2434 ข้อความ
- 1 คนสงสัยซิลิโคนทำให้อุดตันจริงไหมถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาเป็นสิวง่าย และเป็นคนที่สนใจในการอ่านส่วนผสมบนฉลากเครื่องสำอาง คุณคงจะพยายามมองหาส่วนผสมที่ทำให้เกิดการอุดตันและเลี่ยงที่จะใช้มันKhairun Nisa• 4 ปีที่แล้วmeter: middle3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยฉีดวัคซีน astrazeneca อันตรายไหมที่ผ่านมามีข่าวเรื่องการฉีดวัคซีนastrazeneca แล้วมีผลข้างเคียงตั้งแต่อาการเบาคือ มีไข้ จนไปถึงอาการหนักที่สุดคือเสียชีวิต เราจึงอยากรู้ว่าการฉีดวัคซีนอันตรายต่อกันทุกคนไหม?Supawat• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยhttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=817007079094903&id=344089676386648ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่ติดเชื้อกันเองภายในบ้านมากสุดจริงหรือไม่จากข้อมูลในช่วงวันที่ 4-10 เม.ย.63 พบผู้ป่วยทั้งหมด 495 คน เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน จำนวน 144 คน (29% ของผู้ป่วยทั้งหมด) ส่วนใหญ่มีการแพร่โรคภายในครัวเรือน และสถานที่ทำงาน โดยแบ่งเป็นครอบครัว มีจำนวน 81 คน หรือ 56% จำแนกเป็นคู่สามีภรรยา บิดามารดา ญาติอื่นๆ/ผู้อาศัยร่วมบ้าน และบุตรโควิด 2019naydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยสพฐ.วางปฏิทินเลื่อนเปิดเทอม พร้อมเปิดรับนักเรียน ม.1, ม.4 ผ่านออนไลน์ 3-12 พ.ค.นี้https://www.prachachat.net/education/news-447335โควิด 2019naydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสีเสื้อมงคล สีเสื้อวันหวยออกงวดนี้ 1/7/66 พร้อมทริคเสริมโชคสีเสื้อวันหวยออกงวดนี้ โค้งสุดท้ายของการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันเสาร์ ที่ 1 กรกฎาคม 2566 เหล่านักเสี่ยงโชคคนใดที่มีความเชื่อในเรื่องของสีมงคลวันหวยออก มาดูกันว่าในงวดนี้การแต่งกายต่าง ๆ หวยออกวันศุกร์ใส่เสื้อสีอะไร โดยเพจเฟซบุ๊ก โน๊ตบุ๊คปลุกดวง หนึ่งในหมอดูที่มีรีวิวแน่น และคิวทองสุด ๆ ได้มาเผยทริคสีมงคลในงวดวันที่ 1/7/66 แล้วstd48352• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชามะละกอดิบใช้ล้างไขมันในลำใส้ได้คนสมัยก่อนใช้น้ำมะละกอดื่มเป็นชาได้ช่วยขับไขมันออกจนเกลี้ยง ไม่ต้องพึ่งยา พุงยุบGeniga Chuprasert• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยล้างไขมันในลำไส้ ด้วยชามะละกอไขมันในลำไส้กำจัดได้ด้วยชามะละกอ !std48467• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยคนไทยที่ติดโควิด-19 ได้รับสิทธิรักษาฟรีทุกโรงพยาบาลคนไทยที่ติดโควิด-19 ได้รับสิทธิรักษาฟรีทุกโรงพยาบาล หากมีข้อสงสัยการจ่ายเงินค่ารักษา มีการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล หรือสอบถามค่ารักษา ได้ที่ สปสช. โทร. 1330 หรือ สบส. โทร .1426โควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกัญชาสกากนไรหรหนาหนหนหวสหสหๅslayergunshot• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยปิดลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท วันที่ 22 เมษายน 2563 เวลาเที่ยงคืนขณะนี้ยังเปิดรับลงทะเบียนอยู่ และทางกระทรวงการคลังออกมาประกาศวันปิดรับลงทะเบียนแล้วโควิด 2019anonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยภาวะไหลตายในเด็กเกิดจากระบบควบคุมการหายใจทำงานอย่างผิดปกติ มีการปิดกั้นอุดตันทางเดินหลอดลม กระทั่งหายใจไม่ออก โดยมักเกิดจากท่านอนที่ไม่เหมาะสม พบว่า ท่านอนที่ทำให้ทารกต้องเสี่ยงต่อภาวะไหลตายก็คือ... การนอนคว่ำหน้า(Prone position) ที่พบว่า เป็นสาเหตุให้ทารกต้องเสียชีวิตด้วยอาการ SIDS มากกว่าเหตุอื่นถึง 18 เท่าผู้บริโภคเฝ้าระวังภัทรลภา ปลอดขันเงิน• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยแชร์ลูกโซ่แชร์ลูกโซ่ คือการประกาศโฆษณาชวนเชื่อ ชักชวนเหยื่อให้เกิดความสนใจและนำเงินมาลงทุน หรือสมัครสมาชิกกับบุคคลหรือนิติบุคคล เพื่อนำเงินไปลงทุนกับกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอ้างว่าหากเข้าร่วมลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในอัตราสูง และยังหลอกให้เหยื่อชักชวนบุคคลอื่นๆ แลกกับการให้ค่าหัวคิวเพิ่มด้วยstd48385• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเเว่นตามองทะลุเสื้อผ้าแว่นตาทะลุมิติ เห็นทุกอณูที่ซ่อนเร้น ของวิเศษจากโดเรมอน เรื่องไม่น่าเชื่อแต่มีคนเชื่อเพียบ คลั่งขนาดสั่งซื้อยอมจ่ายเงินราคาหลักพันผู้บริโภคเฝ้าระวังมีม เสียดสีstd47775• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนานทำให้หน้าเบี้ยวเล่นมือถือนานไ เสี่ยงทำให้หน้าเบี้ยวผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48316• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเล่นมือถือนานทำให้หน้าเบี้ยวแพทย์เตือนปล่อยลูกเล่นมือถือนานๆ เสี่ยงหน้าเบี้ยวครึ่งซีกความสวยความงามstd48084• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย(siren)(siren)(siren)(siren)(siren)ประกาศด่วน ผ่านแล้วมติ ครม.พรุ่งนี้เยียวยาทั่วกัน ได้เดือนละ 5,000 บาทให้ทุกกลุ่ม 3 เดือน https://youtu.be/RrdTq2EcnPYไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเตือนภัยคนใช้ BTS เหตุการณ์จริง กำลังอาละวาด + อ่านให้จบ เพื่อทราบวิธีแก้ไขสถานการณ์ค่ะ แก๊งมิจฉาชีพ อาละวาดบน BTS เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานีราชดำริ และขนส่งหมอชิต เริ่มจากผู้หญิงวัยกลางคนจะเข้ามาแกล้งถามว่าไปอนุเสาวรีย์ขึ้นรถตรงนี้หรือเปล่า(เหมือนชี้เป้า) จากนั้นเมื่อขึ้นรถไฟแล้วจะมีผู้ชายถือกล่องไปใหญ่แกล้งเดินมาชนแล้วล้มลงบนพื้น ร้องโอดโอยประมาณว่าโดนสิบล้อชน เมื่อเหยื่อตกใจจะมีหน้าม้าอีกคนเข้ามาพยุงคนเจ็บบอกว่าต้องไปส่งโรงพยาบาล อาการน่าจะเข่าหลุด (คาดคงเป็นโรคกระดูกพรุน) หน้าม้าอีกคนที่เข้ามามุงดูจะพูดให้น่าเชื่อถือว่าอาการแบบนี้จะเจ็บมากเพื่อให้เหยื่อตายใจ พอเหยื่อหลงเชื่อจะพาไปหาหมอ คนเจ็บก็จะร้องตอบขึ้นมาว่าผมไม่มีเงินเลยแถมของที่ถือมาก็เสียหายมาก (ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ) แล้วก็ขอให้เหยื่อชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาล ระวังๆกันไว้นะครับ " วิ ธี แ ก้ ไ ข ส ถ า น ก า ร ณ์ " : คุณ Banyat Seknamchoke ได้แจ้งวิธีแก้ไขดังนี้ค่ะ ในฐานะเป็นกู้ชีพ คนหนึ่ง ขอทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า หากพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าว "อย่าไปหลงเชื่อ" แต่ "ให้แจ้ง จนท. รปภ. หรือเจ้าหน้าที่ประจำรถ" ให้ทราบครับ เพราะในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน บนสถานีรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น BTS , MRT , Airport link , BRT ถ้าจำเป็นต้องส่ง โรงพยาบาลหรือต้องนอนพักสักครู่ ทุกสถานีมีห้องพยาบาลประจำสถานีแล้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลครับ (ยกเว้น BRT) ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดหรือโดนหลอก ขอให้ "แจ้งเจ้าหน้าที่สถานี" ไว้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่สถานีจะมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น เข้ามาดูแล และหากต้องส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จะประสานงานกับหน่วยกู้ชีพที่อยู่ใกล้ที่สุด มานำคนเจ็บคนป่วยส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้น ไม่ต้องจ่ายให้ครับ เพราะคนไทยทุกคน จะต้องมีสิทธิ์ต่อไปนี้ตั้งแต่กำเนิด คือ 1.สิทธิ์บัตรทอง (ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องมี) ถ้าไม่มี ก็ต้องมี 2.สิทธิ์ประกันสังคม(คนทำงานเอกชนหรือลูกจ้างของรัฐ) 3.สิทธิ์จ่ายตรง(ข้าราชการ) 4.สิทธิ์ประกันอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตของเอกชน ซึ่งไม่ว่าสิทธิ์ไหน ก็สามารถครอบคลุมอุบัติเหตุฉุกเฉิน แบบนี้ได้ (ยกเว้นอุบัติเหตุจราจร) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ฉะนั้นขอให้อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพครับ ถ้าเค้าแกล้งเจ็บขนาดนั้น ลุกไม่ไหว ไม่ยากครับ สะกิด จนท.ประจำรถ หรือ รปภ. ได้เลยครับ ถ้าเค้าจะโวยวายปล่อยให้โวยวายไป เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จัดการเองครับ ถ้าเค้าอยากเล่นละครจะให้รอดไปถึง รพ.ได้ ก็คงยากแล้วครับ เล่นงัยก็ไม่เนียนแล้ว พวกนี้พอเห็น จนท.เข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวก็แกล้งทำเป็นดีขึ้น หาย แล้วก็เดินจากไปเข้ากลีบเมฆต่อ Cr. แชร์เพื่อสังคม และ วิธีแก้ไขสถานการณ์โดย คุณ Banyat Seknamchokeผู้บริโภคเฝ้าระวังมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสารหวานในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล เสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์อันตราย! สารหวานในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล เสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์ หลายปีแล้วที่เรามีการใช้สารน้ำตาลเทียมเพิ่มหรือแทนความหวานที่ได้จากน้ำตาล เพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพลดเสี่ยงโรค ซึ่งวันนี้ องค์การอนามัยโลก ก็ออกมาเตือนเรื่อง กินสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด ล่าสุด (28 พ.ค.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า นับเป็น 10 ปีมาแล้วที่มีการใช้สารน้ำตาลเทียมเพิ่มหรือแทนความหวานที่ได้จากน้ำตาล ทั้งนี้เพื่อตอบสนองกับคนที่มีโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เรียกว่า เมตาบอลิก ซินโดรม (Metabolic syndrome) ที่เป็นกลุ่มอาการที่จะต่อติดต่อเนื่อง ตามกันมา ...จากอ้วน ดื้ออินซูลิน เบาหวาน ไขมันสูง มีภาวะเส้นเลือดผิดปกติและนำไปสู่โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ จนกระทั่งถึงมะเร็ง ด้วยการที่มีสารอักเสบก่อตัวในร่างกาย ทุกระบบและในสมอง จนเร่งสมองเสื่อมให้เกิดขึ้นเร็วและรุนแรง และพิสูจน์แล้วว่าเร่งความแก่ชราให้มากขึ้น และสารทดแทนเหล่านี้ ได้มีการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรกลางต่างๆ ที่ทำการประเมินและมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่กระนั้น การติดตามภาวะสุขภาพในคนที่ได้รับสารหวานเทียมเหล่านี้ เริ่มมีรายงานออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในปี 2000 เป็นต้นมา ถึงผลที่อาจไม่พึงประสงค์ รวมทั้งแทนที่จะเกิดประโยชน์ กลับมีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดตีบ แต่เนื่องจากเป็นการศึกษาที่ไม่ทอดระยะเวลานานนัก และไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์หรือการเป็นสาเหตุได้ชัดเจน เนื่องจากมีตัวแปรและปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ข้อมูลยังมีความคลุมเครืออยู่ รายงานในวารสาร เนเจอร์ 27 กุมภาพันธ์ 2023 เป็นงานต่อเนื่องตั้งแต่การค้นพบความสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ในลำไส้ กับการอักเสบ และเส้นเลือดตันที่รายงานในวารสารนิวอิงแลนด์และเนเจอร์ในปี 2013 ที่ตอกย้ำพิสูจน์ว่าการกินเนื้อแดง และไข่แดงจะเชื่อมโยงกับจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียไม่ดีในลำไส้ ที่สกัดและผลิตสารอักเสบออกมาชื่อ TMA และ TMAO ทั้งนี้ การลดการกินเนื้อและไข่แดง โดยที่หนักผัก ผลไม้ กากใย ถั่ว จะระงับการอักเสบดังกล่าว และเริ่มพบว่าสาร polyols ก็มีความสัมพันธ์ร่วม งานในปี 2023 นี้พบว่าสาร erythritol ซึ่งอยู่ในกลุ่ม polyol ทำให้เกล็ดเลือดไวขึ้น จนเพิ่มความเสี่ยงของเส้นเลือดตันstd47629• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วันกรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่งภายใน 7 วัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่งภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใดๆ ของร่างกายได้ วันนี้ (24 ธ.ค.) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีการโฆษณาทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเพื่อทำความสะอาด สวยงามแต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ โดยเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้ข้อมูลว่า โครงสร้างของจมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อน โดยห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่งจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกายของมนุษย์ รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ทำให้ดั้งโด่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณที่โกหก เพราะครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนผู้บริโภคให้คิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่าง ๆ ว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th และหากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงขอให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ความสวยความงามผู้บริโภคเฝ้าระวังstd46432• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยความเชื่อเรื่องวิตามินซีกับมะเร็งและการป้องกันหวัด ความจริงที่ทุกท่านควรทราบ ทุกวันนี้แทบทุกคนคงเคยได้ยินหรือรับประทานวิตามินซีเสริม โดยมีความเชื่อว่าใช้ป้องกันไข้หวัดหรือทำให้อาการลดลง นอกจากนี้ยังมีการบอกเล่าว่าการได้รับวิตามินซีขนาดสูงมากๆ (megadose) เช่น 10 กรัมต่อวัน จะช่วยในการรักษาหรือเสริมการรักษามะเร็งได้ แนวความคิดนี้เริ่มต้นในเมื่อ Dr. Linus Pauling นักวิทยาศาสตร์รางวัล Noble Prize สาขา Chemistry ซึ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัยในปี 1976 (47 ปีที่แล้ว) โดยเป็นการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับวิตามินซีขนาด megadose ฉีดเข้าเส้นเลือดติดต่อกันสิบวันและรับประทานต่อไปเรื่อยจำนวย 100 รายเปรียบเทียบกับข้อมูลกลุ่มคนไข้มะเร็งในอดีตที่ไม่ได้รับวิตามินซี และพบว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินซี megadose มีอัตราการอยู่รอดชีวิตยาวนานกว่า นอกจากนั้น Dr. Pauling ยังเสนอแนวคิดเรื่องการรับวิตามินซีเพื่อป้องกันและลดอาการของโรคหวัด โดยตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ "Vitamin and the Common Cold" ซึ่งเป็นที่แพร่หลายและถูกนำไปอ้างอิงมากมายเนื่องจากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น อย่างไรก็ดี ในปี 1976 และปี 1985 แพทย์ที่ Mayo Clinic ได้ทำการวิจัยผู้ป่วยมะเร็งโดยทำการศึกษาอย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง สุ่มแยกคนไข้เป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับวิตามินซี megadose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซี ทั้งสองการศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างในแง่ของอาการ คุณภาพชีวิต ความอยากอาหาร และที่สำคัญคือมีระยะเวลาอยู่รอดนานเท่ากัน หลังจากนั้น ในปี 2010 ได้มีการรวบรวมรายงานการศึกษามากมายซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งกว่า 1500 รายที่ได้รับวิตามินซี megadose หลังทำการวิเคราะห์แล้วไม่พบว่าการรับวิตามินซีมีประโยชน์ใดๆในการป้องกัน การรักษาหรือเสริมการรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาบางงานที่แสดงให้เห็นว่าการได้รับวิตามินซีปริมาณสูงไปลดประสิทธิภาพของยารักษามะเร็งที่ผู้ป่วยได้รับ อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ Dr. Linus Pauling และภรรยา ซึ่งทั้งคู่รับวิตามินซีปริมาณมากตลอดชั่วชีวิต ได้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารตามลำดับ เช่นเดียวกันมีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (systematic review) ของการศึกษาวิจัยจำนวน 104 งานตีพิมพ์จนถึงปี 2021 ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนประโยชน์ของวิตามินซีต่อการป้องกันหรือรักษาโรคหวัดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ผลเสียของการรับวิตามินซีขนาดสูงเกินจำเป็น (มากกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อวัน) ได้แก่ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ทางเดินอาหารอักเสบ มีผลทำลายไตและเกิดนิ่วในไตได้ โดยสรุปคือ ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการแต่ละวันเท่ากับ 75 มิลลิกรัมในผู้หญิงและ 90 มิลลิกรัมในผู้ชาย ซึ่งปริมาณนี้สามารถรับได้เพียงพอจากการรับประทานส้มวันละ 1-2 ผลหรือน้ำส้มคั้นวันละ 1 แก้วก็เพียงพอแล้ว ความเชื่อเรื่องการรับวิตามินซีเสริมเพื่อป้องกันหวัด ป้องกันหรือรักษามะเร็ง จนถึงปัจจุบันไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้มาสนันสนุนครับ 🙏🙏🙏 อ้างอิงจาก https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20799507/ และ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34544670/มะเร็งไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้วmeter: mostly-false--middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัย๏ทำไมยาเสพติด ไม่หมดไปจากประเทศ๏ 30 วิธีนอกรีต-สืบ-จับ คดียาเสพติด ตำรวจไทย ทุกท่านควรอ่านไว้ เพราะอาจเจอกับตัวเอง! 1. ยัดยาเสพติด สร้างผลงานให้ตนเอง 2. จับแล้ว ลดจำนวนยาเสพติด โดยเรียกเงินผุ้ต้องหา หรือนำยา ไปขายต่อ 3. รับวิ่งเต้นจากผุ้ต้องหา โดยอ้างว่าสามารถลดจำนวนยาเสพติดได้ 4. ลดของกลางยาบ้า โดยเรียกเม็ดละ 5,000 บาท 5. จับผุ้ต้องหา แล้วพาไปกดเงินตู้ เอทีเอ็ม ถ้าไม่พอใจให้ญาติไปกดเงินมาให้เพิ่ม 6. จับผุ้ต้องหาพร้อมยา แต่นำเงินผุ้ต้องหา เข้ากระเป๋าตนเอง 7. จับตัวผุ้ต้องหา และพาทัวร์ ให้ไปหาเงินมาให้ หรือกักตัวใจเซฟเฮ้าส์ 8. จับยาเสพติดในรถยนต์ ถ้าเป็นผัวเมีย ปล่อยเมียไปหาเงินมาให้ 9. จับยาบ้า พร้อมเงินสด และปล่อยผุ้ต้องหาไป นำเงินเข้ากระเป๋า 10. ปลอมปนยาบ้า เอาของปลอมมาผสม และเอาของจริงไปขายต่อ 11. จับผู้ต้องหามาแล้ว ปล่อยตัวไป ให้ไปหาเงินมาส่งส่วยเป็นรายเดือน 12. จับผู้ต้องหาที่ไม่ส่งส่วย ให้ขายยาบ้าได้เฉพาะที่ส่งส่วย 13. จับผู้ต้องหาได้ และซักทอด ก็ออกหมายเรียก และนัดหมายนอกสถานที่รีดเงิน บอกว่าไม่ส่งฟ้อง 14. รับจ้างวิ่งเต้นล้มคดี กับพนักงานสอบสวนด้วยกัน และวิ่งเต้นชั้นอัยการ 15. รับเงินจากผู้ต้องหา เพื่อไม่คัดค้านการประกันตัว ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นศาล โดยอ้างว่านำไปให้อัยการ เพื่อไม่ให้คัดค้านการประกันตัว 16. รับเงินเพื่อทำบันทึกการจับกุมใหม่ เพื่อให้สำนวนอ่อน กลับคำให้การ 17. ถ่ายสำเนา สำนวนดำเนินคดีผู้ต้องหา ให้กับญาติผู้ต้องการ เพื่อให้ทนายความเตรียมการต่อสู้คดีในชั้นสอบสวน และ ชั้นศาล 18. จัดทำบันทึกกาจับกุมเป็นเท็จ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยนำรายชื่อตำรวจไม่เกี่ยวข้องมาร่วมเพื่อสร้างผลงาน 19. จัดหา ทนายความให้ผุ้ต้องหา เพื่อเรียกเงิน 20. จัดหา นายประกันให้ผู้ต้องหา และเรียกเงิน 21. จับผู้ต้องหา แต่ไม่ได้ของกลาง เลยยัดยาเสพติด บังคับให้รับสารภาพ และเขียนด้วยลายมือตนเอง โดยซ้อมผู้ต้องหา 22. รับจ้างเคลียร์คดีให้ผุ้ต้องหา โดยเรียกเงิน โดยเสนอเงินให้พนักงานสอบสวน เป็นค่าตอบแทน 23. รับจ้าง ลบประวัติอาชญากร เพื่อไม่ให้มีการนับโทษต่อ หรือเป็นประโยชน์ให้ผุ้ต้องหา เพียงรอการรับโทษ 24. เรียกเงินจากผู้ต้องหา เพื่อไม่ให้ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน 25. รับเงินจาก ญาติพี่น้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยม 26. นำภรรยา ผู้ต้องหา ไปร่วมประเวณี 27. ปล่อยตัวผู้ต้องหาหญิง และนำมาเป็นสายลับ และ บังคับร่วมประเวณี 28. จับผู้ต้องหา ในอาคารชุด โดยไม่มีหมายจับ จากนั้นทำบันทึกการจับกุมเป็นเท็จ ว่า ทำที่สาธารณะ 29. เดินสายหาเหยื่อ นอกเขตพื้นที่ตนเอง เพื่อเรียกเงินให้ส่งส่วยเป็นรายเดือน 30. นำรถยนต์ของกลางที่จับได้ขณะขายยาเสพติด ไปใช้ส่วนตน และปลอมแปลงทะเบียนและไปขายต่อ” #มิตรสหายท่านหนึ่งผู้บริโภคเฝ้าระวัง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยประเทศต่อไปนี้ประกาศยกเลิกกระบวนการกักกันทั้งหมด การทดสอบโคโรนา และการฉีดวัคซีนภาคบังคับ และพิจารณาว่าโคโรนาเป็นเพียงไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล: 1) ตุรกี 🇹🇷 2) บราซิล 🇧🇷 3) สหราชอาณาจักร 🇬🇧 4) สวีเดน 🇸🇪 5) สเปน 🇪🇸 6) สาธารณรัฐเช็ก 🇨🇿 7) เม็กซิโก 🇲🇽 8) เอลซัลวาดอร์ 🇸🇻 9) ญี่ปุ่น 🇯🇵 10) สิงคโปร์ 🇸🇬 : จุดจบของไวรัสโคโรน่าด้วยการป้องกันแบบเยอรมันนี นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันประกาศหลังจากการศึกษาหลายครั้งว่า ไวรัสโคโรน่าไม่เพียงแต่แพร่พันธุ์ในปอดเหมือนไวรัสซาร์สในปี 2545 แต่ยังแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในลำคอในช่วงสัปดาห์แรกของการติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำให้นายกรัฐมนตรีเยอรมนีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้พวกเขาทำภารกิจง่ายๆ หลายๆ ครั้งต่อวัน ซึ่งก็คือการกลั้วคอด้วยสารละลาย Abmonak แบบกึ่งร้อน พวกเขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำเช่นนี้มานานแล้ว และหลังจากผลการทดลองที่ดำเนินการโดยนักชีววิทยาชาวเยอรมันเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนของไวรัสโคโรน่าในลำคอ พวกเขาได้เน้นย้ำอีกครั้งถึงความจำเป็นในการกลั้วคอด้วยน้ำและเกลืออุ่นๆ .. นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันให้คำมั่นกับกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนีว่า หากทุกคนล้างคอวันละหลายๆ ครั้งด้วยการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือกึ่งร้อน ไวรัสก็จะถูกกำจัดไปทั่วทั้งเยอรมนีภายในหนึ่งสัปดาห์ การทดลองแสดงให้เห็นว่าการกลั้วคอด้วยน้ำและเกลือจะทำให้คอของเรามีสภาพแวดล้อมที่เป็นด่างโดยสมบูรณ์ และสภาพแวดล้อมนี้เป็นสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ coronavirus เพราะน้ำเกลือ pH ของปากจะเปลี่ยนเป็นด่าง ค่า pH และหากเรากลั้วคอวันละหลายๆ ครั้งด้วยการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เกือบร้อนแล้ว เราจะไม่ให้โอกาสที่ coronavirus ทวีคูณ ทุกคนจึงจำเป็นต้องกลั้วคอด้วยน้ำเกลือกึ่งร้อนวันละหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้า ก่อนออกจากบ้าน และหลังกลับบ้าน เพื่อไม่ให้เชื้อโคโรน่าเพิ่มจำนวนขึ้นแต่อย่างใด ในช่วงเริ่มต้นเดียวกัน ขอให้ทุกคนนำเคล็ดลับสุขภาพที่สำคัญและเรียบง่ายเหล่านี้ไปใช้ด้วยความมุ่งมั่น เมื่อบทความนี้กลายเป็นกระแสไวรัล คุณเองก็จะอยู่ในแวดวงของผู้ที่ต่อสู้กับการแพร่กระจายของ coronavirus ข่าวดี ๆ อย่างนี้ สื่อบ้านเราไม่เอามาลงหรอก กรุณาส่งให้คนที่คุณรักด้วยนะโควิด 2019ยาสมุนไพรผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้วmeter: false2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเนปาลเตรียมย้าย ‘เอเวอเรสต์เบสแคมป์ธรรมชาติเตือน! ’ ห่วงอันตรายจากธารน้ำแข็งบางลงรวดเร็ว . ธรรมชาติส่งสัญญาณอีกครั้ง หลังเนปาลเตรียมย้ายที่ตั้งนักปีนเขา บนเทือกเขาเอเวอเรสต์ หรือที่เราต่างคุ้นหูด้วยชื่อ เอเวอเรสต์เบสแคมป์ ด้วยหวั่นความปลอดภัยจากธารน้ำแข็งละลาย ทั้งจากภาวะโลกร้อนและกิจกรรมของมนุษย์ . คงไม่อาจปฏิเสธว่าเอเวอเรสต์กลายเป็นจุดหมายของบรรดานักปีนเขา ที่อยากสัมผัสประสบการณ์สักครั้งในชีวิต ทำให้แคมป์ที่ตั้งดังกล่าวมีผู้ใช้งานมากถึง 1,500 คนในฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้ธารน้ำแข็งคุมบู หรือ Khumbu Glacier ซึ่งเป็นที่ตั้งของแคมป์นี้บางลงอย่างรวดเร็ว . "ขณะนี้เรากำลังเตรียมการย้าย" เป็นคำยืนยันจากผู้อำนวยการทั่วไป สำนักการท่องเที่ยวเนปาล พร้อมบอกกว่า "เป็นธรรมดาที่ต้องที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นในแคมป์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความยั่งยืนของธุรกิจการปีนเขา" . สำหรับแคมป์ดังกล่าวนั้นตั้งอยู่ที่ความสูง 5,364 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งฐานที่ตั้งใหม่จะอยู่ต่ำกว่านี้ 200-400 เมตร . และนี่ก็ไม่ใช่ธารน้ำแข็งแห่งเดียวที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ว่า ในเทือกเขาหิมาลัยยังมีธารน้ำแข็งอีกหลายแห่งกำลังละลายและบางลงอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากภาวะโลกร้อน . Tshering Tenzing Sherpa ผู้จัดการแคมป์เล่าว่า การเคลื่อนตัวทำให้บรรดานักปีนเขาได้ยินเสียงดัง จากน้ำแข็งหรือหินที่ตกลงมา “ในอดีตพื้นจะโผล่ขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ แต่ตอนนี้ มันเกิดขึ้นแทบทุกสัปดาห์” . นอกจากนี้ การต้อนรับนักท่องเที่ยวไม่ขาดสาย ยังก่อให้เกิดความร้อนจากหลายเหตุ อย่างปัสสาวะกว่า 4,000 ลิตรที่เกิดขึ้นทุกวัน รวมถึงการประกอบอาหาร . โดยการดำเนินการทั้งหมดอาจเกิดขึ้นภายในปี 2567 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น บรรดานักปีนเขาก็จะถูกท้าทายจากระยะทางกว่าจะไปถึงแคมป์แรกที่เพิ่มมากขึ้น . . อ้างอิงจาก https://www.bbc.com/news/science-environment-61828753 https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/gto.12215 #brief #TheMATTERMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย⚠️ประกาศ เตือนภัย มิจฉาชีพแฝงตัวในสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ โปรดระวัง เฟซบุ๊ก บัญชีไลน์ หรือ อีเมล ปลอม ส่งคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ PromptPay เพื่อให้ท่านโอนเงินค่าวัคซีน⚠️ประกาศ เตือนภัย มิจฉาชีพแฝงตัวในสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ โปรดระวัง เฟซบุ๊ก บัญชีไลน์ หรือ อีเมล ปลอม ส่งคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ PromptPay เพื่อให้ท่านโอนเงินค่าวัคซีน 🌐เพจเฟซบุ๊กปลอม นำตราสัญลักษณ์และภาพไปใช้ โดยชื่อเพจไม่ใช่ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีเฟซบุ๊ค 2 เพจเท่านั้นที่ใช้สื่อสารเรื่องการจัดสรรวัคซีน ได้แก่ 1️⃣ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์) ผู้ติดตาม 662k และ 2️⃣ ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์) ผู้ติดตาม 155k ❎บัญชีไลน์ปลอม ส่งคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ PromptPay ให้โอนเงิน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มีช่องทาง LINE Official account: @Chulabhornhospital Add Friend > http://nav.cx/8DqLuQm มีผู้ติดตามเป็น Friends 2.6M สำหรับใช้สื่อสารบริการและประกาศประชาสัมพันธ์ต่างๆเท่านั้น ไม่มีบริการตอบคำถามประชาชนในไลน์บัญชีนี้ ทั้งนี้ ไม่มีบริการส่ง Link โอนเงินค่าวัคซีนซิโนฟาร์ม หรือวัคซีนโควิด19 ทุกชนิดผ่านไลน์ !!! และไม่มีการจัดตั้งบัญชี LINE ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อบริการตอบคำถามประชาชน 📧อีเมลปลอม ส่งคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ PromptPay ให้โอนเงิน องค์กร/นิติบุคคล ที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนสามารถตรวจสอบวิธีการโอนเงิน และพิมพ์ใบนำฝากเงิน ผ่านการล็อคอินเข้าสู่ระบบ “ลงทะเบียนองค์กรผู้ได้รับการจัดสรรวัคซีน” ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เท่านั้น เพื่อโอนเงินผ่านช่องทางต่างๆที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กำหนด ❌ไม่มีการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์ ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน 2564โควิด 2019วัคซีนโควิดMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ