1 คนสงสัย
ไม่ใส่กางเกงใน ทำให้เป็นโรคใส้เลื่อน
ไม่ระบุชื่อ
 •  1 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

โรคไส้เลื่อน เกิดจากความดันในช่องท้องสูง ร่วมกับกล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณผนังหน้าท้องหย่อนยาน ทำให้ลำไส้เคลื่อนที่มาตุงบริเวณหัวหน่าวถุงอัณฑ

ที่มา

https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    กินเต้าหู้ถั่วเหลือง ทำให้เป็นโรคพาร์กินสัน จริงหรือไม่คะ
    อาการโรคพาร์กินสันเป็นแบบนี้คือ 1. เกิดอาการสั่นบริเวณนิ้ว มือ แขน หรือขา ขณะที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว 2. เคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ได้ช้ากว่าปกติ 3. กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ทำให้ควบคุมการทรงตัวของร่างกายลำบาก ควบคุมกล้ามเนื้อมือและแขนไม่ได้ ทำให้เขียนหนังสือลำบาก ข่าวแชร์ทั่วโซเชียล กินเต้าหู้ถั่วเหลือง ทำให้เป็นโรคพาร์กินสันได้ จริงหรือคะ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ข่าวปลอม อย่าแชร์! เล่นมือถือนาน ๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป
    ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเล่นมือถือนานๆ ทำให้หน้าเบี้ยวผิดรูป ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการเตือนภัยว่าการเล่นมือถือเป็นระยะเวลานาน จนทำให้พักผ่อนน้อย ส่งผลให้ปลายประสาทที่เลี้ยงใบหน้าอักเสบ หน้าผิดรูป ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า การพักผ่อนน้อย หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก และปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน โดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ทำหน้าที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เมื่อมีความผิดปกติของเส้นประสาทจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง หรือมีลักษณะขยับไม่ได้ เช่น หลับตาไม่สนิท มุมปากตก ยิ้มไม่ขึ้น มักเป็นใบหน้าครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง สาเหตุการเกิดมีหลายปัจจัย เช่น เกิดตามหลังอุบัติเหตุบริเวณเส้นประสาทโดยตรง, การติดเชื้อบริเวณต่อมน้ำลายใกล้ๆเส้นประสาท, การพบเนื้องอกกดเบียดเส้นประสาท หรือเกิดจากการอักเสบของตัวเส้นประสาทเอง (Bell’s palsy) เป็นต้น สำหรับภาวะเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อักเสบ หรือ Bell’s palsy นั้น การอักเสบของเส้นประสาทดังกล่าวเกิดขึ้นเอง โดยไม่ได้มีสาเหตุที่สรุปได้ชัดเจน แต่อาจสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสเริม หรืองูสวัด ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีกที่เกิดขึ้นเร็วระยะเวลาภายใน 48 ชั่วโมง เช่นกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ขยับไม่ได้ เช่น หลับตาไม่สนิท มุมปากตก รับประทานอาหารและดื่มน้ำลำบาก ร่วมกับอาจมีอาการหูข้างนั้นได้ยินเสียงก้องกว่าปกติ รับรสผิดปกติ เป็นต้น เมื่อมีอาการผิดปกติที่สงสัยภาวะดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์ โดยการรักษาโรคนี้ประกอบด้วยการรักษาด้วยยาหากผู้ป่วยมาพบแพทย์ในช่วงแรกที่มีอาการ ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวดีขึ้น ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้าในระยะยาว ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.dms.go.th หรือโทร 02 5906000 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ๆ การพักผ่อนน้อย ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน หน่วยงานที่ตรวจสอบ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข AFNCAFNCTHAILANDข่าวปลอมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมหน้าเบี้ยวเล่นมือถือโทรศัพท์มือถือ ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง website 2378 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ 2 กรกฎาคม 2566 | 16:30 น. website 2374 ข่าวปลอม อย่าแชร์! อาหารอุ่นไมโครเวฟ อันตรายแถมเสี่ยงมะเร็ง ข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ 2 กรกฎาคม 2566 | 13:30 น. ข่าวล่าสุด website 2384 ข่าวปลอม อย่าแชร์! ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนลงทุนหุ้น รับปันผล 30,000 บาทต่อเดือน การเงิน-หุ้น website 2383 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมการจัดหางาน เปิดโครงการ “ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน” ให้คนไทยมีรายได้เสริม นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร website 2382 สธ. เปิดตัวรถฟอกไตเคลื่อนที่นวัตกรรมต้นแบบคันแรกของไทย จริงหรือ? นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร website 2381 ข่าวปลอม อย่าแชร์! เพจ SAO Trading ในเครือของ AOT เปิดให้ลงทุนเริ่มต้น 1,000 บาท การเงิน-หุ้น website 2380 ข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมพัฒนาธุรกิจฯ รับสมัครพนักงานนำเที่ยว รายได้ 1,500 บาท/วัน นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร เมนูหลัก หน้าแรก แจ้งเบาะแสข่าวและติดตาม คลังความรู้ ข่าวสาร ดาวน์โหลดคู่มือประชาชน เกี่ยวกับการใช้งาน ตัวช่วยเหลือในการเข้าถึงเว็บไซต์ นโยบายรักษาความลับข้อมูลส่วนตัว line facebook twiter twiter twiter call สายด่วน : 1111 ต่อ 87 Logo Copyright © 2023 ANTI-FAKE NEWS CENTER THAILAND ขออนุญาตใช้คุกกี้เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอเนื้อหาที่ดีให้กับท่าน ทั้งนี้ ท่านมั่นใจได้ว่าเราจะดูแลและรักษาความปลอดภัยข้อมูลของท่านเป็นอ
    สุริยนต์ พักแดงพันธ์
     •  10 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น เอาอะไรเข้าไปก่อกวนลำไส้ ซึ่งอาจมีโทษข้างคียง เช่น ทำลายระบบนิเวศของ แบคทีเรียดีในลำไส้ นำสู่การขาดวิตามิน B12 เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ เช่น ท้องผูก อวัยวะขับพิษ ทั้ง 6 บทความตอนหนึ่ง ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ร่างกายของเรา เขาทำงานของเขาเองอยู่แล้ว โดยอาศัยอวัยวะ ขับพิษทั้ง 6 คือ (1) ตับ (2) ไต (3) ปอด (4) ลำไส้ใหญ่ (5) ต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง (6) น้ำเหลือง ถ้าท่านอยากจะล้างพิษ ผมแนะนำให้ท่าน ช่วยให้อวัยวะ ทั้งหกนี้ ทำงานได้ดีขึ้น ดังนี้ (1) ท่านช่วย “ตับ” ของท่านได้ ด้วยการกินอาหาร ที่ตับต้องใช้ในการขจัดพิษ ที่เรียกว่า สารต้าน อนุมูลอิสระ นั่นแหละ ได้แก่ อาหารพืชที่หลากสี (เน้นสีม่วงแดง) หลากรส (เน้นรสขม) ตามฤดูกาล (เน้นเห็ด) และ เน้นขมิ้นชัน ในภาพรวมว่าเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่น นอกจากนี้ ควรขยันออกแดด เพื่อให้ไมโตคอนเดรีย ในเซลร่างกายของท่าน ทุกเซลช่วยกันสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อเมลาโทนิน ขึ้นมาช่วยการทำงานของตับ (2) ท่านช่วย “ไต” ของท่านได้ ด้วยการระวัง ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ กินเกลือให้น้อย กินยาให้น้อยที่สุด ไม่กินยาที่ทำให้ เป็นโรคไตเรื้อรัง โดยตรง เช่น ยาลดการหลั่งกรด (เช่น omeprazole) ยาแก้ปวด แก้อักเสบข้อ และอย่าฉีดสี เพื่อวินิจฉัยโรคบ่อย โดยไม่จำเป็น เพราะ สีเหล่านั้น เป็นพิษต่อไตมาก..ก (3) ท่านช่วย “ปอด” ของท่านได้ ด้วยการ ฝึกหายใจให้ลึก ฝึกกลั้นหายใจนิดหนึ่ง ขณะลมเต็มปอด ฝึกหายใจออก ให้ยาวกว่า การหายใจเข้า เพื่อเอาลมค้างออกมา ให้มากที่สุด ใช้วิธีนับ 4-4-8 อย่างที่ผมเคยสอน ในบล็อกก่อนๆ ก็ได้ (เข้า 1 2 3 4, กลั้นไว้ 1 2 3 4 ออก 1 2 3 4 5 6 7 8 ) และขยันพาตัวเอง ไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ อากาศดีๆ (4) ท่านช่วย “ลำไส้ใหญ่” ของท่านได้ ด้วยการเอาใจใส่ เลี้ยงดูชุมชนจุลินทรีย์ (microbiomes) ในลำไส้ของท่าน ให้เจริญเติบโต หลากหลาย เพราะพวกเขา เป็นผู้ขับพิษ ที่แท้จริงของท่าน วิธีเลี้ยง ก็คือ กินของที่พวกเขา ใช้เป็นอาหาร (prebiotic) เช่น กากต่างๆ และถั่วต่างๆ และ ขยันกินอาหาร ที่มีจุลินทรีย์ (probiotic) เช่น อาหารหมักๆดองๆ ชาหมัก เป็นต้น (5) ท่านช่วย “ต่อมเหงื่อบนผิวหนัง” ของท่านได้ ด้วยการขยันออกกำลังกาย ให้เหงื่อออกมากๆ ขณะเดียวกัน ก็ดื่มน้ำตามไม่ให้ขาด ถ้ามีซาวน่า ก็ขยันอบซาวน่า ให้เหงื่อไหลโทรมกาย ก็ช่วยได้ (6) ท่านช่วย “ระบบน้ำเหลือง” ของท่านได้ ด้วยการขยัน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว อย่างน้อย ให้ขยันเดินทั้งวัน วิ่งเหยาะๆบ้าง เมื่อมีโอกาส เพราะการขยับแขนขา เป็นปัจจัยเดียว ที่จะขับเคลื่อน การไหลเวียน ของน้ำเหลือง เอาของเสียไปทิ้งได้ ทำทั้งหกอย่าง นี่แหละ เป็นการ “ดีท๊อกซ์” ที่ได้ผลดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องไปเสียเงิน ฉีดอะไรที่เสี่ยงๆเข้าตัวเอง ทุกเดือนเลย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ บรรณานุกรม 1. Knudston ML, Wyse DG, Galbraith PD, et al. Chelation therapy for ischemic heart disease, a randomized controlled trial. JAMA. 2002;287(4):481-486.
    Mrs.Doubt
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กระชาย แก้โรคกระดูกเสื่อม
    หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับ @sgt3846b หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับมาตรวจใหม่ มวลกระดูกแน่นปึ้ก เผยยาสูตรพิเศษ ปวดเข่า ปวดหลัง หายสิ้น!! กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้ !!!!! โรคกระดูกเสื่อม เกิดจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูกในร่างกายของเรา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการทาน จากการเคลื่อนไหวมากเกินไป มักจะเกิดในวั#ยกลางคน วัยสูงอายุ สังเกตเห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลื่อนไหวจะมีเสียงกร๊อบแกร๊บ กร๊อบแกร๊บ บางทีก็จะปวดตตรงข้อกระดูก รู้สึกขัดๆปวดๆ เคลื่อนไหวลำบาก นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบก็จะลุกขึ้นยาก การรักษาโรคกระดูกเสื่อมนั้นส่วนใหญ่คนมักจะพึ่งยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมต่างๆ เช่น แคลเซียมแคปซูล วันนี้นายข้าวต้ม ขอแนะนำสูตรสมุนไพรพิเศษ อาจทำให้เราหายขาด หรือบรรเทาอาการโรคกระดูกเสื่อมได้ คือ ทานแบบภูมิปัญญาไทย ด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เรื่องจริงจากผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อม “หมอเพชร” หรือ ดร. กฤษณา รัตนชาลี ศัลยแพทย์ด้านหัวใจ วัย 60 ต้นๆ เรียน จบแพทย์จากอังกฤษ และทำงานประจำอยู่ที่ต่างประเทศ เพิ่งบินกลับมาปฏิบัติธรรม ที่วัดเขาฯ เป็นครั้งแรก เล่าให้ฟังถึงเพื่อนหมอ ซึ่งไปตรวจที่ รพ.ศิริราช พบว่า เป็นโรคกระดูกเสื่อมเฉียบพลัน รพ. ให้ยามากินมากมาย หมอเพชรบอกเพื่อน เอายาทิ้งไป และลองกินน้ำกระชาย ซึ่งตามสูตรธรรมชาติบำบัดเป๊ะยิ่งกว่า ท่าน อ.สุทธิวัสส์ ซะอีก คือ ห้ามเพื่อนใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ให้ใช้ครกหินอ่างศิลาตำๆ พอกระชายแหลก ก็เอามากรองด้วย “กระชอนไม้” ปูรองด้วยผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ มาผสมกับ น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้!!!!! คนไข้ก็ไม่กล้าบอก หมอถามต่ออีกว่าแล้วยาที่ให้ไปกินหมดรึยัง?…..ยังค่ะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนหมอเพชรคนนี้ก็กินน้ำกระชายเป็นเครื่องดื่มประจำตัว ประจำบ้าน แล้วไม่เคยป่วยด้วยโรคกระดูกเสื่อมอีกเลย อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมา แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมอยู่ให้แน่นเหมือนเดิม ส่วนผสม กระชาย 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก วิธีทำ “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม 1. นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา หรือ ปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ละเอียดเติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว 2. นำกระชายที่ตำหรือปั่น มากรองผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่น้ำหัวเชื้อ 3. ใส่น้ำผึ้ง และ มะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหินอ่างศิลา จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ เก็บในตู้เย็นทานไปจนกว่าจะหมด ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า – เย็น สรรพคุณ บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง) บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงจะลดลงความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น) แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ บำรุง มดลูก แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน) ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต แก้ปัญหา ไส้เลื่อน เป็นยังไงกันบ้าง กับสูตรน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว สูตรธรรมชาติบำบัดรักษาโรคกระดูกเสื่อม อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วยนะครับ ข้อมูลและภาพจาก naykhaotom / siamnews @sgt3846b แนวทางปฏิบัติ #1แชร์=1ธรรมทาน แชร์เยอะๆ ได้บุญคะ โปรดทราบ! ถ้าชอบ ฝาก กดติดตามเพจ กันด้วยนะค่ะ ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ
    Mrs.Doubt
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือบทความนี้เขียนโดย Kobayashi Koichi มหาวิทยาลัยนาโกย่า
    Kobayashi Koichi ศาสตราจารย์ญี่ปุ่น วิเคราะห์อเมริกา น่าศึกษายิ่ง สื่อญี่ปุ่น: ภายใน 10 ปีสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะล่มสลาย เหมือนอดีตสหภาพโซเวียต! วารสารวิชาการชื่อ "Izu View the World" ตีพิมพ์บทความของ Kobayashi Koichi ศาสตราจารย์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยนาโกย่า บทความนี้เชื่อว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้าสหรัฐฯมีแนวโน้ม ที่จะแตกแยกและล่มสลายอย่างกะทันหัน! เมื่อบทความนี้เผยแพร่ออกไป ก็ทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วโลกทันที บทความที่ลงหัวข้อนี้ "A Split United States and the Split of the United States" เชื่อว่ามีความขัดแย้งสามอย่าง ในสหรัฐอเมริกา ที่ไม่มีทางเอาชนะได้ และข้ามผ่านไม่ได้ โดยฝังรากลึก ซึ่งจะส่งเสริมสหรัฐอเมริกาให้มีอำนาจ อยู่ยงคงกระพัน เช่นเดียวกับอดีตสหภาพโซเวียต แต่ในที่สุดก็จะนำไปสู่การสลายตัว ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เป็นเพียงวิถีการสูญพันธุ์ของพวกมันเกิดขึ้น ในทิศทางตรงกันข้าม 1. ความขัดแย้งทั้งสามนี้ ได้แก่ 1) การเหยียดผิวที่ฝังรากลึกความขัดแย้งทางเชื้อชาติ 2); พลังของกลไกภายในของระบบประชาธิปไตยอเมริกัน กำลังอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ 3) การเรียกร้องเสรีภาพมากเกินไปของผู้คน และความขัดแย้งระหว่างความเป็นจริง และความสามารถที่จะให้ได้ ความขัดแย้งทั้งสามนี้ กลายเป็นโรคเรื้อรังที่สังคมอเมริกัน ไม่สามารถรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และความแตกแยกทางเชื้อชาติเป็นอุปสรรคของคนอเมริกัน? เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในเมืองเคโนชา รัฐวิสคอนซิน เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวยิงปืนถึงเจ็ดนัด เข้าที่ด้านหลังของชายผิวดำ เพราะเขาปฏิเสธที่จะให้สอบปากคำ ทำให้เกิดการจลาจลตามมา ต่อมามีวัยรุ่นผิวขาวอีกคน ยิงใส่ผู้ชุมนุมบริเวณ "สำนักงานคุ้มครอง" ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการประท้วงระดับชาติอีกครั้ง ห่างจากคดีตำรวจปราบจลาจล "จอร์จ ฟลอยด์" ในรัฐมินนิโซตา เพียงสามเดือน มันเกิดอะไรขึ้นกับสหรัฐอเมริกา? การจลาจลทางเชื้อชาติเกิดขึ้นหลายครั้ง ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แต่ความแตกต่างคือ ในอดีตส่วนใหญ่กระจุกตัว อยู่ในถิ่นฐานของคนผิวดำ แต่ขณะนี้ ด้วยความแพร่หลายของโทรศัพท์มือถือ การสื่อสารแบบใหม่ ความดึงดูดทางอารมณ์ร่วมของมวลชน และความสามารถในการระดมคนในสังคมอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจุดชนวนลุกลามทั่วสหรัฐอเมริกาในทันที ในทางกลับกัน กลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรง ได้เพิ่มความยึดโยงกันเหนียวแน่นขึ้น และมีการขยายตัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน กองกำลังติดอาวุธ ได้โลดแล่นไปตามท้องถนน ด้วยปืนไรเฟิลอัตโนมัติ และบางครั้ง ตำรวจก็มองว่า พวกเขาเป็นตัวช่วย ในการรักษาระเบียบสังคม เป็นผลให้เกิดการจลาจลทางชาติพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น กองกำลังติดอาวุธผิวขาวหัวรุนแรง มีความหยิ่งผยองมากขึ้น และประธานาธิบดีทรัมป์ก็จุดฟืนโหมไฟตลอดทั้งวัน สร้างความแตกแยกทั้งภายในและภายนอก ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน เป็นเพียงอุบัติเหตุหรือไม่? หรือเป็นอาการของการเสื่อมถอย ในโครงสร้างของอเมริกา? เมื่อปี 2019 การสำรวจของสถาบัน Brookings ในสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรายงาน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนทางชาติพันธุ์ ของประชากรในสหรัฐอเมริกา เห็นได้ชัดว่าเหมือนคำถามมากมาย ได้รับคำตอบ ในปี 1980 ชาวอเมริกันผิวขาว คิดเป็น 79.6% ของประชากร ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ รวมถึงชาวลาติน ชาวเอเชียและคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ในปี 2018 คนผิวขาวคิดเป็น 60.4% ส่วนคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว คิดเป็นเกือบ 40% เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป40ปี ประชากรคนผิวขาวลดลง 20% ส่วนประชากรอายุต่ำกว่า 15 ปี ในปี 1980 คนผิวขาวคิดเป็น 73% แต่ในปี 2018 คนผิวขาวมีสัดส่วนเพียง 49.9% ลดลง เหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จากแนวโน้มดังกล่าว อีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า ประชากรผิวขาวจะเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศและคนผิวขาว อายุต่ำกว่า 30 ปีจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ที่ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณ ในโครงสร้างทางประชากรนี้ จะเปลี่ยนการเมืองอเมริกันโดยพื้นฐาน มีประเด็นสำคัญสองประการ ประการหนึ่งคือจากรัฐบาลกลางไปจนถึงระดับท้องถิ่น คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว จะควบคุมอำนาจ ได้มากขึ้น ประการที่สองคือ คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว จะแก้ไขการแจกจ่ายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคม ให้ยุติธรรมเสียใหม่ ผ่านการออกเป็นกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน ของอำนาจทางการเมือง และทรัพยากรทางสังคมและเศรษฐกิจ จะทำให้ความแตกแยกทางสังคมรุนแรงขึ้น และนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน การเติบโตอย่างรวดเร็ว ของกลุ่มคนผิวขาวที่ก้าวร้าวในปัจจุบัน รวมถึงการเกิดกระแสนิยมของทรัมป์ เป็นผลิตผลมาจากความกลัวกังวลของคนผิวขาว ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปัจจุบัน ไม่ว่าใครจะชนะ อีกฝ่ายจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง และความโกรธที่ฉุนเฉียว ทางออกที่สหรัฐฯสามารถทำได้คือ การเมืองแบบตัวแทนของอเมริกาที่เกิดจากการผสมผสาน ระหว่างลัทธิเสรีนิยม ปัจเจกนิยม และทุนนิยมและปักใจเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า นี่คือแนวทางการปกครอง ที่มีคุณธรรมสูงสุด และมีประสิทธิผลสูงสุด สำหรับมนุษยชาติในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม โรคไวรัสโควิด ที่ระบาดไปทั่วโลก ได้ทำลายภาพลวงตานี้ เผยให้เห็นความจริงว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ มีผลการดำเนินงาน แย่ที่สุดในโลก การปกครองแบบอเมริกัน ไม่เพียงแต่ไม่ช่วย แต่ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก นอกจากนี้ยังช่วยให้ความเจ็บป่วย ทางเชื้อชาติเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมดั้งเดิมสามารถเกิดขึ้นพร้อมกัน และไม่สามารถควบคุมได้ แม้จากมุมมองของการเมืองเชิงประชากร ที่เรียบง่าย ประเทศใดในโลกที่สามารถรักษาเอกภาพของการเมือง และดินแดนไว้ได้เป็นเวลานาน โดยไม่มีเชื้อชาติประชากร เป็นคนส่วนใหญ่ที่มั่นคง? ไม่มีเลย ด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ของอเมริกันผิวดำ ที่ถูกค้ามนุษย์กดขี่ และเลือกปฏิบัติ โดยคนผิวขาว ความแตกแยกครั้งใหญ่ในอนาคตในสหรัฐอเมริกา จะเต็มไปด้วยความเกลียดชังและการเสียเลือดเนื้อ และมีความเป็นไปได้มาก ที่จะระเบิดเป็นสงครามกลางเมือง ในทันที สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ มีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก การแตกสลายของสหรัฐอเมริกานั้น ร้ายแรงกว่าอดีตสหภาพโซเวียตมาก มันจะเป็นความหายนะของมนุษยชาติซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อสามสิบปีที่แล้วระหว่างเรากับคนรุ่นนี้ ดูเหมือนว่าการอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในแผนที่เส้นทางสู่ความสำเร็จในชีวิต เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ในอีก 20 ปีข้างหน้าเส้นทางการอพยพจะถูกย้อนกลับ และชาวอเมริกันจำนวนมากอาจต้องการย้ายไปประเทศอื่น ภายใน 10 ปีสหรัฐอเมริกาจะล่มสลายหรือไม่? ゚ สิ่งนี้ฟังดูเหมือนนิทานอาหรับราตรี ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เช่นเดียวกับการสลายตัวของสหภาพโซเวียต ในตอนนั้น มันเกินความคาดหมายของผู้คน อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเสมอ! คุณไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นการล่มสลายและการสลายตัวของสหรัฐอเมริกาโดยเนื้อแท้ แล้วแต่สวรรค์จะเป็นอะไร? ภาพยนตร์เรื่อง "Loying Gorge" ที่ถ่ายทำในปี 1971 มีการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสวรรค์และมนุษยชาติ "ความดีและความชั่วจะได้รับการตอบแทน "ชาติบ้านเมืองและหน่วยงานทางการเมืองก็เหมือนกับบุคคล หากทำสิ่งเลวร้ายไม่เลิกก็จะได้รับการแก้แค้นจากพระเจ้าด้วย สหรัฐอเมริกา? ตามคำพูดของคนทั่วไป มันไม่ได้ทำสิ่งที่ดีเลย ในช่วง 200 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง ประเทศ ที่ชอบกำหนดเจตจำนงของตนเองบังคับต่อชาติอื่น ชาติที่ชอบที่จะทำลายชาติอื่น องค์กรทางการเมืองที่ขยายไปทุกหนทุกแห่ง ครอบงำผู้คนและอวดความแข็งแกร่งไปทุกหนทุกแห่ง ในที่สุดก็จะมีวันแห่งความเหนื่อยล้า บางทีนี่อาจเป็นกฎแห่งประวัติศาสตร์มากกว่า! ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นจริงหรือตรรกะ สหรัฐฯดูเหมือนจะ "รุดหน้าสู่ความหายนะ" โดย: Kobayashi Koichi มหาวิทยาลัยนาโกย่า
    naydoitall
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
    หน้าแรก Main navigation หน้าแรก ข่าว เฟคนิวส์ สุขภาพปฐมภูมิ โรคอุบัติใหม่ รายงาน Infographic ชุมชนสุขภาพ Search Tuesday, 24 January 2023 ข่าวปลอม! กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ตามที่มีการแชร์ข้อความเกี่ยวกับประเด็นเรื่องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ จะถูกดูดน้ำย่อยในลำไส้ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีบทความเตือนว่า กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบจะดูดน้ำย่อยในลำไส้ เกิดอาการขาดน้ำ จนทำให้เกิดภาวะช็อกได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ ไม่สามารถดูดน้ำย่อยในลำไส้ได้ จึงไม่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำมาจากแป้ง ผ่านการทำให้สุกได้ด้วยน้ำร้อน ก่อนจะนำไปทอดในน้ำมัน หรือนำไปอบแห้ง ผู้บริโภคมักจะนำมาต้มหรือใส่น้ำร้อนอีกครั้งก่อนรับประทาน เมื่อนำมาเติมน้ำร้อน หรือต้ม เส้นบะหมี่จะดูดน้ำ จนพองตัวในระดับหนึ่ง ตัวเส้นจะอ่อนนุ่ม ง่ายต่อการบริโภค หากนำมากินดิบจะเหมือนกับการกินแป้งหรือขนมปังเข้าไปในร่างกาย ไม่สามารถไปดูดน้ำย่อยในลำไส้ หรือทำให้ร่างกายขาดน้ำได้อย่างที่เข้าใจกัน แต่การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบอาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องได้ โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อ 1 ซอง มีปริมาณโซเดียมที่สูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณโซเดียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ปริมาณโซเดียมที่แนะนำให้รับประทาน คือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หากกินมากเกินไปจะทำให้เกิดอาหารกระหายน้ำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ จึงไม่ควรบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกินวันละ 2 ซอง
    std46677
     •  10 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผงมรณะหมู่
    ผงมรณะหมู่ (ขอบคุณด็อกเตอร์จิรพล สินธุนาวา ที่แนะนำข้อมูลมาเห็นด้วย 100% ครับ และเพิ่มเติมก็คือผงชูรสที่ใช้ในญี่ปุ่นนั้นทำจากสาหร่ายทะเลที่ไม่ได้อมพิษ แต่ในประเทศไทยใช้ที่เห็น ๆ ทางด้านล่างครับ) อยากตายไม่เหงา กินไป ป่วยเรื่อย ๆ ตายตาม ๆ กันไป ไทย ลาว พม่า ติดกันงอมแงม คือ ญี่ปุ่น ชาติที่ว่าพัฒนาแล้ว ฆ่าหมู่คนชัด ๆ แต่ในประเทศตัวเอง มีกฏหมายห้ามผลิตและจำหน่ายจ้ายกโรงงานมาไทย💣 • ผงชูรสฆ่าคน! ทราบไหมครับ ในการผลิตผงชูรสทั้งแบบก้อนและแบบผงในประเทศไทย ใช้แป้งมันสำปะหลังและกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก แต่แหล่งข่าวที่ผมรู้จักยืนยันว่า มันมีอะไรแปลก ๆ มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มาจากกระดูกสัตว์ อย่างกระดูกวัว กระดูกควาย โซดาไฟ และปุ๋ยยูเรีย ก็คิดดูเองสิว่า ทำไมของเหลวที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทำไมยังสามารถนำไปขายให้เกษตรกรไปเป็นปุ๋ยน้ำ รดไร่นา จนพืชขึ้นเขียวขจี (แต่กลายพันธุ์ด้วยหรือเปล่าไม่รับรองนะ) ลองสังเกตุดูสิว่า คนงานในโรงงาน และชุมชนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ โรงงานผลิตผงชูรส ถึงมีอาการอิดโรย ป่วยกระเสาะกระแสะกันทั้งชุมชน เพื่อน ๆ ผมที่อยู่โรงงานผลิตผงชูรส เขายังไม่กินผงชูรสเลย แต่เขาจะนำผงชูรสผสมน้ำอุ่น แล้วไปขัดห้องน้ำ ขัดหม้อ ที่มีเขม่าดำ ขัดหัวเข็มขัดทองเหลือง ขัดสร้อยเงิน แช่เหรียญเก่า หรือแช่พระกรุ ก็ไม่แน่ เพราะผมเคยลองขัดดูแล้วเวิร์กมาก ๆ ถ้าไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองดูเองนะครับ จริง ๆ แล้ว "ผงชูรส ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว" "ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้ต่อมรับรส เปิดกว้างขึ้น ทำให้รู้สึก ว่าอาหารมีรสชาติดีขึ้น" อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่าเกลือแกงตรงที่ว่า เกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่มากเท่าไหร่ ก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีปริมาณโซเดียมมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีรสชาติให้รู้สึก หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ผงชูรสมีพิษแฝงในเรื่องโซเดียม ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้: 1.1) ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ยิ่งถ้าคนป่วยเป็นเอดส์มาทานอาหารที่ใส่ผงชูรส ยิ่งทำให้ตายเร็วกว่าที่ควรเป็นครับ 1.2) ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่มีผงชูรสแพร่หลายในประเทศไทย ผงชูรสทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ และอาจทำให้รักษาผิดพลาด เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ยังเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายผอม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย 1.3) ผงชูรสเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เช่น โรคไต ความดันสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น 2) พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้ 2.1) ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามโรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน 2.2) ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องของขนาดและน้ำหนัก 2.3) ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสีย หรือเกิดตาบอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อย จะยิ่งเกิดผลร้ายมาก 2.4) ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจางได้ 2.5) ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้ 2.6) เกิดโรคมะเร็ง 2.7) ทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น 3) 😎 เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น แต่ถึงเห็นพิษภัยขนาดนี้ประชาชนตาดำ ๆ อย่างเราคงจะหลีกเลี่ยงผลชูรสได้ยาก เพราะตั้งแต่ภัตตาคารใหญ่ ๆ จนไปถึงร้านข้างถนน ยังขาดความรู้เรื่องโทษจากผงชูรส เรามาเริ่มต้นจากบ้านของเรา และช่วยกันรณรงค์เรื่องพิษภัยของผงชูรสกันดีกว่าครับ Cr: ขอบคุณที่มา จาก นสพ. ฐานเศรษฐกิจ
    Mrs.Doubt
     •  9 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คุณประเสริฐ ฯ เป็นผู้บริหารอาวุโส เคยทำงานบริษัท cp เกษียณอายุแล้ว ส่งมาให้ ................................. เรื่อง ตำราไม่ล้างไต ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้ เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ “ คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี ” การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้า เพราะที่บ้านปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่า มันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปี ในการฟอกไตและในที่สุด ก็ต้องจากไป ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องทำการฟอกไต การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง จนไม่มาสามารถขัยถ่าย ของเสียออก บางทีญาติ หรือเพื่อนของท่าน บางคนกำลังฟอกไตอยู่ จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศลยิ่ง คนที่นำไปทดลองใช้ จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์ ทรมานนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้ง แต่มาคิดได้ว่า ถ้าเราพ้นทุกข์แล้ว ทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ ลูก หลาน หลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า “ ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น ” บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2 แล้ว คุณน้ามาเยี่ยม ถามว่า อยากลองตำราวิเศษไหม รับรองไม่ต้องฟอกไต อีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที ตอนบ่ายคุณน้า นำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อ แบ่งดื่ม 2 ครั้ง วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีกครึ่งลูก ในวันนั้น ปรากฏว่า การถ่าย ปัสสวะดีขึ้น พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต แต่หมอตรวจแล้วว่า วันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่า ไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว ตำราวิเศษ มีดังนี้.-- เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตก แล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้ ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบาง ล้างให้สะอาด ตัดเอาเอ็นสีขาวออก เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ทำการนึ่งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียว ก็จะได้ผล ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไต เพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน ช่วยเผยแพร่ตำรานี่ แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง.(ใครที่ต้องฟอกไต ลองใช้วิธีนี้ดูไม่เสียหลาย ที่เขาว่าไว้ลางเนื้อชอบลางยา ส่งต่อเป็นวิทยาทานและเป็นบุญ นะครับ)
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThink
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ช่วยแชร์กันไปเยอะๆนะครับ มีประโยชน์กว่าส่งดอกไม้ให้กันทุกๆวัน อัยการรุ่นน้องที่สงขลาส่งมาให้อ่าน รู้ไว้ใช่ว่า ผม สุรินทร์ วัตตธรรม ขออนุญาตเขียนบทความจากเรื่องจริง เกี่ยวกับประโยชน์การกินน้ำปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน ภรรยาผมป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาเป็นเวลา 14 ปีมานี้ เคยให้คีโมครั้งใหญ่ๆมา 5 ครั้งและฉายแสงที่คอ 1 ครั้ง เพื่อให้ก้อนมะเร็งยุบ ขณะนี้ไม่มีคีโมที่จะให้ต่อไปอีกแล้ว เนื่องจากคีโมที่ดีที่สุดให้มาหมดแล้ว มีคำถามว่าการรับคีโมและฉายแสงเป็นการรักษาให้หายขาดหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ เป็นเพียงยับยั้งการเติบโตของก้อนมะเร็งและยับยั้งการแพร่กระจายในระยะหนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 ปีจะกลับมาเป็นอีก ปัจจุบันผมรักษาด้วยให้กินน้ำปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน หยุดให้คีโมมาประมาณ 4 ปีเศษ ก้อนมะเร็งที่รักแร้ ที่ขาหนีบ ในช่องท้องมีขนาดเท่าไข่ไก่ บัดนี้ยุบเหลือขนาดปลายนิ้วก้อย และก้อนมะเร็งที่คางและลำคอก็ยุบเล็กลงเช่นกัน สามารถใช้ชีวิตเหมือนบุคคลทั่วไปตามปกติ สิ่งที่น่าแปลกใจ ภายหลังฉายแสงที่คอ ทำให้ต่อมรับรสเสื่อมกลายเป็นลิ้นจระเข้ คือรับรสทุกอย่างไม่ได้ และต่อมน้ำลายก็ถูกทำลาย มีปัญหาต่อการกลืนอาหาร ผมเรียนถามคุณหมอที่ดูแลการฉายแสง ได้รับคำตอบว่าไม่มีอะไรสู้แสงได้หรอก ไม่มียารักษา เสียแล้วเสียเลย ผมก็ทำใจ แต่ท่านที่เคารพครับ กินน้ำปั่นพืชสดที่ไม่ผ่านความร้อนประมาณ 4 เดือน ต่อมรับรสและต่อมน้ำลายกลับฟื้นคืนดีขึ้น 80 เปอร์เซนต์ ปัจจุบันกินมา 5 เดือนกว่า ต่อมรับรสและต่อมน้ำลายดีขึ้น 90 กว่าเปอร์เซนต์ นอกจากนี้เพื่อนผมเป็นเบาหวานค่าน้ำตาล 145 ยังไม่กินยาลดน้ำตาล ผมแนะนำให้กินน้ำปั่นพืชสดที่ไม่ผ่านความร้อน กินมาได้ 2 เดือน ค่าน้ำตาลลดลงเหลือ 70 และแถมปัสสาวะไม่ติดขัด เนื่องจากในเวลาเดียวกันต่อมลูกหมากเขาโต ทำให้ปัสสาวะติดขัดด้วย ปัจจุบันเพื่อนผมเขามีความสุขมาก และผมแนะนำต่อไปว่า ทุกครั้งที่ปั่นน้ำพืชสด ให้ใส่มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศสีดา ครั้งละ 1 กำมือ เพื่อป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ภรรยาผมกินน้ำปั่นพืชสดกรองกากทิ้ง ใส่ใบไม้จำนวนมาก หลายชนิด เช่น .. 1.ใบบัวบก 2.ใบตำลึง 3.ใบมะยม 4.ใบมะกรูด 5.ใบมะนาว 6.ใบชะมวง 7.ใบมันปู 8.ใบโหระพา 9.ใบกระเจี๊ยบแดง 10.ใบเม่า 11.ใบเตย 12.ใบข่า 13.ผลมะระขี้นก 3 ผล 14.มะเขือเทศราชินี 1 กำมือ (ใส่ตามที่หาได้ครับ ไม่ต้องให้ครบทุกอย่าง) 15.ใส่น้ำ 900 cc -ภรรยาผมกิน 600 cc -ผมกินเพื่อสุขภาพ 300 cc เนื่องจากผมไม่เป็นโรค ncds -มื้อเย็นผมกับภรรยากินคนละ 300 cc รวมแล้ววันหนึ่งภรรยาผมกิน 900 cc -ไม่กินของหวาน และงดอาหารรสมัน เค็ม -นอนไม่เกิน 23.00 น. ครับ ปัจจุบันถ้าท่านไม่รู้มาก่อนว่าเธอเป็นมะเร็งก็จะทายไม่ถูกว่าเธอเป็นมะเร็ง เนื่องจากมีสุขภาพแข็งแรง ทำงานบ้านตลอด จ่ายตลาดทุกวันศุกร์ หากมีประโยชน์บ้าง กรุณาบอกต่อ สาธุ สาธุ สาธุ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false