1 คนสงสัย
ต้องกักตุนยาปฏิชีวนะ รับมือโรคปอดอักเสบจากแบคทีเรีย
ไม่ระบุชื่อ
 •  1 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น

สุขภาพ

Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

โรคปอดอักเสบที่พบการระบาดในจีน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง หลายรายสามารถรักษาให้หายขาดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ส่วนการอ้างว่าเกิดกระ

ที่มา

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (ชันสูตรพลิกศพ) ศพผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าโควิด-19 ไม่มีอยู่จริงในรูปของไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด
    สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (ชันสูตรพลิกศพ) ศพผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าโควิด-19 ไม่มีอยู่จริงในรูปของไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด พบโรคโควิด-19 ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดในมนุษย์ และทำให้เลือดแข็งตัวในเส้นเลือด ทำให้คนหายใจลำบาก เพราะสมอง หัวใจ และปอดไม่สามารถรับออกซิเจนได้ ทำให้คนเสียชีวิต อย่างรวดเร็ว. เพื่อหาสาเหตุของการขาดแคลนพลังงานระบบทางเดินหายใจ แพทย์ในสิงคโปร์ไม่ฟังระเบียบการของ WHO และทำการชันสูตรพลิกศพสำหรับ COVID-19 หลังจากที่แพทย์เปิดแขน ขา และส่วนอื่นๆ ของร่างกายและตรวจดูอย่างระมัดระวัง พวกเขาสังเกตเห็นว่าหลอดเลือดขยายตัวและเต็มไปด้วยลิ่มเลือด ซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและลดการไหลของออกซิเจน ในร่างกายทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับงานวิจัยนี้ กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้เปลี่ยนโปรโตคอลการรักษาสำหรับ Covid-19 ทันทีและให้แอสไพรินแก่ผู้ป่วยที่เป็นบวก ฉันเริ่มทาน 100 มก. และอิมโรแมค ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัวและสุขภาพก็เริ่มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์อพยพผู้ป่วยมากกว่า 14,000 คนในหนึ่งวันและส่งพวกเขากลับบ้าน หลังจากช่วงระยะเวลาของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แพทย์ในสิงคโปร์อธิบายวิธีการรักษาโดยกล่าวว่าโรคนี้เป็นกลอุบายทั่วโลก "ไม่ใช่แค่การแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด (ลิ่มเลือด) และวิธีการรักษา ยาเม็ดยาปฏิชีวนะ ต้านการอักเสบและ ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (แอสไพริน). แสดงว่าสามารถรักษาโรคได้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวสิงคโปร์คนอื่น ๆ ระบุว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและห้องไอซียู (ICU) โปรโตคอลสำหรับเอฟเฟกต์นี้ได้รับการเผยแพร่แล้วในสิงคโปร์ จีนรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ไม่เคยเปิดเผยรายงานของตน แบ่งปันข้อมูลนี้กับครอบครัว เพื่อนบ้าน คนรู้จัก เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน เพื่อที่พวกเขาจะได้กำจัดความกลัวของ Covid-19 และตระหนักว่านี่ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีเท่านั้น เฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากเท่านั้นที่ควรระวัง รังสีนี้ยังทำให้เกิดการอักเสบและขาดออกซิเจน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อควรรับประทาน Asprin-100mg และ Apronik หรือ Paracetamol 650mg ที่มา: กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    #หยุดใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อไวรัส 100% ของโรคหวัด (น้ำมูก ไอ เจ็บคอ) เกิดจากไวรัส 100% ของไข้หวัดใหญ่ (ไข้ ปวดตัว ปวดหัว ไอ) เกิดจากไวรัส 100% ของโควิด (ไข้ ไอ เจ็บคอ) เกิดจากไวรัส 90-98% ของไซนัสอักเสบ (ไข้ แน่นจมูก น้ำมูกเหลือง/เขียว) เกิดจากไวรัส 95% ของหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (ไอมาก เสมหะเหลือง/เขียว) เกิดจากไวรัส เพียง 7% ของคอหอยอักเสบในเด็ก (ไข้ เจ็บคอ ไม่ไอ) เกิดจากแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ในโรคติดเชื้อไวรัส เพราะ *ไม่ออกฤทธิ์ต่อไวรัส *ไม่บรรเทาอาการ *ไม่ทำให้โรคหายเร็วขึ้น *ไม่ป้องกันโรคแทรกซ้อน /กินไปไม่ได้ประโยชน์ /แถมได้รับอันตรายจากผลข้างเคียง /ก่อเชื้อดื้อยาสะสมไว้ในร่างกาย /และเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ถาม เมื่อไหร่จะเลิกสั่งยาปฏิชีวนะให้คนเป็นไข้หวัดเสียทีทั้งที่รู้ว่าเกิดจากไวรัส (ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม อดีตนายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย) ตอบ เริ่มวันนี้เลย ด้วยการร่วมด้วยช่วยกัน +ประชาชน งดใช้ งดขอ งดซื้อ +ร้านขายยา งดขาย +แพทย์/ทันตแพทย์/พยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน งดจ่ายยาปฏิชีวนะในโรคติดเชื้อไวรัส #หยุดใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อไวรัส สยส. สร้างเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 19 พย. 2565 ร่วมรณรงค์ในวาระ สัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาปฏิชีวนะ เอกสารอ้างอิง common cold https://www.cdc.gov/antibiotic-use/colds.html acute rhinosinusitis https://academic.oup.com/cid/article/54/8/e72/367144 acute bronchitis https://www.msdmanuals.com/professional/pulmonary-disorders/acute-bronchitis/acute-bronchitis acute pharyngitis https://journal.seameotropmednetwork.org/index.php/jtropmed/article/view/337
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่ ? บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน
    ในปัจจุบัน จากผลสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนไทย จำนวน 40,164 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 - 27 พฤษภาคม 2567 พบว่า เยาวชนยังมีความเชื่อว่า บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนถึง 50.2% และยังมีความเชื่อว่า นิโคตินเป็นสารที่ทำให้ร่างกายตื่นตัวส่งผลดีต่อสุขภาพ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ผิดและยังขาดความรู้ ความตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ระบบทางเดินหายใจ สมอง และ หัวใจ ( แหล่งข้อมูล https://hed.go.th/ ) จากการสัมภาษณ์ เภสัชกร ณภัทร นวลสกุลกฤป เภสัชกร ประจำร้านเภสัชกรอิ่ม จังหวัดมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลว่า อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า และ บุหรี่มวน มีความอันตรายไม่ต่างกัน ในหลาย ๆ แง่มุม บุหรี่ไฟฟ้าก็มีความอันตรายมากกว่า และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีภาวะโรคใหม่ที่เกิดขึ้นคือ ภาวะโรคปอดอักเสบจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และจากการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า และ ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า พบว่าในผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีสาร Vitamin E Acetate อยู่ในปอดจำนวนมาก แต่ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีสารชนิดนี้เลย ทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่าสารชนิดนี้มีส่วนที่สร้างความเสียหายแก่ปอด และถูกยืนยันจากบทความของ การวิจัยทางเคมีในพิษวิทยา จาก ACS Publications เว็บไซต์ฐานข้อมูลบทความ และ งานวิจัยต่าง ๆ ทางด้านเคมีและสาขาที่เกี่ยวข้อง ( แหล่งข้อมูล https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acs.chemrestox.1c00309 ) เภสัชกร ณภัทร นวลสกุลกฤป ยังกล่าวอีกว่า นิโคตินไม่ใช่สารก่อมะเร็ง แต่ว่าเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดีมากขึ้น สารนิโคตินจึงเป็นสารที่สร้างความเสียหาย และ เพิ่มความเสี่ยงต่อระบบต่างๆ เช่น เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวกับสมอง เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และ เสี่ยงต่อโรคไขมันต่าง ๆ ที่เป็นโรคเรื้อรัง ดังนั้น บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้อันตรายน้อยกว่า บุหรี่มวน ผู้เชี่ยวชาญเลยแนะนำไม่ให้สูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และ บุหรี่มวน
    64011215088
     •  1 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    รัสเซียพบว่าโควิด-19 เป็นแบคทีเรียที่สัมผัสกับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด
    รัสเซียกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (ชันสูตรพลิกศพ) สำหรับศพโควิด -19 หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า Covid-19 ไม่มีอยู่ในรูปของไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่สัมผัสกับรังสีและทำให้มนุษย์เสียชีวิตจากการแข็งตัวของเลือด พบว่าโรค Covid-19 ทำให้เลือดแข็งตัวซึ่งทำให้เลือดแข็งตัวในมนุษย์และทำให้เลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำทำให้หายใจได้ยากเนื่องจากสมองหัวใจและปอดไม่สามารถรับออกซิเจนได้ทำให้คนเสียชีวิต อย่างรวดเร็ว. เพื่อหาสาเหตุของการขาดแคลนพลังงานทางเดินหายใจแพทย์ในรัสเซียไม่ได้ฟังโปรโตคอลของ WHO และทำการชันสูตรพลิกศพ COVID-19 หลังจากแพทย์เปิดแขนขาและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและตรวจดูอย่างละเอียดพวกเขาสังเกตเห็นว่าเส้นเลือดขยายตัวและเต็มไปด้วยลิ่มเลือดซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและยังทำให้การไหลเวียนของออกซิเจนลดลง ในร่างกายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วย หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับงานวิจัยนี้กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาโควิด -19 ทันทีและให้ยาแอสไพรินแก่ผู้ป่วยที่เป็นโรค ฉันเริ่มทาน 100 มก. และ Imromac เป็นผลให้ผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัวและสุขภาพของพวกเขาเริ่มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียอพยพผู้ป่วยมากกว่า 14,000 คนในวันเดียวและส่งพวกเขากลับบ้าน หลังจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มาระยะหนึ่งแพทย์ในรัสเซียได้อธิบายวิธีการรักษาโดยกล่าวว่าโรคนี้เป็นกลลวงของโลกว่า“ ไม่มีอะไรนอกจากการแข็งตัวของหลอดเลือด (ลิ่มเลือด) และวิธีการรักษา ยาปฏิชีวนะ ต้านการอักเสบและ ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (แอสไพริน) สิ่งนี้บ่งชี้ว่าสามารถรักษาโรคได้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียคนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) มีการเผยแพร่โปรโตคอลสำหรับผลกระทบนี้แล้วในรัสเซีย จีนรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ไม่เคยเปิดเผยรายงาน แบ่งปันข้อมูลนี้กับครอบครัวเพื่อนบ้านคนรู้จักเพื่อนและเพื่อนร่วมงานเพื่อที่พวกเขาจะได้กำจัดความกลัวโควิด -19 และตระหนักว่านี่ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ได้รับรังสีเท่านั้น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากเท่านั้นที่ควรระวัง รังสีนี้ยังทำให้เกิดการอักเสบและขาดออกซิเจน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อควรรับประทานยา Asprin-100mg และ Apronik หรือ Paracetamol 650mg ที่มา: กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซีย
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อุทาหรณ์เตือนใจ
    อุทาหรณ์เตือนใจ หมออุดมศิลป์ อายุ 83 วิ่งออกกำลังกายทุกวัน แข็งแรงมากกว่าคนวัยเดียวกัน ติดโควิดจากแม่บ้าน ไม่ไป รพ จนลงปอด ข่วยไม่ทันแล้ว อย่าลืมสวมหน้ากากเนื่องจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ COVID-Omicron BA 4.5 นั้นแตกต่าง อันตรายถึงชีวิต และตรวจไม่พบอย่างถูกต้อง:- อาการของไวรัส COVID-Omicron BA 4.5 มีดังนี้:- 1. ไม่มีไอ 2.ไม่มีไข้ จะมีอาการมากใน :- 3. ปวดข้อ 4. ปวดหัว 5. ปวดคอ 6. ปวดหลังส่วนบน 7. โรคปอดบวม 8. โดยทั่วไปจะไม่มีความอยากอาหาร แน่นอนว่า COVID-Omicron BA 4.5 นั้นรุนแรงกว่าตัวแปรเดลต้าถึง 5 เท่า และมีอัตราการตายสูงกว่าเดลต้า ต้องใช้เวลาไม่นานกว่าอาการจะรุนแรงถึงขั้นรุนแรง และบางครั้งก็ไม่มีอาการชัดเจน ให้ระวังมากขึ้น! ไวรัสสายพันธุ์นี้ไม่มีอยู่ในบริเวณโพรงจมูก และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปอด "หน้าต่าง" ในระยะเวลาอันสั้น ผู้ป่วยหลายรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Covid Omicron BA 4.5 ถูกจำแนกเป็นไม่มีไข้และไม่เจ็บปวด แต่รังสีเอกซ์เรย์พบว่ามีปอดบวมที่หน้าอกเล็กน้อย การตรวจด้วยไม้กวาดทางจมูกโดยทั่วไปแล้วเป็นผลลบต่อเชื้อ COVID-Omicron BA 4.5 และกรณีการตรวจทางจมูกที่มีผลลบแบบเท็จก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถแพร่กระจายในชุมชนและติดเชื้อในปอดโดยตรง นำไปสู่โรคปอดอักเสบจากไวรัส ซึ่งจะทำให้เกิดความเครียดทางเดินหายใจเฉียบพลัน สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไม Covid-Omicron BA 4.5 จึงรุนแรง เป็นพิษสูง และเป็นอันตรายถึงชีวิต โปรดทราบ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด รักษาระยะห่าง 1.5 เมตร แม้ในที่โล่ง สวมหน้ากาก 2 ชั้น หน้ากากที่เหมาะสม และล้างมือบ่อยๆ เมื่อทุกคนไม่มีอาการ (ไอหรือจาม) Covid Omicron BA 4.5 นี้ *"WAVE"* ร้ายกาจกว่าระลอกแรกของ Covid-19 ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังให้มากและใช้ *มาตรการป้องกัน corona virus ขั้นสูงที่หลากหลาย* รักษาการสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวของคุณอย่างระมัดระวัง อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้คนเดียว แบ่งปันให้มากที่สุดกับญาติและเพื่อน โดยเฉพาะของคุณ
    Mrs.Doubt
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 3 คนสงสัย
    BREAKING NEWS ข่าวใหญ่ระดับโลก อิตาลีดำเนินการชันสูตรศพของผู้ป่วยโคโรนาที่เสียชีวิตการเปิดเผยครั้งใหญ่เกิดขึ้น อิตาลีกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการชันสูตรพลิกศพ (การชันสูตรศพ) เกี่ยวกับศพของ Covid-19 และหลังจากการวิจัยอย่างละเอียดพบว่า Covid-19 ไม่มีอยู่ในรูปของไวรัส แต่มีขนาดใหญ่มาก เป็นการหลอกลวงระดับโลก ผู้คนเสียชีวิตจาก "Amplified Global 5G Electromagnetic Radiation (Poison)" แพทย์ในอิตาลีได้ละเมิดกฎหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการชันสูตรพลิกศพ (การชันสูตรพลิกศพ) บนศพของผู้ที่เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาเพื่อค้นหาหลังจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เสียชีวิตซึ่งทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดเช่นลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำและเส้นประสาทที่เกิดจากแบคทีเรียเหล่านี้และเป็นผู้ป่วยที่ทำให้เสียชีวิต อิตาลีเอาชนะไวรัสได้โดยระบุว่า "ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วคือการแข็งตัวของหลอดเลือดในหลอดเลือดตีบ (การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน) และวิธีจัดการกับมันคือการรักษาให้หายขาด" ยาปฏิชีวนะ ต้านการอักเสบและ การทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (แอสไพริน) จะรักษาได้ และแสดงให้เห็นว่าการรักษาโรคเป็นไปได้ข่าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับโลกนี้จัดทำโดยแพทย์ชาวอิตาลีพร้อมกับการชันสูตรศพ (หลังการชันสูตร) ​​จากไวรัสโควิด -19 ตามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีอีกหลายคนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) โปรโตคอลสำหรับสิ่งนี้ได้รับการเผยแพร่ในอิตาลีแล้ว CHINA รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โปรดแบ่งปันข้อมูลนี้กับครอบครัวเพื่อนบ้านคนรู้จักเพื่อนเพื่อนร่วมงานเพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากความกลัวของ Covid-19 และเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรียที่สัมผัสกับรังสี 5G เท่านั้น สาเหตุคืออันตรายต่อผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก รังสีนี้ยังทำให้เกิดการอักเสบและขาดออกซิเจน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อควรรับประทาน Asprin-100mg และ Apronix หรือ Paracetamol 650mg ทำไม… ??? क. เนื่องจากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าโควิด -19 ทำให้เกิดลิ่มเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดลิ่มเลือดในคนและทำให้เลือดอุดตันในหลอดเลือดดำและเนื่องจากสมองหัวใจและปอดไม่สามารถรับออกซิเจนได้เนื่องจากคนป่วยยากและคนเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพราะ หายใจลำบาก แพทย์ในอิตาลีไม่ปฏิบัติตามระเบียบการของ WHO และทำการชันสูตรศพที่เสียชีวิตด้วยโควิด -19 แพทย์เปิดแขนขาและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและหลังจากตรวจและตรวจร่างกายอย่างถูกต้องก็พบว่าหลอดเลือดขยายตัวและเส้นเลือดเต็มไปด้วยลิ่มเลือดอุดตันซึ่งมักจะหยุดเลือดไม่ให้ไหล และยังช่วยลดการไหลเวียนของออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ เมื่อเรียนรู้งานวิจัยนี้กระทรวงสาธารณสุขของอิตาลีได้เปลี่ยนโปรโตคอลการรักษา Covid-19 ทันทีและให้ยาแอสไพรินแก่ผู้ป่วยที่เป็นบวก 100mg และเริ่มให้ Empromax เป็นผลให้ผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัวและสุขภาพเริ่มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุขของอิตาลีได้กำจัดผู้ป่วยมากกว่า 14,000 คนในวันเดียวและส่งพวกเขากลับบ้าน ที่มา: กระทรวงสาธารณสุขของอิตาลี
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false