2210 ข้อความ
- 1 คนสงสัยโควิด-19 แพร่กระจายผ่านอากาศ (Airborne)จากกรณีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า มีนักวิทยาศาสตร์ 239 คน จาก 32 ประเทศ เปิดเผยหลักฐานการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19 ) ผ่านละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน สามารถแพร่ผ่านทางอากาศ (AirBorne) จึงเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับว่าโควิด-19 มีการติดต่อในรูปแบบแอร์บอร์น และปรับคำแนะนำนั้นสุขภาพโควิด 2019eardoil• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยโฆษณาออนไลน์ลวง โยงดาราเซเลบคนดังปัญหาโฆษณาสุขภาพเกินจริง... หลายปีมาแล้ว มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งสะท้อนว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบตรงอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยานั้น พบการกระทำผิดกฎหมายเฉลี่ยปีละหมื่นกว่า แต่การดำเนินคดีนั้นทำได้เพียงปีละพันกว่าเท่านั้น ทั้งนี้ไม่นับรวมการกระทำผิดที่ อย.ไม่พบหรือไม่มีคนร้องเรียนเข้ามาอีกเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านสื่อทางอินเตอร์เน็ตที่มีพลังในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารได้อย่างน่าทึ่ง แถมยังทำกันได้ง่าย แทบจะเรียกว่า...ใครก็ทำได้std48077• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยรัสเซีย : ศูนย์ต้านข่าวปลอมของฮ่องกงระบุ ปูตินไม่ได้อัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ร.9โครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงแห่งศูนย์สื่อมวลชนศึกษาและวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง (HKU Journalism) ชี้ว่าภาพประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียอัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่แชร์กันทางโลกโซเชียลของไทยเมื่อปลายเดือน ก.พ. เป็นภาพที่ถูกตัดต่อstd47630• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยศูนย์ต้านข่าวปลอมของฮ่องกงระบุ ปูตินไม่ได้อัญเชิญ "พระบรมฉายาลักษณ์" ร.9ผู้นำรัสเซียถือภาพถ่ายของบิดาขณะเข้าร่วมการเดินขบวนประจำปีที่ชื่อ "การเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย" เมื่อ 9 พ.ค. 2015 เพื่อรำลึกถึงผู้ที่ได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2std46209• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์std46604• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยประธานาธิบดี ปูติน ถือภาพ "พระบรมฉายาลักษณ์" ของในหลวงร. 94 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุในรายงานว่าเมื่อ 27 ก.พ. มีผู้โพสต์ภาพที่ถูกตัดต่อทางบัญชีเฟซบุ๊กที่ชื่อ 关羽關羽 (กวนอูกวนอู) โดยบรรยายบนภาพว่า "รัสเซียยืนหยัดได้เพราะบุญคุณของในหลวงร. 9std47901• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยจากการสำรวจ ที่ แคนาดา 2022 หลัง ยากัญชา ถูกกฏหมาย พบว่า บริษัทยา หยุด ชะงัก ไม่มีออเดอร์สั่งยาเพื่อไปสต้อค ถึง 10 วัน และ ยากัญชา มีส่วนแบ่งการตลาดรวม ถึง 11 % มูลค่า นับ #สามพันล้านเหรียญ มีผลกระทบกับยาทุกชนิด เช่น ยามอร์ฟีน ยาแก้ปวดลดบวม ยาแก้อาเจียน ยานอนหลับ คลายกังวล กันชัก เกร็ง พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เอดส์ มะเร็ง คิดว่า ยาเคมี 1 #กำมือ เหลือ เพียงพืชยา 1 #กรัม เข้าใจรึยังว่า ใครๆ ก็อยาก ครอบครอง และ จดสิทธิบัตร https://norml.org/news/2022/09/08/analysis-cannabis-legalization-applies-competitive-pressure-to-pharmaceuticals-market/ พญ.สุภาพร มีลาภ Supaporn Jim Meelarpยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอาหารเสริมลดน้ำหนักSFACTORสามารถลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายได้จริงหรอค่ะ.สูตรนวัตกรรมใหม่เพื่อการลดน้ำหนัก ลด 15 กก.ใน 4 สัปดาห์โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องออกกำลังกายลดความอ้วนผู้บริโภคเฝ้าระวังkulanit1363• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยยาลดน้ำหนัก 1เดือน 15โล s factorเป็นยาลดน้ำหนักที่ไม่มีสารเคมี แต่ใช้สมุนไพรสารมารถลดน้ำหนักได้ 15 กิโลกรัม ใน 4สัปดาห์ความสวยความงามลดความอ้วนยาสมุนไพรPYU 7 AKASEKI_• 4 ปีที่แล้ว2 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยองค์การอาหารและยา เตือน ผลิตภัณฑ์ “KE ONE” ลวงผ่านสื่ออ้างลดความอ้วน จริงหรือคะเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “KE ONE” ซึ่งมีการโฆษณาชวนเชื่อลดความอ้วนทางเว็บไซต์ จากการตรวจสอบพบเว็บไซต์ http://asia-tribune.com/thnews/keone/?uclick=mylprn3y แสดงภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร KE ONEโดยมีการอ้างชื่อนักศึกษาหญิงชาวไทยเสนอสุดยอดความคิดให้ผู้เชี่ยวชาญวิจัยทดลองยาจนสำเร็จ และมีข้อความโฆษณา เช่น “นวัตกรรมการลดน้ำหนัก ลด 15 กก. ใน 1 อาทิตย์ ...กระตุ้นการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ลดความอยากอาหาร กำจัดไขมันใต้ผิวหนังส่วนเกินได้ถึง 500 กรัมต่อคืน” ลวงใช่มั๊ยคะanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยชาลดบวมขับโซเดียม ทำได้จริงหรือไม่ ?จากโฆษณาสินค้าตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่อ้างว่า การดื่มชาช่วยลดการบวมจากการกินโซเดียม ส่งผลให้หลายคนเชื่อและหันมาซื้อชามาดื่มกันมากยาสมุนไพรลดความอ้วนSasikarn Permpol• 8 เดือนที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false2 ความเห็น
- 2 คนสงสัย"ยาโซดามินต์ ไม่ได้ปลอดภัย 100% ... ควรให้แพทย์สั่งให้ตามความจำเป็น และไม่ควรซื้อมากินเล่นเองครับ" กระแสแนะนำให้คนไปหาซื้อยา "โซดามินท์ (soda mint)" มากินกัน กลับมาเผยแพร่อีกแล้วครับ (หลังจากช่วงโรคโควิด-19 ระบาด ก็เคยมีกระแสโปรโมตไปรอบนึงแล้วว่า กินต้านโควิดได้) .. โดยอ้างว่าช่วยให้ร่างกายเป็นด่าง (อีกและ) ดีต่อสุขภาพ ใช้รักษาป้องกันโรคได้มากมาย เช่น ชะลอไตเสื่อม ขับกรดยูริก ละลายนิ่ว ฯลฯ !? ซึ่งก็พูดหลายๆ ครั้งแล้ว ว่าแนวคิดเรื่อง กินน้ำด่าง-กินอาหารด่าง ไปปรับให้เลือดมีความเป็นด่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอะไร เพราะร่างกายมีการปรับสมดุลย์พีเอชความเป็นกรดด่าง ให้เป็นด่างอ่อนๆ โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว (ซึ่งอาศัยกลไกการหายใจ เป็นตัวควบคุมหลัก) ดังนั้น การพยายามกินด่างเข้าไปในร่างกายมากๆ จนร่างกายปรับสมดุลย์ ลดความเป็นด่างลงไม่ไหว กลับจะกลายเป็นอันตรายจากการที่ค่าเป็นด่างสูงเกินไป .. และโซดามินต์ ก็ควรเป็น "ยา" ที่กินเมื่อป่วย ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ยา "โซดามินท์" จริงๆ ก็คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate ก็ผงฟูที่เอาไว้ทำเบเกอรี่ ไว้ล้างผัก นั่นแหละ) ผสมกับ น้ำมันหอมระเหย เปปเปอร์มิ้นต์ (peppermint oil) มักจะผสมในอัตราส่วนโซเดียมไบคาร์บอเนต 300 มิลลิกรัม กับน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มิ้นต์ 0.003 มิลลิลิตร กินหลังอาหารวันละ 3 ครั้งหรือเมื่อมีอาการ ใช้เพื่อบรรเทาอาการจุกเสียด ลดอาการระคายเคือง เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร อาจจะมีบางคนที่มีอาการข้างเคียงจากการกินยาโซดามินต์นี้ได้ เช่น ปวดหน่วง ๆ ที่ท้อง (ซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์) หรืออาจจะรุนแรง ได้แก่ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก บวมน้ำ หายใจลำบาก ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ ก็ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ส่วนคนที่ห้ามใช้ยาโซดามินต์นี้ ได้แก่ คนที่เคยแพ้ยานี้ หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้ , เป็นโรคหัวใจ , เป็นโรคไต หรือ โรคตับ , เป็นโรคความดันเลือดสูง , มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ , มีภาวะเลือดเป็นด่างสูง , กำลังใช้ยาสเตอรอยด์ รวมถึงหญิงมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมลูก สำหรับประเด็นที่สังคมออนไลน์แชร์แนะนำให้กิน “โซดามินต์” เป็นประจำเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายมีสุขภาพดีนั้น ทาง คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ จากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ช่อง 9 อสมท สำนักข่าวไทย ได้เคยไปตรวจสอบกับ รศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สสส. ดังนี้ครับ ถาม : กินโซดามินต์ทุกวัน ทำให้สุขภาพดี อย่างที่แชร์กันนี้ จริงหรือไม่ ตอบ : การซื้อโซดามินต์กินเองนั้นไม่สมควร อาจจะกินมากเกินไป ทำให้ร่างกายเป็นด่างมากเกินไป อาจจะมีผลเสียในระยะยาว ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยปรับสมดุลย์ของเลือด ทำให้เลือดมีค่า pH 7.4 ตอบ : บางครั้ง การให้โซดามินต์จะทำให้เป็นด่างมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ คือโซดามินต์เป็นยาที่ปรับให้ร่างกายเป็นด่างในคนไข้ที่ร่างกายเป็นกรด การให้โซดามินต์ก็อาจจะทำให้ pH หรือระดับกรดด่างในร่างกายสมดุลย์ แต่ต้องให้หมอเป็นคนวินิจฉัยว่าคนไข้จำเป็นจะต้องกินโซดามินต์ไหม ซึ่งเช็กเลือดครั้งเดียว ก็รู้แล้วว่าปริมาณไบคาร์บอเนตหรือ pH ในเลือดนั้นเหมาะสมไหม ถ้าไม่เหมาะสม ก็จะให้โซดามินต์ในการปรับสมดุลย์ให้เหมาะสมกับสุขภาพ ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็ปรับยาให้เหมาะสม เพราะว่าโซดามินต์ในคนไข้แต่ละคน ให้ขนาดยาไม่เท่ากัน ถ้าให้มากไปก็มีผลเสีย ให้น้อยไปก็ไม่เพียงพอ ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยลดกรดยูริกจากอาหารและน้ำตาลฟรุกโตส ลดความเสี่ยงเป็นเกาต์ ตอบ : คือคนที่กินฟรุกโตสเยอะ เช่น กินน้ำอัดลม น้ำหวาน โอกาสเป็นเกาต์ก็สูงขึ้น โอกาสที่กรดยูริกสูงก็จะมี แล้วก็อาจจะตกตะกอนในที่ต่างๆ รวมทั้งที่ไตด้วย ในกรณีแบบนี้ถ้าเกิดคนไข้ที่มีความเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็เป็นคนจ่ายยาโซดามินต์ให้ในกรณีที่มีความจำเป็น แต่ถ้าเกิดคนปรกติไปซื้อโซดามินต์มาทาน อาจจะไม่ได้เป็นการป้องกัน แต่อาจจะมีผลเสียในระยะยาวด้วย ถาม : เขาบอกว่าโซดามินต์ช่วยชะลอไตเสื่อม ตอบ : ในกรณีที่มีความผิดปรกติของไต โดยเฉพาะโรคไตระยะต้น การรักษาด้วยยาโซดามินต์ มีผลวิจัยทางการแพทย์บอกว่าอาจจะช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้บ้าง แต่เป็นผลวิจัยระยะสั้น ยังไม่มีการติดตามในระยะยาวในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต อย่างไรก็ดี แพทย์โรคไตมักจะให้โซดามินต์ในกรณีที่เลือดเป็นกรด และก็เป็นโรคไตระยะต้น หรือโรคไตระยะสุดท้าย ที่จำเป็นจะต้องปรับสมดุลย์ของกรดด่างในร่างกายให้เหมาะสม เน้นว่า โซดามินต์ไม่ได้รักษาโรคไต และก็คนปรกติ ถ้ากินโซดามินต์ ก็ไม่ได้ป้องกันโรคไต ถาม : เขายังบอกว่าลดความเป็นกรดของเลือดหลังออกกำลังกาย ตอบ : ออกกำลังกาย บางครั้งทำให้มีกรดบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายก็จะสามารถกำจัดกรดนี้ออกได้ ทางไตหรือทางลมหายใจ ร่างกายมีกลไกในการควบคุมกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่มีโรคไต ไม่มีโรคทางปอด โรคหัวใจอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องทานโซดามินต์ ไม่มีประโยชน์อะไรมากขึ้น ถาม : จริงๆ แล้ว โซดามินต์นี่คืออะไร ตอบ : โซดามินต์ ชื่อทางเคมีคือ โซเดียมไบคาร์บอเนต ไบคาร์บอเนตเป็นด่าง ซึ่งจะไปปรับกรดด่างหรือว่า pH ให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะในสมดุลย์ของร่างกาย แต่ตัวโซเดียม เป็นตัวที่นำไบคาร์บอเนตนี้เข้าไปในร่างกาย ก็มีประโยชน์ในการทำอาหาร แต่ว่าต้องใส่ให้พอเหมาะ ใส่มากไปก็มีโทษ ถ้าเราทานโซเดียมมากเกินไป ก็จะไปทำให้เกิดอาการบวม ไปคั่งอยู่ที่ไต หรือที่หัวใจ ทำให้ความดันสูง เพราะฉะนั้น การทานโซดามินต์ ก็อาจจะต้องระมัดระวังด้วย โดยเฉพาะคนที่มีโรคหัวใจ โรคไต อยู่เดิม ก็จะทำให้เกิดการบวมมากขึ้น ไตทำงานหนักมากขึ้น ควรจะทานเท่าที่จำเป็นและก็ภายใต้การดูแลของแพทย์ 1 เม็ด มีตัวยาประมาณ 300 มิลลิกรัม ถ้าทาน 10 เม็ดต่อวัน (อย่างที่แชร์บอกกัน) ก็จะประมาณ 3000 มิลลิกรัม ทำให้ได้โซเดียมในปริมาณสูงพอควร ถาม : แล้วถ้าคนที่อยากปรับสมดุลร่างกายล่ะ ตอบ : การที่บอกว่าร่างกายเป็นกรดด่างเนี่ย จริงๆ แล้ว ธรรมชาติสร้างมาอยู่แล้วว่าเป็นหน้าที่ของปอด กับหน้าที่ของไต ในการที่จะปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว แล้วร่างกายก็มีตัวบัฟเฟอร์ หรือตัวที่จะไปทำให้กรดด่างนั้นปรกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ทานโซดามินต์ หรือว่าการทานด่าง ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ ยกเว้นกรณีที่ระบบของร่างกายสูญเสีย ไม่ว่าจะมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดต่างๆ บางครั้งทำให้เลือดเป็นกรด ก็อาจจำเป็นต้องทานโซดามินต์เสริมเข้าไปเพื่อทดแทน แพทย์จะเป็นผู้ดูแล ถาม : ถ้ามีคนอยากจะกิน กินแล้วจะอันตรายไหม ตอบ : ถ้าเกิดทานโซดามินต์ ปริมาณมาก ก็จะมีโซเดียมโหลด ดังนั้น ในกรณีที่มีปัญหาเกลือเกิน มีอาการบวม มีโรคหัวใจ หรือโรคไต ไม่ควรซื้อยาทานเอง 📌 สรุป : ที่แชร์แนะนำให้กินโซดามินต์เป็นประจำเพื่อสุขภาพนั้น ❌ ไม่ควรแชร์ต่อ ❌ เพราะโซดามินต์ มันไม่ใช่ยาที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรจะให้แพทย์เป็นผู้ดูแล และเป็นคนจ่ายยาเท่าที่จำเป็น ข้อมูลจาก https://www.sanook.com/women/249893/ และ https://www.youtube.com/watch?v=pxaV0qhYg2sสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 4 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอย ปลาที่เลี้ยงในกระชังอย่าแชร์! ห้ามผู้ป่วยมะเร็งกินปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ยังไม่มีข้อมูลหรือข้อแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารดังกล่าว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ไม่มีคำแนะนำห้ามผู้ป่วยมะเร็งงดอาหารเหล่านี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน เพียงพอโดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงานตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร น้ำหนักลด การสูญเสียกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาโรค ผู้ป่วยมะเร็งควรรับประทานอาหารในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น จำกัดการบริโภคอาหารทะเลบางชนิดที่อาจมีคอเลสเตอรอลสูง เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด ควรรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากแหล่งอาหารที่หลากหลาย เช่น ปลา ไก่ ไข่ และนม ซึ่งอาหารในกลุ่มปลาหมึก หอย และปลา เป็นอาหารที่ให้สารอาหารในกลุ่มโปรตีน ถือเป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกายมีส่วนในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพออาจส่งผลให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปใช้เป็นพลังงานส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" จริงหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามกิน "เนื้อสัตว์" ควรเลือกกินมังสวิรัติ รศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับ Hfocus ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งแล้ว และกำลังทำการรักษา ทั้งการรักษาแบบเคมีบำบัด (คีโม) ผ่าตัด หรือฉายแสง โดยเชื่อว่าต้องเลือกรับประทานอาหาร มะเร็งจะได้ขาดอาหารแล้วตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง เซลล์มะเร็งก็เป็นเซลล์ของร่างกายเหมือนกัน เพียงแต่มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ยีนต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง มีความต้องการอาหาร ต้องการอากาศเหมือนกัน ไม่ต่างกับเซลล์ปกติ ถ้างดอาหาร เซลล์ปกติหรือร่างกายก็จะขาดอาหารไปด้วย รศ.นพ.เอกภพ ยืนยันว่า การอดอาหารจึงไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง เพราะมะเร็งมีความสามารถในการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง แม้เราจะไม่ให้อาหารเลย มะเร็งก็ไปแย่งอาหารจากร่างกายเรา สังเกตได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งร่างกายจะซูบผอมเนื่องจากถูกแย่งอาหารไปการงดอาหารในการรักษามะเร็งไม่ได้ช่วย นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังมีโทษ สภาพร่างกายทั่วไปจะผอมลง เวลาได้รับเคมีบำบัดจะมีผลข้างเคียง และต้องฟื้นตัวเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ทันเวลาที่จะรับเคมีบำบัดรอบต่อไป หากได้รับอาหารไม่เต็มที่ ร่างกายผู้ป่วยจะฟื้นตัวช้า การได้ยา รับการรักษาก็จะไม่เต็มที่ตามแผนการที่วางไว้ ประสิทธิภาพการรักษาก็จะแย่ลง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัว จึงไม่มีผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษามะเร็ง ทั้งนี้ การศึกษาในประเทศอังกฤษยังพบว่า คนไข้มะเร็งเต้านมในกลุ่มที่ทานเนื้อสัตว์รักษาตัวได้ดีกว่ากลุ่มที่งดทานเนื้่อสัตว์ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่สำคัญ 3 ประการ คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียและพยาธิบางชนิด ปัจจัยจากพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและไหม้เกรียม ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีน และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อตัดสินใจผิดพลาด จนได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้นได้ สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ / ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง หรือ Anti Fake Cancer News (AFCN) และยังสามารถอ่านข้อมูลจากข่าวปลอมได้ที่เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรมการแพทย์พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 1.4 แสนคน หรือ 400 คนต่อวัน ขยายการรักษาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org เฟคนิวส์ โรคมะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็งห้ามกิน 468 views เรื่องที่เกี่ยวข้อง ข่าว รพ.ร้อยเอ็ด พัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งครบวงจร ข่าว กรมอนามัยเผยหญิงไทยป่วย มะเร็งเต้านม สูงสุด แนะตรวจเต้านมด้วยตนเอง เฟคนิวส์ ข่าวปลอม! ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นสารก่อมะเร็ง ข่าว สถาบันมะเร็ง สปสช. รามาฯ สวรส. ลงนามร่วมพัฒนาห้องปฏิบัติการเชิงนโยบายสำหรับโรคมะเร็ง อัพเดทล่าสุด ข่าว มีผลแล้ว! อัตราค่าตอบแทน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ ข่าว สช. สานพลังภาคี 5 หน่วยงาน สร้างความเข้มแข็งระบบคุ้มครองผู้บริโภค ข่าว รพ.วิมุต เปิดศูนย์ส่องกล้อง หน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร ข่าว อภ.ชู “จีพีโอ เถาวัลย์เปรียง” ผ่านการศึกษาวิจัยทางคลินิกแพทย์ศิริราช บรรเทาข้อเข่าเสื่อม infographic วายร้ายหน้าฝน "โรคฉี่หนู" สิทธิบัตรทอง รับบริการใส่รากฟันเทียม ฟรี กรณีการบรรจุข้าราชการปฏิบัติงานโควิดรอบสอง เตรียมพร้อมและเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ อีเมล: hfocus1713@gmail.com มูลนิธิภิวัฒน์สาธารณสุขไทย เลขที่ 7 ถ.อธิบดี ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 Copyright © Hfocus.org. All rights reserved. (Log in) Thailand Web Statstd48864• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThinkไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยของจริง....มาแล้วนะครับ โควิด - 19 สายพันธุ์อังกฤษ British variant ( B.1.1.7 ) ที่ตอนนี้กำลังระบาดหนักไปทั้งโลกนะครับ ไม่ใช่แค่ที่ไทย ประเทศไทยน่ะหรือ ... ยังแค่เริ่มต้น แค่เริ่มต้นจริงๆนะ ที่อังกฤษ ต้นทางของเจ้าสายพันธุ์ดุนี้ มีคนเสียชีวิตกับไวรัสตัวนี้ไปแล้วประมาณ "หนึ่งแสนสองหมื่นคน" ช่วงที่พีคมากๆ มีคนตาย"ต่อวัน" คือ พันกว่าคน (ตายวันละพันกว่านะครับ พันหก เกือบๆพันเจ็ด เห็นตัวเลขแล้ว ขนลุกเลย) ช่วงผ่อนปรนล็อคดาวน์ที่อังกฤษตอนคริสมาสต์ มีการติดเชื้อแบบที่ติดกันทั้งครอบครัว เข้าโรงพยาบาลกันทั้งครอบครัว และ ตายกันทั้งครอบครัวเกิดขึ้นแล้วที่นั่น ช่วงที่เชื้อนี้กระจายกันแบบพีคๆ มีรายงานว่า ติดกันที่ตัวเลขต่อวันคือ หกหมื่นกว่าราย ย้ำ... วันละ หกหมื่นราย มีหลักฐานสนับสนุนทางการแพทย์ชัดเจน ว่าสายพันธุ๋นี้ติดง่ายกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่น และ สายพันธุ์อินเดีย ที่เราเจอมาก่อนหน้านี้ และถ้าเราคิดว่า ที่ผ่านมา เรายังรอด ตอนนี้ก็สบายๆเหมือนเดิมก็ได้ ก็น่าจะประเมินเชื้อนี้ต่ำไปแล้ว... และถ้ายังเชื่อว่า สายพันธุ์นี้ อาการไม่รุนแรง ก็คิดใหม่นะครับ มีรายงานในประเทศไทยของเราพบว่า พบอาการรุนแรงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการเจ็บคอมาก เหมือนมีดบาด เสมหะมีเลือด หายใจได้ไม่ปกติ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่อาการปอดบวม ( pneumonia ) เกิดขึ้นได้เยอะมากนะครับ ลงปอดกันเป็นว่าเล่นเลย ซึ่ง ณ จุดนั้น ต้องรักษาแบบซีเรียสแล้วนะครับ โอกาสไปถึงโคม่า นอนไอซียู ใกล้เข้ามาแล้ว และแพทย์หลายๆท่านให้ความเห็นว่า การจัดการตอนอยู่ในไอซียูของโรคนี้ มีความซับซ้อนมาก ถ้าได้หมอเก่งๆระดับเทพ ว่าไปอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ บ้านเราไม่ได้มีหมอในระดับนั้น มากอย่างที่เราคิด คนสูงวัย น้ำหนักตัวเยอะ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คนที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน หัวใจ หอบหืด ไม่จำกัดวัย ถ้าเราเข้าข่าย ก็ระวังให้มากกว่าคนอื่นๆเถอะครับ โอกาสรุนแรงไปถึงปอด สูงมากกก และที่เรายังไม่ได้ยินข่าวคนเสียชีวิตในครั้งนี้ จนทำให้หลายๆคนคิดแค่ว่า เป็นแค่หวัดกระจอกๆธรรมดาๆนั้น เพราะมันยังเป็นแค่การเริ่มต้น สงสัยว่าติด ไปตรวจ เข้าโรงพยาบาลได้เลย มีที่นอน มีหมอดูแล โคม่าขึ้นมา ยังมีหมอดูแล มีเครื่องช่วยหายใจอยู่ในตอนนี้ ก็เลยพอจะช่วยเหลือกันทัน แต่ว่า... ดูสถิติของวันนี้ 15 เมษายน ตามรูปสิครับ ไม่ต้องดูที่จำนวนคนติดเชื้อ 1,543 นะ ... มองผ่านไปได้เลย พันห้า บางคนจะคิดในใจว่า แล้วไง ไปดูที่จำนวนคนที่กำลังรักษาตัว นอนโรงพยาบาลอยู่ตอนนี้สิครับ ช่องสีเขียวๆน่ะ " 8,973 ราย " นี่คือคนที่กำลังนอนโรงพยาบาลตอนนี้อยู่ ซึ่งจะถึงหมื่นเตียง ในอีกวันสองวันนี้แน่นอน และคนพวกนี้จะยังต้องนอนยึดเตียงไปอีกเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่า 10 วัน นั่นหมายความว่า ถ้าเราเกิดติดโควิดขึ้นมา ในวันถัดๆไปหลังจากนี้ จะเหลือเตียงให้เรานอนรักษา .... น้อยลงไปทุกที และเตียงจะเริ่มทยอยกันเต็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนต่างประเทศ คือ ไม่มีเตียงให้ใครอีก คราวนี้ ต่อให้มีเงิน ก็หาเตียงนอนไม่ได้หรอกครับ จะโทรร้องเรียนที่เบอร์ไหน ใครก็คงช่วยไม่ได้ มีประกันกี่ฉบับ ก็ไม่มีผล ไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลเอกชนหรอกนะครับ โรงพยาบาลสนาม .... ก็จะเต็มไปด้วย แย่ไปกว่านั้นก็คือ ... เรามีเครื่องช่วยหายใจไม่มากพอ เราหาซื้อตอนนี้ ไม่ทันหรอกนะครับ ทั้งโลก ใครก็อยากได้ แล้วในวันที่เกิดซวย ปอดบวม อาการโคม่า เราต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อยื้อชีวิตนะครับ ถ้าในเวลานั้น ไม่มีเครื่องช่วยหายใจเหลือเลย เพราะคนก่อนหน้านี้ก็เอาไปใส่กันหมดแล้ว มันก็จะเหมือนกับที่ต่างประเทศ คือ เครื่องช่วยหายใจที่เหลืออยู่ 1 เครื่อง จะเลือกใส่ให้ใคร และที่เหลือ ก็ต้องปล่อยให้ตาย.... วันนั้นแหละ เราจะเข้าใจความหมายว่า ทำไม เราจึงควรช่วยกัน ในวันที่ยังทำได้ในวันนี้... ........................................ ....................................... พรุ่งนี้ จะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ ทุกคนดูชินชากับโควิด รอดมาแล้วหลายครั้ง ยังไม่เห็นมีอะไร เดี๋ยวก็ลดลงไปเอง ตั้งแต่ระดับผู้นำ จนถึงคนธรรมดาๆข้างถนน ที่ผมยังเห็นนั่งดื่มกันสนุกสนานกันอยู่เลย ประเทศไทยเราโชคร้าย ตรงที่ได้เจอกับสายพันธุ์ที่ติดง่ายที่สุด ในวันที่เราประมาทที่สุด เพราะถ้ามาตั้งแต่รอบแรก ที่เรายังตื่นตัวกันอยู่ ก็คงไม่น่ากลัวอะไรมากนัก อ่านจบแล้ว ไม่ต้องประสาทกินหรอกนะครับ แต่ต้องกลับมายอมรับ และตระหนักจริงๆจังๆได้แล้ว ว่าเรากำลังเจอกับอะไรที่หนักหนาและรุนแรงกว่าเดิม ออกบ้านเท่าที่จำเป็นเถอะครับ หลีกเลี่ยงการไปในที่ซึ่งคนเยอะๆ งดไปเลย อย่าใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง แบบที่ทำไปอย่างงั้นๆเอง แต่จงทำมัน เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่กำลังรักษาชีวิตเราไว้ เพราะมันช่วยได้จริงๆ... อย่าเบื่อการอยู่บ้าน เพราะเชื่อเถอะว่า สบายกว่าโรงพยาบาลสนาม สบายกว่าแอร์ในห้องไอซียู และไม่ต้องต่อคิวเครื่องช่วยหายใจจากใครนะครับ แล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราไปได้ตลอดหรอก แต่ต้องช่วยกัน และให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด อย่าให้มีสถิติการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ แล้วค่อยมาเสียใจ ไม่ต้องไปหวังพึ่งวัคซีนตอนนี้ ยี่ห้อแอสตร้า ---> เดนมาร์คสั่งหยุดใช้ถาวรแล้ว ส่วนยี่ห้อจอห์นสัน ---> อเมริกา สั่งหยุดใช้ไปแล้ว ซินโนแวคของจีน ประสิทธิภาพต่ำ แถมไม่ยอมเปิดเผยผลการทดลองเฟส 3 และตอนนี้จีนยังเร่งศึกษาทำวัคซีนตัวใหม่ แสดงว่า อีที่ออกมาขายนี้ ไม่ดีอย่างที่คิด ดีจริง จะปิดไว้ทำไม แล้วจะไปทำอันใหม่ทำไมอีก... คิดง่ายๆแค่นี้พอ ที่สำคัญ ประเทศไทย ยังฉีดได้ไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งประเทศ ฉีดไป ก็เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งถ้ามันไปตันในที่สำคัญๆ คือ ตายได้เลยนะครับ พึ่งตัวเอง ดูแลตัวเอง คือทางออกที่ดีที่สุด ที่ต้องทำในตอนนี้แล้ว... ช่วงนี้ครูโยคะทั้งหลาย งานอาจจะน้อยลงหน่อย ลำบากหน่อย แต่ยังหายใจได้ ยังแข็งแรง คือดีที่สุดแล้ว... งาน กับ เงิน ไม่ได้หายไปไหน มันแค่เลื่อนออกไปรอเราข้างหน้า คำว่า "เงินทอง ถ้าไม่ตาย หาใหม่ได้" น่าจะประโลมใจได้ดีที่สุดจริงๆในตอนนี้ ถ้าเราบอกว่า โควิดไม่กลัว กลัวอดตาย มากกว่า ..ก็ไม่ผิดหรอกครับ คนเรามีชีวิตที่ต่างกัน เพียงแต่เรากลัวอดตายได้ และก็กลัวโควิดไปด้วยพร้อมๆกันได้ โดยใช้สติคอยกำกับ ออกไปทำงาน ออกไปหาเงิน ถ้ามันจำเป็น แต่ก็ไปด้วยสติ ไปด้วยความระวังตัวที่สุด ไม่ได้เขียนเพื่อให้กลัวและอดตายอยู่ที่บ้านครับ แต่เขียนเพื่อให้ ออกไปทำงาน ด้วยความไม่ประมาท และระวังตัวให้มากที่สุด เท่านั้นเอง สำหรับใครที่พอจะเลือกได้... ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เห็นตัวตนของเราจริงๆแล้วนะครับว่า "สุขภาพ กับ เงิน" เราเป็นคนที่จะเลือกอะไร...โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยยาเพิ่มความสูงมันใช้ได้หรอ?มีโฆษายาเกี่ยวกับการเพิ่มความสูงของร่างกายstd48371• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค. ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เป็นเวลา 10 ปี เมื่อเวลา 15.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนายนุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบ อนค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบ อนค. เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และมีมติให้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ กก.บห. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ณ วันที่มีการทำสัญญากู้เงินคือ วันที่ 2 ม.ค. 2562 และ 11 เม.ย. 2562 เป็นเวลา 10 ปี ผลจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ กก.บห. ทั้งหมด 16 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง แม้มี 2 คนลาออกไปก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม โดยในจำนวนนี้เป็น ส.ส. จำนวน 11 คน ทำให้ อนค. เหลือเสียงในสภา 65 คน จากเดิม 76 คนstd48049• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวลวงมีการบอกเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริงสุขภาพวัคซีนโควิดstd47953• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชัชชาติ" แอบแซ่บ "จุฬาลักษณ์" สาวไฮไซ ไฮบริดรายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ "ชัชชาติ" แอบแซ่บ "จุฬาลักษณ์" สาวไฮไซ ไฮบริดTunchanok Saetia• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอายุ 18 รับเงินไปเลย รัฐใจดี ให้ 5,000 เที่ยวสงกรานต์อายุ 18 รับเงินไปเลย รัฐใจดีให้ 5,000 เที่ยวสงกรานต์มะเร็งโควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยมีคนในโลกออนไลน์โพสท์ว่า ไทยขึ้นอันดับ 1 สาธารณสุขของโลก จริงหรือคะมีโพสท์ของท่านหนึ่งในเฟสบุค โพสท์ว่า ประเทศไทยขึ้นอันดับหนึ่งของโลกจาก 195 ประเทศ จริงหรือคะข่าวการเมืองสุขภาพโควิด 2019มีมanonymous• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยจริงหรือคะ เงินเยียวยาเกษตรกรพร้อมโอนวันที่ 15 พค 63 นี้ ได้ถึง 8.3ล้านคนธ.ก.ส. แจ้งเกษตรกร 8.3 ล้านราย เตรียมตัวให้พร้อมตรวจสอบผลการผลการโอนเงินผ่าน www.เยียวยาเกษตกร.com ได้ตั้งแต่ 15 พ.ค. ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียน ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร รอรับเงิน 29 พ.ค.naydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยด่วนมาก*****ไชโยๆๆๆ เสียงประชาผู้มีใจใสบริสุทธิ์ ดังถึงฟ้าได้***** การค้นพบวิธีรักษาผู้ป่วยโคขวิดของทีมแพทย์ราชวิถีโดยใช้น้ำเลือดหรือพลาสม่าของผู้หายป่วย ไปฉีดให้กับผู้ป่วยใหม่แล้วหายในเวลารวดเร็ว และ เงียบหายไปนั้น บัดนี้"สภากาชาดไทย"ประกาศรับบริจาคพลาสม่าของผู้ที่หายป่วยโคขวิดเพื่อนำไปใช้รักษา ผู้ป่วยแล้วครับ ข้าน้อย ขอน้อมกราบด้วยศิระเกล้า !!!!!!! ช่วยกันแชร์ให้ถึงผู้ที่หายป่วยทุกรายด้วยครับ นพ .จักรพงษ์ ไพบูลย์ ใครเป็นโควิด 19 แต่หายแล้ว ยกมือขึ้น เลือดของท่านมีค่า ประดุจทองคำ สภากาชาดไทย ต้องการเลือดท่านไปทำยา ทำประโยชน์ ประเทศชาติมากมาย กรุณาติดต่อสภากาชาดไทย บริจาคโลหิตเลยนะครับ ใครรู้จักคนป่วยที่หายแล้ว บอกต่อด้วยนะครับ ติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สถานที่ติดต่อ: 1871 ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์: โทรศัพท์ 0 2263 9600-99 โทรสาร: 0 2255 5558 อีเมล : blood@redcross.or.th เว็บไซต์ : http://www.blooddonationthai.com ข้อมูล จาก ศาสตราจารย์นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ โควิด-19 พลาสมาหรือน้ำเหลืองของผู้ที่หายจากโรค พลาสมาของผู้ป่วยที่หายจากโรค โควิด-19 จะมีประโยชน์อย่างมาก ในการใช้รักษาผู้ป่วย โควิด-19 ที่มีอาการมาก ภูมิต้านทาน ที่เกิดขึ้นจากผู้ป่วย เปรียบเสมือนเป็น เซรุ่มใช้รักษาโรค ขณะนี้ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีโครงการที่จะรับบริจาค พลาสมา จากผู้ที่หายจากโรค ผู้ที่หายจากโรคแล้ว ถ้ามาบริจาค พลาสมา จะถูกเก็บ ไว้ใช้เป็นยารักษาโรค โควิด-19 ผู้ที่จะมาบริจาคได้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้ออกจากโรงพยาบาลหายแล้วมีร่างกายแข็งแรง แล้วอย่างน้อย 14 วัน ตรวจไม่พบเชื้อ โควิด-19 ที่ป้ายจากคอและในเลือด มีอายุระหว่าง17 ถึง 60 ปีและมีน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม ผมในฐานะเป็นที่ปรึกษาของศูนย์บริการโลหิต อยากให้ท่านได้เป็นฮีโร่ ในการทำประโยชน์ให้ต่อมวลมนุษย์ ในการช่วยชีวิตผู้ที่ป่วยหนัก โควิด-19 จึงอยากเชิญชวนผู้ที่หายจากโรคแล้วตามเงื่อนไขดังกล่าว มาบริจาคพลาสม่า โดยติดต่อได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ จากเฟส Yong Poovowan https://www.facebook.com/yong.poovorawan?__tn__=%2CdC-R-R&eid=ARBdGOavMQbxNij2w3BGBJnrmj2DF4mCCtcGCmGYZkt5pviUwazf3fnebWV6nON0g6lV6nnhN6Uajcq4&hc_ref=ARSKwwZSKhj3bw92dmaYd5StqONqO3oGnJdM03S3uZ1OTllcVtR3RDP1j09p9Lp-FB0&fref=nfโควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: middle1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยใครชอบกินมะม่วงต้องอ่าน!!! เปิดอนาคตวงการแพทย์ คิดไม่ถึงว่า "มะม่วง" จะส่งผลต่อร่างกายขนาดนี้ ถ้าไม่อ่าน ระวังคุยกับคนทั้งโลกไม่รู้เรื่อง!!! ถ้าพูดถึงผลไม้ที่คนไทยนิยมทานกันอย่างแพร่หลาย เชื่อว่าหนึ่งในตัวเลือกของคุณต้องมี "มะม่วง" อยู่อย่างแน่นอน ทั้งมะม่วงเปรี้ยว มะม่วงมัน มะม่วงน้ำปลาหวาน แต่ละเมนูทำเอาเปรี้ยวปากทั้งนั้น แต่ความเด็ดของมะม่วงไม่ได้มีดีแค่รสชาติเท่านั้น แต่มะม่วงยังมีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว มะม่วงนั้นไม่ว่าจะกินตอนดิบหรือสุกแล้วก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่ก็มีหลายคนไม่ชอบทาน เพราะเชื่อว่ามะม่วงมีแป้งเยอะ ทานแล้วจะทำให้อ้วน หารู้ไม่ว่ามะม่วงนี่ล่ะคือผลไม้มากคุณประโยชน์ที่รู้แล้วต้องกรี๊ด วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปพบกับข้อมูลคุณประโยชน์ของมะม่วงอันน่าตื่นตาตื่นใจ ว่าจะดีจริงหรือไม่ รับประทานแล้วจะอ้วนหรือเปล่า ต้องอ่านไม่งั้นเดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ มะม่วง เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี 6 วิตามินเอ และวิตามินซี รวมทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี นอกจากนี้ก็ยังมีเควอซิทิน (Quercetin) เบต้าแคโรทีน (Beta Carotine) กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน (astragalin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีทรงพลัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ริ้วรอยก่อนวัย โรคมะเร็ง หรือภาวะเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ ลองมาดูกันสิว่ามะม่วง มีแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์ขนาดนี้ แล้วคุณประโยชน์จะมีมากขนาดไหนกัน บอกได้เลยว่าเพียบ ! 1. ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต มะม่วงเป็นผลไม้ที่สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ เพราะในมะม่วงมีสารอาหารที่สำคัญต่อระบบการไหลเวียนของเลือดอย่างโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ระดับความดันโลหิตถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้มะม่วงยังมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศอีกด้วย 2. ป้องกันโรคมะเร็ง สารประกอบฟีนอล ที่พบในมะม่วงอย่างเช่น เควอซิทิน (Quercetin) ไอโซเควอซิทริน (isoquercitrin) แอสตรากาลิน (astragalin) ไฟเซติน (fisetin) เมทิลแกทเลท (methylgallat) มีฤทธิ์เป็นสารต้านนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ในการตอต้านการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในมะม่วงก็ยังมีเพคติน (pectin) สูง และมีผลการวิจัยพบว่าสารเพคตินนี่ล่ะที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้ 3. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารขอแนะนำให้รับประทานมะม่วงเลยล่ะ เพราะในมะม่วงนั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการดูดซึมของร่างกาย ขณะที่ไฟเบอร์ในมะม่วงก็สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย 4. ป้องกันโรคหัวใจ วิตามินเอและวิตามินอีในมะม่วงรวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ ไม่เพียงเท่านั้นในมะม่วงยังมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วยการลดระดับโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine) เพราะเจ้าโฮโมซิสเตอีนนี่เป็นกรดอะมิโนที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผนังหลอดเลือดได้ อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง 5. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในร่างกาย เพคตินและวิตามินซีในมะม่วงเป็นพระเอกที่ขาดไม่ได้เลย เพราะสารอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีในร่างกายได้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูงก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทานจะดีกว่า 6. บำรุงสมอง วิตามินบี 6 ในมะม่วงนอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจแล้ว ก็ยังช่วยป้องกันและสร้างเสริมการทำงานของสมอง เพราะเจ้าวิตามินบี 6 นี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีส่วนช่วยในการกำหนดอารมณ์และรูปแบบในการนอนหลับ การเติมมะม่วงลงไปในอาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับกลูตาไมน์ (Glutamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองสามารถจดจำและมีสมาดีขึ้น และยังทำให้เซลล์สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย 7. รักษาโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคืออการไม่รับประทานของหวาน ซึ่งมะม่วงก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงแต่ขอบอกไว้เลยว่ามะม่วงนี่ล่ะช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ เพียงแค่นำใบมะม่วง 10-15 ใบแช่ลงในน้ำอุ่นและปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นในตอนเช้านำน้ำนี้มาดื่มในขณะที่ท้องว่าง จะสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ วิธีนี้สามารถรับประทานได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็ได้หากผู้ที่มีสุขภาพปกติดื่มน้ำแช่ใบมะม่วงก็จะยิ่งช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น 8. บำรุงสายตา มะม่วงมีวิตามินเอสูง ดังนั้นจึงช่วยบำรุงสายตาให้ยังใสปิ๊งปั๊งอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องการการเสื่อมของจอประสาทตาเมื่ออายุมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ 9. บำรุงผิวพรรณ ต้องยกความดีความชอบให้กับวิตามินเออีกครั้งเพราะวิตามินเอในมะม่วงนั้นมีคุณประโยชน์เพียบพร้อมจริง ๆ แม้แต่ในเรื่องผิวพรรณ การรับประทานมะม่วงทำให้เราได้รับวิตามินเอที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อและผิวหนัง ช่วยให้การอุดตันของรูขุมขนลดลงส่งผลให้ผิวพรรณเรียบเนียนได้ 10. รักษาสิว หากใครไม่ชอบทานมะม่วงแต่ก็อยากรักษาสิวให้หายโดยไม่พึ่งยาละก็ลองหันมาใช้มะม่วงในการรักษาได้ค่ะ เพราะเนื้อมะม่วงนี้แม้เราจะไม่ได้รับประทานแต่ก็สามารถใช้บำรุงผิวพรรณ ลดสิวบนใบหน้าที่กวนใจได้ เพียงฝานมะม่วงบาง ๆ วางใบหน้าทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างออก วิตามินเอในมะม่วงก็ช่วยลดการเกิดสิวได้เป็นปลิดทิ้งเลย 11. รักษาโรคโลหิตจางในหญิงที่ตั้งครรภ์ มะม่วงเปรี้ยว ๆ ถือเป็นของที่ถูกใจว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามะม่วงมีดีเพียงแค่นั้น เพราะมะม่วงก็มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เช่นเดียวกันเพราะหญิงตั้งครรภ์นั้นมักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย และการรับประทานมะม่วงก็จะช่วยให้ธาตุเหล็กอันเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางมีระดับสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ 12. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีมเช่นเดียวกับผักผลไม้มีสีส้มและสีเหลืองอื่น ๆ เช่น แครอท เป็นต้น โดยสารเบต้าแคโรทีนนั้นเป็นสารแคโรทีนอยด์อันมีคุณสมบัติในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ฉะนั้นถ้าไม่อยากป่วยง่ายก็ควรจะรับประทานมะม่วงเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับสารพิษและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โอ้โห! ประโยชน์ดีเพียบพร้อมขนาดนี้ จะให้เมินมะม่วงก็คงจะไม่ใช่เรื่องแล้วใช่ไหมล่ะ แต่จะเลือกมะม่วงดิบหรือมะม่วงสุกก็ว่ากันไป ที่สำคัญคือห้ามลืมว่ามะม่วงสุกมีน้ำตาลสูง ไม่อยากอ้วนละก็อย่ารับประทานจนเกินพอดีละ ไม่อย่างนั้นจะได้รอบเอวหนา ๆ มาเพิ่มด้วยจะร้องไม่ออกนะจะบอกให้ นี่คือข้อดีของมะม่วง เมื่อผู้ป่วย เป็นโรคมะเร็งเราจะให้เข้าคอร์สกินข้าวสวยมะม่วงเกลือผลไม้อื่นๆ 10 วัน ทุกคน กินผ่านวิกฤตของอาการป่วยได้ เพราะมันคือยาฆ่าเชื้อ และมีแร่ธาตุวิตามิน เสริมให้กับร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์แล้วร่างกายฟื้นขึ้นมาเร็วและสามารถขับของเสีย จนร่างกายมีภูมิต้านทานสู้กับโรคได้สุขภาพมะเร็งยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยวันนี้ ขอ กราบ ไหว้ ประเทศไทย และ คนไทยเราทุกคน ที่ได้ช่วยสร้างชาติ มาตลอด มาดูว่า ประเทศไทย ในสังคมโลกเป็นอย่างไร,,,, อย่าลืมกด see all ซ้ายล่าง นะครับ จะได้อ่านให้ครบ ********************* สถานภาพของประเทศไทยที่ถูกต้อง…ที่คนไทยควรทราบความจริง ====== 1. ในบรรดาประเทศ…ที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ…เกือบ 200 ประเทศ …แต่ มีประเทศ…ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ…ที่จะเป็นสมาชิกขององค์การ การค้าโลก จำนวน 156 ประเทศ เท่านั้น…สำหรับประเทศไทย…มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่…เป็นอันดับที่ 31 ของโลก 2. ไทย…เป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออันดับที่ 24 ของโลก…ดังนั้น…อียู และ…อเมริกาจืงกระตือรือร้น…ที่จะมาขอทำเขตการค้าเสรี …ที่เรียกว่า Free Trade Area กับไทย 3. ประเทศไทย…เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 28 ของโลก…ซื่งแสดงว่า …ถ้าประเทศไทยส่งออกไม่ได้ …หรือ มีปัญหาการส่งออก…ก็ทำให้โลกวุ่นได้เหมือนกัน… เห็นกันมาแล้ว…ในตอนที่รัฐบาลบริหารงานน้ำไม่เป็น …ในปี 2554…ที่เกิดอุทกภัยใหญ่…นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่ง…ถูกน้ำท่วม…การผลิตรถยนต์ …การผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ชะงัก …ทำให้วุ่นวายไปหมดทั้งโลก ~ เมื่อไทยเกิดวิกฤติการเงิน…ก็ส่งผลให้ลามไปทั้งเอเซีย …รัสเซีย …ยุโรปด้วย …ไปจนถืงละตินอเมริกา ……เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว…ในคราววิกฤติต้มยำกุ้ง 4. CIA แอบรวบรวมข้อมูล…เงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แล้วตะลืงว่า…ไทยมีถืง 200 พันล้านเหรียญ …อันนี้เป็นลงทุนจริงๆ …ไม่ใช่เงินในตลาดหุ้น …เป็นที่อิจฉาของประเทศใกล้เคียงมากพอสมควร ~ เวียดนาม…ได้ทุ่มสุดตัว…สร้างโรงกลั่นน้ำมัน …ปรากฏว่า…กลั่นไม่ได้เรื่อง …น้ำมันที่ได้คุณภาพต่ำ …ต่างจากฝีมือวิศวกรไทย …นักเคมีไทย …ไทยเป็น…ประเทศผู้กลั่นน้ำมันที่สำคัญของเอเชีย 5. เทียบกันทั่วโลกแล้ว …ประเทศไทย…จัดว่า…เป็นประเทศที่การลงทุนทำได้ง่ายเป็นอันดับที่ 17 ของโลก… เท่าๆแคนาดา …และเยอรมัน …เช่น กู้เงินได้เร็ว …ก่อสร้างได้เร็ว …หาคนทำงานได้เร็ว …จดทะเบียนบริษัทได้เร็ว 6. ไทย …เป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้า…อันดับที่ 20 ของโลก……ประเทศไทยทำได้ไม่เลว … 7. ไทย ทำรายได้จากอุตสาหกรรม…ฐานความรู้ ความชำนาญเป็นอันดับที่ 30 ของโลก 8. ไทย เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอันดับ 17 ของโลก 9. ประเทศไทย…ผลิตสินค้าเกษตร…เป็นอันดับที่ 11 ของโลก 10. ไทย…เป็นผู้ส่งออกอาหาร…อันดับ 6 ของโลก พอๆกับเดนมาร์ก ออสเตรเลีย 11. ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยว…เข้ามาเป็นอันดับที่ 19 ของโลก 12. ไทย ขายบริการสนามบิน…ได้เป็นอันดับที่ 17 ของโลก 13. กรุงเทพและลอนดอน…แย่งกันเป็นเมืองอันดับหนึ่ง…ด้านการท่องเที่ยวของโลก …มาหลายปี …ในที่สุด…กรุงเทพได้คะแนนจากชาวต่างชาติเป็นอันดับ 1 ของโลก 14. ประเทศไทย…มีสำรองเงินตราต่างประเทศ…อันดับ 12 ของโลก สูงกว่าเยอรมัน ค่าเงินเสถียรมาก แข็งเหมือนกับเงินสวิสเซอร์แลนด์ ถือเป็น Safe Haven ของโลกด้านการเงิน… ในขณะนี้…ถือว่า…พวกเราโชคดี…ที่อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ…และ…เราจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป 15. เมื่อเดือนกรกฏาคม 2554 ธนาคารโลก…เลื่อนประเทศไทย…ขื้นสู่ประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางขั้นสูง …upper middle income country …เพราะเขาบอกว่ารายได้เข้าเกณท์มาตั้งแต่ปี 2551 … 16. ประเทศไทย…มีอัตราคนว่างงานต่ำ…เป็นอันดับ 2 ของโลก แถมยังมีคนต่างชาติมาทำงานอีกประมาณ 3.7 ล้านคน แสดงว่า…ไทยมีงานเกินจำนวนแรงงานคนในชาติ ~ การที่เรามีการทำเขตเศรษฐกิจเสรี…กับออสเตรเลีย …นิวซีแลนด์ …จีน …อินเดีย …อาเซียน …เกาหลี …รวมประชากร…ร่วม 2,000 ล้านคน …90 % ของสินค้าในกลุ่มอาเซียน…ภาษีเท่ากับศูนย์ …เมกา กับยุโรป…จืงต้องการเข้ามาร่วมมาก 17. ค่าครองชีพเมืองไทย…อยู่ที่อันดับ 81 ของโลก…ถูกกว่าพม่า… อินโดเยอะ 18. ไทยถูกจัดเป็นประเทศ…ที่น่าลงทุนอันดับ 8 ของโลก 19. ถ้าคนในโลกจะเกษียนอายุ …ผลการสำรวจบอกว่า…เมืองไทยเหมาะมาก ที่จะมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในไทย…ในอันดับ 9 ของโลก 20. ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออก…ดิสค์อันดับ 1 ของโลก ส่งออกยาง และ น้ำตาลอันดับ 2 ของโลก…ส่งข้าวออก…เป็นที่ 6 ของโลก ส่งรถยนต์ไปขายอันดับที่ 15 ของโลก … ไทยเป็นผู้ผลิตส่งออก…หมู ไก่ ไข่ เป็ด ชั้นนำ ผัก ผลไม้เพียบ ต่อไปจะส่งดอกไม้…ตีตลาดโลก…แบบโคแวนท์ มาร์เกตของอังกฤษ 21. คนต่างชาติ…ชอบมาอยู่เมืองไทย …มาทำงานเมืองไทย… ที่พักระดับดีถูกสุดในเอเชีย …อาหารดี …โรงพยาบาลดี ทุกสถานทูตในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทใหญ่ๆ …ในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ตะวันออกกลาง…มาใช้บริการทางการแพทย์ของไทย…การแพทย์ไทยดังมาก…อยู่ประเทศอื่น…ต้องมาใช้บริการรักษาพยาบาลในเมืองไทย …มีโรงเรียนอินเตอร์ชั้นนำหลายสิบแห่ง …เที่ยวได้ทั้งคืน …กินเหล้าได้ทั้งคืน …มีทะเลภูเขา …ป่าไม้ …มีอาหารทุกชาติ …ห้างใหญ่สุด…ให้เมียได้เดินช้อปปิ้งเป็นวันๆ… รถไฟฟ้าก็มี …เป็นเมืองของหนุ่มสาว …บรรยากาศทั่วไปปลอดภัยดีกว่าอีกหลายประเทศมาก 22. คนไทย…ต้อนรับคนทุกศาสนา…ทุกคน… มีเสรีภาพในการ…เป็นเกย์ ทอม ดี้ เลสเบี้ยน 23. ไทย มี ระบบคมนาคม…ดีกว่าจาร์กาต้า …ฮานอยเยอะ 24. ในเมืองไทย คุณหาห้องน้ำสะอาดได้ทั่วไป …เรื่องนี้สำคัญสุดๆ…สำหรับผู้หญิงทุกคน 25. สถานทูตอเมริกัน…ขนชาวอเมริกันมารับเอกสิทธิ์ทางการทูต…มาอยู่กันในไทย…มากกว่า 4,000 คน อาจมีจำนวนคนในสถานทูตอเมริกัน มากกว่าคนในสถานทูตอเมริกัน…ที่ไปอยู่ในประเทศอื่นๆก็ได้ 26. คนไทยส่วนใหญ่ …มีนิสัยดี …มีกาละเทศะ …ไม่วุ่นวายเหมือนคนชาติอื่น ให้เกียรติคนต่างชาติ 27. ประเทศไทย…อากาศไม่ร้อนจัด …ไม่เย็นจัด…เหมือนประเทศอื่น 28. เมืองไทย…น่าอยู่ …น่าทำงาน …คนแพรคติคอล …ดีกว่าคนในประเทศอื่น 29. ชาวต่างชาติ …ยกย่องวัฒนธรรมไทย…ว่าสูงเด่น …เข้มแข็ง …เป็นอันดับ 8 ของโลก ~ ต้องการบอกกล่าว …ความจริงในเรื่องราวเหล่านี้…ให้คนไทย…ลูกหลานของเรา …นักเรียนของเรา…ภูมิใจในความเป็นคนไทย…ในชาติไทยของเรา… บอกเล่าให้เพื่อนต่างชาติของคุณได้ทราบ… เพื่อเขาจะได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น…เพื่อท่านและลูกหลานของท่าน…จะได้รู้จักและภูมิใจในประเทศของตนเอง และ…จะได้รู้ว่าคนรุ่นก่อนๆ…และ…บรรพบุรุษของเรา…ได้ร่วมกันสร้างประเทศนี้กันขื้นมา… ~ ขอให้ทุกคน…มีความกตัญญูต่อประเทศชาติมากขึ้น มาจากไลน์ครับ จากบทความความแข็งแกร่งของประเทศไทย ว่างๆจะปรับปรุงตัวเลขใหม่ ดีกว่าเดิมเยอะ . Cr-@สมเกียรติ โอสถสภาข่าวการเมืองสภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ