2210 ข้อความ
- 1 คนสงสัย"ศาลโลก" รับฟ้อง "พญาอินทรีย์" ปล่อยโควิด-19 สงครามชีวภาพ ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 คือพญาอินทรีย์เอง... ************** โควิด-19 มาจากฝีมือมนุษย์ สั่งทำโดย โดนัล ทรัมป์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ ของสหรัฐอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทีวีที่ 1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด-19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ หรือสงครามเชื้อโรค:- - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือ ทดลองในทหารส่งไปแพร่ระบาดในการแข่งขันกีฬาในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ลุกลามไปอิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม 2564 นายเกรก ก็ได้ ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด-19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจาก ค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก! ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด-19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มีมาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ (เกิดก่อนการระบาดที่อู่ฮั่น) - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าว ลี่เจียง ได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกาที่มาแข่งกีฬาทหาร นำเชื้อมาแพร่ที่เมืองอู่ฮั่น ในจีน >>>>สหรัฐอเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่เมืองอู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อ เขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลป ที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด-19 ว่า เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหรัฐอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด-19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาดเท่านั้น แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ กรืออาวุธเชื้อโรค เหมือนไวรัสโรคไข้หวัดเสปน เมื่อ 100 ปีก่อนที่ทหารอเมริกานำไปแพร่ในเสปน >>>ความไร้ยางอายนี้ ทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าสหรัฐอเมริกา เป็นฆาตกรผู้วางยาพิษคนทั้งโลก เพียงเพื่อจะขายวัคซีนป้องกันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิต กล่าวหาให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไป แล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นาย เกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริค มาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไปอย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียมผลิตยาแก้ยาพิษนั้นๆไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งมลรัฐนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 !! >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อโรคไวรัสโควิด-19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและประชาชนทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่า จะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัว และให้ความสาคัญในระดับสูง แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! https://youtu.be/Y04Qm8QVQXE ขอบคุณข้อมูลจาก นพ.ขวัญชัย เสธนันท์โควิด 2019วัคซีนโควิดไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยห้องคลอดทุกห้องต้องมีนาฬิกา อย่างน้อยหนึ่งเรือน ถ้ามีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์การคลอด คุณจะเห็นพยาบาลคนหนึ่งคอยเหลียวมองนาฬิกาเรือนนั้นทันทีที่ทารกคลอดออกมา เธอจะขานเวลาบนหน้าปัดตัวเลขชั่วโมง-นาทีจะไปปรากฏบนสูติบัตร ในช่องว่างหลังคำว่าเวลาคลอด และวันที่บนปฏิทินวันนั้นก็จะไปปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวอีกหลายใบในฐานะวันเกิด วันที่ชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา ขณะพยาบาลขานเวลา แพทย์จะใช้ลูกยางสีแดง ดูดน้ำคร่ำ-ที่อาจค้างอยู่-ออกจากปากและจมูกของทารก หลังแน่ใจว่าทารกหายใจเองได้ แพทย์จะใช้แคลมป์สองตัวหนีบสายสะดือไว้ รับกรรไกรที่พยาบาลยื่นส่งให้ จากนั้นจึงใช้มันตัดลงไประหว่างแคลมป์ทั้งสองตัว ฉับ! เลือด 2-3 หยดกระเซ็นอาบคมกรรไกร เลือดไม่กี่หยดนั้นเอง คือหลักฐานที่ช่วยยืนยันว่า ชีวิตก่อนการเกิดของพวกเรา มีอยู่จริง คนทั่วไปมักสับสนระหว่าง รก และสายสะดือ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั่งมาเป็นแพทย์ ผมจึงได้รู้ และได้เห็นว่า รกและสายสะดือนั้น มีรูปร่าง และหน้าที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด รกเป็นก้อนกลมๆ นุ่มๆ แบนๆ ดูคล้ายแผ่นพิซซ่า ขณะที่สายสะดือมีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ คล้ายสปาเก็ตตี้ รกแปะอยู่ที่ด้านในผนังมดลูกของแม่ โดยมีสายสะดือ ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ระหว่างรกและทารก ถ้ายังไม่เห็นภาพ ลองนึกถึงสารคดีวิทยาศาสตร์สักเรื่อง ที่นักบินอวกาศต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก สภาพนั้นไม่ต่างกันนัก กับสภาพของทารกในครรภ์มารดา ขณะทารกน้อยลอยคว้างท่ามกลางน้ำคร่ำในโพรงมดลูก สายสะดือ คือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้กับยาน "แม่" ภายในสายสะดือคือ เส้นเลือดหลายเส้น ทารกจะได้รับสารอาหารจากแม่ผ่านเลือดที่ไหลเวียนในเส้นเลือดเหล่านี้ ขณะเดียวกันของเสียที่ทารกมี ก็จะถูกส่งผ่านเส้นเลือดเหล่านี้กลับไปยังแม่ของเขา และเข้าสู่ระบบกำจัดของเสียของแม่ต่อไป อาจพูดได้ว่า ช่วงหนึ่งในชีวิต เราทุกคนเคยดื่ม กิน ขับถ่าย และหายใจผ่านร่างกายแม่ของเรา คนทั่วไปอาจเรียกมันว่า สายสะดือ แต่สำหรับผมมันคือ "สายสัมพันธ์" สายสะดือคือ สิ่งยืนยันว่าชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก่อนหน้าวันเกิดของเรา เป็นชีวิตที่แตกต่างจากที่เราเคยเข้าใจ เป็นชีวิตที่ประกอบด้วยสองหัวใจ กับหนึ่งสายสัมพันธ์ ในห้องคลอด ผมคือชายที่ถือกรรไกร คุณอาจรู้สึกว่า ผมคิดมากเกินไป แต่คุณรู้อะไรมั้ย กรรไกรในมือของผมกำลังจะเปลี่ยนชีวิตที่ปลายทั้งสองของสายสะดือ วินาทีที่ผมกดคมกรรไกร นั่นคือวินาทีแรกที่สองชีวิตต้องแยกจากกัน หลังจากนั้น ทารกน้อยจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะหายใจด้วยปอดของเขาเอง เรียนรู้ที่จะกินได้เองด้วยปากของเขา ขับถ่ายได้เองด้วยระบบขับถ่ายของเขา เขาจะค่อยๆ เติบใหญ่ มีความคิด มีการรับรู้ และมีการสร้างความเข้าใจโลกของตัวเองขึ้นมา เขาจะเริ่มงอแงเมื่อบางอย่างไม่ได้อย่างใจ เขาจะเริ่มหงุดหงิด เมื่อคิดว่าไม่มีใครเข้าใจเขา เขาจะเริ่มพูดว่า แม่ไม่เคยเข้าใจผมหรอก เขาจะเริ่มบอกว่า แม่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน และวันหนึ่งเมื่อเติบโตจนถึงวัย เขาก็จะจากแม่ของเขาไป ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมอยากมีชีวิตของตัวเอง มาคิดๆ ดู ทั้งหมดนี้อาจเริ่มมาจากวินาทีที่คมกรรไกร ถูกกดลงไปบนสายสะดือ จากกรรไกร สองชีวิตจึงจากกันไกล เมื่อชีวิตหนึ่งสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้ สายสัมพันธ์ก็ไม่ใช่สายสำคัญอีกต่อไป มันกลายเป็นสายที่ไร้ประโยชน์ กลายเป็นสาย ที่ไร้ความหมาย กลายเป็นสายที่เกินไป กลายเป็นสายเกินไป สิ่งที่ผมทำไม่ใช่แค่การตัดสายสะดือ คุณอาจรู้สึกว่าผมโทษตัวเองเกินไป แต่คุณรู้อะไรมั้ย หมออย่างผมนี่แหละที่เป็นคนทำลายหลักฐานว่าแม่และทารกเคยเป็นหนึ่งชีวิตเดียวกัน แน่นอน ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น แต่โลกภายนอกไม่ได้ต้องการสายสะดือเหมือนโลกในครรภ์ และด้วยเหตุนั้น แพทย์อย่างผมจึงมีหน้าที่ต้องกำจัดมันไป โดยทั่วไปผมจะตัดสายสะดือให้เหลือตอสั้น ๆ ประมาณ 2 เซนติเมตรจากหน้าท้องของทารก ตอนี้จะค่อยๆ แห้งและหลุดไปไม่กี่วันหลังจากนั้น สายสะดือส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปกำจัดพร้อมกับเศษเนื้อเยื่อและชิ้นเนื้ออื่น ๆ ของโรงพยาบาล นับจากวันนั้น เรื่องราวของชีวิตก่อนการเกิด ก็กลายเป็นเพียงอดีตที่สูญหาย เป็นเพียงตำนานที่ไม่มีใครรู้ว่าเคยมีอยู่จริง สายสะดือก็เลยกลายเป็นเหมือนสายลับ สายลับที่คอยลักลอบส่งอากาศและอาหาร สายลับที่ทำงานโดยไม่เคยเรียกร้อง ต้องการอะไร สายลับที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตา เป็นสายเลือดที่น้อยคนนักจะตระหนักว่ามันเคยมีอยู่จริงๆ การคิดว่า อยู่ๆ ชีวิตก็เกิดขึ้นมาในวันเกิด อาจทำให้คุณพลาดความหมายบางอย่างของชีวิต เพราะความจริงแล้ว ชีวิตที่ไม่เคยถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ ไม่มีช่วงเวลานั้น ไหนเลยจะมีคุณมานั่งอ่านบทความนี้ ผมเขียนบทความนี้เพื่อไถ่โทษให้กับการกระทำของตัวเอง ผมคือชายถือกรรไกร ผมทำลายหลักฐานทุกอย่างของชีวิตก่อนการเกิด ของใครหลายคน แน่นอน ผมไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันที่จะพิสูจน์สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ อย่างไรก็ดี ผมอยากให้คุณได้เห็นอะไรบางอย่าง ผมหวังว่ามันคงช่วยยืนยันสิ่งที่ผมเขียนมาได้บ้าง ขอเพียงคุณเปิดใจมากพอ เลิกชายเสื้อขึ้นดูสิครับ สิ่งที่ผมพูดถึงคือสิ่งที่อยู่กลางท้องของคุณ มองผ่านคราบขี้ไคลลงไป ลองใช้มือสัมผัสมันดูก็ได้ รู้สึกมั้ย นั่นแหละชีวิตก่อนการเกิดของคุณ ฉับ! สำหรับคนทั่วไปเสียงกรรไกรครั้งนั้น เปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง แต่สำหรับใครคนหนึ่ง เสียงนั้นไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรเลย เพราะหลังจากสายสัมพันธ์เส้นนั้นถูกตัดไป ใครคนนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ส่งอาหาร จัดการเรื่องการขับถ่าย แม้กระทั่งดูแลเรื่องการหายใจให้กับใครอีกคนอย่างที่เธอเคยทำ เพียงแต่ครั้งนี้ เธอทำมันผ่านสายสัมพันธ์ทางใจ และเท่าที่ผมเห็นมา สายสัมพันธ์นี้ กรรไกรคมแค่ไหนก็ไม่สามารถตัดมันให้ขาดจากกันได้เลย ขอขอบคุณ นพ. คุณากร วรวรรณธนะชัย เจ้าของบทความ Dharma practices...ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยปล้นครั้งประวัติศาสตร์! ทะลวงทุกระบบ “ขโมยเพชร” มหาศาล ตามของคืนไม่ได้จนวันนี้ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2003 มีข่าวครึกโครมดังไปทั่วโลกกับเหตุการณ์ “ขโมยเพชร” ที่นับได้ว่าเป็นการโจรกรรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และน่าจะบอกได้ว่าเป็นการโจรกรรมที่เกิดในพื้นที่ซึ่งมีระบบป้องกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนเคยเชื่อกันว่า “ไม่สามารถถูกเจาะได้” แอนต์เวิร์ป ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ (Antwerp Diamond Center) เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์รวมเพชรของโลก ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม ภายในมีตู้เซฟจำนวนเกือบ 200 ตู้ในห้องนิรภัย ซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ดิน 2 ชั้น เก็บเพชรและเครื่องประดับอัญมณีของผู้เช่าตู้เซฟ มูลค่ารวมแล้วหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น รายงานข่าวบางแห่งบ่งชี้ตัวเลขระดับชั้นของการรักษาความปลอดภัยว่ามีมากถึง 10 ชั้น และต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะไปถึงขั้นเปิดตู้เซฟได้ ทุกตู้ยังต้องเปิดด้วยรหัสและกุญแจเช่นเดียวกับประตูห้องนิรภัย ซึ่งทำให้เป็นที่มั่นใจในความปลอดภัยสำหรับผู้มาเช่าตู้เซฟ สถานที่แห่งนี้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาและทันสมัย แถมเพียบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุม มีสัญญาณเตือนภัยแทบทุกระบบที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาติดตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวและการสั่นสะเทือน เซนเซอร์จับความร้อนจากร่างกายมนุษย์ เซนเซอร์จับแสง มีแม้กระทั่งอุปกรณ์ตรวจจับแบบแม่เหล็ก ซึ่งทันทีที่ประตูนิรภัยหนา 1 ฟุตเปิดในเวลาที่ไม่ควรเปิด สัญญาณเตือนภัยจะแจ้งเหตุทันที รวมทั้งมีเครื่องกีดขวางยานพาหนะยุคไฮเทค มีกลไกบังคับให้หุบหายลงใต้ดิน และโผล่กลับขึ้นมาทำหน้าที่ของมันได้ทุกเวลา ที่สำคัญยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจนัก และเจ้าหน้าที่ก็พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อได้รับแจ้งการก่อเหตุ ผู้ก่อการ “ขโมยเพชร” ก่อนหน้าเกิดคดีโจรกรรมเพชร 2 ปี คือในปี 2001 เชื่อว่าแผนปฏิบัติการการโจรกรรมได้เริ่มขึ้นอย่างแนบเนียนโดยชายวัยกลางคนชาวตูริน ประเทศอิตาลี ชื่อ ลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล ซึ่งเดินทางเข้ามาในเมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ที่ตั้งของไดมอนด์ เซ็นเตอร์ ฉากหน้าเขาคือนักออกแบบเครื่องประดับ นักธุรกิจค้าเพชร เข้ามาเช่าออฟฟิศและตู้เซฟที่ไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เพื่อเปิดเป็นสำนักงานประกอบธุรกิจค้าเพชร ที่นี่นอกจากจะมีตู้เซฟให้เช่าแล้ว ยังมีห้องเพื่อใช้เป็นสำนักงานธุรกิจค้าอัญมณีของเหล่านักธุรกิจใช้เช่าอีกด้วย โนทาร์บาร์โทโลแฝงตัวเข้ามาเพื่อสำรวจเก็บรายละเอียดของสำนักงานนี้ เขาใช้เวลาเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งระบบความปลอดภัย กิจวัตรในแต่ละวันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ส่วนต่างๆ ของอาคาร และเส้นทาง โดยรายละเอียดทั้งหมดที่ได้มา เขาใช้การจดจำ จากนั้นจะนำมาเขียนบันทึกในห้องทำงาน โนทาร์บาร์โทโลใช้เวลาร่วม 2 ปีแฝงตัวและเก็บข้อมูลในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าโนทาร์บาร์โทโลคงไม่ปฏิบัติการเพียงลำพัง เขามีผู้ร่วมขบวนการอีกคือ เอลิโอ ดอโนริโอ ผู้เชี่ยวชาญสัญญาณเตือนภัย คนช่างคิดที่สามารถเอาชนะมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายระบบ เฟอร์ดนานโด ฟิน็อตโต อาชญากรมืออาชีพมากประสบการณ์ และ ปิเอโตร ทาวาโน เพื่อนเก่าแก่ที่โนทาร์บาร์โทโลไว้ใจ โนทาร์บาร์โทโลเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เขาเก็บข้อมูลมาให้ผู้ร่วมก่อการฟังอย่างละเอียด รวมทั้งร่วมวางแผนกันภายในร้านกาแฟนในตูรินเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต พวกเขาใช้เวลาเตรียมการรวม 27 เดือน นานกว่าระยะเวลาในหนังโจรกรรมแบบฮอลลีวูด ที่มักเล่าว่าสมาชิกแก๊งใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ ปฏิบัติการ “ขโมยเพชร” ครั้งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ไล่เลี่ยกับช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงวันหยุด ไดมอนด์ เซนเตอร์ แห่งนี้หยุดทำการ ไม่มีการเปิดห้องนิรภัยและตู้เซฟทุกกรณี หากเปิดนอกเวลาทำการเช่นนี้สัญญาณเตือนภัยจะทำงานทันที แต่โนทาร์บาร์โทโลกลับเลือกใช้เวลานี้ปฏิบัติการ เนื่องจากปลอดคนและมีเวลาให้ปฏิบัติการได้มาก การเจาะระบบป้องกัน (โดยคร่าว) ด้วยระบบป้องกันภัยที่ทันสมัยและแน่นหนามาก การเจาะเข้าไปในตู้เซฟจึงต้องผ่านระบบป้องกันหลายด่าน ทั้งการใส่รหัสผ่าน ล็อกกุญแจ เซนเซอร์สนามแม่เหล็ก เซนเซอร์ตรวจจับความร้อน เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และเซนเซอร์แสง รายละเอียดมีข้อปลีกย่อยมากมาย ข้อมูลในที่นี้บอกเล่าอย่างคร่าวๆ โดยส่วนหนึ่งมาจากหลักฐานและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมผู้เชี่ยวชาญ โนทาร์บาร์โทโลและพวกจำเป็นต้องกำจัดอุปสรรคทีละด่าน ซึ่งผ่านการจำลองสถานการณ์ซักซ้อมมาอย่างดี พวกเขาเริ่มแผนการในช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ทาวาโนทำหน้าที่เฝ้าติดตามฟังวิทยุสื่อสารของตำรวจ ทราบความเคลื่อนไหวของตำรวจจากวิทยุสื่อสาร เขาทำหน้าที่อยู่ที่ห้องพักของโนทาร์บาร์โทโล ส่วนโนทาร์บาร์โทโลกับพวกอีก 2 คน สวมถุงมือยาง ขับรถผ่านป้อมตำรวจ ประตูชั้นจอดรถเปิดขึ้น เขาหยุดรถชิดขอบทาง แต่ละคนพาดถุงบนไหล่ มุดผ่านใต้ขอบประตูม้วน พวกเขาใช้กุญแจดอกพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อไขกุญแจประตูทางเข้า เดินลงบันไดถึงหน้าห้องนิรภัย ดอโนริโอใช้แผ่นเหล็กรูปตัวทีประกบแท่งแม่เหล็กทั้งสองที่ติดอยู่บานประตูและขอบประตูด้วยเทปกาวสองหน้า แล้วดึงมันหลุดออกมาโดยแท่งแม่เหล็กไม่แยกจากกัน สัญญาณแจ้งเตือนจึงไม่ดังขึ้น ช่วยให้เปิดห้องนิรภัยกว้างระดับหนึ่ง และสามารถแทรกตัวเข้าไปได้โดยปลอดสัญญาณแจ้งเตือน ตำรวจเชื่อว่าดอโนริโอติดตั้งกล้องวิดีโอเพื่อใช้บันทึกการหมุนรหัสประตูห้องนิรภัย แต่ทฤษฎีของตำรวจมีผู้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีอุปกรณ์บังรอบตัวหมุนรหัส ป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นเลข ข้อสันนิษฐานอื่นก็คือ โนทาร์บาร์โทโลอาจได้รหัสมาโดยวิธีอื่น หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจคือ ประตูห้องนิรภัยนี้ไม่เคลียร์รหัสให้เอง หากเปิดแล้วต้องหมุนเคลียร์รหัสเอง ทั้งนี้ผู้ดูแลอาจลืมหรือขี้เกียจเคลียร์รหัส (เก่า) ทำให้รหัสคาอยู่ที่เดิม เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้กุญแจเพียงดอกเดียวเปิดประตูนิรภัยได้ ภายหลังตำรวจสรุปว่าคนร้ายใช้ชะแลงยาว 2 ฟุต งัดประตูห้องเก็บของ เพราะกุญแจที่ทำมาใช้การไม่ได้ (เสียงน่าจะดังมาก แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัย เนื่องจากในพื้นที่ไม่ได้ใช้การตรวจจับเสียง เพราะมองว่า หากมีคนทำของตก สัญญาณย่อมดังขึ้นทุกครั้ง) แต่ในห้องเก็บของมีกุญแจประตูนิรภัย จึงสามารถเปิดห้องนิรภัยได้ ข้างในห้องมืดสนิท และมีเครื่องตรวจจับแสงทำงานอยู่ พวกเขาใช้เทปกาว 2-3 ชิ้นปิดเซนเซอร์แสง แล้วทำการเปิดไฟ ด่านต่อมาคือเซนเซอร์ตรวจจับความร้อน พวกเขาเอาชนะมันด้วยการใช้สเปรย์ตกแต่งทรงผมฉีดใส่เครื่องจนทำให้เครื่องรวนไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวพวกเขาใช้แผ่นโฟมวางทับตัวเซ็นเซอร์ไม่ให้มันทำงาน ด่านสุดท้ายคือเปิดประตูตู้เซฟ พวกเขาประกอบอุปกรณ์ดึงฝาตู้เซฟที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ซึ่งแยกชิ้นส่วนใส่กระเป๋ามา และนำมาประกอบกันตรงกลางห้องนิรภัย เมื่อประกอบเสร็จพวกเขาก็ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเปิดตู้เซฟได้ หลังจากจัดการกับอุปสรรคแต่ละด่านเรียบร้อยแล้ว โนทาร์บาร์โทโลและพวกได้แบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งเปิดตู้เซฟให้เร็วที่สุด อีกสองคนทำหน้าที่แยกของมีค่า ทั้งเพชร นาฬิกา เครื่องประดับ และเงินสด แยกใส่ถุงอย่างละถุง โนทาร์บาร์โทโลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอะไรกลับไป และจะปล่อยสิ่งของอะไรไว้บ้างโดยประเมินจากมูลค่าของแต่ละชิ้น โดยรวมแล้วพวกเขาเปิดตู้เซฟได้ 109 ตู้ จาก 189 ตู้ เชื่อกันว่าทรัพย์สินที่กลุ่มนักโจรกรรมกวาดไปได้มีมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขมูลค่าของทรัพย์สินที่หายไปยังเป็นที่ถกเถียง จากปากของกลุ่มผู้ก่อการอ้างว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่พวกเขาฉกไปอยู่แค่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าการโจรกรรมเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ใหญ่กว่าเพื่อเคลมเงินประกัน) ขณะที่การออกจากสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องขนสมบัติที่หนักกลับไปพร้อมกับเครื่องมืออุปกรณ์ เดิมทีแล้ว “แก๊งตูริน” นี้จะเก็บทุกอย่างกลับไปเพื่อไม่ให้ตำรวจเก็บหลักฐาน แต่ครั้งนี้พวกเขาจำเป็นต้องทิ้งอุปกรณ์ โดยเช็ดถูให้สะอาดลบร่องรอยอื่นก่อน การหิ้วถุงเพชรขึ้นบันไดขณะออกจากสถานที่เกิดเหตุหลังจากคนดูต้นทางรายงานว่าปลอดโปร่งแล้วก็ต้องหิ้วถุงโดยก้าวอย่างระมัดระวังมากที่สุด ถุงเพชรอย่างเดียวก็หนักเข้าไปถึง 44 ปอนด์ (ราว 20 กิโลกรัม) ขณะที่แบกขึ้นไป คนร้ายอีกรายใช้กุญแจปลอมเข้าไปเปิดประตูห้องควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย เอาเทปบันทึกภาพการก่อเหตุออกจากเครื่อง และใส่เทปเปล่าไปแทน เขายังมองหาเทปเก่าโดยเลือกช่วงเดือนที่ผ่านมาอีก 4 ม้วน เป็นเทปบันทึกภาพช่วงที่สมาชิกเข้ามาทำลายระบบเตือนภัยแม่เหล็กไปด้วย เมื่อคนดูต้นทางแจ้งว่าปลอดภัย พวกเขาก็ออกมาใส่ของที่ท้ายรถที่มาจอดเทียบชิดขอบทาง พวกเขานั่งเบียดกันในรถและขับหายไปตามถนน โฉมหน้าลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล วัย 51 ปีหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ฉากหลังเป็น Diamond Center ใน Antwerp ประเทศเบลเยียม เมื่อ 18 ก.พ. 2013 หลังเกิดเหตุโจรกรรมเพชร (ภาพจาก STRINGER / BELGA / WIM HENDRIX /AFP) เรื่องเล็กในการ “ขโมยเพชร” ที่พลาดมหันต์ แม้พวกเขาจะทำการสำเร็จ แต่ปัญหาของพวกเขาคือการกำจัดขยะที่เป็นร่องรอยจากปฏิบัติการทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วนักโจรกรรมอัจฉริยะระดับโลกต้องถึงจุดจบ โดยมีหลักฐานคือ “ถุงขยะ” หลังจาก “ขโมยเพชร” แล้ว พวกคนร้ายขับรถซึ่งมีถุงขยะอันบรรจุอุปกรณ์และสิ่งของที่เหลือใช้จากปฏิบัติการเต็มรถไปตามไฮเวย์ด้วยความกระวนกระวาย จนเลือกทิ้งถุงขยะโดยเร็วที่สุดเมื่อออกจากเมือง เลี่ยงความเสี่ยงโดนตำรวจเรียกจอดหากละเมิดกฎจราจร การทิ้งขยะตามสถานที่ส่วนบุคคลหรือเอกชนก็เป็นเรื่องเสี่ยง เพราะเจ้าของกิจการในเบลเยียมจริงจังกับการใช้ถังขยะโดยไม่ได้รับอนุญาต หลายแห่งล็อกฝาถัง หรือติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณถังขยะ ปั๊มน้ำมันบนไฮเวย์แทบทุกแห่งมีป้ายห้ามทิ้งสิ่งของส่วนตัว ขณะที่การเผาถุงก็ย่อมมีควันไฟที่เรียกความสนใจจากเจ้าหน้าที่ไฮเวย์ ในถุงพวกนี้มีถุงขยะที่ยัดถุงจากร้านค้าซึ่งดันมีใบเสร็จ ซองเอกสาร และเอกสารอื่นจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ และเลือกทิ้งข้างทางหลวงตรงถนนทางเข้าป่าฟลอร์ดัมบอส แต่แล้วดันมีผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินละแวกนั้นที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมาพบถุงขยะ และคู่สามีภรรยาคือกลุ่มที่โทรศัพท์แจ้งตำรวจ (แม้แต่คำถามว่า ใครกันแน่ที่รู้ว่าถุงขยะเกี่ยวกับการโจรกรรมที่เป็นข่าวดังเวลานั้น และออกไอเดียให้โทรศัพท์หาตำรวจ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า สรุปแล้วเป็นสามีคือออกุสต์ ฟาน ดัมป์ หรือภรรยาของเขากันแน่) ถุงที่ฟาน ดัมป์ พบคือหลักฐานสำคัญที่ทางการแกะรอยได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด ทำให้ผู้ก่อการทั้ง 4 คนถูกจับในที่สุด โดยเฉพาะใบเสร็จที่เมื่อตำรวจนำไปสอบถามกับแคชเชียร์ พนักงานจำได้ทันที และให้รูปพรรณกับตำรวจซึ่งเชื่อว่าเป็นดอโนริโอ และฟิน็อตโต ขณะที่ตำรวจเบลเยียมส่งข้อมูลผู้ต้องสงสัยให้ตำรวจสากล โนทาร์บาร์โทโลและพวกยังฉลองความสำเร็จ และกำลังเดินทางหลบหนี แต่เหลือสิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายร่องรอยที่เหลือในแอนต์เวิร์ป อีกทั้งคืนรถเช่า และทำความสะอาดห้องพักซึ่งจากมาอย่างรีบร้อน และยังต้องรูดบัตรผ่านเข้า-ออกไดมอนด์ เซ็นเตอร์ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นหลักฐาน เพราะตำรวจจะต้องตรวจสอบว่าผู้เช่ารายใดที่หายไปเลยหลังเกิดเหตุ เมื่อตำรวจตรวจสอบหลักฐานการเข้า-ออกของโนทาร์บาร์โทโล ก็พบว่าเขาอยู่ในกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากอาคารก่อนวันเกิดเหตุ จึงนำภาพวิดีโอหลายชั่วโมงมาดู แล้วพบว่า หนุ่มใหญ่ชาวอิตาเลียนเข้า-ออกห้องนิรภัยทุกวันตลอดสัปดาห์ก่อนหน้าเกิดเหตุ ตำรวจเชื่อว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรม โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่พาดพิงมาถึงเขา แม้ว่าในข่าวจะมีเรื่องพบถุงขยะแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่า เพื่อนร่วมงานฉีกใบจ้างงานติดตั้งกล้องที่ออฟฟิศของเขาแล้วโยนลงถังขยะในครัว ไม่รู้ว่าตำรวจค้นออฟฟิศและตู้เซฟของเขา การกลับที่เกิดเหตุย่อมเหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่โนทาร์บาร์โทโลมั่นใจ และความมั่นใจนั่นเองทำให้เขาโดนรวบตัว ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบูธด้านหน้าเห็นเขาก็คว้าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่โดยพลัน ช่วงแรกเขายังคิดว่าตำรวจไม่มีหลักฐานพอ และยังเป็นเพียงพยาน แถมยังตีบทงง ไม่เข้าใจว่าควบคุมตัวผู้บริสุทธิ์อย่างเขาทำไม โนทาร์บาร์โทโลมีคำตอบให้ทุกคำถาม แต่ท้ายที่สุดก็จนกับหลักฐานหลายอย่าง ทั้งดีเอ็นเอบนแซนด์วิชไส้กรอกที่โนทาร์บาร์โทโลทำกินเอง แต่กินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งโยนทิ้งถังขยะในครัวขณะเตรียมขนของหนีไปอิตาลี และมันไปโผล่ในถังขยะใกล้ป่าฟลอร์ดัมบอส และยังพบดีเอ็นเอของผู้ร่วมก่อการอีกหลายจุดที่เชื่อมเข้ากับหลักฐานการโจรกรรม แม้ว่าคนร้ายจะถูกจับกุมได้ แต่เพชรที่ถูกปล้นก็ไม่ได้กลับคืนสู่เจ้าของ เพราะไม่มีคนร้ายคนไหนบอกถึงที่อยู่ของเพชรที่ปล้นมา ช่วงที่โนทาร์บาร์โทโลอยู่ในคุกยังให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารไวร์ด (Wired) ว่า การปล้นทั้งหมดเกิดจากแผนที่ผู้เช่าตู้เซฟซึ่งเป็นพ่อค้าเพชรชาวยิวหวังใช้เรียกค่าประกันจากไดมอนด์ เซ็นเตอร์ โดยที่พวกเขาซึ่งมีผู้เช่าตู้เซฟร่วมแผนการด้วยประมาณ 50-60 ราย จะไม่เอาเพชรหรือของมีค่าใส่ไว้ในตู้เซฟ และวางแผนการปล้นโดยจำลองห้องนิรภัยขึ้นมา แล้วเข้าปล้น เขายังกล่าวต่ออีกว่าแผนการครั้งนี้โดนพ่อค้าเพชรชาวยิวหักหลัง แต่มีหลายคนวิเคราะห์ว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องโกหกของโนทาร์บาร์โทโล เพราะสิ่งที่เขาเล่าย้อนแย้งอย่างมาก อีกทั้งเรื่องที่มีผู้เช่าตู้เซฟวางแผนร่วมกันนั้น ผู้เช่าตู้เซฟเห็นว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีทางเกิดขึ้น การที่โนทาร์บาร์โทโลให้สัมภาษณ์เช่นนี้ก็เพื่อโยนความผิดให้กับผู้อื่นหรือปกปิดข้อมูลและร่องรอย โนทาร์บาร์โทโลยังต้องการให้นำเรื่องราวของเขาไปทำภาพยนตร์ เพราะเขาหวังส่วนแบ่งรายได้จากสิทธิ์ของข้อมูลเพื่อนำไปใช้อย่างสบายหลังออกจากคุก อีกทั้งเป็นเงินที่ได้มาโดยถูกกฎหมาย และใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้โดยอ้างแหล่งที่มาของเงินจากส่วนแบ่งการนำเรื่องราวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ (ทั้งที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีวันเผยเรื่องจริง) ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี และรับโทษติดคุก เขาก็ยังไม่ได้บอกที่ซ่อนอัญมณีและแผนการปล้น เขากับพวกอีก 3 คน ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด และหลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินคดีจนถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงจบลง เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับคดีให้ความเห็นเมื่อปี 2009 ว่า แม้แต่โนทาร์บาร์โทโลนำเพชรหรือทรัพย์สินที่ปล้นมาขายก็อาจไม่สามารถแจ้งจับได้อีก เพราะไม่สามารถฟ้องซ้ำคดีที่ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาด นอกเหนือจากมีหลักฐานใหม่ แต่สิ่งที่ทำได้เบื้องต้นคือแค่ยึดเป็นของกลางไว้ และอาจดำเนินคดีในอิตาลีเกี่ยวกับการฟอกเงิน ในขณะที่กลุ่มเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปก็ไม่หวังกันแล้วว่าจะได้ของกลับคืน คนในแวดวงเพชรยังรู้สึกโกรธกับบทสรุป เมื่อพวกคนร้ายติดคุกไม่นาน ทรัพย์สินก็ไม่สามารถติดตามกลับมาได้ ที่สำคัญบทสรุปของเรื่องนี้ยังออกมาว่าการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามคนร้ายและดำเนินคดี แลกมากับการจองจำผู้ก่อเหตุเพียงไม่กี่ปี และยังพิสูจน์อีกว่า ความเสี่ยง ความยากลำบาก การถูกจับและจองจำ อาจคุ้มค่ากับชีวิตหลังผ่านคดี เมื่อพวกที่ก่อการอาจใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างราบรื่นและสุขสบายจากสิ่งที่ได้จากการโจรกรรมมีม เสียดสีputilp148• 2 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรัสเซีย : ศูนย์ต้านข่าวปลอมของฮ่องกงระบุ ปูตินไม่ได้อัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ร.9โครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงแห่งศูนย์สื่อมวลชนศึกษาและวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง (HKU Journalism) ชี้ว่าภาพประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียอัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่แชร์กันทางโลกโซเชียลของไทยเมื่อปลายเดือน ก.พ.ข่าวการเมืองeardoil• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยโควิด-19 แพร่กระจายผ่านอากาศ (Airborne)จากกรณีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า มีนักวิทยาศาสตร์ 239 คน จาก 32 ประเทศ เปิดเผยหลักฐานการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19 ) ผ่านละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน สามารถแพร่ผ่านทางอากาศ (AirBorne) จึงเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับว่าโควิด-19 มีการติดต่อในรูปแบบแอร์บอร์น และปรับคำแนะนำนั้นสุขภาพโควิด 2019eardoil• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยโฆษณาออนไลน์ลวง โยงดาราเซเลบคนดังปัญหาโฆษณาสุขภาพเกินจริง... หลายปีมาแล้ว มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งสะท้อนว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบตรงอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยานั้น พบการกระทำผิดกฎหมายเฉลี่ยปีละหมื่นกว่า แต่การดำเนินคดีนั้นทำได้เพียงปีละพันกว่าเท่านั้น ทั้งนี้ไม่นับรวมการกระทำผิดที่ อย.ไม่พบหรือไม่มีคนร้องเรียนเข้ามาอีกเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านสื่อทางอินเตอร์เน็ตที่มีพลังในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารได้อย่างน่าทึ่ง แถมยังทำกันได้ง่าย แทบจะเรียกว่า...ใครก็ทำได้std48077• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยรัสเซีย : ศูนย์ต้านข่าวปลอมของฮ่องกงระบุ ปูตินไม่ได้อัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ร.9โครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงแห่งศูนย์สื่อมวลชนศึกษาและวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง (HKU Journalism) ชี้ว่าภาพประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียอัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่แชร์กันทางโลกโซเชียลของไทยเมื่อปลายเดือน ก.พ. เป็นภาพที่ถูกตัดต่อstd47630• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยศูนย์ต้านข่าวปลอมของฮ่องกงระบุ ปูตินไม่ได้อัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ร.9ผู้นำรัสเซียถือภาพถ่ายของบิดาขณะเข้าร่วมการเดินขบวนประจำปีที่ชื่อ "การเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย" เมื่อ 9 พ.ค. 2015 เพื่อรำลึกถึงผู้ที่ได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2std46209• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์std46604• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยประธานาธิบดี ปูติน ถือภาพ "พระบรมฉายาลักษณ์" ของในหลวงร. 94 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุในรายงานว่าเมื่อ 27 ก.พ. มีผู้โพสต์ภาพที่ถูกตัดต่อทางบัญชีเฟซบุ๊กที่ชื่อ 关羽關羽 (กวนอูกวนอู) โดยบรรยายบนภาพว่า "รัสเซียยืนหยัดได้เพราะบุญคุณของในหลวงร. 9std47901• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยจากการสำรวจ ที่ แคนาดา 2022 หลัง ยากัญชา ถูกกฏหมาย พบว่า บริษัทยา หยุด ชะงัก ไม่มีออเดอร์สั่งยาเพื่อไปสต้อค ถึง 10 วัน และ ยากัญชา มีส่วนแบ่งการตลาดรวม ถึง 11 % มูลค่า นับ #สามพันล้านเหรียญ มีผลกระทบกับยาทุกชนิด เช่น ยามอร์ฟีน ยาแก้ปวดลดบวม ยาแก้อาเจียน ยานอนหลับ คลายกังวล กันชัก เกร็ง พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เอดส์ มะเร็ง คิดว่า ยาเคมี 1 #กำมือ เหลือ เพียงพืชยา 1 #กรัม เข้าใจรึยังว่า ใครๆ ก็อยาก ครอบครอง และ จดสิทธิบัตร https://norml.org/news/2022/09/08/analysis-cannabis-legalization-applies-competitive-pressure-to-pharmaceuticals-market/ พญ.สุภาพร มีลาภ Supaporn Jim Meelarpยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอาหารเสริมลดน้ำหนักSFACTORสามารถลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายได้จริงหรอค่ะ.สูตรนวัตกรรมใหม่เพื่อการลดน้ำหนัก ลด 15 กก.ใน 4 สัปดาห์โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องออกกำลังกายลดความอ้วนผู้บริโภคเฝ้าระวังkulanit1363• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยยาลดน้ำหนัก 1เดือน 15โล s factorเป็นยาลดน้ำหนักที่ไม่มีสารเคมี แต่ใช้สมุนไพรสารมารถลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัม ใน 4สัปดาห์ความสวยความงามลดความอ้วนยาสมุนไพรPYU 7 AKASEKI_• 4 ปีที่แล้ว2 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยองค์การอาหารและยา เตือน ผลิตภัณฑ์ “KE ONE” ลวงผ่านสื่ออ้างลดความอ้วน จริงหรือคะเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “KE ONE” ซึ่งมีการโฆษณาชวนเชื่อลดความอ้วนทางเว็บไซต์ จากการตรวจสอบพบเว็บไซต์ http://asia-tribune.com/thnews/keone/?uclick=mylprn3y แสดงภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร KE ONEโดยมีการอ้างชื่อนักศึกษาหญิงชาวไทยเสนอสุดยอดความคิดให้ผู้เชี่ยวชาญวิจัยทดลองยาจนสำเร็จ และมีข้อความโฆษณา เช่น “นวัตกรรมการลดน้ำหนัก ลด 15 กก. ใน 1 อาทิตย์ ...กระตุ้นการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ลดความอยากอาหาร กำจัดไขมันใต้ผิวหนังส่วนเกินได้ถึง 500 กรัมต่อคืน” ลวงใช่มั๊ยคะanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยชาลดบวมขับโซเดียม ทำได้จริงหรือไม่ ?จากโฆษณาสินค้าตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่อ้างว่า การดื่มชาช่วยลดการบวมจากการกินโซเดียม ส่งผลให้หลายคนเชื่อและหันมาซื้อชามาดื่มกันมากยาสมุนไพรลดความอ้วนSasikarn Permpol• 8 เดือนที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false2 ความเห็น
- 2 คนสงสัย"ยาโซดามินต์ ไม่ได้ปลอดภัย 100% ... ควรให้แพทย์สั่งให้ตามความจำเป็น และไม่ควรซื้อมากินเล่นเองครับ" กระแสแนะนำให้คนไปหาซื้อยา "โซดามินท์ (soda mint)" มากินกัน กลับมาเผยแพร่อีกแล้วครับ (หลังจากช่วงโรคโควิด-19 ระบาด ก็เคยมีกระแสโปรโมตไปรอบนึงแล้วว่า กินต้านโควิดได้) .. โดยอ้างว่าช่วยให้ร่างกายเป็นด่าง (อีกและ) ดีต่อสุขภาพ ใช้รักษาป้องกันโรคได้มากมาย เช่น ชะลอไตเสื่อม ขับกรดยูริก ละลายนิ่ว ฯลฯ !? ซึ่งก็พูดหลายๆ ครั้งแล้ว ว่าแนวคิดเรื่อง กินน้ำด่าง-กินอาหารด่าง ไปปรับให้เลือดมีความเป็นด่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอะไร เพราะร่างกายมีการปรับสมดุลย์พีเอชความเป็นกรดด่าง ให้เป็นด่างอ่อนๆ โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว (ซึ่งอาศัยกลไกการหายใจ เป็นตัวควบคุมหลัก) ดังนั้น การพยายามกินด่างเข้าไปในร่างกายมากๆ จนร่างกายปรับสมดุลย์ ลดความเป็นด่างลงไม่ไหว กลับจะกลายเป็นอันตรายจากการที่ค่าเป็นด่างสูงเกินไป .. และโซดามินต์ ก็ควรเป็น "ยา" ที่กินเมื่อป่วย ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ยา "โซดามินท์" จริงๆ ก็คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate ก็ผงฟูที่เอาไว้ทำเบเกอรี่ ไว้ล้างผัก นั่นแหละ) ผสมกับ น้ำมันหอมระเหย เปปเปอร์มิ้นต์ (peppermint oil) มักจะผสมในอัตราส่วนโซเดียมไบคาร์บอเนต 300 มิลลิกรัม กับน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มิ้นต์ 0.003 มิลลิลิตร กินหลังอาหารวันละ 3 ครั้งหรือเมื่อมีอาการ ใช้เพื่อบรรเทาอาการจุกเสียด ลดอาการระคายเคือง เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร อาจจะมีบางคนที่มีอาการข้างเคียงจากการกินยาโซดามินต์นี้ได้ เช่น ปวดหน่วง ๆ ที่ท้อง (ซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์) หรืออาจจะรุนแรง ได้แก่ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก บวมน้ำ หายใจลำบาก ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ ก็ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ส่วนคนที่ห้ามใช้ยาโซดามินต์นี้ ได้แก่ คนที่เคยแพ้ยานี้ หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้ , เป็นโรคหัวใจ , เป็นโรคไต หรือ โรคตับ , เป็นโรคความดันเลือดสูง , มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ , มีภาวะเลือดเป็นด่างสูง , กำลังใช้ยาสเตอรอยด์ รวมถึงหญิงมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมลูก สำหรับประเด็นที่สังคมออนไลน์แชร์แนะนำให้กิน “โซดามินต์” เป็นประจำเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายมีสุขภาพดีนั้น ทาง คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ จากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ช่อง 9 อสมท สำนักข่าวไทย ได้เคยไปตรวจสอบกับ รศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สสส. ดังนี้ครับ ถาม : กินโซดามินต์ทุกวัน ทำให้สุขภาพดี อย่างที่แชร์กันนี้ จริงหรือไม่ ตอบ : การซื้อโซดามินต์กินเองนั้นไม่สมควร อาจจะกินมากเกินไป ทำให้ร่างกายเป็นด่างมากเกินไป อาจจะมีผลเสียในระยะยาว ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยปรับสมดุลย์ของเลือด ทำให้เลือดมีค่า pH 7.4 ตอบ : บางครั้ง การให้โซดามินต์จะทำให้เป็นด่างมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ คือโซดามินต์เป็นยาที่ปรับให้ร่างกายเป็นด่างในคนไข้ที่ร่างกายเป็นกรด การให้โซดามินต์ก็อาจจะทำให้ pH หรือระดับกรดด่างในร่างกายสมดุลย์ แต่ต้องให้หมอเป็นคนวินิจฉัยว่าคนไข้จำเป็นจะต้องกินโซดามินต์ไหม ซึ่งเช็กเลือดครั้งเดียว ก็รู้แล้วว่าปริมาณไบคาร์บอเนตหรือ pH ในเลือดนั้นเหมาะสมไหม ถ้าไม่เหมาะสม ก็จะให้โซดามินต์ในการปรับสมดุลย์ให้เหมาะสมกับสุขภาพ ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็ปรับยาให้เหมาะสม เพราะว่าโซดามินต์ในคนไข้แต่ละคน ให้ขนาดยาไม่เท่ากัน ถ้าให้มากไปก็มีผลเสีย ให้น้อยไปก็ไม่เพียงพอ ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยลดกรดยูริกจากอาหารและน้ำตาลฟรุกโตส ลดความเสี่ยงเป็นเกาต์ ตอบ : คือคนที่กินฟรุกโตสเยอะ เช่น กินน้ำอัดลม น้ำหวาน โอกาสเป็นเกาต์ก็สูงขึ้น โอกาสที่กรดยูริกสูงก็จะมี แล้วก็อาจจะตกตะกอนในที่ต่างๆ รวมทั้งที่ไตด้วย ในกรณีแบบนี้ถ้าเกิดคนไข้ที่มีความเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็เป็นคนจ่ายยาโซดามินต์ให้ในกรณีที่มีความจำเป็น แต่ถ้าเกิดคนปรกติไปซื้อโซดามินต์มาทาน อาจจะไม่ได้เป็นการป้องกัน แต่อาจจะมีผลเสียในระยะยาวด้วย ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยชะลอไตเสื่อม ตอบ : ในกรณีที่มีความผิดปรกติของไต โดยเฉพาะโรคไตระยะต้น การรักษาด้วยยาโซดามินต์ มีผลวิจัยทางการแพทย์บอกว่าอาจจะช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้บ้าง แต่เป็นผลวิจัยระยะสั้น ยังไม่มีการติดตามในระยะยาวในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต อย่างไรก็ดี แพทย์โรคไตมักจะให้โซดามินต์ในกรณีที่เลือดเป็นกรด และก็เป็นโรคไตระยะต้น หรือโรคไตระยะสุดท้าย ที่จำเป็นจะต้องปรับสมดุลย์ของกรดด่างในร่างกายให้เหมาะสม เน้นว่า โซดามินต์ไม่ได้รักษาโรคไต และก็คนปรกติ ถ้ากินโซดามินต์ ก็ไม่ได้ป้องกันโรคไต ถาม : เขายังบอกว่าลดความเป็นกรดของเลือดหลังออกกำลังกาย ตอบ : ออกกำลังกาย บางครั้งทำให้มีกรดบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายก็จะสามารถกำจัดกรดนี้ออกได้ ทางไตหรือทางลมหายใจ ร่างกายมีกลไกในการควบคุมกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่มีโรคไต ไม่มีโรคทางปอด โรคหัวใจอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องทานโซดามินต์ ไม่มีประโยชน์อะไรมากขึ้น ถาม : จริงๆ แล้ว โซดามินต์นี่คืออะไร ตอบ : โซดามินต์ ชื่อทางเคมีคือ โซเดียมไบคาร์บอเนต ไบคาร์บอเนตเป็นด่าง ซึ่งจะไปปรับกรดด่างหรือว่า pH ให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะในสมดุลย์ของร่างกาย แต่ตัวโซเดียม เป็นตัวที่นำไบคาร์บอเนตนี้เข้าไปในร่างกาย ก็มีประโยชน์ในการทำอาหาร แต่ว่าต้องใส่ให้พอเหมาะ ใส่มากไปก็มีโทษ ถ้าเราทานโซเดียมมากเกินไป ก็จะไปทำให้เกิดอาการบวม ไปคั่งอยู่ที่ไต หรือที่หัวใจ ทำให้ความดันสูง เพราะฉะนั้น การทานโซดามินต์ ก็อาจจะต้องระมัดระวังด้วย โดยเฉพาะคนที่มีโรคหัวใจ โรคไต อยู่เดิม ก็จะทำให้เกิดการบวมมากขึ้น ไตทำงานหนักมากขึ้น ควรจะทานเท่าที่จำเป็นและก็ภายใต้การดูแลของแพทย์ 1 เม็ด มีตัวยาประมาณ 300 มิลลิกรัม ถ้าทาน 10 เม็ดต่อวัน (อย่างที่แชร์บอกกัน) ก็จะประมาณ 3000 มิลลิกรัม ทำให้ได้โซเดียมในปริมาณสูงพอควร ถาม : แล้วถ้าคนที่อยากปรับสมดุลร่างกายล่ะ ตอบ : การที่บอกว่าร่างกายเป็นกรดด่างเนี่ย จริงๆ แล้ว ธรรมชาติสร้างมาอยู่แล้วว่าเป็นหน้าที่ของปอด กับหน้าที่ของไต ในการที่จะปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว แล้วร่างกายก็มีตัวบัฟเฟอร์ หรือตัวที่จะไปทำให้กรดด่างนั้นปรกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ทานโซดามินต์ หรือว่าการทานด่าง ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ ยกเว้นกรณีที่ระบบของร่างกายสูญเสีย ไม่ว่าจะมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดต่างๆ บางครั้งทำให้เลือดเป็นกรด ก็อาจจำเป็นต้องทานโซดามินต์เสริมเข้าไปเพื่อทดแทน แพทย์จะเป็นผู้ดูแล ถาม : ถ้ามีคนอยากจะกิน กินแล้วจะอันตรายไหม ตอบ : ถ้าเกิดทานโซดามินต์ ปริมาณมาก ก็จะมีโซเดียมโหลด ดังนั้น ในกรณีที่มีปัญหาเกลือเกิน มีอาการบวม มีโรคหัวใจ หรือโรคไต ไม่ควรซื้อยาทานเอง 📌 สรุป : ที่แชร์แนะนำให้กินโซดามินต์เป็นประจำเพื่อสุขภาพนั้น ❌ ไม่ควรแชร์ต่อ ❌ เพราะโซดามินต์ มันไม่ใช่ยาที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรจะให้แพทย์เป็นผู้ดูแล และเป็นคนจ่ายยาเท่าที่จำเป็น ข้อมูลจาก https://www.sanook.com/women/249893/ และ https://www.youtube.com/watch?v=pxaV0qhYg2sสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 4 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังอย่าแชร์! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ยังไม่มีข้อมูลหรือข้อแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารดังกล่าว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร น้ำหนักลด การสูญเสียกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาโรค ผู้ป่วยมะเร็งควรรับประทานอาหารในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น จำกัดการบริโภคอาหารทะเลบางชนิดที่อาจมีคอเลสเตอรอลสูง เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด ควรรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากแหล่งอาหารที่หลากหลาย เช่น ปลา ไก่ ไข่ และนม ซึ่งอาหารในกลุ่มปลาหมึก หอย และปลา เป็นอาหารที่ให้สารอาหารในกลุ่มโปรตีน ถือเป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกายมีส่วนในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพออาจส่งผลให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปใช้เป็นพลังงานส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" จริงหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" ควรเลือกกินมังสวิรัติ รศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับ Hfocus ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งแล้ว และกำลังทำการรักษา ทั้งการรักษาแบบเคมีบำบัด (คีโม) ผ่าตัด หรือฉายแสง โดยเชื่อว่าต้องเลือกรับประทานอาหาร มะเร็งจะได้ขาดอาหารแล้วตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง เซลล์มะเร็งก็เป็นเซลล์ของร่างกายเหมือนกัน เพียงแต่มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ยีนต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง มีความต้องการอาหาร ต้องการอากาศเหมือนกัน ไม่ต่างกับเซลล์ปกติ ถ้างดอาหาร เซลล์ปกติหรือร่างกายก็จะขาดอาหารไปด้วย รศ.นพ.เอกภพ ยืนยันว่า การอดอาหารจึงไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง เพราะมะเร็งมีความสามารถในการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง แม้เราจะไม่ให้อาหารเลย มะเร็งก็ไปแย่งอาหารจากร่างกายเรา สังเกตได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งร่างกายจะซูบผอมเนื่องจากถูกแย่งอาหารไปการงดอาหารในการรักษามะเร็งไม่ได้ช่วย นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังมีโทษ สภาพร่างกายทั่วไปจะผอมลง เวลาได้รับเคมีบำบัดจะมีผลข้างเคียง และต้องฟื้นตัวเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ทันเวลาที่จะรับเคมีบำบัดรอบต่อไป หากได้รับอาหารไม่เต็มที่ ร่างกายผู้ป่วยจะฟื้นตัวช้า การได้ยา รับการรักษาก็จะไม่เต็มที่ตามแผนการที่วางไว้ ประสิทธิภาพการรักษาก็จะแย่ลง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัว จึงไม่มีผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษามะเร็ง ทั้งนี้ การศึกษาในประเทศอังกฤษยังพบว่า คนไข้มะเร็งเต้านมในกลุ่มที่ทานเนื้อสัตว์รักษาตัวได้ดีกว่ากลุ่มที่งดทานเนื้่อสัตว์ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่สำคัญ 3 ประการ คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียและพยาธิบางชนิด ปัจจัยจากพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและไหม้เกรียม ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีน และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อตัดสินใจผิดพลาด จนได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้นได้ สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ / ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง หรือ Anti Fake Cancer News (AFCN) และยังสามารถอ่านข้อมูลจากข่าวปลอมได้ที่เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรมการแพทย์พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 1.4 แสนคน หรือ 400 คนต่อวัน ขยายการรักษาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org เฟคนิวส์ โรคมะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็งห้ามกิน 468 views เรื่องที่เกี่ยวข้อง ข่าว รพ.ร้อยเอ็ด พัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งครบวงจร ข่าว กรมอนามัยเผยหญิงไทยป่วย มะเร็งเต้านม สูงสุด แนะตรวจเต้านมด้วยตนเอง เฟคนิวส์ ข่าวปลอม! ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นสารก่อมะเร็ง ข่าว สถาบันมะเร็ง สปสช. รามาฯ สวรส. ลงนามร่วมพัฒนาห้องปฏิบัติการเชิงนโยบายสำหรับโรคมะเร็ง อัพเดทล่าสุด ข่าว มีผลแล้ว! อัตราค่าตอบแทน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ ข่าว สช. สานพลังภาคี 5 หน่วยงาน สร้างความเข้มแข็งระบบคุ้มครองผู้บริโภค ข่าว รพ.วิมุต เปิดศูนย์ส่องกล้อง หน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร ข่าว อภ.ชู “จีพีโอ เถาวัลย์เปรียง” ผ่านการศึกษาวิจัยทางคลินิกแพทย์ศิริราช บรรเทาข้อเข่าเสื่อม infographic วายร้ายหน้าฝน "โรคฉี่หนู" สิทธิบัตรทอง รับบริการใส่รากฟันเทียม ฟรี กรณีการบรรจุข้าราชการปฏิบัติงานโควิดรอบสอง เตรียมพร้อมและเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ อีเมล: hfocus1713@gmail.com มูลนิธิภิวัฒน์สาธารณสุขไทย เลขที่ 7 ถ.อธิบดี ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 Copyright © Hfocus.org. All rights reserved. (Log in) Thailand Web Statstd48864• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThinkไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยของจริง....มาแล้วนะครับ โควิด - 19 สายพันธุ์อังกฤษ British variant ( B.1.1.7 ) ที่ตอนนี้กำลังระบาดหนักไปทั้งโลกนะครับ ไม่ใช่แค่ที่ไทย ประเทศไทยน่ะหรือ ... ยังแค่เริ่มต้น แค่เริ่มต้นจริงๆนะ ที่อังกฤษ ต้นทางของเจ้าสายพันธุ์ดุนี้ มีคนเสียชีวิตกับไวรัสตัวนี้ไปแล้วประมาณ "หนึ่งแสนสองหมื่นคน" ช่วงที่พีคมากๆ มีคนตาย"ต่อวัน" คือ พันกว่าคน (ตายวันละพันกว่านะครับ พันหก เกือบๆพันเจ็ด เห็นตัวเลขแล้ว ขนลุกเลย) ช่วงผ่อนปรนล็อคดาวน์ที่อังกฤษตอนคริสมาสต์ มีการติดเชื้อแบบที่ติดกันทั้งครอบครัว เข้าโรงพยาบาลกันทั้งครอบครัว และ ตายกันทั้งครอบครัวเกิดขึ้นแล้วที่นั่น ช่วงที่เชื้อนี้กระจายกันแบบพีคๆ มีรายงานว่า ติดกันที่ตัวเลขต่อวันคือ หกหมื่นกว่าราย ย้ำ... วันละ หกหมื่นราย มีหลักฐานสนับสนุนทางการแพทย์ชัดเจน ว่าสายพันธุ๋นี้ติดง่ายกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่น และ สายพันธุ์อินเดีย ที่เราเจอมาก่อนหน้านี้ และถ้าเราคิดว่า ที่ผ่านมา เรายังรอด ตอนนี้ก็สบายๆเหมือนเดิมก็ได้ ก็น่าจะประเมินเชื้อนี้ต่ำไปแล้ว... และถ้ายังเชื่อว่า สายพันธุ์นี้ อาการไม่รุนแรง ก็คิดใหม่นะครับ มีรายงานในประเทศไทยของเราพบว่า พบอาการรุนแรงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการเจ็บคอมาก เหมือนมีดบาด เสมหะมีเลือด หายใจได้ไม่ปกติ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่อาการปอดบวม ( pneumonia ) เกิดขึ้นได้เยอะมากนะครับ ลงปอดกันเป็นว่าเล่นเลย ซึ่ง ณ จุดนั้น ต้องรักษาแบบซีเรียสแล้วนะครับ โอกาสไปถึงโคม่า นอนไอซียู ใกล้เข้ามาแล้ว และแพทย์หลายๆท่านให้ความเห็นว่า การจัดการตอนอยู่ในไอซียูของโรคนี้ มีความซับซ้อนมาก ถ้าได้หมอเก่งๆระดับเทพ ว่าไปอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ บ้านเราไม่ได้มีหมอในระดับนั้น มากอย่างที่เราคิด คนสูงวัย น้ำหนักตัวเยอะ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คนที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน หัวใจ หอบหืด ไม่จำกัดวัย ถ้าเราเข้าข่าย ก็ระวังให้มากกว่าคนอื่นๆเถอะครับ โอกาสรุนแรงไปถึงปอด สูงมากกก และที่เรายังไม่ได้ยินข่าวคนเสียชีวิตในครั้งนี้ จนทำให้หลายๆคนคิดแค่ว่า เป็นแค่หวัดกระจอกๆธรรมดาๆนั้น เพราะมันยังเป็นแค่การเริ่มต้น สงสัยว่าติด ไปตรวจ เข้าโรงพยาบาลได้เลย มีที่นอน มีหมอดูแล โคม่าขึ้นมา ยังมีหมอดูแล มีเครื่องช่วยหายใจอยู่ในตอนนี้ ก็เลยพอจะช่วยเหลือกันทัน แต่ว่า... ดูสถิติของวันนี้ 15 เมษายน ตามรูปสิครับ ไม่ต้องดูที่จำนวนคนติดเชื้อ 1,543 นะ ... มองผ่านไปได้เลย พันห้า บางคนจะคิดในใจว่า แล้วไง ไปดูที่จำนวนคนที่กำลังรักษาตัว นอนโรงพยาบาลอยู่ตอนนี้สิครับ ช่องสีเขียวๆน่ะ " 8,973 ราย " นี่คือคนที่กำลังนอนโรงพยาบาลตอนนี้อยู่ ซึ่งจะถึงหมื่นเตียง ในอีกวันสองวันนี้แน่นอน และคนพวกนี้จะยังต้องนอนยึดเตียงไปอีกเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่า 10 วัน นั่นหมายความว่า ถ้าเราเกิดติดโควิดขึ้นมา ในวันถัดๆไปหลังจากนี้ จะเหลือเตียงให้เรานอนรักษา .... น้อยลงไปทุกที และเตียงจะเริ่มทยอยกันเต็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนต่างประเทศ คือ ไม่มีเตียงให้ใครอีก คราวนี้ ต่อให้มีเงิน ก็หาเตียงนอนไม่ได้หรอกครับ จะโทรร้องเรียนที่เบอร์ไหน ใครก็คงช่วยไม่ได้ มีประกันกี่ฉบับ ก็ไม่มีผล ไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลเอกชนหรอกนะครับ โรงพยาบาลสนาม .... ก็จะเต็มไปด้วย แย่ไปกว่านั้นก็คือ ... เรามีเครื่องช่วยหายใจไม่มากพอ เราหาซื้อตอนนี้ ไม่ทันหรอกนะครับ ทั้งโลก ใครก็อยากได้ แล้วในวันที่เกิดซวย ปอดบวม อาการโคม่า เราต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อยื้อชีวิตนะครับ ถ้าในเวลานั้น ไม่มีเครื่องช่วยหายใจเหลือเลย เพราะคนก่อนหน้านี้ก็เอาไปใส่กันหมดแล้ว มันก็จะเหมือนกับที่ต่างประเทศ คือ เครื่องช่วยหายใจที่เหลืออยู่ 1 เครื่อง จะเลือกใส่ให้ใคร และที่เหลือ ก็ต้องปล่อยให้ตาย.... วันนั้นแหละ เราจะเข้าใจความหมายว่า ทำไม เราจึงควรช่วยกัน ในวันที่ยังทำได้ในวันนี้... ........................................ ....................................... พรุ่งนี้ จะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ ทุกคนดูชินชากับโควิด รอดมาแล้วหลายครั้ง ยังไม่เห็นมีอะไร เดี๋ยวก็ลดลงไปเอง ตั้งแต่ระดับผู้นำ จนถึงคนธรรมดาๆข้างถนน ที่ผมยังเห็นนั่งดื่มกันสนุกสนานกันอยู่เลย ประเทศไทยเราโชคร้าย ตรงที่ได้เจอกับสายพันธุ์ที่ติดง่ายที่สุด ในวันที่เราประมาทที่สุด เพราะถ้ามาตั้งแต่รอบแรก ที่เรายังตื่นตัวกันอยู่ ก็คงไม่น่ากลัวอะไรมากนัก อ่านจบแล้ว ไม่ต้องประสาทกินหรอกนะครับ แต่ต้องกลับมายอมรับ และตระหนักจริงๆจังๆได้แล้ว ว่าเรากำลังเจอกับอะไรที่หนักหนาและรุนแรงกว่าเดิม ออกบ้านเท่าที่จำเป็นเถอะครับ หลีกเลี่ยงการไปในที่ซึ่งคนเยอะๆ งดไปเลย อย่าใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง แบบที่ทำไปอย่างงั้นๆเอง แต่จงทำมัน เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่กำลังรักษาชีวิตเราไว้ เพราะมันช่วยได้จริงๆ... อย่าเบื่อการอยู่บ้าน เพราะเชื่อเถอะว่า สบายกว่าโรงพยาบาลสนาม สบายกว่าแอร์ในห้องไอซียู และไม่ต้องต่อคิวเครื่องช่วยหายใจจากใครนะครับ แล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราไปได้ตลอดหรอก แต่ต้องช่วยกัน และให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด อย่าให้มีสถิติการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ แล้วค่อยมาเสียใจ ไม่ต้องไปหวังพึ่งวัคซีนตอนนี้ ยี่ห้อแอสตร้า ---> เดนมาร์คสั่งหยุดใช้ถาวรแล้ว ส่วนยี่ห้อจอห์นสัน ---> อเมริกา สั่งหยุดใช้ไปแล้ว ซินโนแวคของจีน ประสิทธิภาพต่ำ แถมไม่ยอมเปิดเผยผลการทดลองเฟส 3 และตอนนี้จีนยังเร่งศึกษาทำวัคซีนตัวใหม่ แสดงว่า อีที่ออกมาขายนี้ ไม่ดีอย่างที่คิด ดีจริง จะปิดไว้ทำไม แล้วจะไปทำอันใหม่ทำไมอีก... คิดง่ายๆแค่นี้พอ ที่สำคัญ ประเทศไทย ยังฉีดได้ไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งประเทศ ฉีดไป ก็เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งถ้ามันไปตันในที่สำคัญๆ คือ ตายได้เลยนะครับ พึ่งตัวเอง ดูแลตัวเอง คือทางออกที่ดีที่สุด ที่ต้องทำในตอนนี้แล้ว... ช่วงนี้ครูโยคะทั้งหลาย งานอาจจะน้อยลงหน่อย ลำบากหน่อย แต่ยังหายใจได้ ยังแข็งแรง คือดีที่สุดแล้ว... งาน กับ เงิน ไม่ได้หายไปไหน มันแค่เลื่อนออกไปรอเราข้างหน้า คำว่า "เงินทอง ถ้าไม่ตาย หาใหม่ได้" น่าจะประโลมใจได้ดีที่สุดจริงๆในตอนนี้ ถ้าเราบอกว่า โควิดไม่กลัว กลัวอดตาย มากกว่า ..ก็ไม่ผิดหรอกครับ คนเรามีชีวิตที่ต่างกัน เพียงแต่เรากลัวอดตายได้ และก็กลัวโควิดไปด้วยพร้อมๆกันได้ โดยใช้สติคอยกำกับ ออกไปทำงาน ออกไปหาเงิน ถ้ามันจำเป็น แต่ก็ไปด้วยสติ ไปด้วยความระวังตัวที่สุด ไม่ได้เขียนเพื่อให้กลัวและอดตายอยู่ที่บ้านครับ แต่เขียนเพื่อให้ ออกไปทำงาน ด้วยความไม่ประมาท และระวังตัวให้มากที่สุด เท่านั้นเอง สำหรับใครที่พอจะเลือกได้... ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เห็นตัวตนของเราจริงๆแล้วนะครับว่า "สุขภาพ กับ เงิน" เราเป็นคนที่จะเลือกอะไร...โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยยาเพิ่มความสูงมันใช้ได้หรอ?มีโฆษายาเกี่ยวกับการเพิ่มความสูงของร่างกายstd48371• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค. ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เป็นเวลา 10 ปี เมื่อเวลา 15.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนายนุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบ อนค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบ อนค. เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และมีมติให้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ กก.บห. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ณ วันที่มีการทำสัญญากู้เงินคือ วันที่ 2 ม.ค. 2562 และ 11 เม.ย. 2562 เป็นเวลา 10 ปี ผลจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ กก.บห. ทั้งหมด 16 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง แม้มี 2 คนลาออกไปก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม โดยในจำนวนนี้เป็น ส.ส. จำนวน 11 คน ทำให้ อนค. เหลือเสียงในสภา 65 คน จากเดิม 76 คนstd48049• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวลวงมีการบอกเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริงสุขภาพวัคซีนโควิดstd47953• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชัชชาติ" แอบแซ่บ "จุฬาลักษณ์" สาวไฮไซ ไฮบริดรายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ "ชัชชาติ" แอบแซ่บ "จุฬาลักษณ์" สาวไฮไซ ไฮบริดTunchanok Saetia• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอายุ 18 รับเงินไปเลย รัฐใจดี ให้ 5,000 เที่ยวสงกรานต์อายุ 18 รับเงินไปเลย รัฐใจดีให้ 5,000 เที่ยวสงกรานต์มะเร็งโควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยมีคนในโลกออนไลน์โพสท์ว่า ไทยขึ้นอันดับ 1 สาธารณสุขของโลก จริงหรือคะมีโพสท์ของท่านหนึ่งในเฟสบุค โพสท์ว่า ประเทศไทยขึ้นอันดับหนึ่งของโลกจาก 195 ประเทศ จริงหรือคะข่าวการเมืองสุขภาพโควิด 2019มีมanonymous• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ