยป้องกันโรคตับแข็ง 31 กัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 32 กัญชาสามารถช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายไวขึ้น และยังทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย 33 กัญชาสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบปเส้นประสาททั้งร่างกายและระบบเชื่อมต่อในสมอง 34 กัญชาสามารถรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆได้ 35 กัญชาสามารช่วยรักษาอาการโรคปลอกประสาทอักเสบหรือโรคเอ็มเอส (MS) 36 กัญชาช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์อัมพาตได้ 37 กัญชาสามารถแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่นได้ 38 กัญชาสามารถรักษาแผลในเซลล์ลำไส้ที่เกิดจาการอักเสบของโรค crohn's disease ได้ (จาการทดสอบในตาจึงอาจนำไปสู่การใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังจะสูญเสียตาได้อีกด้วย) 39 กัญชาสามารถช่วยต่อสู้กับโรคลูคีเมียได้ กัญชาสามารถยับยั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดได้ นี่เป็นเพียงบางส่วนเล็กๆเท่านั้นที่กัญชาสามารถทำได้ และโปรดจำไว้ว่า กัญชาเป็นมากกว่ายา..แต่ในฐานะยา.. "กัญชาคือยาที่ปลอดภัยที่สุดในโลก" ..เท่าที่มนุษย์จะหาได้..ในเวลานี้ (กัญชาใช้เป็นยาได้ทั้งมนุษย์และสัตว์) และกัญชายังมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก.. 🤔
    Klamongkhon Klinhom
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ฉีดวัคซีนโควิด -19 แค่ครั้งเดียวพอ หรือไม่
    มีวัคซีนหลายชนิด ที่ฉีดเพียงครั้งเดียวก็เกิดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เช่น วัคซีนป้องกันงูสวัด สำหรับไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน (11 Mar 2021) ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวนั้นเพียงพอหรือไม่ เพราะด้วยความที่วัคซีน โควิด-19 เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นใหม่ มีการฉีดและใช้กับผู้คนยังไม่เกิน 1 ปี ต้องมีการติดตามต่อไปว่าในระยะยาวแล้ว ภายใน 1 ปี ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ ระดับของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นลดลงไปในระยะเวลานานเท่าไหร่ ทั้งนี้ มีแนวโน้มสูงมากว่า การฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากไวรัส โควิด-19 เป็นไวรัสที่อยู่ในตระกูลโคโรน่า ซึ่งมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นไปได้ว่า วัคซีนที่ผลิตในวันนี้อาจจะไม่ครอบคลุมการระบาดซึ่งเกิดจากตัวไวรัสที่กลายพันธุ์ไปแล้ว จึงต้องมีการติดตามต่อไปเป็นระยะ ดังนั้น มาตรการทางสาธารณสุขก็ยังมีความจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการรักษาระยะห่างทางสังคม
    อุ้ม มั้ง
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ท่านที่คิดจะฉีดวัคซีน mRNA โปรดสละเวลาฟังคลิปนี้หน่อย หมอคนนี้รักษาคนไข้ในอเมริกา บอกว่าเริ่มพบคนไข้มีปัญหาโรคภูมิแพ้ตนเอง (Auto-immune Disease), มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) เพิ่มขึ้น 20 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนการฉีดวัคซีน และยังกล่าวอีกว่า โรคโควิด19 สามารถรักษาให้หายได้หากคนไข้ได้รับยา Ivermectin ในระยะเริ่มต้น นั่นหมายถึงไม่ปล่อยให้ โรคล่วงเลยไปสู่เฟสที่ 2 คือการลงไปทำลายปอด ซึ่งการอักเสบที่ปอดนี้เองเป็นสาเหตุให้เนื้อปอดที่สามารถแลกเปลี่ยนอ๊อกซิเจนให้เม็ดเลือดลดลง ทำให้อวัยวะเริ่มล้มเหลวเริ่มจากไตวาย และตามด้วยตับวาย คนไข้จึงมีอัตราการเสียชีวิตได้รวดเร็ว อันเนื่องมาจากการอักเสบและการเกิดลิ่มเลือดที่ปอด คนไข้ในเฟสที่ 2 นี้จะไม่พบการแบ่งตัวของไวรัสแล้ว แต่สามารถพบเศษทรากไวรัสและเศษหนามไวรัส (Spike Proteins) ได้เป็นจำนวนมาก จากการศึกษาทาง Microbiology พบว่าแค่เพียงหนามไวรัส หรือ Spike Protein ก็ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในเสันเลือดได้ดังนั้น Spike Protein จึงเป็นอาวุธสำคัญของโคโรนาไวรัสนี้ แต่เขากลับนำอาวุธของ SARs-CoV2 มาทำวัคซีน นั่นเท่ากับฉีดอาวุธของไวรัสให้คนโดยตรง ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อย่อมเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่อย่าบอกว่า เราไม่เตือนท่าน หากท่านจำเป็นต้องฉีดวัคซีน ขอให้เป็นวัคซีนเชื้อตายปลอดภัยที่สุด รองลงไปคือ ไวรัสเวคเตอร์และที่อันตรายที่สุด คือ mRNA. ด้วยความปรารถนาดีจาก ทพญ.อุบลรัตน์ วรรณวิสูตร DDS, MPH, MS, Diplomate American Board of Periodontology https://youtu.be/tUE5EBPt-lU
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false