1002 ข้อความ
- 1 คนสงสัยสธ.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กลุ่มมิจฉาชีพ "แชร์ลิงก์เว็บไซต์ปลอม" อ้างให้เงินช่วยโควิด ลวงเหยื่อกรอกข้อมูลโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ ทำเว็บไซต์ปลอมส่งลิงก์ต่อกันทางไลน์ อ้างกระทรวงสาธารณสุขมีกิจกรรมให้เงินช่วยเหลือโควิด 19 ลวงเหยื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ย้ำกระทรวงมีภารกิจดูแลรักษาป้องกันควบคุมโรค ไม่มีภารกิจเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือเยียวยา วันนี้ (10 กันยายน 2565) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพทำเว็บไซต์ปลอมมีโลโก้กระทรวงสาธารณสุข และส่งลิงก์เว็บไซต์ให้ประชาชนทางไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยหลอกว่ากระทรวงสาธารณสุขมีกิจกรรมให้เงินช่วยเหลือช่วงโควิด 19 เพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูลสำคัญส่วนตัว ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้มักใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัยในการเข้าใช้ระบบต่างๆ หรือทำธุรกรรมออนไลน์ เมื่อมิจฉาชีพได้ไปอาจถูกนำไปใช้ในเรื่องที่ผิดกฎหมาย ทำให้เราตกเป็นเหยื่อหรือผู้ประสบภัยทางออนไลน์ได้ จึงขอเตือนภัยว่าอย่าหลงเชื่อให้ข้อมูลส่วนตัวอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขคือการดูแลป้องกันรักษาควบคุมโรค ไม่ได้มีภารกิจเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือประชาชน และไม่ได้มีโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้เงินช่วยเหลือโควิด 19 หรือโรคระบาดแต่อย่างใด นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อหลอกลวงข้อมูลจากเหยื่อ และมักแอบอ้างหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง หากไม่แน่ใจแนะนำให้สอบถามกับหน่วยงานโดยตรง โดยเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข คือ www.moph.go.th สามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลภายในเว็บไซต์ทางการได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการคดีกลุ่มมิจฉาชีพตามกฏหมายอย่างถึงที่สุดผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd48333• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ "โรคมะเร็ง" ต้องตรวจสอบก่อนแชร์สธ.ร่วมกับภาคีเครือข่าย 20 หน่วยงาน เดินหน้ารณรงค์ “วันมะเร็งโลก” ภายใต้แนวคิด ปี 2566 “Uniting our voices and taking action ชวนให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก หากวินิจฉัยเร็ว รักษาไว เพิ่มโอกาสรอดชีวิต มีโอกาสหายขาดได้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาโรคมะเร็งมาโดยตลอด โดยได้ผลักดันการดูแลรักษาโรคมะเร็งเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนำสู่การปฏิบัติ เพิ่มขึ้นหลายประการ ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจอุจจาระ หากพบความผิดปกติก็สามารถตรวจคัดกรองต่อด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจหายีนผิดปกติ ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และ การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก นอกจากนี้ยังสนับสนุนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากวิธี PAP smear เป็นการคัดกรองด้วยวิธีการตรวจ HPV test ทำให้ความไวและความแม่นยำในการคัดกรองโรคสูงขึ้น และเมื่อคัดกรองพบว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถลัดขั้นตอนการส่งต่อในระบบปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ตามนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” (Cancer Anywhere) ซึ่งการวินิจฉัยเร็วและรักษาเร็ว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยใช้สิทธิ์มะเร็งรักษาได้ทุกที่แล้วกว่า 325,000 คน หรือ กว่า 2,900,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วย PET scan ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ สารสกัดกัญชาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา และการสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพง เช่น เครื่องฉายแสงให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยรอคอยการรักษาจำนวนมาก ทั่วประเทศ ทั้งนี้สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมะเร็งโลก” โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว นอกจากการดำเนินงานของภาครัฐแล้ว สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ด้านนายแพทย์ธงชัย เพิ่มเติมว่า การที่ประชาชนใช้โซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้พบว่า มีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อข้อมูลเท็จดังกล่าวเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น ที่ผ่านมา แม้จะมีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เพื่อตรวจสอบและให้ข้อมูลข้อเท็จจริง แต่การแชร์ข้อมูลเท็จด้านนี้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคมและประชาชนในการสร้างความตระหนักและหยุดยั้งการแชร์ข้อมูลเท็จต่าง ๆ ภายในงานยังมีกิจกรรมเสวนา หัวข้อ “ANTI FAKECANCERNEWS:หยุดแชร์ข่าวปลอม = ลงมือทำ” โดยนายแพทย์สกานต์ เปิดเผยว่า เฟคนิวส์หรือข่าวปลอมนั้นกระทบคนหลายกลุ่ม ผู้ที่ยังไม่ป่วยก็จะกลัวโรคมะเร็ง จึงเสาะหาว่าสิ่งไหนป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่การรับข่าวสารต้องระวัง เพราะบางข้อมูลจะมีความจริงบางส่วน เช่น ข่าวปลอมที่ว่า น้ำด่างและน้ำผลไม้ปั่น ป้องกันโรคมะเร็งได้ จริง ๆ แล้ว การดื่มน้ำผักและผลไม้หลากสีจะมีวิตามิน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ต้องพิจารณาว่า ป้องกันได้ในระดับไหน สิ่งที่น่ากลัว คือ กินน้ำเหล่านี้แล้วไม่ปรับพฤติกรรม ยังกินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ระวังมลภาวะ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งจะรู้สึกเคว้ง เชื่อเรื่องการรักษาด้วยวิธีง่าย ๆ เพราะคิดว่า การรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายแสง ใช้ยาเคมีบำบัดหรือการทำคีโม การผ่าตัด เป็นสิ่งที่ทรมาน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเยอะ แผลผ่าตัดเล็กลง การใช้ยาและการฉายแสง ไม่ส่งผลต่อร่างกายมากเท่าเดิม ซึ่งคนที่เชื่อข่าวปลอมก็จะทิ้งการรักษามาตรฐาน แทนที่จะเข้าสู่การรักษา แล้วกลับมาตอนที่เป็นในระยะที่ 3-4 ซึ่งยากต่อการรักษา อีกทั้งผลิตภัณฑ์บางอย่างยิ่งซ้ำเติมอาการให้รุนแรงอีกด้วย "สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เปิดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง มากว่า 2 ปีแล้ว พบข่าวปลอม 600 กว่าเรื่อง หากมีข้อสงสัยในข้อมูลที่ได้รับมา สามารถเสิร์ชหาในเว็บไซต์ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง หรือ Anti Fake Cancer News (AFCN) และยังสามารถอ่านข้อมูลจากข่าวปลอมได้ที่เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand โดยได้ทำข้อมูลความรอบรู้สู้มะเร็ง เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งที่ถูกต้องควบคู่กันไปด้วย สำหรับตัวอย่างข่าวปลอม เช่น ข่าวปลอมว่า ใช้โรลออนอย่างต่อเนื่องทำให้เป็นมะเร็งเต้านม เพราะน้ำยาระงับเหงื่อมีสารประกอบโลหะ เมื่อใช้นาน ๆ จะสะสมในร่างกาย เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง รวมถึงข่าวปลอมที่ว่า การทำ Ice Bathing สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ก็ไม่จริง แม้ว่าจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีใช้ความเย็น แต่เครื่องมือดังกล่าวต้องมีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมคือต้องติดลบหลายองศา และใช้ความเย็นจัดเฉพาะที่ตัวก้อนมะเร็งด้วยเครื่องมือพิเศษโดยแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง การลงแช่ในน้ำแข็งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงขอย้ำให้ตั้งสติก่อนแชร์ ส่วนฝั่งที่รับข่าวสารต้องหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนจะเชื่อ" นายแพทย์สกานต์ ย้ำ ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เสริมว่า ข่าวปลอมมีทั้งที่เป็นข้อมูลที่ผิด (misinformation) การบิดเบือนข้อมูล (disinformation) หรือมีข้อเท็จจริงบางส่วน กองทุนฯ เคยทำการวิจัยพบว่า ข้อมูลสุขภาพ 1200 ข่าว 900 ชิ้นเป็นข่าวปลอม เรื่องเกี่ยวกับโรคมะเร็งก็มีเยอะมาก ดังนั้น ต้องตั้งหลักแล้วคิด แล้วจะเลือกได้อย่างถูกทาง หากนึกถึงการแพร่ระบาดของโรคระบาด ข้อมูลเฟคนิวส์ก็รุนแรงพอ ๆ กัน จึงเรียกว่า Infodemic (ภาวะข้อมูลระบาด) ผู้รับสารต้องตั้งสติ อย่าใช้ความเคยชิน เมื่อเป็นโรคแล้วต้องสลัดความกลัว ตั้งหลัก ให้กำลังใจตัวเอง รับมือกับข้อมูลข่าวสารได้ ก็จะรับมือกับโรคได้ ขณะที่ น.ส.ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง อดีตผู้ป่วยมะเร็ง เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ เรื่องจริงกะเบลล์ เล่าถึงประสบการณ์การเป็นมะเร็งว่า ตอนที่เป็นมะเร็งก็สับสนข้อมูลความรู้ จะเจอกับหมอกูเกิลก่อนจะเป็นหมอจริง จึงเริ่มแชร์ประสบการณ์จริงว่า สิ่งไหนกินแล้วดีต่อร่างกาย มีผลอย่างไร หรือมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร นอกจากนี้ ยังได้รวมเครือข่ายจากหลายชมรมที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง เช่น ชมรมมะเร็งเต้านม และชมรมมะเร็งลำไส้ มารวมเป็นพลังถ่ายทอดประสบการณ์ตรง เช่น ตอนที่ให้ยาคีโม แล้วลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับได้ แต่บางกรณีก็ใช้ได้กับอีกคน ซึ่งต้องพิจารณาในแต่ละเรื่อง เพราะโรคมะเร็งไม่เหมือนโรคอื่น มันจะมีเวลาโกลเดนท์ไทม์ 2-3 เดือน จะสุขภาพดีเพื่อรับยาและการรักษาที่ถูกต้อง ถูกที่ถูกเวลา โอกาสหายขาดจะสูง ทั้งนี้ อย่าให้ความกลัวทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในชีวิต ลองสำรวจตัวเองก่อนว่า สิ่งที่คิดเป็นความจริงหรือความกลัว อยากให้ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน แม้จะตัดสินใจพลาดก็เริ่มใหม่ได้ ส่วน น.ส.สุชาตา ช่วงศรี รองอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 เสริมถึงประสบการณ์ตรงเรื่องโรคมะเร็งว่า ตอนนั้นปวดตรงหน้าอก รู้สึกว่าด้านข้างโตผิดปกติ ตอนแรกยังตัดสินใจไม่ตรวจ คิดว่า ลองลดความอ้วน คุมไขมัน แต่ยิ่งโตก็พบว่า ก้อนใหญ่ขึ้น ปวดมากโดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน จึงเข้ารับการตรวจวินิจฉัยพบก้อนเนื้อทั้ง 2 ข้าง แพทย์จึงให้คำแนะนำและเข้าสู่กระบวนการรักษา ขอย้ำว่า หากตรวจรักษาเร็วก็จะหายได้เร็ว สำหรับกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” ครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จำนวน 20 แห่ง อาทิ กรมการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค, มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ, สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, โรงพยาบาลในเขต จ.ปทุมธานี และภาคเอกชน อาทิ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์, บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งภาคประชาสังคม คือ มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง จัดกิจกรรม 2 ส่วน ประกอบด้วย การให้บริการประชาชน ได้แก่ ชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง (HPV Self Sampling) และส่วนนิทรรศการความรู้ อาทิ นิทรรศการ “ANTI FAKE CANCER NEWS : หยุดแชร์ข่าวปลอม = ลงมือทำ, สาธิตการตรวจเต้านมด้วยตนเอง, การเย็บหมวกและเต้านมเทียมเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง, ให้คำปรึกษาการตรวจสุขภาพ, HPV Vaccine, นิทรรศการสาธิตเมนูอาหาร และนิทรรศการ Thai Cancer Society เป็นต้นสุขภาพมะเร็งstd48333• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสปสช.แจ้งเตือนมิจฉาชีพแอบอ้างส่ง SMS ให้อัปเดทข้อมูลบัตรทอง มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ ย้ำอย่าหลงเชื่อ ระวังโดนแฮกข้อมูลหรือถูกหลอกให้โอนเงิน ยันบัตรทองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับคนไทยทุกคน ไม่มีการตัดสิทธิแน่นอน หากสงสัยอะไรให้โทรสอบถามที่สายด่วน 1330 ก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2566 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในระยะนี้พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพได้แอบอ้างชื่อ สปสช. ส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชน โดยอ้างว่า สปสช.มีนโยบายให้อัปเดทข้อมูลบัตรบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองให้เป็นข้อมูลปัจจุบัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิทันที พร้อมแนบลิงก์สำหรับให้คลิกเข้าไปอัปเดทข้อมูล ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. ไม่มีนโยบายโทรหรือส่ง SMS สอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด SMS เหล่านี้ไม่ได้ส่งจาก สปสช. แต่เป็นการแอบอ้างชื่อเพื่อหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่กลุ่มมิจฉาชีพ ดังนั้น โปรดอย่าได้หลงเชื่อคลิกลิงก์ที่แนบมาด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกแฮกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน หรืออาจถูกหลอกล่อด้วยวิธีการต่างๆ จนผู้เสียหายหลงโอนเงินไปให้ดังที่มักปรากฎเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งในระยะนี้ ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สิทธิบัตรทองนั้น เป็นสิทธิที่ติดตัวตั้งแต่เกิดจนตายสำหรับคนไทยทุกคน ไม่มีการตัดสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่การเปลี่ยนไปใช้สิทธิอื่น เช่น หากเข้ารับราชการก็จะเปลี่ยนมาใช้สิทธิสวัสดิการของราชการ หรือหากเข้าทำงานในบริษัทเอกชน ก็จะเปลี่ยนสิทธิมาใช้ระบบประกันสังคม และหากมีการเปลี่ยนสถานะ เช่น ลาออกจากราชการหรือลาออกจากบริษัท ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นสิทธิบัตรทองโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม คนไทยทุกคนจะต้องมีสิทธิการรักษาพยาบาลอย่างน้อย 1 สิทธิเสมอ ไม่มีการตัดสิทธิ/ยกเลิกสิทธิ จนกลายเป็นคนที่ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลใดๆ เลยแน่นอน “ระบบบัตรทองเป็น Social safety net หมายความว่า ถ้าคุณใช้สิทธิอะไรในการรักษาพยาบาลแล้วหลุดจากสิทธินั้น ก็จะมีระบบบัตรทองรองรับเสมอ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่มีการหมดสิทธิหรือยกเลิกสิทธิแน่นอน” ทพ.อรรถพร กล่าว ทพ.อรรถพร กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงให้แนบเนียนมากขึ้นเรื่อยๆ มีการแอบอ้างชื่อหน่วยงานราชการเพื่อความน่าเชื่อถือ รวมทั้ง สปสช. ก็เป็นอีกหน่วยงานที่ระยะนี้ถูกแอบอ้างชื่อบ่อยครั้งมากขึ้น ทั้งการโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ สปสช. หรือการส่ง SMS อ้างชื่อ สปสช. รวมทั้งในอนาคตอาจมีการแอบอ้างในช่องทางอื่นๆอีก ดังนั้น หากประชาชนมีข้อสงสัยใดๆ ขอให้โทรตรวจสอบมาที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือสอบถามทางไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso ก่อน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อจนสูญเสียเงินผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd48333• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมก็ฆ่าคนไข้ ข้อมูลผิดๆ ทำคนตายเพราะ COVID-19 นับร้อยข่าวปลอมทำให้คนรับสารได้รับข้อมูลผิดๆ ไป ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เราทราบกันดี แต่หลังจากนั้นล่ะ? คำถามนี้อาจจะยากสักหน่อยเพราะต้องมีการติดตามผลของการรับข่าวสารผิดๆ ซึ่งต้องใช้การลงแรงทำวิจัยพอสมควร แต่เป็นเรื่องดีที่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งทุ่มเทศึกษาผลกระทบของข่าวปลอมต่อตัวบุคคลกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลของการรับข่าวปลอมในช่วงเวลาที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีข่าวปลอมระบาดมากที่สุดช่วงเวลาหนึ่งปั๊ป’ ชาย• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรคstd48323• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมอย่าแชร์! ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิงกรณีที่มีการแชร์ข้อความว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีดาษลิงแต่อย่างใด โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้ จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อstd48943• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม ..ผักกระสังรักษามะเร็งเต้านมเมื่อเร็วๆ นี้มีผู้ส่งข้อมูลให้ cofact.org ตรวจสอบ ว่าผักกระสังดีจริงหรือไม่ โดยโคแฟคชี้แจงข้อมูลว่าผักกระสังเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยามายาวนาน หมอยาพื้นบ้านมักจะใช้ผักกระสังตำพอกฝี หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝีที่มีหนอง สาวๆ สมัยโบราณใช้น้ำต้มผักกระสังล้างหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส และยังนำมาสระผมทำให้ผมนุ่ม ป้องกันผมร่วง จากการศึกษาสมัยใหม่พบว่า ผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น แต่ผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท Mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน นั่นเป็นสรรพคุณที่พอเชื่อถือได้จากหลักฐานทางวิชาการ ซึ่งทางโคแฟคเองไม่ยืนยันว่าผักกระสังรักษามะเร็งเต้านมได้std48943• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยแก้โรคความดันโลหิตสูง แค่กำมือ – แบมือโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) พบได้จากการวัดความดันโลหิต ได้ในระดับที่สูงกว่าปกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ควรควบคุมความดันโลหิตให้น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอทstd48457• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ ว่า ไม่ควรสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ทางสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า โรคหลอดเลือดสมอง มี 2 ประเภท คือ สมองขาดเลือด และภาวะเลือดออกในเนื้อสมอง ซึ่งโดยภาพรวมพบภาวะสมองขาดเลือดมากกว่าเลือดออกในสมอง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทั้งสองภาวะนี้ คือโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่std46771• 2 ปีที่แล้ว
- 24 คนสงสัยอย่าเชื่อ! รักษา "มะเร็งระยะสุดท้าย" ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่ายกรณีที่มีผู้โพสต์แนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย (Artemisia lactiflora) เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารเบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และแอสคอบิกแอซิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้องทดลอง และปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทั้งนี้การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์มะเร็งยาสมุนไพรstd46699• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยสมุนไพรรักษามะเร็ง14 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายพิภพ ไขแจ้ง อายุ 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวัดโบสถ์ หมู่ 5 ต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ได้ออกมาเปิดเผยถึงสรรพคุณของ "ต้นผ่าด้าม" ที่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี ถึงขั้น "ไวอากร้า" ยังต้องเรียกพี่ หากกินเข้าไป 2 ชั่วโมง จะเห็นแม่บ้านสวยทุกวินาที คนเตะปี๊บไม่ดังมาแรมปีให้กินสามลูก รับรองเห็นผลพลังเยี่ยงม้าศึก จนกลายเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วนั้น 14 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายพิภพ ไขแจ้ง อายุ 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวัดโบสถ์ หมู่ 5 ต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ได้ออกมาเปิดเผยถึงสรรพคุณของ "ต้นผ่าด้าม" ที่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี ถึงขั้น "ไวอากร้า" ยังต้องเรียกพี่ หากกินเข้าไป 2 ชั่วโมง จะเห็นแม่บ้านสวยทุกวินาที คนเตะปี๊บไม่ดังมาแรมปีให้กินสามลูก รับรองเห็นผลพลังเยี่ยงม้าศึก จนกลายเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วนั้น ล่าสุด นายพิภพ ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า ยังมีพืชสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่สรรพคุณน่าทึ่งยิ่งกว่า เพราะสามารถรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้หายได้ เพียงแค่เด็ดกิ่งก้านใบมาต้มดื่มเหมือนน้ำชา โดยกินติดต่อกันไม่กี่เดือนก็จะเห็นผลทันที พืชที่ว่านั้นก็คือ "ต้นอังกาบหนู" เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1 - 1.5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง มีหนามยาวรอบข้อ ออกดอกสีเหลืองตามซอกใบ และปลูกง่ายมาก เมื่อหลายปีที่แล้วผมป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 เพราะสูบบุหรี่จัด และยาปัจจุบันก็ไม่มีรักษา เลยลองหันมาพึ่งพาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน โดย พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ แนะนำให้เอายอดใบต้นอังกาบหนูที่มีปลูกอยู่ในวัดไปต้มดื่มกินเช้า กลางวัน เย็น ปรากฏว่าแค่เดือนเดียว อาการหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ก็หายทันที พอถึง 3 เดือน ไปเอกซเรย์ปอดที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าจุดดำเริ่มจางลง และหายไปในที่สุด" นายพิภพ ระบุ นายพิภพ กล่าวอีกว่า นอกจากตัวเองกินหายแล้ว ยังมีเพื่อนชื่อแดง ชาว อ.ศรีสำโรง อีกคน ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย เขาให้กลับมาตายที่บ้าน จึงแนะนำให้ลองกินต้นอังกาบหนู ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน อาการท้องแข็งโตเหมือนคนใกล้คลอดก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด พอกินมาได้ 6 เดือน ท้องที่เคยโตก็ยุบและหายเป็นปกติ ผ่านมา 3 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ และขับรถไถนาทำงานได้เหมือนเดิม อังกาบหนูจะใช้ต้มดื่มเพื่อขับสารพิษตกค้างในร่างกายก็ได้ หรือจะกินใบอ่อนสดๆ เป็นเครื่องเคียงแกล้มลาบก็ดี มีรสออกขมนิดๆ และผมก็กินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นสิบปีแล้ว ทั้งลูกผ่าด้ามและอังกาบหนู ยืนยันรักษาโรคได้จริง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแน่นอน" นายพิภพ กล่าว ด้าน พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ (เมืองโบราณบางขลัง) เปิดเผยว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว พี่ชายได้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอ มีแผลเน่า พูดไม่ได้ ญาติทุกคนคิดว่าตายแน่ แต่ก็มีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ หลังจากให้กินน้ำต้มใบอังกาบหนู ทางสายยางผ่านจมูก เช้า-เย็น เพียงแค่ 3 วัน แผลที่เป็นหนองก็แห้งตกสะเก็ด พอวันที่ 15 ช่องที่เป็นโพรงก็หายสนิท กระทั่ง 6 เดือนผ่านไป ร่างกายของพี่ชายอาตมาก็หายป่วยเป็นปกติ และยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอายุ 52 ปีแล้ว ครั้งแรกที่รู้จักยาตัวนี้ เพราะว่ามีชาวบ้านที่ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกระยะที่ 3 ได้ฝันเห็นพญานาคสีทองขดอยู่ในมณฑปโบราณเมืองบางขลัง ตรงกลางลำตัวมีใบไม้เท่าฝ่ามือ และมีฤษีเดินออกมาจากผนังมณฑป บอกว่าให้เอายาตัวนี้ไปกินแล้วจะหายโรค เขาจึงมาถามว่าในมณฑปมียาสมุนไพรอะไรมั๊ย อาตมาจึงว่าไม่มี แต่มีตรงทิศใต้ของมณฑป คือ ต้นอังกาบหนู ลองไปดูว่ามันคล้ายในฝันมั๊ย แล้วเขาก็เด็ดใบไปต้มกิน ปรากฏว่ากินไปได้ 2 เดือน ก็หายโรค และมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ พอหลายคนทราบข่าวก็เลยลองกินตาม นับทั้งหมดได้ 13 คน ที่หายป่วยจากโรคมะเร็งเพราะกินน้ำต้มใบอังกาบหนู" พระครูพิพัฒน์สุตากร กล่าว อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีระบุว่า ใบและรากของต้นอังกาบหนูมีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ลดไข้ แก้หวัด ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้หูอักเสบ แก้อาการท้องผูก อาหารไม่ย่อย แก้พิษงู รักษาโรคคัน กลากเกลื้อน แก้ฝี อัมพาต โรคปวดตามข้อ และปวดหลัง ฯลฯ แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ารักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ นอกจากผู้ป่วยที่มีประสบการณ์โดยตรงเท่านั้น จึงอยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบและเร่งทำการวิจัยต่อไปstd47663• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย⏰ถ้าไม่อ่าน..คุณจะเสียใจ💥 ■ รองเท้าเด็กน้อยถูกคลื่นทะเลซัดหายไป..เด็กน้อยเขียนที่ริมหาด ว่า.⭐." ทะเลคือขโมย " (black small square)อีกชายฝั่งของทะเลชาวประมงหาปลาได้เป็นจำนวนมาก..ชาวประมงเขียนที่หาดทรายว่า... " ⭐ทะเลคือผู้ให้ " ◾ชายหนุ่มคนหนึ่งจมทะเลตาย..แม่ของเขาเขียนที่ชายหาดว่า.. " ⭐ทะเลคือฆาตกร " . ◾ชายชราเดินหลังค่อม ก้มหน้าเดินถือไม้เท้า พบไข่มุกอันล้ำค่า จึงเขียนว่า ⭐." ทะเลคือผู้เมตตา " . ทันใดนั้น " คลื่น " ได้ซัดยังชายฝั่งและลบการเขียนทั้งหมด ! พร้อมกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า.. ▪️."อย่าไปสนใจคำตัดสินของผู้อื่น หากเจ้าคิดจะเป็นทะเล " ▪️.อย่าไปวิตกกับสิ่งที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ หรือความผิดหวัง ความสุข หรือความทุกข์ เพราะหากชีวิตมนุษย์จะเรียบง่าย คงไม่เริ่มต้นด้วยการร้องไห้เมื่อแรกเกิด ▪️คนเรา " เกิดมา " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของตัวเอง แต่ ▪️ " ตายไป " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของผู้อื่น ช่วงเวลาระหว่างนั้น เรียกว่า " ชีวิตคน " ▪️แมวชอบกินปลา แต่แมวลงน้ำไม่ได้ ▪️ปลาชอบกินไส้เดือน แต่ขึ้นฝั่งมากินไส้เดือนไม่ได้ ▪️ ชีวิตคนเรา " มีได้ - มีเสีย " มีทั้ง "ได้เลือก" และต้อง "ล้มเลิก" ▪️.ในชีวิตคนเราไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งใจนึกได้หมด .▪️จงอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับใครเพราะมันไม่คุ้ม ▪️จงอย่าจริงจังกับ ตัวเองเกินไปเพราะจะทำร้ายตัวเอง ▪️จงอย่าไปจมอยู่แต่อดีต เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมา.. ▪️จงอย่าจริงจังกับปัจจุบันมากไปเพราะชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป.. ▪️ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของๆ เรานอกจากสุขภาพกายที่แข็งแรง (⭐อันมาจากสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เปี่ยมกำลังใจ) ▪️อย่าได้อวดเรื่องเงินเรื่องทอง ตายไปก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ ▪️.อย่าได้อวดเรื่องหน้าที่การงาน ลาออกไปแล้วจะมีคนมาแทนที่คุณและอาจทำได้ดีกว่าคุณ ▪️อย่าอวดเรื่องบ้านเรื่องรถ ตายไปแล้วก็เป็นของทายาท..คุณหมดเวลา ▪️คุณอวดเรื่อง"สุขภาพแข็งแรง"จะดีกว่า คนอื่นตายไปแล้วคุณยังนอนเล่นริมทะเลนั่งจิบชามองดูลูกหลาน..อย่างมีความสุขและเข้าใจในชีวิต. ⭐ "10 ปี 7 ครั้ง" ค่อยๆตั้งใจอ่าน เปิดใจรับแล้วจะพบแต่ความสุขที่ได้เกิดมาบน โลกใบนี้..... ▪️"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน" ชอบประโยคนี้มากมันจริงอย่างยิ่ง ▪️ถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปี เราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง ▪️1. สิบปีแรก...หมดไปกับความไร้เดียงสา ▪️2. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน ▪️3. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต ▪️4. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว ▪️5. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่หามา ▪️6.สิบปีต่อมา...หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง ▪️7.สิบปีสุดท้าย...หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่งรอคอยการกลับบ้าน ▪️แต่ละสิบปีผ่านไป... ไวเหมือนโกหกอีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไป ▪️มีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมายและก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ ▪️ เวลา คือ หน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น - เราเอาเวลาไปแลกงาน - เราเอางานไปแลกเงิน - แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที ▪️ถ้า 'ธนาคารเวลา'มีจริง เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชีสักเล่มที่จะให้เราดูได้..ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่? ◾เรารู้ว่าเราใช้"สิบปี"ของเราไปกี่ครั้งแล้ว ◾แต่เราไม่อาจรู้ว่า... เราจะใช้"สิบปี"ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย ▪️แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับเราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า ▪️เมื่อเราหันหลังกลับมาขอให้พูดได้เต็มปากว่าเราใช้มันไปอย่างไม่น่าเสียดาย ⭐ ชี วิ ต ค น เ ร า จ ะ มี "สิ บ ปี" สั ก กี่ ค รั้ ง กั น? ⭐ ใช้สิบปี เจ็ดครั้งของเรา ใ ห้ คุ้ ม ค่า สวัสดีกับสิบปีปัจจุบันของท่าน เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหัน มารักตัวเอง... ⭐สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ ⭐- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง ⭐- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ ⭐- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง ⭐- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน ⭐- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน ⭐- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน ⭐- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง ⭐- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน ⭐- หมั่นเตือนตน : ชีวิตนี้สั้นนัก 🔺️# อยากกิน...กิน 🔺️# อยากเที่ยว....เที่ยว 🔺️# เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้ 🔺️# ไม่เครียด ปล่อยวาง 🔺️# สุขสบายทุกเพลา ◾ เวลาที่ยังจับมือไหว ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์ หรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง ◾ เวลาที่ยังกอดไหว ให้โอบกอดให้ชื่นใจ ◾ ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง และเพื่อนที่ดีต่อไป ▪️ ครอบครัวสุขสรรค์ มาก่อนเสมอ !!! ▪️ เวลาที่อยู่ด้วยกัน อย่าได้โกรธกันง่ายๆ ▪️ที่สำคัญ ต้องเป็น "ผู้ให้" ก่อนเสมอ ▪️เต็มใจ - สุขใจ ที่เป็นผู้ "ให้" ▪️รู้จัก "ขอโทษ" และ "สำนึกผิด" ทุกครั้งที่ทำ "ผิด" ▪️ ท้ายสุด "ปล่อยวาง" และ "พอเพียง" ⭐ คิดดี ทำดี พูดดี...มีสุข # ถ้าคุณส่งให้เพื่อนๆแสดงว่าคุณเป็นคนรักและหวังดีกับเพื่อนคุณ #ถ้าไม่ส่งแสดงว่าคุณรักแต่ตัวเองไม่คิดจะเผื่อแผ่ความสุขให้คน รอบข้างและเตือนสติเพื่อนของคุณไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยเผย 6 แนวโน้มข่าวลวงสุขภาพ ปี 2022! ระวังหยด "น้ำมันกัญชา" เอง เสี่ยงอันตรายข่าวลวงยังเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยเฉพาะข่าวลวงด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อร่างกาย รุนแรงได้ถึงชีวิต หากไม่รู้เท่าทัน! เมื่อวันที่ 23 ส.ค. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย จัดเวทีสัมมนาไฮบริด นักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 23 จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สสส. โดยเปิดเผย 6 แนวโน้มข่าวลวงสุขภาพ ปี 2022 Cofact Health Infodemics Trends 2022 โดย ChangeFusion เปิดเผยข่าวลวงที่พบได้ ดังนี้ 1.ข่าวลวงด้านสุขภาพยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นกระแสสังคม เช่น กัญชา วัคซีน 2.พื้นที่ข่าวลวงใน Social Media แบบเปิดสาธารณะมีแนวโน้มดีขึ้นบ้าง แต่มีแนวโน้มขยายและเพิ่มความลึกขึ้นในพื้นที่เทคโนโลยีแบบปิด เช่น กลุ่มเฉพาะที่ไม่เปิดสาธารณะและกลุ่มไลน์ ซึ่งยากต่อการเฝ้าระวังด้วยเครื่องมือ Social Listening 3.ผู้ริเริ่มเผยแพร่ข่าวลวงอาจแบ่งได้เป็นอย่างน้อย 5 กลุ่ม (BBC) แต่ละกลุ่มมีบทบาทแตกต่างไปในข่าวลวงแต่ละลักษณะ แบ่งเป็น Joker, Scammer, Politicians, Conspiracy theorist, Insider 4.ข่าวลวงที่ตอกย้ำอคติหรือความเชื่อ/การเมืองในสังคม มีผลมากทั้งในเชิงความเสี่ยงสุขภาพและความแตกแยกในสังคม เช่น เรื่องฝีดาษลิงกับรักร่วมเพศ วัคซีนกับประเด็นทางศาสนา 5.เนื้อหาของข่าวลวงมีความเป็นสากลมากขึ้น เชื่อมโยงข้ามประเทศมากขึ้น จากหลายเหตุปัจจัย และ 6.การแสวงหาความจริงร่วมมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิทางสังคมร่วมกัน โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความซับซ้อน เช่น เรื่องข้าวหุงสุกแช่ตู้เย็นกับค่าน้ำตาลในเลือด นางญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า หากย้อนกลับไปปี 2563 เป็นช่วงที่โคแฟคและเครือข่ายภาคีก่อร่างสร้างตัว สอดรับกับสถานการณ์อินโฟเดอมิก การทะลักไหลบ่าของข้อมูลที่เป็นข่าวลวง จนผู้บริโภคไม่ทราบว่าข่าวไหนข่าวจริง เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทย จากการสำรวจทั้งจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการสำรวจออนไลน์ของโคแฟค พบว่า สังคมไทยได้รับข่าวลวงมาตลอด ความสำคัญของการรับมือข่าวลือ จึงต้องเร่งพัฒนาคนในสังคมไทยให้เป็นพลเมืองดิจิทัลที่รู้เท่าทันสื่อ รู้จักที่จะรับมือและมีภูมิคุ้มกัน ตรวจสอบข้อมูลข่าวลือ คัดง้าง และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งไม่สื่อสารข้อมูลที่ยังไม่แน่ใจว่า เป็นข้อมูลที่ถูกหรือผิด ซึ่งจะมีเครื่องมือของโคแฟคที่จะมาช่วยตรวจสอบข้อมูล ควบคู่กับภารกิจของโคแฟคที่จะพัฒนา ทำความร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพสื่อ เพื่อยกระดับให้สื่อของประเทศไทยเป็นสื่อที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ สมกับเป็นประตูที่ตั้งรับข้อมูลในสังคม ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา โคแฟคทำความร่วมมือกับชุมชนต่าง ๆ สร้างชุมชนในการตรวจสอบข่าวลวง 7 พื้นที่ทุกภูมิภาค และทำความร่วมมือกับ 40 องค์กร มาร่วมปฏิญญาตรวจสอบ ป้องกันข่าวลวงในสังคมไทย และไปสู่ความร่วมมือในระดับนานาชาติ ขณะที่ นายสันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของข่าวปลอมนั้นมีคนเชื่อลดน้อยลง สิ่งสำคัญคือ การทำให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องข่าวปลอม สิ่งที่จะทำให้ข่าวปลอมหายไปหรือลดลงก็ต่อเมื่อได้รับความรู้ที่ถูกต้อง การแพร่กระจายจะสั้นลง แต่ปัจจุบันไม่ใช่แค่ข่าวปลอมที่ต้องกังวล ยังมีเรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การซื้อขายออนไลน์ ที่ต้องระวังเช่นกัน ภกญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันข่าวปลอมที่พบมักจะครึ่งหนึ่งเป็นข่าวปลอม อีกครึ่งหนึ่งเป็นข้อเท็จจริง ในเรื่องสมุนไพรมีความซับซ้อนมากกว่ายาแผนปัจจุบัน ตัวสมุนไพรใช้น้อยเป็นอาหาร ใช้มากขึ้นก็เป็นยา บางครั้งการนำงานวิจัยไปจับทั้งหมดแล้วมาบอกว่าได้ไม่ได้ ก็ต้องมีการสื่อสารข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียด หากบอกว่าไม่ได้ เหมือนการผลักผู้ป่วยออกไปอยู่กับโฆษณาชวนเชื่อทันที เพราะผู้ป่วยอาจไปกินสิ่งที่โฆษณาแทน ซึ่งในบริบทของคนไทยนั้นไม่ค่อยเชื่อข้อมูล แต่เลือกเชื่อจากคนที่ให้ข้อมูลซึ่งตนเองเชื่อถือ ด้านนายเชลศ ธำรงฐิติกุล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ตำบลหนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี เสริมว่า ผู้สูงวัยคือกลุ่มเป้าหมายที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ โดยหลอกว่า ลูกหลานทำความผิดต้องเสียค่าปิดคดี หรือการส่งข้อมูลหลอกลวงผ่านไลน์ เช่น มะนาวโซดารักษามะเร็ง ซึ่งคนที่ส่งข้อมูลมักจะมีตำแหน่ง มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือการส่งข้อมูลมาทางเฟซบุ๊กและไลน์ ผู้สูงวัยบางคนก็จะนำมาเล่าต่อ ส่วนใหญ่มักจะถูกหลอกเรื่องเงิน เรื่องกฎหมาย ถ้าเด็กจะถูกหลอกเรื่องการลงทุน "ผู้สูงวัยที่มีปัญหานอนไม่หลับ ก็จะเชื่อข่าวลวงเรื่องของกัญชาว่า ให้ใช้น้ำมันกัญชาหยดใต้ลิ้น แล้วจะนอนหลับดี ก็ไปหาจากลูกหลาน นำมาหยดเอง หยดไป 3 หยด จนต้องส่งโรงพยาบาล เพราะใช้เกินขนาด ขาดความรู้ สูตรที่บอกมาก็ไม่แน่นอน ร่างกายของแต่ละคนไม่เท่ากัน หรือความเชื่อเรื่องน้ำใส่เกลือแช่เท้ารักษาเบาหวาน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อกันมา ข่าวต่าง ๆ สังคมชนบทจะนำมาพูดคุยกัน ก็จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาความจริง ต้องสร้างเครื่องมือตรวจสอบข่าวลวงด้วยกัน ถ้าไม่รู้ก็ให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน ลูกหลานช่วยกันค้นหาความจริง" นายเชลศ กล่าว นายสุชัย เจริญมุขยนันท Ubonconnect และเครือข่ายอีสานโคแฟค ยกตัวอย่างคุณแม่ทีมงานที่นำน้ำมันกัญชามาหยด จนต้องเข้าโรงพยาบาล กล่าวเสริมว่า คุณแม่ทีมงานนั้นไม่ได้เล่นไลน์ แต่เพื่อนแบ่งปันน้ำมันกัญชามาหยด จนต้องไปโรงพยาบาลเช่นกัน สิ่งสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลข่าวสาร อย่างคุณแม่คนนี้เชื่อว่า ข้อมูลที่ผ่านไลน์มา รัฐต้องกลั่นกรองแล้ว ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือ ความจริงไม่ได้มีหนึ่งเดียว มีความเห็นหลายด้าน หรือเรื่องข้าวหุงสุกแช่ตู้เย็นกับค่าน้ำตาลในเลือด จึงต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรให้สังคมไทยเป็นสังคมละเอียดช้า รับข้อมูลอย่างละเอียด ไม่ฟันธงเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้น สังคมควรเป็นปัญญารวมหมู่ไม่ผูกขาดทางปัญญา กระจายอำนาจทางปัญญาไปสู่คนอื่น ๆยาสมุนไพรstd48013• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยพายุโคนี จะส่งผลกระทบต่ออีสานไหมพายุโคนี ใหญ่กว่าลูกก่อน จะ ส่งผลกระทบต่ออีสานไหม หนักหรือเบาKittisak Thum Chinnasang• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดจริงหรือไม่?อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวันจริง จากการสัมภาษณ์ เภสัชกรชาย ณภัทร นวลสกุลกฤป เภสัชกรประจำร้านขายยาในจังหวัดมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลว่า อาหารเช้ายังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากร่างกายของเราไม่ได้รับพลังงานในช่วงเวลานอนหลับ ตั้งแต่มื้อเย็นจนถึงเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ดังนั้นการรับประทานอาหารเช้าจึงช่วยเติมพลังงานให้กับร่างกาย นอกจากนี้ การรับประทานอาหารเช้ายังช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ ทางตรงกันข้าม การขาดอาหารเช้าส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเภสัชกรณภัทรได้กล่าวว่า การอดอาหารเช้าอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายอ่อนเพลีย สมาธิและความจำลดลง รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและภาวะอ้วน เนื่องจากร่างกายเกิดการปรับตัวที่ผิด ส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานผิดปกติ ดังนั้นการไม่ละเลยมื้อเช้าจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาวได้ ทั้งนี้ เภสัชกรณภัทรยังได้แนะนำว่า “การรับประทานอาหารเช้าควรให้ความสำคัญกับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง อาจทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากมื้อเช้าอย่างเต็มที่ ควรเลือกอาหารที่ให้พลังงานอย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว” (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567)สุขภาพภาคอีสานTlamon• 8 เดือนที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรายชื่อ Black List บริษัทประกัน ( รถยนต์ ) สำหรับผู้ที่จะถอยป้ายแดงทั้งหลาย รวมทั้งที่ถอยแล้วมาป้ายไม่แดงแล้ว รายชื่อ Black List บริษัทประกัน ( รถยนต์) ข้อมูลจากบริษัท ทิสโก้ รู้ไว้ก็ดีนะ จากนสพ.ผู้จัดการ บ.ประกันดังกล่าวคือ อันดับที่ 1. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย มี ดร.พาชื่น รอดโพธิ์ทอง และพ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต ถือหุ้นใหญ่ อันดับที่ 2. มิตรแท้ประกันภัย ( ไทยประสิทธิ์เดิม ) อันดับที่ 3. บ.สัมพันธ์ประกันภัย นายศรีศักดิ์ ณ นคร ถือหุ้นใหญ่ บ.ทั้ง 3 ข้างต้น อู่ต่างๆ ส่ายหน้าหนี ไม่รับรถเข้าซ่อมเพราะเบี้ยวค่าซ่อมหลายร้อยล้านบาท โดยลิเบอร์ตี้เป็นสุดยอดแห่งการเบี้ยว ยังมีบ.ประกันภัยที่อยู่ในข่ายจะโดนอู่ต่าง ๆ ขึ้นบัญชีดำอีกคือ อันดับที่ 4. บ.อาคเนย์ประกันภัย เพราะถึงแม้จะไม่ชักดาบแต่จะใช้วิธี 'HairCut ' คือจะต่อรองกับอู่ว่าจะจ่ายให้น้อยกว่าค่าซ่อมที่ค้างไว้ ซึ่งอู่ต่างๆ หลายแห่งก็ต้องยอม เพราะไม่อยากยุ่งยากเรื่องฟ้องร้อง ยังมีอีกประเภท คือ จ่ายค่าซ่อมช้ามาก บางที่เป็นปีถึงจะชำระให้'ได้แก่ อันดับที่ 5. พัชรประกันภัย และอันดับที่ 6. เอราวัณประกันภัย อันดับที่ 7. พาณิชยการประกันภัย บริษัทนี้คนที่เรารู้จักเพิ่งโดนสดๆร้อน รถชนมา 4 เดือนแล้วยังไม่ได้เริ่มแตะเลย เนื่องจากว่าไม่มีเงินจ่าย ให้อู่ซ่อม พูดง่ายๆว่าจะเจ๊งแล้ว ข้อมูลข้างบนนี้คงมีประโยชน์กับท่านที่กำลังมองหา บ.ประกันจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เพราะจ่ายเบี้ยประกันแล้ว ใครๆ ก็อยากได้รับบริการที่ดี ไม่มีตุกติก และก็เพิ่งมีรายล่าสุดก็คือ อันดับ8 บ.สินทรัพย์ประกันภัย อยู่ในอาการง่อนแง่น บริษัทประกันภัยทั้งหมดนี้ คุณควรจะช่วยกันแชร์ให้คนที่น่าสงสารรู้ก่อนที่จะเค้าจะเสียรู้ บริษัทพวกนี้ผู้บริโภคเฝ้าระวัง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยศิริราชพยาบาล แนะนำวิธีทำสมาธิ ที่มีคุณค่ามาก ในระยะเวลาอันสั้นและดีต่อระยะยาว (สมาธิเป็นวิทยาศาสตร์ 100% บางครั้งเรียกว่า"ออกซิเจนบำบัด") ทำให้ร่างกายเปลี่ยนไปมากจริงๆ ถ้าได้กินอาหารสะอาดอีกนิดเกือบไม่ต้องไปหาหมอเลย ทดลองทำดูนะครับ สรุปแล้ว คิดว่า (จิตเป็นนาย "ใจกับกายเป็นบ่าว") 1. หายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกๆ ยาวๆ ให้เลือดกับออกซิ เจนไปเลี้ยงสมอง จะนอน หรือนั่ง ก็ได้ นอนดีที่สุด 2. กลั้นลมหายใจ และไว้เลี้ยงสมอง 3-4 วินาที เพื่อให้เลือดและออกซิเจน ทำปฏิกิริยากัน 3. จากนั้น ปล่อยลมหายใจออกมาทางปาก ช้าๆ ยาวๆ จนสุด ทำอย่างนี้ 20 ครั้งต่อเนื่องกัน 4. จากนั้น การผ่อนคลายจิต หยุดคิดเรื่องในอดีต ในอนาคตโดยอัตโนมัติ จะเกิดอาการ ปีติ ตามมา 5. อาการปิติ เช่น ตัวเบา น้ำตาไหล น้ำมูกไหล ขนลุก เห็นแสงสว่าง และสบายใจเป็นต้น 6. ระหว่างที่มีอาการเหล่านี้ แสดงว่า ร่างกายเรากำลังผลิตสเตมเซลล์ (Stem Cell)เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ซึ่ง ปกติโดยธรรมชาติ จะได้จากการหลับลึกเท่านั้น 7. การหยุดคิด 1 นาที จะได้ผล เท่ากับหลับลึกถึง 1 ชม. (ปฏิบัตินานอีกนิดจะซ่อมแซมได้มากขึ้น) 8. ให้ทำทุกครั้ง ที่คิดได้ หรือ เมื่อมีเวลาจำกัด ให้เอาเวลาเล่นไลน์ เล่นเฟส เล่นอินสตราแกรม มาฝึกหายใจแบบนี้ ทำให้ทำอย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง ผลดีที่ท่านจะได้รับ ก็คือ อารมณ์ท่าน จะดีขึ้น ความจำ จะดีมากขึ้น อัลไซเมอร์ จะถอยห่าง สุขภาพจะดีมากขึ้น ความคิดเชิงบวก จะมีมากขึ้น ถ้าได้"ออกซิเจน"ไปเลี้ยงพอ มะเร็งต่างๆจะถอยออกห่าง (โรค NCDs จะหายไป) ขอให้ท่านมีสุขภาพดีตลอดไปสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมที่กลับมาอีกครั้ง โควิด-19 แพร่ระบาดทางอากาศเมื่อเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มต้นระบาดขึ้นในประเทศไทย มีผู้คนในแวดวงวิชาการจำนวนมากให้ความกังวลว่าเชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปในอากาศได้ แม้กระทั่งในต่างประเทศก็ยังมีงานวิจัยความเสี่ยงในการระบาดบนเครื่องบินซึ่งถือว่าอยู่ในสภาพอากาศที่ปิด ขณะนั้นจึงมีคำศัพท์ 2 คำที่พบได้บ่อย คือ Airborne (แพร่กระจายผ่านอากาศ) กับ Droplet (แพร่ผ่านละอองฝอย) มีผู้ส่งข้อความมายัง cofact.org ตรวจสอบ หลังมีการแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายผ่านอากาศ (Airborne) เป็นความจริงหรือไม่ จากกรณีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า มีนักวิทยาศาสตร์ 239 คน จาก 32 ประเทศ เปิดเผยหลักฐานการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19 ) ผ่านละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน สามารถแพร่ผ่านทางอากาศ (AirBorne) จึงเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับว่าโควิด-19 มีการติดต่อในรูปแบบแอร์บอร์น และปรับคำแนะนำนั้น เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2563 เว็บไซต์ hfocus.org เผยแพร่ข้อมูลจาก นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ข้อมูลจนถึงขณะนี้โรคโควิด -19 ส่วนใหญ่ยังเป็นการแพร่ผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน (Droplet) จากการไอ จาม และในระยะ 1 เมตร ส่วนการแพร่กระจายทางอากาศหรือ แอร์บอร์นนั้น เกิดขึ้นในโรงพยาบาลstd47707• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย(หมอ) อาจารย์หมอได้ออกมาเตือนพวกเราว่า …(หมอ) อาจารย์หมอได้ออกมาเตือนพวกเราว่า … (')ความสัมพันธ์ของความดันโลหิตไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่น มันมีผลต่อสุขภาพของคนเราค่อนข้างมาก เพื่อลดความเสี่ยงและให้เข้าใจเรื่องความดันโลหิตมากยิ่งขึ้น ให้เรามีสุขภาพที่ดี (')วัยหนุ่มสาวที่สุขภาพดี ความดันควรอยู่ที่ 120/80 (')ผู้สูงวัยที่แข็งแรง ความดันควรอยู่ 140/90 (')ตัวล่างเป็นตัวชี้วัดความดันด้านหัวใจ สูงสุดไม่ควรเกิน 95 และไม่ควรต่ำกว่า70 (')ส่วนตัวบนเป็นตัวชี้วัดความดันของสมอง สูงสุดไม่ควรเกิน 160 และไม่ควรต่ำกว่า 110 (')แยกวิเคราะห์ได้ดังนี้ (*)1. ตัวบนสูง ตัวล่างก็สูง แสดงว่าเป็นโรคความดันสูง หากความดันสูงนาน 10 ปี จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ แต่ถ้าความดันสูงนาน 20 ปี ก่อให้เกิดโรคด้านเส้นเลือดสมอง (.)2. ตัวบนสูง ตัวล่างปกติ สะท้อนโรคสันหลังคออักเสบ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเส้นเลือดสันหลังตีบ (*)3. ตัวบนสูง ตัวล่างต่ำ แสดงว่าเป็นโรคสันหลังคอ และหัวใจขาดเลือด (.)4. ตัวบนต่ำ ตัวล่างต่ำ เป็นสาเหตุหลักของความดันต่ำ (*)5. ตัวบนต่ำ ตัวล่างปกติ แสดงว่าหัวใจขาดเลือด (.)6. ตัวบนปกติ ตัวล่างสูง แสดงว่าหัวใจทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอง่าย (*)7. ตัวบนปกติ ตัวล่างต่ำ ปัญหาของหัวใจขาดเลือด จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ง่าย (')นอกจากนี้ยังมีข่าวการวิจัยใหม่ของ USA ประกาศอย่างเป็นทางการ คนอายุ 65 ปีขึ้นไป ค่ามาตรฐานคือ 150/90 คนอายุ 80 ปีขึ้นไป ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 160 หรือ 170 ก็ได้ (')ที่ผ่านมาหลายปี เป็นเพราะผลด้านการค้า ทำให้ใช้เกณฑ์มาตรฐานเก่า ๆ ว่า ไม่ควรเกิน 120 ทำให้คนอายุ 60-70 ปี ต้องรับภาระที่ไม่จำเป็น และกังวลเรื่องความดันโลหิต ต่อจากนี้ต้องเปลี่ยนแนวคิดที่แพทย์เคยสอนมาผิด ๆ (')หวังว่าทุกบ้านจะมีคนที่เข้าใจปัญหาด้านสุขภาพอย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นเรื่องที่คณะแพทย์สะสมการวิจัยมานับร้อยปี มีคุณค่าการศึกษาอย่างยิ่ง (')เพื่อให้สุขภาพที่ดีต่อตัวเองและครอบครัว หลังดูคลิ๊ปนี้แล้ว ช่วยแชร์ต่อให้คนที่รักดูด้วยครับMrs.Doubt• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยศาลนัดตัดสินคดีประวัติศาสตร์ "ตราฮาลาล" 19 ตุลาคม 2565 เนื่องจากหน่วยงานของรัฐ ถูกชักจูงให้ใช้งบประมาณแผ่นดิน ประชาสัมพันธ์ให้สินค้าไทยติดเครื่องหมายฮาลาล โดยอ้างว่าจะทำตลาดในกลุ่มประเทศมุสลิมได้มหาศาล (ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะมีเพียง อ.ย.ของกระทรวงสาธารณสุขไทย ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ก็ยอมรับแล้ว) ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้ ทำให้โรงงานและผู้ประกอบการไทย ยอมจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งตรา "ฮาลาล" นี้ ปัจจุบันสินค้าไทยที่ติดตราฮาลาล มีจำนวนประมาณ 160,000 รายการ (นอกจากอาหารแล้ว ยังรวมสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม และจะรวมกิจการโลจิสติกส์ การโรงแรม และการบริการอื่นๆ) ซึ่งส่วนใหญ่บริโภคโดยคนไทยที่เป็นชาวพุทธ 95% โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมฮาลาล จำนวนเกือบ 3 แสนล้านบาทต่อปี ให้แก่ "คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย" (เงินจำนวนนี้ไม่เข้ากระทรวงการคลัง และไม่มีฐานข้อมูลการเสียภาษีที่กรมสรรพากร) ติดต่อกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว เงินจำนวนมหาศาลนี้ กลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่อิสลามนำมาทำร้ายประเทศไทย และพุทธศาสนา ชาวพุทธได้ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในคดี "ตราฮาลาล" ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 คดีได้คืบหน้าตามลำดับ ล่าสุดมีการซักพยานโจทย์ 18 สิงหาคม 2565 และซักพยานจำเลย 19 สิงหาคม 2565 (แต่ฝ่ายจำเลยไม่มาตามนัด) ศาลจะพิพากษาตัดสินในวันที่ 19 ตุลาคม 2565 จึงขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่าน ร่วมใจกันฟังการตัดสินคดีประวัติศาสตร์นี้ ในวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 เวลา 9.00 น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์ราชการ อาคาร A ชั้น 7 ห้อง 714 โดยพร้อมเพรียงกัน กรุณาแชร์ต่อเสียดสีไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกลูต้าดีเอสไอร่วมกับ อย. และ สบส. บุกค้น 12 จุด เครือข่ายบริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายสินค้าเสริมความงาม ยึดของกลางโบท็อกซ์ สารกลูตาไธโอน สารฉีดลดไขมันเถื่อน จากต่างประเทศมูลค่ากว่า 80 ล้านบาทpeerawitjanpaitoon• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย👺Call center กระบวนยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม ต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำ ที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย วันนี้เห็นข่าวสมาคมธนาคารออกมาโวย รมต ดีอี ที่เตรียมออก พรก ให้ธนาคาร-ค่ายมือถือ ต้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายถ้าปล่อยลูกค้าโดนหลอกโอนเงิน กลุ่มแบงค์ย้ำ ต้องดูทุกมิติ-ความเข้มข้นทางกฎหมาย-ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ชี้ระบบแบงก์เป็นระบบกลางน้ำ ต้องดู “ต้นน้ำ-ค่ายมือถือ” และ “ปลายน้ำ-คริปโต” โอเค ขอจัดให้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตามคำเรียกร้อง ฐานบัญชาการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตึก 25 ชั้น อยู่ไหนนายใหญ่รู้หมด แต่อินเตอร์เน็ตที่ใช้ ฝั่งไทยเป็นคนยิงสัญญานไปให้เอง ให้โทรมาหลอกคนไทยปีละแสนล้าน ต่างชาติสีเทาเปิดบริษัทขอเปิด SIP Trunk 12,000 คู่สาย ใช้ระบบอัตโนมัติ Predictive Dialler โทรไปหลอกคนทั่วไทย 7 แสนครั้งต่อนาที แต่ผู้ให้บริการไทยไม่รู้ไม่เห็น Fun Fact: ธุรกิจอะไรในไทยที่มีความจำเป็นต้องโทรหาลูกค้าแบบหมุนเบอร์ไปเรื่อย ๆ 7 แสนครั้งต่อนาที ซึ่งแปลว่าจะโทรหาคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ทั่วประเทศได้ครบหมดทุกคนในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง มันทำธุรกิจอะไร ต้องมี call center กี่คน ต้องจ่ายค่าโทรเท่าไหร่ ระบบ Analytics ของ Operator ตรวจไม่พบมองไม่เห็น Traffic Spike พวกนี้เลยหรือไง ? ซิม 2 แสนเบอร์ลงทะเบียนด้วยชื่อเดียวกันเป็นหมื่นครั้ง แต่ระบบพร้อมปล่อยผ่าน เพราะ ? ผู้ให้บริการ VoIP โทรข้ามประเทศราคาถูก เห็นพฤติกรรมการโทรผิดปกติเป็นแสนครั้งต่อนาที แต่จะ Block ก็เสียดายตังค์ ถึงเราปิดเขา แก๊งโจรก็ย้ายไปจ่ายเงินคู่แข่งเราแทน งั้นปล่อยให้โจรใช้เราต่อไปดีกว่า ธนาคารก็รู้อยู่ว่า อำเภอไหน มีชาวบ้านแห่กันไปเปิดบัญชีม้า อาชีพหลักแหล่งไม่มี แต่ดันมีธุรกรรมโอนเงินเข้าออกผิดปกติ แต่ทำเฉย รูดบัตรเครดิตเมืองนอก ยัง block อัตโนมัติได้ แล้วรีบให้คนโทรมา verify ว่าอยู่เมืองนอกจริงไหม แต่ไหงพอเป็นโอนเงินผิดปกติกลับไม่ทำเหมือนกัน? IP Address ที่โอนเงินอยู่ฝั่งเขมรล้วนล้วน แต่สุดยอดระบบ Fraud Monitoring ของแบงค์ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายกลับทำเป็นมองไม่เห็น แค่มีเงินโจรแช่อยู่ในแบงค์ ถึงแม้ค่าโอนจะฟรี แต่ด้วยทฤษฎี Money Multiplier หากมีเงินฝาก 1,000 ล้านบาท ถ้าใช้สูตรอัตราสำรองขั้นต่ำ 6% (คิดแบบ conservative) สามารถขยายร่างไปปล่อยกู้ได้สูงถึง 16,670 ล้านบาท แหม่ มิน่าล่ะ พวกพี่ถึงปล่อยวางได้เช่นนี้ คริปโต P2P นี่มันก็ต้องมีบัญชีธนาคารไทยมิใช่รึ Exchange ไหนมีให้บริการบ้าง มีรายชื่อไหนรับแลก P2P บ้าง เจ้าไหนใช้ Bot เชื่อมผ่าน API Bank เข้ามา คือพวกพี่ไม่รู้เลย? ยังไม่จบ Operator ทั้งประเทศมีสามเจ้าใหญ่ พี่ก็กล้ากล้าให้เบอร์ 2 กับ 3 รวมกัน ฝั่ง กขค บอกกรูไม่มีอำนาจ ฝั่ง กสทช บอกเราไม่มีหน้าที่ไปสั่งห้าม ทำได้เพียง 'รับทราบ' เท่านั้น ฮึ่ย เขาตั้งบริษัทร่วมกันแบบ joint venture ไม่ใช่การควบรวมกิจการซะหน่อย มันไม่ใช่ คนละเรื่องเดียวกัน ทำไมกฎหมายไทยมันหมูแบบนี้นะ อ่อ ถ้านี้คุ้นคุ้นว่าเพิ่งเกิดขึ้นหมาดหมาด และ กลต ตอบเหมือนกันเป๊ะ Regulator เมืองไทยนี่มาตรฐานคงเส้นคงวาเหลือเกิน เอาแค่นี้ ก่อนดีกว่า Cr: Saroj Ativitavajข่าวการเมืองการเงิน เสียดสีแอคปลอมไม่ระบุชื่อ• 5 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัย“ทิพานัน” โชว์ผลงาน ผลงาน “บิ๊กตู่” ครึ่งปีแรก ตปท.ถ่ายหนังในไทยกว่า 222 เรื่อง“ทิพานัน”โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ถ่ายทำในประเทศไทย 6 เดือนแรกปี 66 กว่า 222 เรื่องแล้ว สร้างรายได้ 1.84 พันล้านบาท ดันซอฟทต์พาวเวอร์ไทย สร้างผลงานสถานที่ท่องเที่ยวไทยสู่สายตาชาวโลก บูมท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ สร้างงานสร้างรายได้และภาพรวมเศรษฐกิจไทย ล่าสุด Warner Bros. Discovery เปิดตัวคอนเทนต์ออริจินัลไทยเรื่องใหม่ ที่มี IFA Media ได้เข้ามาถ่ายทำรายการซีรีส์ทำอาหาร โดยมีคู่รักซูเปอร์สตาร์ชาวไทย “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ และ “คิม” คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส นำแสดง มีประเทศไทยเป็นโลเกชั่นในการถ่ายทำ นอกจากอาหารไทยแล้วในหลายฉากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ซึ่งซอฟต์พาวเวอร์ไทยจากเรื่องนี้จะถูกเผยแพร่ฉายทางช่อง HBO และ HBO GO เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน ทำให้ต่างชาติเห็นถึงการเล่าเรื่องในท้องถิ่นไปสู่ผู้ชมในภูมิภาคและที่อื่น น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ได้รับรายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม – วันที่ 16 มิถุนายน 2566 มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยจำนวน 222 เรื่อง สร้างรายได้รวม 1,844.11 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนจำนวน 12 เรื่องและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 132.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีมาตรการส่งเสริมและผลักดันมาโดยตลอด ทำให้ตั้งแต่ปี 2559 มีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี เฉพาะปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 4,863 ล้านบาทจาก 740 เรื่อง หรือแม้แต่ในช่วงสถานการณ์โควิดปี 2564 การถ่ายทำในไทยสร้างรายได้ 4,657 ล้านบาทจาก 121 เรื่อง และในปี 2565 หลังจากนโยบายเปิดประเทศเต็มรูปแบบของรัฐบาล ทำให้มีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำถึง 346 เรื่อง สร้างรายได้สูงถึง 6,364 ล้านบาทรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถดึงดูดคณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในไทย ทำให้สถิติ 7 ปี (2559 – 2565) สร้างรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่นับผลประโยชน์ทางอ้อมและการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ที่ไทยได้รับ ทำให้ ครม. พล.ประยุทธ์ ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 สำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดคณะถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ได้แก่ เพิ่มอัตราการคืนเงิน (Cash Rebate) จากเดิม ร้อยละ 15-20 เป็นร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี และเพิ่มเพดานการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง โดยเน้นย้ำให้มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยโดยตรง การกระจายรายได้สู่เมืองรอง การเพิ่มการจ้างงานคนไทย การเพิ่มมูลค่า ค่าใช้จ่ายในประเทศ เพื่อการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประชาชนโดยตรง “จากมติครม. ดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ให้เข้ามาลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานของพล.อ.ประยุทธ์ ในการส่งเสริมและออกมาตรการดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ต่างประเทศที่นอกจากจะได้อวดสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของไทยสู่สายตาชาวโลกแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เพิ่มศักยภาพและทักษะคนไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่จะได้รับการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนทักษะการทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ และที่สำคัญคือการกระจายรายได้ในพื้นที่ไปสู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุsg242728.no• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเช็กด่วน 8 หุ้นกู้ 3 บริษัทดังพร้อมขาย มิ.ย.นี้ เปิดรายย่อยซื้อได้จ่ายดอกสูงสุด 5.25%ตลาดหุ้นกู้กำลังอยู่ในจังหวะที่น่าสนใจ ด้วยภาวะดอกเบี้ยนโยบายที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นกู้ต้องจ่ายผลตอบแทนที่สูงให้กับผู้ซื้อหุ้นกู้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณา คือ ภาวะของความเสี่ยงหลังจากบางบริษัทอาจมีปัญหาสภาพคล่องและมีผลต่อการชำระคืนหนี้ ทั้งนี้เมื่อส่องตลาดหุ้นกู้ในเดือน มิ.ย. พบว่า มีหุ้นกู้ที่ 3 บริษัทที่เปิดให้นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าลงทุนได้std46517• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยช็อค ค่าไฟแพง ครวญผ่านโลกโซเชียล เจอค่าไฟถึงกับจุกทวิตเตอร์ ติดเทรนด์ 19 เมย "ค่าไฟแพง" เห็นบิลค่าไฟถึงกับต้องครวญผ่านสื่อโซเชียลกันถัวนหน้าnaydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ