1434 ข้อความ
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! กะปิมี 10 ข้อดีที่ควรกินเป็นประจำตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์เรื่องกะปิมี 10 ข้อดีที่ควรกินเป็นประจำ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จzenter.05.10.• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากพัสดุไปรษณีย์ไทยได้แจ้งขอให้ทุกท่านที่ได้รับจดหมาย หรือพัสดุไปรษณีย์ ให้ใส่ถุงไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเปิด หรือฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนนำเข้าบ้าน เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วนั้น ไปรษณีย์ไทยแจ้งว่า ไม่เป็นความจริง และทางไปรษณีย์ไทยได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID-19 อย่างเข้มงวด ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงาน สถานที่ รวมถึง การดูแลความสะอาดไปรษณียภัณฑ์ทุกชิ้น พร้อมพ่นยาฆ่าเชื้อรถขนส่งไปรษณีย์ทุกคันสุขภาพโควิด 2019Khaohom Kuisai• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากพัสดุกรณีมีข้อความปรากฏบนสื่อออนไลน์ว่า ไปรษณีย์ไทยได้แจ้งขอให้ทุกท่านที่ได้รับจดหมาย หรือพัสดุไปรษณีย์ ให้ใส่ถุงไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเปิด หรือฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนนำเข้าบ้าน เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อโควิด-19std47714• 2 ปีที่แล้ว
- 3 คนสงสัยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากพัสดุกรณีมีข้อความปรากฏบนสื่อออนไลน์ว่า ไปรษณีย์ไทยได้แจ้งขอให้ทุกท่านที่ได้รับจดหมาย หรือพัสดุไปรษณีย์ ให้ใส่ถุงไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเปิด หรือฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนนำเข้าบ้าน เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วนั้น ไปรษณีย์ไทยแจ้งว่า ไม่เป็นความจริง และทางไปรษณีย์ไทยได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID-19 อย่างเข้มงวด ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงาน สถานที่ รวมถึง การดูแลความสะอาดไปรษณียภัณฑ์ทุกชิ้น พร้อมพ่นยาฆ่าเชื้อรถขนส่งไปรษณีย์ทุกคัน เป็นต้นโควิด 2019std49575• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยตาน้ำผุดชาวบ้านอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พบตาน้ำผุดปริศนาในสวนข้างบ้านของชาวบ้าน เชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำพญานาค จึงพากันมาตักน้ำดื่ม และทาตัวรักษาโรคstd46420• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย💥#ข่าวด่วนที่สุด‼️😱😱😱💢 เดือนหน้า (พฤษภาคม) สหประชาชาติจะประชุมกันเพื่ออัปเดต สนธิสัญญาระหว่างทุกประเทศ และ WHO เรื่องการมีอำนาจเพียงผู้เดียวในการจัดการโรคระบาด ที่จะทำให้ WHO (บิล เกตส์) สามารถออกคำสั่งให้ประเทศต่างๆ ทำสิ่งเขาสั่ง โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาของแต่ละประเทศ (Centralization of Power) แปลว่าอะไร? แปลว่าถ้าเขาสั่งต้อง ล็อกดาวน์ หรือ ฉีดยา (ฉีดยา) ทุกคนต้องฉีดไม่ว่ากฎหมายของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้จะเหนือกฏหมายของทุกประเทศ https://fb.watch/kdacOwikG1/ ถ้าทุกท่านคิดว่าเกมส์การบังคับฉีดจบแล้ว หรือ จะไม่มีล้อกดาวน์อีก ... ท่านอาจต้องคิดใหม่ครับ ภายในปีนี้ ปีหน้า เราจะมี Climate ล็อกดาวน์ โรคระบาดล็อกดาวน์ และ บังคับฉีดยาอีก https://youtu.be/Zkk3MAH4koA _____ ลงนามหยุดสนธิสัญญา WHO จากการมีอำนาจเพียงผู้เดียวในการจัดการโรคระบาด https://forms.gle/HzwJjXAXn9WBCoCW8ข่าวการเมืองโควิด 2019วัคซีนโควิดผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยประกาศแล้ว! คำพิพากษาจําคุก 'แม้ว' 5 ปี คดีหุ้นชินคอร์ป https://www.thaipost.net/main/detail/89849ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเรื่องโม้ๆ เกี่ยวกับการแพทย์และวิทยาศาสตร์ว่าด้วยกัญชามีเรื่องหลอกลวงแพร่ทางอินเทอร์เน็ตในปี 2015 โดยอ้างว่าบริษัท Monsanto กำลังสร้างกัญชาดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อจัดหากัญชามากพอป้อนให้กับอุตสาหกรรมกัญชาstd47889• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรื่องโม้ๆ เกี่ยวกับการแพทย์และวิทยาศาสตร์ว่าด้วยกัญชาเรื่องโม้ๆ เกี่ยวกับการแพทย์และวิทยาศาสตร์ว่าด้วยกัญชา กัญชาเป็นหนึ่งในพืชที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันมายาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะเป็นต้นเหตุของเรื่องหลอกลวง ตำนานเล่าขานที่ปั่นกันขึ้นมา และข่าวปลอมมากมาย ทั้งหมดล้วนแต่ส่งผลกระทบในด้านใดด้านหนึ่งต่อการรับรู้ของสาธารณชนต่อการใช้กัญชาและสถานะของมัน ต่อไปนี้คือ "เรื่องโม้ๆ" ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของกัญชา ที่แพร่หลายในต่างประเทศ (และอาจกระทบต่อทัศนะของคนไทยเราด้วย) 1. เรื่องโกหกเกี่ยวกับบริษัทมอนซานโตตัดแต่งพันธุกรรมกัญชา มีเรื่องหลอกลวงแพร่ทางอินเทอร์เน็ตในปี 2015 โดยอ้างว่าบริษัท Monsanto กำลังสร้างกัญชาดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อจัดหากัญชามากพอป้อนให้กับอุตสาหกรรมกัญชา (1) เรื่องหลอกลวงนี้สร้างขึ้นโดยเว็บไซต์ข่าวปลอมเสียดสี World News Daily Report เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2015 ซึ่ง Monsanto ตอบโต้ด้วยการ "การปฏิเสธแบบหัวชนฝา" ผ่านเว็บ "Myths About Monsanto" ที่คอยแก้ข่าวปลอมและเรื่องโกหกเกี่ยวกับบริษัท ซึ่งมักจะถูกโจมตีว่าทำการตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อสนองตอบอุตสาหกรรมเกษตร แม้ว่ามันจะเป็นข่าวปลอม แต่สร้างความตื่นตูมให้กับวงการกัญชาอย่างมาก เช่น เว็บไซต์เกี่ยวกับกัญชา High Times รายงานว่า "นักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานเพื่อสร้างแผนที่โครงสร้าง DNA ที่สมบูรณ์ของต้นกัญชา เพื่อป้องกันบริษัทเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรรายใหญ่ เช่น Monsanto จากการได้รับสิทธิบัตรเฉพาะสำหรับสายพันธุ์เฉพาะ" (2) สะท้อนว่า แม้จะเป็นข่าวปลอม แต่ "ชื่อเสียง" ของบริษัท Monsanto ทำให้เกิดความกังวลว่ากัญชาอาจถูกรวบหัวรวบหางโดยอุตสาหกรรมเกษตร เพื่อผูกขาดสายพันธุ์และผูกขาดการผลิต เพราะมันกำลังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างเงินมหาศาลยาสมุนไพรPongpat• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ตัวช่วยลดน้ำหนัก ความดัน-คอเลสเตอรอล-เบาหวาน ล้างไขมันอุดตันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกโรงเตือนประชาชนระวังข่าวปลอม ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ล่าสุดพบประชาชนให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน ขึ้นแท่นข่าวปลอมที่คนไทยสนใจสูงสุด รองลงมา น้ำสกัดย่านาง ใบเตย รากหญ้าคา ตราประสมบุญ ต้านมะเร็ง ช่วยรักษาแผล ในกระเพาะอาหาร ลดความดันสูง ย้ำ! ต้องมีสติ ศึกษาข้อมูลและแหล่งที่มาให้น่าเชื่อถือ วอนอย่าแชร์ต่อ logo-heading HOME NEWS HOT ISSUE เลือกตั้ง 2566 อนาคตประเทศไทย ดีอีเอส เผย เฟคนิวส์ รอบสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมเครื่องดื่มลดน้ำหนัก 27 May 2023 ดีอีเอส เผย เฟคนิวส์ รอบสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมเครื่องดื่มลดน้ำหนัก ดีอีเอส เผยสถิติเฟคนิวส์รายสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ตัวช่วยลดน้ำหนัก ความดัน-คอเลสเตอรอล-เบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน เตือนอย่าแชร์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกโรงเตือนประชาชนระวังข่าวปลอม ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ล่าสุดพบประชาชนให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน ขึ้นแท่นข่าวปลอมที่คนไทยสนใจสูงสุด รองลงมา น้ำสกัดย่านาง ใบเตย รากหญ้าคา ตราประสมบุญ ต้านมะเร็ง ช่วยรักษาแผล ในกระเพาะอาหาร ลดความดันสูง ย้ำ! ต้องมีสติ ศึกษาข้อมูลและแหล่งที่มาให้น่าเชื่อถือ วอนอย่าแชร์ต่อ ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 25 พฤษภาคม 2566 โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,173,017 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 272 ข้อความ ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 230 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 42 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 179 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 116 เรื่องยาสมุนไพรลดความอ้วนstd48349• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสอบเข้าต้องเตรียมตัวอย่างไรพูดถึงการเตรียมตัวสอบ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกันคือะไรบ้างครับ A. อ่านหนังสือ B. ทำช็อตโน้ต C. เรียนพิเศษ ติวเสริม D. ฝึกทำโจทย์ ข้อสอบย้อนหลัง สิ่งที่คนทำกันมากสุดคือ A รองลงมาคือ B กับ C ส่วน D มักตั้งใจจะทำหลังจากทำอันแรกๆเสร็จ คนที่ได้ทำข้อ D ได้มากพอจึงมีน้อยมาก คุณเป็นคนกลุ่มไหนครับ?std48459• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรื่องหลอกลวงเกี่ยวกับการทดลองกัญชาของนาซาการทดลองกัญชาของนาซาเป็นเรื่องหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในปี 2559-2561 โดยอ้างถึงบันทึกการจ่ายเงิน 18,000 ดอลลาร์ของนาซาแก่อาสาสมัครเพื่อทำการทดลองนอนบนเตียงและให้กัญชาสูบระหว่างการทดลองเป็นเวลา 3 เดือน (หรือ 70 วัน) โดยได้เงิน 18,000 ดอลลาร์ (3) แต่นาซายืนยันว่าได้ทำการทดลองการนอนบนเตียงจริง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกัญชา แต่เรื่องหลอกลวงนี้อาจมีที่มามาจากข่าวจริงในปี 2557 โดยคอลัมนิสต์ของสำนักข่าว VICE ชื่อ แอนดรูว์ อิวานิชกิ (Andrew Iwanicki) ซึ่งเขาได้บันทึกประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้เข้าร่วมการทดลองการนอนของนาซา เรื่องปลอมนี้ดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอะไร และสื่อที่แก้ข่าสค่อนข้างจะให้น้ำหนักกับมันในฐานเรื่องตลกขบขันหรือข่าวสัพเพเหระเสียมากกว่าNattakij Boonmarong• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยวิธีป้องกันฝีดาษลิงออกห่างจากผู้ติดเชื้อ ผู้ที่สงสัยเสี่ยงติดเชื้อ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วย ไม่นำมือไปสัมผัสผื่น ตุ่ม หนอง ของผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ เชื้อไวรัสฝีดาษลิงเป็นเชื้อที่มีโปรตีนหุ้ม ซึ่งสามารถถูกทำลายได้ด้วยแอลกอฮอล์ ดังนั้น เราจึงควรหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่ การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และสวมหน้ากากอนามัย สามารถช่วยป้องกันได้ทั้ง 3 โรค ได้แก่ โรคฝีดาษลิง โรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่nattikasaunsawatsuga• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยฝีดาษลิงคืออะไรโรคไข้ฝีดาษลิง หรือ ไข้ทรพิษลิง (Monkeypox) เกิดจาก ไวรัส Othopoxvirus ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับไวรัสโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) โดยพบเชื้อในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต เป็นหลัก โดยค้นพบโรคนี้ครั้งแรกในลิง ซึ่งไปรับเชื้อมาโดยบังเอิญ จึงเป็นที่มาของชื่อโรค “ฝีดาษลิง” โรคฝีดาษลิงแพร่ระบาดอยู่ทั่วไปในทวีปแอฟริกา จนกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic disease) ซึ่งพบอัตราการเสียชีวิต 1-10% ทั้งนี้การเสียชีวิตขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิงnattikasaunsawatsuga• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 3 คนสงสัยโรคไข้ฝีดาษลิงโรคไข้ฝีดาษลิง หรือ ไข้ทรพิษลิง (Monkeypox) เกิดจาก ไวรัส Othopoxvirus ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับไวรัสโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) โดยพบเชื้อในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต เป็นหลัก โดยค้นพบโรคนี้ครั้งแรกในลิง ซึ่งไปรับเชื้อมาโดยบังเอิญ จึงเป็นที่มาของชื่อโรค “ฝีดาษลิง” โรคฝีดาษลิงแพร่ระบาดอยู่ทั่วไปในทวีปแอฟริกา จนกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic disease) ซึ่งพบอัตราการเสียชีวิต 1-10% ทั้งนี้การเสียชีวิตขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิง แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ สายพันธุ์ Congo Basin พบอัตราการเสียชีวิต 10% สายพันธุ์ West African พบอัตราการเสียชีวิต 1%pocky18b• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย"6 เหตุผล (ทางสมอง) ที่ทำให้คนสูงอายุมักจะโดนมิจฉาชีพหลอกได้ง่าย" พอดีตอนเช้าเห็นหัวข้อข่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารพยายามอธิบาย (ด้วยเหตุผล) ว่านี่เป็นมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงิน แต่คุณยายก็ไม่เชื่อ สูญเงินไปเป็นล้าน เลยอยากจะเขียนถึงเรื่องนี้สั้น ๆ และอธิบายว่าทำไมวิธีการที่แนะนำกันอยู่ มันไม่ค่อยได้ผลในคนสูงอายุ 1 สมองส่วนหน้าหรือที่เรียกว่า prefrontal cortex ฝ่อบางลง (ตามวัย) สมองส่วนนี้เป็นสมองส่วนสำคัญที่อาจจะเรียกได้ว่า ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์อื่น สมองส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับ การคิดด้วยตรรกะ การใช้เหตุผล และการยับยั้งชั่งใจ เมื่อสมองส่วนนี้บางลง ผลคือ การคิดด้วยตรรกะที่ซ้ำซ้อนจะทำได้แย่ลง และ การตัดสินใจจะหุนหันพลันแล่นมากขึ้น เบรกไม่ค่อยอยู่ คิดอะไรก็พูดเลย คิดอะไรก็ทำเลย ด้วยเหตุนี้ คนสูงอายุจึงคิดตามการหลอกที่ซับซ้อนไม่ค่อยทัน และเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็จะทำเลย เบรกตัวเองไม่ค่อยได้ คนอื่นห้ามก็จะไม่ค่อยฟัง 2 ความยืดหยุ่นของระบบประสาทหรือที่เรียกว่า neuroplasticity ลดลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเซลล์ประสาทจะสร้างเน็ตเวิรก์ได้ไม่ดีเท่าคนอายุน้อย เมื่อเซลล์ประสาทสร้างเน็ตเวิรก์ได้ไม่ดี จะทำให้สมองเรียนรู้หรือปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ๆ (หรือการหลอกลวงแบบใหม่ ๆ ) ได้ช้าลง ดังนั้น หลายอย่างที่คนอายุน้อยมองว่า นี่มันหลอกชัด ๆ คนสูงอายุอาจจะมองไม่เห็น 3 สมองของคนสูงอายุส่วนใหญ่จะมีภาวะที่เรียกว่า positivity effect หมายความว่า สมองคนสูงอายุมีแนวโน้มจะเลือกรับข้อมูล เลือกจำ หรือเลือกนึกถึง ข้อมูลด้านบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและอธิบายว่าทำไมคนสูงอายุมักจะมองโลกในแง่ดีกว่าตอนอายุน้อย หรือเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ก็มีแนวโน้มจะนึกถึงในแง่ดี ลักษณะนี้ทำให้คนสูงอายุมีแนวโน้มจะอยากช่วยเหลือคน อยากบริจาค ขณะเดียวกันก็จะทำให้คนสูงอายุจะมองคนอื่นในแง่ดี ไว้ใจคนอื่นง่าย ทำให้ง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพมากขึ้น 4 ความเหงา ข้อนี้ตรงไปตรงมา คนอายุน้อยมีแนวโน้มจะรำคาญคนที่เข้ามาหลอก แต่คนสูงอายุที่เหงา มีแนวโน้มจะอยากคุยกับคนที่เข้ามาคุยด้วย เมื่อคุยนานโอกาสจะโดนหลอกให้เชื่อก็จะยิ่งสูงขึ้น 5 คนสูงอายุจะมีสิ่งที่เรียกว่า temporal discounting เปลี่ยนไป สิ่งที่เรียกว่า temporal discounting อาจจะพออธิบายแบบง่าย ๆ ได้ว่ามันคือ ความสามารถในการ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือ อดทนรอที่จะกินของหวาน ๆ ในอนาคตดีกว่า กินของเปรี้ยวตอนนี้ ซึ่ง คนสูงอายุจะคิดถึงสิ่งเหล่านี้น้อยลง คือ จะไม่รอถึงอนาคต แต่ยอมกินเปรี้ยวเลย ทำให้ง่ายต่อการโดนหลอกที่บอกว่า เดี๋ยวอีกสองวันก็ได้ผลตอบแทนแล้ว หรือ ต้องรีบโอนนะไม่งั้นจะไม่ทัน หรือแนว “แต่ช้าก่อน ถ้าคุณซื้อใน 5 นาทีนี้ คุณจะยังได้รับ บลา ๆๆๆ ” (เหตุผลนึงก็จากข้อ 1 ที่เขียนไว้ข้างบนด้วย) 6 คนสูงอายุจะมีสิ่งที่เรียกว่า introception ลดลง สิ่งที่เรียกว่า introception คือ การเปลี่ยนแปลงภายในของร่างกายเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย ในคนทั่วไป เมื่อสมอง (นอกจิตสำนึก) เรารับรู้ได้ว่า กำลังมีอะไรไม่ชอบมาพากล หรือ กำลังจะโดนหลอก หรืออันตราย สมองจะส่งสัญญานให้ร่างกายทำงานต่างไป หัวใจเราจะเต้นเร็วขึ้น เหงื่อจะออกมากขึ้น กล้ามเนื้อจะตึงตัวมากขึ้น แล้วทั้งหมดนี้จะทำให้เรารู้สึกว่า มันมีอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ หรือ ภาษาทั่วไปอาจจะใช้คำว่า มันเซนส์ได้ว่า นี่น่าจะเป็นมิจฉาชีพ แต่ในคนสูงอายุภาวะนี้จะน้อยลง เพราะระบบประสาทในร่างกายทำงานได้ช้าหรือน้อยลง สรุป จากทั้ง 6 ข้อนี้ จะเห็นว่าวิธีการต่าง ๆ ที่แนะนำกันอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่น่าจะได้ผลดีนัก เพราะจะเน้นไปที่ การใช้ตรรกะ หรือเข้าใจกลโกลที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้สมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งมักจะบางลงในคนสูงอายุ ถ้าถามว่าแล้วจะป้องกันยังไง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะพอช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย 1 สำคัญสุด คือ ทำให้คนสูงอายุที่บ้านมี insight หรือยอมรับว่า สมองของตัวเองไม่เหมือนแต่ก่อน โลกที่มองเห็น หรือการตัดสินใจของตัวเอง อาจจะบิดเบือนจากที่เป็นจริง เมื่อยอมรับตรงนี้ได้ ก็น่าจะยอมให้ลูกหลาน ที่ไว้ใจ ตัดสินใจแทน (แม้ในใจลึก ๆ ว่าจะยังเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกก็ตาม) 2 จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยมากขึ้น ข้อนี้อธิบายยากเพราะมันขึ้นกับบริบทของแต่ละคนหรือแต่ละบ้าน แต่ไอเดียหลักคือ ต้องหาระบบที่ทำให้การโดนหลอกหรือ การทำธุรกรรมทางการเงินทำได้ยากขึ้น หรือมีขั้นตอนการตรวจสอบมากขึ้น เช่น จะไม่โอนจนกว่าลูกจะอนุญาต (ซึ่งจะเป็นแบบนี้ได้ต้องมี ข้อ 1 ก่อน) หรือ มีกฎว่าจากนี้ไปจะไม่รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่รู้จัก หรือ จ้างลูกหลานที่มีความรู้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย (ลูกหลานมีรายได้เสริมด้วย) 3 สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น เจอกันบ่อยขึ้น โทรหากันบ่อยขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเหงา และความสัมพันธ์ที่ดีอาจจะช่วยให้เกิด ข้อ 1 ข้อ 2 คือ ยอมรับให้ลูกหลานตัดสินใจการเงินแทนตัวเองมากขึ้น 4 ข้อนี้ไม่เกี่ยวซะทีเดียว คือ ไม่ได้ผลทันที แต่เป็นวิธีการชะลอ การฝ่อหรือบางของสมองส่วนหน้าที่ได้ผลจริง ได้แก่ หนึ่ง การฝึกจิต หรือฝึกสมาธิ สอง การออกกำลังกาย ทั้งแบบแอโรบิกและการสร้างกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างก้นและต้นขา สาม นอน ตื่น อย่างเป็นเวลาและเพียงพอ สี่ กินอาหารที่ดีกับสุขภาพ เพราะอาหารที่ดีกับร่างกายก็จะดีกับสมองด้วย ห้า ไขมันโอเมกา 3 จากอาหาร และอาจจะเพิ่มในรูปอาหารเสริม ขอให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพกันทุกคนนะครับ... สวัสดีสุขภาพการเงินผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย‘FALSE BASE STATION’ จากเครื่องมือสืบสวนอาชญากรรม สู่อุปกรณ์ก่อเหตุ‘SMSดูดเงิน’ของมิจฉาชีพเมื่อเร็วๆ นี้ บทความเตือนภัยมิจฉาชีพส่ง SMS ตีเนียนเป็นธนาคารหลอกให้คลิก Link ของผู้เขียนเพิ่งได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ cofact.org ซึ่งรวบรวมคำเตือนของผู้รู้ทั้ง อ.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) รวมถึง พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ว่าด้วยอุปกรณ์ “False Base Station (FBS)” ที่สามารถส่ง SMS ปลอมเป็นใครก็ได้เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้ที่เข้ามาอยู่ในรัศมีทำการ โดยไม่ต้องอาศัยผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ (เช่น AIS , DTAC , True) อีกทั้งเครื่องนี้สามารถติดตั้งในห้องพักหรือแม้แต่ในรถยนต์ มีขนาดไม่ใหญ่และง่ายต่อการเคลื่อนย้าย จึงยากต่อการเฝ้าระวัง บทความที่แล้วผู้เขียนยังอ้างถึงรายงานข่าวในต่างประเทศ ซึ่งย้อนไปในปี 2557 ที่ประเทศจีนมีการกวาดล้างอุปกรณ์ FBS ครั้งใหญ่ เนื่องจากมีรายงานมิจฉาชีพนำเครื่องติดตั้งไว้ในรถแล้วขับตระเวนไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน แล้วยิง SMS ปลอมเป็นธนาคารหรือหน่วยงานของรัฐ กระทั่งในที่สุด เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่า อุปกรณ์ FBS ได้ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว หลังมีการรายงานข่าวเรื่องนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จับกุมผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมของกลางเป็นอุปกรณ์ FBS ที่ติดตั้งในรถยนต์ ขับตระเวนก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เว็บไซต์ firstpoint-mg.com ของ FirstPoint บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยสำหรับโทรศัพท์มือถือในอิสราเอล อธิบายการทำงานของ False Base Station ซึ่งยังมีอีกหลายชื่อเรียก เช่น Fake Base Station , IMSI catchers , Rogue Base Station , Stingray , Fake Cellular Tower ว่าเป็นการแทรกแซงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ (โทรศัพท์มือถือ) กับเสาส่งสัญญาณ (เสาจริง) การโจมตีสามารถทำได้ภายใต้รัศมีทำงานของอุปกรณ์ และแฮ็กเกอร์สามารถรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของอุปกรณ์ ติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือ หรือโจมตีระบบ DoS ที่บล็อกหรือครอบงำการเชื่อมต่อสัญญาณทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่มีการทิ้งร่องรอยใด ๆ ฮาซีบ อาวาน (Haseeb Awan) ซีอีโอของ Efani บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขียนบทความ “How to Protect Your Device from IMSI Catchers?” เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ระบุว่า ในอดีต อุปกรณ์ IMSI Catchers ใช้กันเฉพาะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อค้นหาข้อมูลระบุตัวตนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศ (IMSI) ที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัยในการสืบสวนคดีอาชญากรรม แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย กลายเป็นภัยที่ทุกคนต้องระวัง IMSI Catcher ใช้การโจมตีแบบ “ตัวกลาง (MITM)” พร้อมกัน ฝั่งหนึ่งทำงานด้วยการปลอมเป็นตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือเพื่อแสดงกับเสาสัญญาณโทรศัพท์จริง ส่วนอีกฝั่งก็ปลอมเป็นเสาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อแสดงกับตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือจริงที่มีผู้ใช้งานกันทั่วไป อุปกรณ์สามารถระบุการรับส่งข้อมูล (traffic)บนเครือข่ายมือถือ และกำหนดเป้าหมายสำหรับการสกัดกั้นและการวิเคราะห์ โดยสามารถใช้งานได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิต IMSI Catchers จะให้ฟังก์ชั่นอะไรมาให้ใช้งานบ้าง ดังนี้ 1.ติดตามตำแหน่งที่อยู่ (Location Tracking) IMSI Catchers สามารถบังคับเครื่องโทรศัพท์มือถือเป้าหมายให้ตอบสนองด้วยตำแหน่งเฉพาะโดยใช้ GPS หรือความเข้มของสัญญาณของเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่อยู่ติดกัน ทำให้สามารถจำลองสัญญาณตามตำแหน่งที่รู้จักของเสาสัญญาณเหล่านี้ได้ ซึ่งผู้ใช้งานก็จะสามารถเฝ้าจับตาเพิ่มเติมในรายละเอียด เช่น จุดที่อยู่แน่นอนหากเป้าหมายอยู่ในอาคาร หรือสถานที่ที่เป้าหมายมักเดินทางไปบ่อยๆ เป็นการตีวงจำกัดพื้นที่ให้แคบลงในการติดตามพฤติกรรมของเป้าหมาย 2.แทรกแซงการเชื่อมต่อ (Data Interception) IMSI Catchers บางชนิดสามารถเปลี่ยนเส้นทางการโทรศัพท์และส่งข้อความ เปลี่ยนแปลงการสื่อสาร รวมถึงปลอมแปลงตัวตนในการโทรศัพท์และส่งข้อความ 3.ส่งสปายแวร์ (Spyware Delivery) IMSI Catchers บางชนิดตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างแพงเพราะอ้างว่าสามารถส่งสปายแวร์ (Spyware-โปรแกรมจารกรรมข้อมูล) ไปยังโทรศัพท์มือถือเป้าหมายได้ โดยสปายแวร์สามารถเชื่อมตำแหน่งของเป้าหมายโดยไม่ต้องใช้ตัวจับ IMSI และรวบรวมภาพและเสียงผ่านกล้องและไมโครโฟนของเครื่องโทรศัพท์มือถือของเป้าหมาย 4.ดักรับข้อมูล (Data extraction) IMSI Catchers ยังอาจรวบรวมข้อมูลอภิพันธุ์ (metadata) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ ระยะเวลาการโทร และเนื้อหาของการสนทนาทางโทรศัพท์และข้อความที่ไม่ได้เข้ารหัส ตลอดจนรูปแบบการใช้ข้อมูลบางรูปแบบ (เช่น เว็บไซต์ที่เยี่ยมชม) “IMSI catchers ที่มีความสามารถขั้นสูงสามารถแทรกแซงข้อความและฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ นอกจากนี้ยังอาจดักรับ-ส่งข้อมูล เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรออก หน้าเว็บที่เรียกดู และข้อมูลอื่นๆ IMSI catchers มักจะติดตั้งเทคโนโลยีการรบกวน (เพื่อทำให้โทรศัพท์ 3G และ 4G เชื่อมต่อด้วยความเร็ว 2G) และคุณสมบัติการปฏิเสธการให้บริการอื่นๆ IMSI catchers บางตัวอาจสามารถดึงข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพและ SMS จากโทรศัพท์เป้าหมายได้” ฮาซีบ อาวานกล่าว ด้านเว็บไซต์ simoniot.com ของบริษัท Simon IoT ผู้ให้บริการเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองนิวยอร์กของสหรัฐฯ อธิบายความหมายของ IMSI ไว้ในบทความ “What Is an IMSI? /iˈmˈsē/” เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2564 ว่า IMSI (International Mobile Subscriber Identity) คือรหัสเลข 15 หลัก สำหรับซิมการ์ดของระบบโทรศัพท์มือถือ GSM แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1.รหัสประเทศ (Mobile Country Code : MCC) คือเลขชุด 2 ตัว หรือ 3 ตัวแรก ระบุประเทศของผู้ใช้งาน (เช่น รหัส MCC ของไทยคือ 520) 2.รหัสผู้ให้บริการ Mobile Network Code : MNC) คือเลขชุด 1-3 ตัวถัดไปจาก MCC ระบุเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ด (เช่น ในประเทศไทยคือ AIS , DTAC , True) 3.หมายเลขประจำตัวของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ (Mobile Subscription Identification Number) คือเลขชุด 9 หรือ 10 ตัวสุดท้ายของ IMSI โดยเป็นชุดตัวเลขที่ไม่ซ้ำกันเพื่อระบุผู้ใช้ซิมการ์ด หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถดูเลข MCC ของแต่ละประเทศ และเลข MNC ของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือได้ที่เว็บไซต์ mcc-mnc.com หรือเว็บไซต์ mcc-mnc-list.com/list ทั้งนี้ต้องบอกว่า การป้องกันภัยจาก IMSI Catchers หรือ False Base Station ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลทั่วไปไม่มีทางรู้เว้นแต่จะติดตั้งซอฟท์แวร์ตรวจจับในเครื่องโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งในต่างประเทศมีจำหน่ายหลายยี่ห้อ แต่ความคุ้มค่าในการลงทุนน่าจะเหมาะกับบุคคลระดับ VIP หรือองค์กรที่ต้องรักษาข้อมูลสำคัญจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงเสียมากกว่า) “สำหรับบุคคลทั่วไป ในเบื้องต้นหากเป็น SMS แนบ Link อ้างว่ามาจากธนาคาร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าปลอมแน่ๆ ลบทิ้งได้เลยไม่ต้องกดเข้าไป เพราะธนาคารเกือบทุกเจ้าที่ให้บริการในไทยได้ยกเลิกการส่ง SMS ลักษณะนี้แล้ว ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อป้องกันมิจฉาชีพสวมรอย” ส่วนหากเป็นหน่วยงานอื่นๆ ส่งมาแล้วไม่มั่นใจ ขอให้ท่านหาหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของหน่วยงานนั้นๆ แล้วโทรไปสอบถามก่อนจะดีที่สุด!!! -/-/-/-/-/-/-/-/-/-/- ขอบคุณและรับชมคลิปประกอบเรื่องจาก รายการข่าวสามมิติผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd47921• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรุงเทพฯแตกแล้วครับ / ดร.สันต์ //// หลังจากรักษาพระนครมาได้ยาวนาน แต่ในที่สุดตัวเลขและกราฟ 6 วันที่ผ่านมาตั้งแต่ 1 เม.ย. 2021 ได้ยืนยันการเข้าสู่ Wave3 อย่างแน่นอนและรุนแรงมาก .. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้รุนแรงมากกว่า Wave2 ที่เริ่มที่สมุทรสาครเป็นอย่างมาก จากตัวเลขและกราฟ ตอนนี้เราเข้าสู่ Exponential แล้ว Total Case ของ Wave#3 ใกล้แตะระดับ 1,000 แล้ว ก้าวข้ามสถานการณ์ของ Wave#1 เมื่อตอน Lockdown ปีที่แล้วและก้าวข้าม Wave#2 ตอนเปิดตัวเลขที่สมุทรสาครไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องหวังแล้วว่าจะจบต่ำกว่าหมื่นคน #ขอแค่หยุดไม่ให้ถึงแสนคนได้ก็เก่งมากแล้วสำหรับรอบนี้ คำแนะนำ : Lockdown กรุงเทพมหานคร ทันทีตั้งแต่คืนนี้เถิด ไม่มีใครสมควรได้ออกจากบ้านโดยไม่จำเป็นตั้งแต่คืนนี้พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าเรายังคิดว่าอยากจะหยุด Wave#3 นี้ไว้แค่หลักหมื่น สำหรับประชาชนทั่วไป ไม่ว่าใครจะ Encourage ท่านมากอย่างไรก็ตาม หรือภาครัฐและธุรกิจจะเอาน้ำเย็นเข้ารูปอย่างไรก็ตาม ผมแนะนำด้วยความปราถนาดีต่อท่านและครอบครัวว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ จงอยู่บ้าน และอยู่ไปยาวๆ 2 เดือน Wave3 นี้แตกต่างจาก Wave2 มาก เพราะครั้งนี้เราถูกโจมตีกลางเมืองหลวง ซึ่งที่ผ่านมาเมียนมาสูญเสียย่างกุ้ง มาเลเซียสูญเสีย KL ฟิลิปปินส์สูญเสียมะนิลา และถึงที่สุดตัวเลขยังวิ่งไม่หยุด ไปไกลมากจนต้อง Lockdown อยู่ดี และยังไม่มีใครกอบกู้กลับมาได้เลย เรามาดูสถานการณ์และกราฟต่างๆว่า คณิตศาสตร์บอกอะไรเราบ้าง ตัวเลขและกราฟในวันนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่แค่ Cluster แต่คือ Wave ใหม่แน่นอน การติดเชื้อในวงกว้างน่าจะเริ่มมาก่อน 1 เม.ย.พอสมควร และเราน่าจะเจอช้าไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ และมี Doubling Day ที่สั้นมากจนน่าใจหายมาก กราฟของ Total Case ในเขตกรุงเทพฯ ยืนยันหายนะที่ชัดเจน ว่ากำลังเป็น Exponential ที่เพิ่มเป็นสองเท่าภายในทุกๆ 1-2 วันเท่านั้น ถึงแม้ส่วนหนึ่งเกิดจากการตรวจเชิงรุก แต่ตัวเลขการตรวจเจอจากโรงพยาบาลก็สูงมาก และโดยทั่วไป Doubling Day แค่ 3 วันก็หนักแล้ว นี่ผ่านไปแค่ 6 วันเฉพาะ Wave3 แค่กรุงเทพก็ราวๆ 505 คนแล้ว และทุกคนอยู่กระจายไปทั่ว เดินทางไปทั่วเมืองและทั่วประเทศ ที่นี่เป็นเมืองศูนย์กลางการเดินทางที่มีฐานประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ไม่ใช่แค่ 1 ล้านแบบสมุทรสาคร และไม่ใช่แรงงานต่างด้าวที่จะกักจขังได้ตามใจชอบ นี่คือสัญญาณว่า เราได้สูญเสียกรุงเทพฯไปแล้ว และสถานการณ์มันร้ายแรงมาก กราฟของ Wave3 ทั่วประเทศไทย กราฟมีความคล้ายกับของกรุงเทพฯ ยืนยันลักษณะกราฟเป็น Exponential ที่รุนแรงเช่นกัน Doubling Day ยังสั้นกว่า 2 วัน ยังไม่นิ่ง แต่น่าจะใกล้ Stabilized ซึ่งจะทำให้เราเห็น Trend ระยะกลางได้ และจะสามารถประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงเวลาต่างๆของ Wave ที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ต้องจับตาดูอีก 1 สัปดาห์ Total Case และ Daily New Case ที่กราฟพุ่งทะยานทันทีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันว่าการติดเชื้อหลักรอบนี้ไม่ใช่แรงงานพม่าแต่เป็นชาวกรุงทั้งไทยและเทศ Character ของ Wave3 จึงจะต่างจาก Wave2 โดยสิ้นเชิง ........ ความน่ากลัวในการจู่โจมของ Wave3 1. เกิดขึ้นกลางกรุงเทพฯ ที่เป็น Hub ประชากร> 10 ล้านคน ยากแก่การปิดเมือง และทำ Contact Tracing มากๆ 2. คณะรัฐมนตรีโดนไวรัสไปแล้วเรียบร้อย 3. เรายังไม่หายเหนื่อยจาก Wave2 พักมาไม่ถึง 2 เดือนแบบตาปิดไม่สนิทด้วย 4. ผู้คนมากมายในกรุงเทพฯเริ่มออกเดินทางไปต่างจังหวัด และพร้อมจะเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 5. ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังรอลูกค้าสงกรานต์ 10 วัน พวกเขาจะต้องร้องไห้กันอีกเท่าไหร่ พวกเขาไม่เหลือสายป่านแล้ว และเที่ยวนี้ก็จะไม่เหลืออะไรให้พวกเขากล้าที่จะคาดหวังอีกต่อไปแล้ว 6. ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบายในประเทศนี้ได้รับวัคซีนกันหมดแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนั้นพวกเขาจะกล้าเดินนโยบาย GDP ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและน้ำตา ณ จุดนี้ต้นทุนความเสี่ยงตายของคนในชาติไม่เท่ากันแล้วและผู้มีอำนาจไม่จำเป็นต้องกลัวตายเหมือนครั้งก่อนมีวัคซีน สิ่งที่ควรทำที่สุด : 1. Lockdown กรุงเทพฯ ทันที และยึดเมืองหลวงคืนมาให้ได้ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครจะกล้าประกาศ Lockdown เร็วๆนี้แน่ แต่เราต้องทำอะไรบางอย่าง เวลามีค่ามาก ถ้าเราไม่ทำอะไรเอาแค่สั่งปิดเล็กๆน้อยๆเป็นน้ำจิ้ม ไม่รอดแน่ ถ้าจะทำหลังสงกรานต์ก็หนักแล้ว 2. ธุรกิจท่องเที่ยวที่หยุดไม่ได้แล้ว ต้องตั้งการ์ดสูงสุดในการรอรับลูกค้า 3. คนที่เดินทางออกไปต่างจังหวัดแล้ว จองโรงแรมจ่ายตังค์ไปแล้ว ต้องมีสำนึกในการป้องกันตัวเอง ไม่ทำสิ่งที่คนอื่นจะเสี่ยงเพราะตัวเรา 4. จังหวัดต่างๆ ต้องพิจารณาประกาศควบคุม 14 วันด้วยตนเอง เมืองหลวงแตกแล้ว หัวเมืองต้องเข้มแข็ง แล้วช่วยกันกลับมายึดกรุงเทพฯคืนมา 5. ฉลองสงกรานต์อยู่บ้าน #พยายามงดเว้นสถานที่ติดแอร์ทั้งหมด และหลังสงกรานต์ Work from Home ทันที 6. วัคซีนต้องเร่งให้เร็วขึ้นอีกอย่างมาก ไม่มีวัคซีนเราไม่ชนะหรอก 7. ติดตาม Timeline และฟังศบค.และข้อมูลจากบุคลากรสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดทุกๆวัน สำคัญมากๆ ........ ครั้งนี้เราเสียเมืองหลวงเพราะคนไทยเสพติดอบายมุข สุรา กามา บันเทิง ไม่ละเว้นทั้งๆที่เป็นช่วงที่ประเทศอยู่ในวิกฤตเจียนอยู่เจียนไป นับจากวันนี้ คนกรุงเทพฯ Mind Set ต้องรีบเปลี่ยน กลับมาตั้งหลักกันใหม่ ช่วยกันกอบกู้พระนครกลับมาให้ได้ ต้องเรียนตามตรงว่า ภาระกิจนี้กับ Covid แทบไม่มีชนชาติใดที่โดนตัวเลขระดับนี้แล้วกู้กลับมาได้เลย แต่ผมมั่นใจว่าเราจะเป็นชาติแรกๆ พวกเราต้องช่วยกัน ผมเชื่อว่ายังไม่สายเกินไป ดร.สันต์ ****** ครั้งนี้กรุงเทพแตกแล้วของจริงครับ lockdown ก็ไม่ทันการณ์แล้ว แต่ละคนต้องป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดในระดับสูงสุดเท่านั้นโควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยhttps://www.thailand-authentic.website/combo-apple-bigsalesแอคปลอมไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว2 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 2 คนสงสัยนํ้ามันกัญชาของหมอเดชาช่วยรักษาจอประสาทตาเสื่อมได้จริงหรอครับนํ้ามันกัญชามันสามารถช่วยรักษาจอประสาทเสื่อมและโรคต่างๆที่เกี๋ยวกับดวงตาให้หายขาดได้จริงสุขภาพยาสมุนไพรผู้บริโภคเฝ้าระวังpocky18b• 3 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่การไว้หนวดเคราผิดระเบียบนักศึกษาแพทย์?มีข่าวนักศึกษาแพทย์มุสลิมถูกพ้นสภาพการเป็นนักศึกษา เนื่องจากไว้หนวดเคราภาคใต้Abdulhadee Ar-wae (ftu)• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: true3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยบริจาคเลือด มาเป็นหมู่คณะมีรถไปรับ มาเกิน 50 คนรถไปหาถึงที่ทางสภากาชาดไทย ได้เชิญชวนประชาชนบริจาคเลือดฝ่าวิกฤต โควิด 19 โดยอำนวยความสะดวกดังนี้ 1. ประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางไปบริจาคได้ที่ศูนย์บริการโลหิตฯ, สถานีกาชาดที่ 11, ภาคบริการโลหิต 2. บริจาคเป็นหมู่คณะ 10-20 คนจะจัดรถรับส่งมาที่ศูนย์บริการโลหิต 3. คอนโด หมู่บ้าน ชุมชน รวบรวมสมาชิกได้ 50 คนจะจัดรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ไปรับบริจาคถึงที่ ติดต่อโทร : 02252 1637โควิด 2019anonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยได้ข้อมูลจาก คุณ พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร มติชน อ่านเลย! มีประโยชน์ช่วยคนได้ครับ.... ท่านผู้นี้ชื่อจริงไชยวรรณ พิมพนิช คนส่วนมากเรียกติดปากว่าพ่อเลี้ยงวรรณ เป็นคนแม่สอดจ.ตาก มีอาชีพทำการเกษตร ปลูกมันสำปะหลังปลูกอ้อย ปลูกส้ม สุดท้ายก็มาปลูกกล้วยส่งต่างประเทศ ก็ทำมาสิบกว่าปีแล้ว มีลูกชายสามคนจบปริญญาโทด้านการเกษตรทั้งสามคน คนโตเรียนพืชไร่ คนที่สองเรียนพืชสวน คนที่สามเรียนส่งเสริมการเกษตร ปัจจุบันอายุก็หกสิบกว่าแล้ว ปกติจะเป็นคนชอบออกกำลังกาย สุขภาพก็แข็งแรงดี เพื่อนๆหรือคนรู้จักจะชมว่าทำไมอายุมากขนาดนี้ถึงแข็งแรงเดินเหินได้สบาย @ เข้าตรวจอาการที่โรงพยาบาล @ อยู่มาไม่นานเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกิดอาการปวดที่หลังและไม่หายประมาณ 2 เดือนกว่า รักษาหลายวิธีทั้งแช่น้ำอุ่นและให้หมอนวด ก็ไม่หาย วันหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯเพื่อนเป็นหมอ อาตมาเล่า(ขณะที่เล่า..บวชแล้ว) ให้เพื่อนฟังว่าปวดหลังมา สองเดือนกว่าแล้วไม่หายสักที เพื่อนก็นิ่งแล้วมองหน้ากันเขาไม่พูดอะไร สักพักเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่าเอกซเรย์หน่อยดีไหม เพราะคนปกติปวดธรรมดาทั่วๆไป กล้ามเนื้ออักเสบเอ็นพลิก ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ก็หายแล้ว แต่พ่อเลี้ยงวรรณ ปวดจากหลังลามมาถึงหน้าอก 2 เดือนแล้วไม่หายต้องเอกซเรย์หน่อย พอเอกซ์เรย์เสร็จ ก็เห็นว่ามันมีรอยจุดด่างๆอยู่ 2 จุด หมอบอกว่ายังไม่แน่ใจนะต้องเข้าเครื่องสะแกน เข้าเครื่อง สะแกน 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่ทราบผล พอออกมาจากเครื่องสะแกนก็กลับบ้าน หมอบอกว่า 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ค่อยมาฟังผล เพราะ ฟิมล์ผลตรวจจะออกมาวันพรุ่งนี้ รุ่งขึ้น 10 โมงเช้าก็ไปโรงพยาบาล มีหมอ 4-5 คนอยู่ในห้องคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทกันพูดขึ้นมาว่า ไม่น่าจะเกิดกับเพื่อนเราเลย อีกประมาณ 20 นาทีก็ให้หมอผู้หญิง ที่เป็นหมออายุรกรรมมาบอกว่า พ่อเลี้ยงวรรณ ต้อง ( ATMID) แอดมิด แล้วละ หมายถึงต้องนอนที่โรงพยาบาล ตกลงวันนั้นก็ต้องนอนโรงพยาบาล หมอก็เอาเลือดไปตรวจเข้าเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตรวจคลื่นหัวใจ วันนั้นผลเลือด หมอส่วนใหญ่ก็จะรู้แล้วว่าเป็นมะเร็ง เพราะว่า PHA ค่าของเลือดอยู่ที่ 300.800 สำหรับคนปกติ จะอยู่ที่ 000.000-4.0000 ถัดไปประมาณ 2-3 วันหมอก็ตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ แล้วลงมติว่าเป็นมะเร็ง หลังจากทราบผลว่าเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังขั้นสุดท้าย ก็ตกใจช็อกไปประมาณ 20 นาที 20 นาทีที่บอกไม่ถูก เป็น 20 นาทีที่ทรมานมาก ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี ความดันก็ขึ้นไป 180 จากปกติ 110 ถึงขั้นสุดท้ายแล้วจะทำยังไงดี หมอบอกว่าต้องให้คีโม ( เคมีบำบัด ) ต้องฉายแสง ต้องฝังแร่ ก็เลยถามกลับไปว่า ถ้าฝังแร่แล้วอยู่ได้นานเท่าไหร่ หมอบอกว่าอยู่ได้ปีหนึ่งไม่รับรองมากกว่านี้ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่อเมริกา เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เขาบอกให้ไปที่นั่น เขาจะดูแลให้ ก็ถามเขาว่าไปแล้วจะให้ไปทำอะไร เขาบอกให้ไปฝังแร่ ผมก็ไม่ไป ยังไงหนึ่งปีก็ตายอยู่แล้วจะไปทำไมให้เสียเงิน @ ตัดสินใจบวชหนีโรคร้าย @ ตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ 1 อาทิตย์ ก็เลยนั่งคิดต่อว่าถ้าอยู่แต่ที่วัดจะรอดไหม น่าจะสู้กับมัน จะต้องสู้ให้ได้ จะต้องชนะ ชีวิตเกิดมาเพียงแค่ชีวิตเดียวอยู่ๆจะมายอมตายง่ายๆได้อย่างไร ผมคิดขึ้นมาได้ว่ากษัตริย์สีหนุ ท่านเคยเป็นมะเร็ง เมื่ออายุ 40 กว่าปีก่อนไปรักษาที่ต่างประเทศเวลานี้อายุตั้ง 90 ปียังมีชีวิตอยู่ คิดถึงตรงนี้ เลยโทรศัพท์หาน้องที่เป็นกงสุลใหญ่อยู่ต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลทราบว่าที่ประเทศที่สาม ( เกาหลีเหนือ ) มีสถานที่บำบัดมะเร็งจริงแต่การเดินทางไปลำบากมาก @ หนีความตายไปประเทศที่สาม @ มะเร็งระยะสุดท้าย ฟังแล้วน่ากลัวจริงๆ หนทางรอดแทบไม่มี จึงตัดสินใจทำพินัยกรรมให้ลูกๆแล้วรวบรวมเงินทองที่หามาได้ตลอดชีวิตเดินทางไปประเทศที่สามเผชิญความตายด้วยใจสงบ ถ้าโชคดีคงได้กลับมาอีกมันเป็นภาวะจนตรอกที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ถึงแม้ชีวิตของคนเราจะเกิดมาแล้วต้องตายกันทุกคน แต่ถึงวินาทีนั้นคนเราต่างก็กลัวความตายโดยสัญชาตญาณ อยากจะยืดชีวิตต่อลมหายใจออกไปอีก นั่งเครื่องบินไปลงที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วจึงนั่งรถยนต์ไปอีก 8 ชั่วโมง แทบเอาตัวไม่รอดสุดทรมานโดยเฉพาะช่วงที่นั่งบนเครื่องบิน นั่งพิงเบาะไม่ได้ ปวดหลังอึดอัดทรมานมากนั่งเอามือเกาะเบาะด้านหน้าร้องโอดครวญตลอดการเดินทาง น้ำตาลูกผู้ชายมันหยดไหลอย่างไม่รู้ตัว นึกในใจว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ได้กลับเมืองไทยอีกแล้ว ยิ่งช่วงการเดินทางโดยรถยนต์ไปยังประเทศที่สาม ลำบากมากทั้งเจ็บปวดสุดทรมานตลอดการเดินทาง 8 ชั่วโมงเต็ม ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่เป็นศูนย์บำบัดตั้งอยู่บนเขา ผู้ที่มาบำบัดรักษาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป อเมริกา อาหรับ ญี่ปุ่น คนไทยมีอาตมาเพียงคนเดียว เน้นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ใช้แสงตะวัน ใช้สายน้ำ ใช้หิมะ อาหารทุกอย่างต้องสด คนป่วย 1 คน จะมีพยาบาลประจำตัว 1 คนดูแลเราอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เช้า 05.00-20.00 น.ไปไหนไปด้วยกันนอนด้วยกัน ดูแลทุกย่างก้าว เข้าห้องน้ำก็ไปนั่งเฝ้า เป็นพี่เลี้ยงตลอด อาบน้ำก็ไปดูว่าน้ำได้อุณหภูมิไหม อุ่นพอไหมเย็นพอไหม อาหารการกินก็กินโอสถ เน้นธรรมชาติล้วนๆ อยู่ที่นี่ยาสักเม็ดก็ไม่มี ศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งนี้ จะมีคอร์สบำบัดรักษา 30 วัน 60 วัน และ 90 วัน ของผม 30 วันอาการก็ดีขึ้นมาก ผิดกับตอนที่มาใหม่ๆ เจ็บปวดจนทนไม่ไหว คนที่มาที่นี่ป่วยเป็นมะเร็งทุกชนิดบางคนปฏิบัติตัวได้ตามที่เขาให้ทำให้กินก็ประสบความสำเร็จ ในแต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาประมาณ 05.00น.ก็จะเอาน้ำโอสถมาให้ดื่ม 1 ลิตร รสชาดจืดชืดสีเขียวเข้ม เวลาประมาณ 06.30น. ก็จะพาไปเดินออกกำลังกาย แล้วพาไปรับแสงตะวัน เรียกว่าแสงตะวันบำบัด นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปกลับวันละ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะพาเดินบนหิมะประมาณ 1 ชั่วโมงทุกวัน เสร็จแล้วมาประคบน้ำอุ่นที่ฝ่าเท้า ถามเขาว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ เขาบอกว่าเพื่อสร้างภูมิภูมิต้านทานขึ้นมา บางคนก็ทำไม่ได้ ทำได้ประมาณ 20-30 % แต่ของอาตมาอาศัยเป็นนักกีฬาเก่า วันแรกก็ไม่ไหวเหมือนกันเย็นจัด วันที่สองวันที่สามก็เริ่มทำได้ และทำได้มาตลอด พอทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้น ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ สำหรับโอสถสีเขียวเข้มจะดื่มช่วงเช้า 1 ลิตร บ่าย 1 ลิตร ตอนเย็นอีก 1 ลิตร และก่อนนอนอีก 1 ลิตร วันหนึ่งจะดื่มโอสถวันละ 4 ลิตร น้ำนี้น่าจะเข้าไปช่วยกำจัดอาจจะเป็นน้ำที่เชื้อมะเร็งไม่ชอบ เอาไปล้างพิษในร่างกายออกมา เพราะเรากินเข้าไปวันละตั้ง 4 ลิตรก็ต้องมีการถ่ายเทออกมา แต่เป็นเรื่องที่แปลกนะ เวลาเรากินน้ำกินยาแคปซูลอะไรก็แล้วแต่ เวลาเราปัสสาวะออกมาจะเป็นสีเหลือง แต่เวลาเราดื่มโอสถพวกนี้เวลาปัสสาวะออกมาก็ยังใส แสดงว่ามันเอาไปใช้หมด เป็นเรื่องที่แปลก ใสกว่าปกติด้วยซ้ำไป ช่วงไปอยู่ทีนั่นใหม่ๆนอนหงายไม่ได้ มันปวดหลังมากต้องนอนคว่ำเหมือนจระเข้ หลังมันปวดร้าวไปหมดเพราะถูกมะเร็งทำลายไปเยอะรวมไปถึงหัวเข่าด้านซ้ายด้วย เวลานั่งหลังก็พิงไม่ได้ เรื่องอาหารการกิน เขาจะให้ทานข้าวบาร์เลย์ กับข้าวก็เป็นกับข้าวพื้นๆไม่มีอะไรมากมายเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ผักที่นี่เขาปลูกเอง ปลูกในกระโจม ปรับอุณหภูมิและไร้สารพิษ ดินที่ใช้ปลูกเปลี่ยนทุก 3 เดือน เขาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดล้วนๆแต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าใช้จ่ายต่อวันเขาคิด 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ผมอยู่ที่นี่ 30 วัน ปฏิบัตตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดมีระเบียบวินัย ถึงเวลาออกกำลังกายก็ต้องออก พักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ถึงเวลากินก็ต้องกิน มั่นใจว่าดีขึ้นแน่ อาการป่วยของผมดีขึ้นตามลำดับ เพียง 10 วันแรกเราจะสัมผัสได้เลยว่าเรามาถูกทางแล้วอาการปวดเริ่มลดลงๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ผิดกับวันแรกๆที่นอนร้องโอดโอยตลอดเวลา พอร่างกายแข็งแรงก็ขยับตัวเองไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยคนอื่นต่อ ก็คิดว่าเราน่าจะนำวิชาความรู้เหล่านี้ไปช่วยเหลือเพื่อนคนไทยที่ต้องทุกข์ทรมานกับมะเร็งร้าย ถ้าจะให้ดีต้องบุกครัวเข้าไปช่วยในครัวจะได้จดจำโอสถยาให้ได้ แต่โชคร้ายเขาไม่อนุญาต ผมจึงตัดสินใจว่าไหนๆก็เดินทางมาถึงที่สุดของชีวิตแล้ว จึงทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบเขาจนกระทั่งเขาสงสาร จึงอนุญาตให้เข้าไปช่วยในครัว คิดถึงบ้านขอกลับ ผมรู้สึกร่างกายเราแข็งแรงแล้วเราไม่ตายแล้ว คิดถึงบ้านก็เลยขอกลับ เขาก็มาตรวจร่างกาย เขาบอกร่างกายแข็งแรงดีเขาก็ให้กลับ ระหว่างนั่งอยู่บนเครื่องบินก็คิดว่าเราน่าจะกลับไปช่วยคนที่เป็นมะเร็งได้ เพราะคนที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตรงไหนก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่ 90 % จิตใจมันตายแล้ว มันเหลือแค่ 10 % เท่านั้นในร่างกาย จะมีสักกี่คนที่ใจสู้แล้วยอมหาวิธีรักษาตนเอง มีน้อยมาก ผมตั้งใจว่าถ้ากลับถึงเมืองไทยจะช่วยคนที่เป็นมะเร็ง ถึงช่วยได้ไม่ถึง 100 % ช่วยได้ 50 % ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว กลับมาเลยปรึกษาญาติๆว่าจะตั้งมูลนิธิเป็นของตัวเองชื่อว่ามูลนิธิวรรณ จุดเป้าหมายก็คือ ดูแลพวกที่เป็นโรคร้ายเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมให้การศึกษาเด็กดีขยันเรียน คืนป่าให้แผ่นดิน มูลนิธิเราคงมีรายได้จากการปลูกผักไร้สารจากอำเภอแม่สอดจังหวัดตากส่งมาขายที่กรุงเทพฯ หลายคนพอทราบข่าวก็ยินดีให้การสนับสนุน หลังจากกลับจากต่างประเทศแล้วก็ไปตรวจร่างกายตรวจเลือดที่โรงพยาบาลที่เคยตรวจ ผลเลือดที่เรียกว่า PHA ( ช่วงที่ป่วยก่อนรักษาอยู่ที่ 311.800) หมอใช้เวลาตรวจ 6 ชั่วโมง วัดได้ 5.090 ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 ไปตรวจอีกครั้งวัดได้ 0.268 หมอไม่แน่ใจส่งเลือดไปให้โรงพยาบาลอีก 2 แห่งตรวจอีก ผลการตรวจออกมาตรงกันหมด ถือว่าเยี่ยมแล้ว คนปกติทั่วไปที่ไม่มีเชื้อมะเร็ง จะอยู่ที่ 0.000-4.000 ของเราเลือดดีกว่าคนปกติอีก หมอถามว่าไปทำอะไรมา อาตมาบอกไปรักษามา อาตมาไม่ยอมตาย คิดว่ามะเร็งยังหลบอยู่ในตัวเรา แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เราก็ไม่ชะล่าใจ มะเร็งเกิดจากภูมิบกพร่องของชีวิต มันต้องการอาหาร อาหารโปรดของมันคือ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ซึ่งเราก็ไม่ให้มันกินเลย มะเร็งถ้าเราไม่ให้อาหารมัน มันก็จะฝ่อ และอ่อนแรง เราไม่ให้กินนานๆเข้ามันก็จะตายในที่สุด บ้านเราผู้ป่วยใหม่ที่เป็นมะเร็งมี 284 คน/วัน ตายชั่วโมงละ 11 คน เราต้องมาปรับเปลี่ยนวิธีกินอยู่กันใหม่ การเจริญเติบโตของมะเร็ง เขาจะก้าวกระโดด จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 บวกขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ป่วยเป็นมะเร็งส่วนใหญ่ที่ตายเพราะโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มะเร็งหยุดได้ถ้าใจสู้” “ เราต้องมีวินัยถ้ามีวินัยเราสามารถหยุดมะเร็งได้ ต้องยึดกฎเหล็กดูแลเรื่องอาหารการกิน การปฏิบัติตัว สิ่งแวดล้อมอากาศบริสุทธิ์ การออกกำลังกาย ผมอาจจะมีบุญเพราะเป็นมะเร็งแต่ไม่เคยคิดว่าเป็นมะเร็ง คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรถึงจะชนะ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ยืนยาวดูแลลูกเต้าต่อไป ไม่เคยกังวลเลย แล้วเรื่องพืชผักต้องไร้สารจริงๆไม่ใช่ปลอดสาร ไร้สารคือดูแลการปลูกตั้งแต่เริ่มต้นจนเก็บเกี่ยวจะไม่ใช้ยา แต่ถ้าปลอดสารคือใช้เคมีพอใกล้วันเก็บเกี่ยวประมาณ 15 วันก็จะหยุดใช้สารเคมีอันนี้ไม่ปลอดภัย จะมีสารตกค้างตามมา” มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถ้าเรารู้จักวิธีป้องกันดูแลสุขภาพเราก็สามารถชนะมันได้ขอเพียงอย่างเดียวจิตใจต้องเข้มแข็ง บางรายเกิดวิตกจริตนอนไม่หลับเพราะญาติพี่น้องเสียชีวิตเพราะมะเร็งไม่รู้จะถึงตัวเองเมื่อไหร่ หลายรายทำตามคำแนะนำของพ่อเลี้ยงวรรณอาการดีขึ้นทันตาเห็น ปัจจุบันพ่อเลี้ยงวรรณมีโครงการสร้างศูนย์ธรรมชาติบำบัดที่สวนเกษตรของพ่อเลี้ยงเองที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ผมเลยแนะนำพ่อเลี้ยงให้สร้างหิมะเทียมขึ้นเอง ในอนาคตเราคงได้เห็นศูนย์ธรรมชาติบำบัด ของมูลนิธิวรรณ ในเมืองไทย ซึ่งที่ อ.แม่สอด จ.ตากอากาศดีมาก นอกจากได้สูดอากาศบริสุทธ์แล้วยังมีแปลงเกษตรไร้สารพิษอีกด้วย พ่อเลี้ยงวรรณมีปณิธานว่าสำหรับผู้ยากไร้ มูลนิธิวรรณจะรักษาให้ฟรี สำหรับผู้มีอันจะกินให้สนับสนุนค่าโอสถเพียงวันละ 100 บาท ทางมูลนิธิจะจัดส่งโอสถไปให้ เรียกว่าคนมีฐานะช่วยคนด้อยโอกาสนะครับ ถ้าท่านอยากทราบรายละเอียดและขอคำ ปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม ติดต่อมูลนิธิวรรณ(ปัจจุบันลูกชาย-ภรรยาดูแลอยู่) เลขที่ ๓/๖๘๑ ประชานิเวศน์ ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ ลาดยาวจตุจักร กรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๑๕๘-๐๖๕๘ ช่วยกันเผยแพร่นะครับ ได้บุญมะเร็งไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย🔴 ในที่สุดก็ประกาศข่าวร้าย: สหรัฐอเมริกาประกาศอย่างเป็นทางการ: อาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่มีสารพิษร้ายแรงได้ระเบิดในที่สุด 🔴 การระบาดของเนื้องอกในวงกว้างเกี่ยวข้องกับอาหารดัดแปลงพันธุกรรม กระจายข่าวด่วนและแจ้งให้ญาติและเพื่อนของคุณ (ของคุณ) ทราบ! อย่าลืมใส่ใจ! 🔴ทุกคนต้องดูให้ดีเมื่อไปซุปเปอร์มาร์เก็ต: 🔴บาร์โค้ดที่ขึ้นต้นด้วย "8" เป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรม! ⭕ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร ขอแค่ดัดแปลงพันธุกรรม อย่าซื้อหรือกิน! ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญจะสนับสนุนว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างไร เราก็ต้องจำไว้ว่า: 1. คนอเมริกันไม่กินมัน 2. ห้ามโดยเด็ดขาดโดยสหภาพยุโรป; 3. ห้ามใช้ระบบอาหารพิเศษของจีนโดยเด็ดขาด 4. ห้ามเด็ดขาดในงาน World Expo; 5. ห้ามโดยเด็ดขาดในเอเชียนเกมส์ 6. ชาวแอฟริกันจะไม่นำเข้ายีนดัดแปลงพันธุกรรมแม้ว่าพวกเขาจะอดอาหารจนตายก็ตาม 7. ห้ามอย่างเคร่งครัดในมหาวิทยาลัยโลก 8. รัสเซียยืนยันว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมทำให้สัตว์สูญพันธุ์มาสามชั่วอายุคน 9.โรคที่ทำให้คนไทยเจ็บป่วยแล้วเสียชีวิตสูงสุดในปัจจุบันคือโรคมะเร็ง อันเกิดจากได้รับสารพิษจากการกินอาหาร 🔴 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปลอม (มีพิษ) เหล่านี้: 🔴 1.มะเขือเทศเนื้อแดงมียีนพิษแมงป่อง! 🔴 2. ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอย่างแท้จริง! 🔴 3. มันเทศสีม่วงยังเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกด้วย! ข้าวโพดหวานเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกา "ข้าวโพดหวาน" ที่เรากินกันอย่างมีความสุขมานานกลายมาเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมา คนธรรมดาๆ หลายคนไม่มีความรู้เรื่องนี้ และยังชอบซื้อข้าวโพดหวานมารับประทานอีกด้วย คนหนุ่มสาว คนที่ยังไม่แต่งงาน และคนที่ยังไม่คลอดบุตร ไม่ควรกิน! แน่นอนว่าหลังจากทราบข่าวนี้แล้วทุกคนเพื่อตนเองและครอบครัว อย่าลืม: อย่ากินอาหารดัดแปลงพันธุกรรมอีกต่อไป 🔴โปรดจำไว้ว่า: ผลไม้นอกฤดูกาลทุกชนิดไม่สามารถรับประทานได้! ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหน กรุณาส่งต่อให้เพื่อนของคุณผู้บริโภคเฝ้าระวัง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 4 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเตือนภัยคนใช้ BTS เหตุการณ์จริง กำลังอาละวาด + อ่านให้จบ เพื่อทราบวิธีแก้ไขสถานการณ์ค่ะ แก๊งมิจฉาชีพ อาละวาดบน BTS เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานีราชดำริ และขนส่งหมอชิต เริ่มจากผู้หญิงวัยกลางคนจะเข้ามาแกล้งถามว่าไปอนุเสาวรีย์ขึ้นรถตรงนี้หรือเปล่า(เหมือนชี้เป้า) จากนั้นเมื่อขึ้นรถไฟแล้วจะมีผู้ชายถือกล่องไปใหญ่แกล้งเดินมาชนแล้วล้มลงบนพื้น ร้องโอดโอยประมาณว่าโดนสิบล้อชน เมื่อเหยื่อตกใจจะมีหน้าม้าอีกคนเข้ามาพยุงคนเจ็บบอกว่าต้องไปส่งโรงพยาบาล อาการน่าจะเข่าหลุด (คาดคงเป็นโรคกระดูกพรุน) หน้าม้าอีกคนที่เข้ามามุงดูจะพูดให้น่าเชื่อถือว่าอาการแบบนี้จะเจ็บมากเพื่อให้เหยื่อตายใจ พอเหยื่อหลงเชื่อจะพาไปหาหมอ คนเจ็บก็จะร้องตอบขึ้นมาว่าผมไม่มีเงินเลยแถมของที่ถือมาก็เสียหายมาก (ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ) แล้วก็ขอให้เหยื่อชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาล ระวังๆกันไว้นะครับ " วิ ธี แ ก้ ไ ข ส ถ า น ก า ร ณ์ " : คุณ Banyat Seknamchoke ได้แจ้งวิธีแก้ไขดังนี้ค่ะ ในฐานะเป็นกู้ชีพ คนหนึ่ง ขอทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า หากพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าว "อย่าไปหลงเชื่อ" แต่ "ให้แจ้ง จนท. รปภ. หรือเจ้าหน้าที่ประจำรถ" ให้ทราบครับ เพราะในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน บนสถานีรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น BTS , MRT , Airport link , BRT ถ้าจำเป็นต้องส่ง โรงพยาบาลหรือต้องนอนพักสักครู่ ทุกสถานีมีห้องพยาบาลประจำสถานีแล้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลครับ (ยกเว้น BRT) ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดหรือโดนหลอก ขอให้ "แจ้งเจ้าหน้าที่สถานี" ไว้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่สถานีจะมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น เข้ามาดูแล และหากต้องส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จะประสานงานกับหน่วยกู้ชีพที่อยู่ใกล้ที่สุด มานำคนเจ็บคนป่วยส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้น ไม่ต้องจ่ายให้ครับ เพราะคนไทยทุกคน จะต้องมีสิทธิ์ต่อไปนี้ตั้งแต่กำเนิด คือ 1.สิทธิ์บัตรทอง (ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องมี) ถ้าไม่มี ก็ต้องมี 2.สิทธิ์ประกันสังคม(คนทำงานเอกชนหรือลูกจ้างของรัฐ) 3.สิทธิ์จ่ายตรง(ข้าราชการ) 4.สิทธิ์ประกันอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตของเอกชน ซึ่งไม่ว่าสิทธิ์ไหน ก็สามารถครอบคลุมอุบัติเหตุฉุกเฉิน แบบนี้ได้ (ยกเว้นอุบัติเหตุจราจร) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ฉะนั้นขอให้อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพครับ ถ้าเค้าแกล้งเจ็บขนาดนั้น ลุกไม่ไหว ไม่ยากครับ สะกิด จนท.ประจำรถ หรือ รปภ. ได้เลยครับ ถ้าเค้าจะโวยวายปล่อยให้โวยวายไป เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จัดการเองครับ ถ้าเค้าอยากเล่นละครจะให้รอดไปถึง รพ.ได้ ก็คงยากแล้วครับ เล่นงัยก็ไม่เนียนแล้ว พวกนี้พอเห็น จนท.เข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวก็แกล้งทำเป็นดีขึ้น หาย แล้วก็เดินจากไปเข้ากลีบเมฆต่อ Cr. แชร์เพื่อสังคม และ วิธีแก้ไขสถานการณ์โดย คุณ Banyat Seknamchokeผู้บริโภคเฝ้าระวังมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ