1 คนสงสัย
เข้าใจเฟคนิวส์ในมุมมองแพทย์ด้านประสาทวิทยา: “เราเชื่อ เพราะเราอยากเชื่อ”
ในยุคที่ข่าวสารหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เฟคนิวส์ (Fake news) กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งบนช่องทางการสื่อสาร โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่เรื่องความเข้าใจด้านสุขภาพ ไปจนถึงทัศนคติทางการเมือง และการสร้างความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน

แม้ว่าจะมีความพยายามจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม ที่พยายามเคลื่อนไหวเพื่อหยุดยั้งเฟคนิวส์ ด้วยการรวมกลุ่มตรวจจับและพิสูจน์ข้อมูล แต่ดูเหมือนว่าเฟคนิวส์ยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง

พร้อมคำถามที่เกิดขึ้นว่า “เหตุใดคนถึงเชื่อเฟคนิวส์?” ทั้งๆ ที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสามารถทำได้ง่ายในปัจจุบัน การพิสูจน์ความจริงในหลายเรื่องจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินตัว Hfocus ชวนคุยกับ หมอแพท-อุเทน บุญอรณะ นักเขียนและแพทย์ด้านประสาทวิทยา โดยมองเฟคนิวส์ผ่านมุมมองด้านจิตวิทยา หาคำอธิบายถึงสาเหตุที่คนพร้อมเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ พร้อมข้อเสนอการรับมือเฟคนิวส์ที่มีประสิทธิผล

หมอแพทมองเห็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของเฟคนิวส์ในตอนนี้ อย่างไรบ้าง?

สถานการณ์เฟคนิวส์มัน “เคยรุนแรง” เราผ่านช่วงความรุนแรงของเฟคนิวส์ไปแล้ว คำว่ารุนแรงของเฟคนิวส์ แพทไม่ได้นับที่ปริมาณเฟคนิวส์เยอะหรือน้อย แพทนับที่ปริมาณสติสัมปชัญญะของคนที่ React (ตอบสนอง) ต่อเฟคนิวส์

สมัยก่อน เวลาที่เฟคนิวส์ออกมา ทุกคนพร้อมจะรับเฟคนิวส์และดราม่ากับเฟคนิวส์ แต่เดี๋ยวนี้ คนเริ่มมีความ “เอ๊ะ” หรือ “จริงเหรอ?” การที่คนเริ่ม “เอ๊ะ” มากขึ้น แพทถือว่าคนเริ่มมีสติสัมปชัญญะขึ้น เราก็เลยผ่านจุด Crisis (วิกฤติ) ของเฟคนิวส์มาแล้ว เพราะทุกครั้งที่มีข่าว มันจะต้องมีใครสักคนที่จุดประกายขึ้นมาว่า “เฮ่ย จริงหรือเปล่า” แพทให้ไม่เกินคอมเมนท์ที่ร้อย มันต้องมีคนมาแบบว่า “ใช่เหรอ” “ความจริงเป็นแบบนี้ต่างหาก” หลายคนที่เล่นอินเตอร์เน็ต ยังเป็นนักจับเฟคนิวส์อีกด้วย

เฟคนิวส์เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว เฟคนิวส์ไม่ได้มีเยอะขึ้น แต่เราแค่เห็นมันเยอะขึ้นในปัจจุบัน เพราะเราใช้โซเชียลมีเดียกันเยอะขึ้น

เฟคนิวส์คือสิ่งเดียวกับกอซซิป (Gossip) หรือการนินทาชาวบ้าน เหมือนทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) และเหมือนแชร์ลูกโซ่ สี่เรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน มันคือ คือการโฆษณาชวนเชื่อแบบหนึ่ง เช่น เวลาเรานินทาใครสักคนหนึ่ง เราต้องการให้เขามาเป็นพวกเรา เราต้องการให้เค้า Against (ต่อต้าน) อีกฝ่าย ทฤษฎีสมคบคิดก็เหมือนกัน เราต้องการ Manipulate (ชี้นำ) ให้คนฟังเลือกข้าง และด่าอีกข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับแชร์ลูกโซ่ เราต้องการให้อยู่ฝ่ายเรา จงเอาเงินมาให้ฉัน ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แต่คนก็เชื่อ

คิดว่าทำไมคนถึงเชื่อโดยไม่มีหลักฐาน?

จริงๆ แล้วข้อความหลายอย่างไม่ได้น่าเชื่อถือสำหรับเรา เราไม่ได้เชื่อข้อความที่เขาบอกเรา แต่สิ่งที่เขาพูดมันดันไปตรงกับอะไรลึกๆ ในใจเราต่างหาก มันเป็นอะไรที่สั่นพ้อง หรือ Resonance ตรงกับความเชื่อในใจเรา เราจึงเชื่อ แล้วรับมันมาทันที ฉะนั้น ข่าวลวงอะไรที่เราเชื่อ มันคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนจริงๆ ของเรา

มีกระบวนการทางจิตวิทยาอย่างไรที่ทำให้คนเชื่อ?

เราเคยไหม ที่เราเกลียดใครบางคนโดยที่เราไม่เคยเจอเขา แค่ฟังเรื่องเล่าของเขาเฉยๆ จริงๆ สิ่งที่เราเกลียด คือ นามธรรมในตัวเขา เช่น เราได้ยินเรื่องเล่าของเขาที่เกี่ยวกับความโลภ เราเกลียดคนโลภ เลยไม่ชอบเขา

แต่มันมีข้อความต่อท้ายอีกนิดหนึ่ง “ขนาดชั้นเป็นคนโลภ ยังไม่ทำแบบเขาเลย” เวลาเราเกลียดใคร สิ่งที่เราเกลียดคือภาพขยายของตัวเราที่เราเกลียด บางเรื่องที่ไม่ดีของเรา เรารู้ว่าไม่ดี เช่น ความโลภไม่ดี ขี้นินทาไม่ดี เราก็เลยเก็บไว้เป็นหลืบในใจ เราไม่ทำ แต่ทันทีที่เราเห็นใครทำสิ่งนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่ละอายอะไรเลย เราจึงเกลียดเขา

ในแง่การทำงานของสมอง เฟคนิวส์ทำให้คนเชื่อได้อย่างไร?

เราอาจใช้เฟคนิวส์เป็นตัวศึกษาสมอง หรือศึกษาความเชื่อของคน สมมติเวลาเรารับสารมาบางเรื่อง เราต้องไตร่ตรอง ดูหลักฐานข้อมูล ใช้ความรู้ที่เรามีคิดวิเคราะห์ สมองส่วนหน้า หรือ Prefrontal cortex ของเราจะทำงานว่าสารที่เรารับมาสมเหตุสมผลไหม ตรงกับความรู้ทั่วไปหรือเปล่า มีอะไรยืนยันไหม ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก (ทำท่าเช็คลิสต์) โอเค ครบหมด เชื่อถือได้ เรารับเข้ามา

แต่ก็จะมีบางข้อความ ที่เหมือนว่าจะไม่ผ่าน Prefrontal cortex คือ เข้ามาในสมองเราปุ๊ป แล้วแบบมันใช่เลย ไม่ผ่านการคิดวิเคราะห์ใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ข้อความเข้าหูวิธีเดียวกัน ไป Activate (ทำงานกับ)สมองวิธีเดียวกัน แต่มันกลายเป็นความเชื่อฝังหัวไปเลยโดยที่ไม่ต้องผ่านสมองส่วนหน้า

แสดงว่ามีบางส่วนในสมองเป็น “ทางผ่านลัด” เขาเชื่อกันว่าคือส่วนสมองบริเวณอะมิกดะลา (Amygdala) คือสมองส่วนที่เกี่ยวกับสัญชาตญาณ เช่น หากเรามีความเกลียดความชังฝังอยู่ หรืออะไรก็ตามที่ฝังไว้ลึก ถ้ามันไปสั่นพ้องกับตรงนี้ปุ๊ป ก็จะได้เข้าทางด่วน ไม่ต้องผ่านการพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น การคิดวิเคราะห์เรื่องเหตุผลและหลักการจะถูกยกเลิก ฉันจะเชื่อเขาทันที

ที่พูดว่าคนเชื่อเพราะตรงกับอะไรบางอย่างในใจ แล้วถ้ามองในมุมของคนที่ปล่อยเฟคนิวส์ เราใช้จิตวิทยาเดียวกันกับการที่คนเชื่อเฟคนิวส์ มองคนปล่อยเฟคนิวส์ได้ไหม?

ทุกคนทำอะไรมีจุดประสงค์ คนที่ปล่อยเฟคนิวส์ก็มีจุดประสงค์ จุดประสงค์ของเฟคนิวส์ส่วนมาก คือ สร้างความเกลียด ที่เหลืออาจเป็นการหวังผลทาง Financial (การเงิน) เพราะโลกเราหมุนด้วยสองอย่างนี้ คือความเกลียดและทุนนิยม

เช่น แชร์ลูกโซ่ ปล่อยออกมาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า หรือเรื่องการกักตุนหน้ากาก ตอนแรกหน้ากากไม่ขาดแคลนจริงๆ ทันทีที่มีคนปล่อยข่าวว่าหน้ากากขาดแคลน คนก็จะเริ่มกักตุนหน้ากาก คนที่มีอำนาจ ก็ Panic (ตระหนก) ตามเฟคนิวส์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น หน้ากากขาดแคลนมีหลักฐานอะไรบ้าง หลักฐานมาโผล่ 1 สัปดาห์หลังจากที่เขามาบอกว่าหน้ากากขาดแคลน โรงพยาบาลเริ่มไม่มีหน้ากาก มีคนที่ได้ประโยชน์จากการกักตุนสินค้า นี่คือการหวังผลทางการเงิน การหวังผลทางการเงิน โยงกับการที่มีเฟคนิวส์ระบาดมากในประเด็นสุขภาพหรือไม่?

การที่เขาบอกว่าให้กินมะนาวโซดาแก้ทุกโรค เราอาจมองว่าไม่มีใครได้รับประโยชน์ เพราะเขาไม่ได้ขายโซดา ไม่ได้ขายมะนาว แต่จริงๆ มีคนได้รับประโยชน์ พวกนี้จะมี Seeding คือการวางเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้วางใจศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน ให้มาเชื่ออย่างอื่นแทน มันจะไม่จบที่มะนาวกับโซดา มันจะไปจบที่ผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างหนึ่งที่เขารออยู่ที่ปลายทาง

เขาหยดเมล็ดพันธุ์ ใส่ปุ๋ยนิดหน่อย ใส่น้ำตาม พอเมล็ดโตขึ้น ก็เก็บเกี่ยวพืชผล สมมติว่าคุณตั้งโพสต์เรื่องมะนาวโซดาในเฟซบุ๊คคุณ แล้วคุณให้มันโปรโมต ให้มันเก็บข้อมูลว่าใครที่เข้าถึงโพสต์นี้ แล้วคุณตั้ง Target (เป้าหมาย) คนที่เชื่อเรื่องมะนาวโซดามีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องอาหารเสริม แล้วคุณค่อยแอดอย่างอื่นเข้ามาทีหลัง ผ่านคนที่เข้าถึงข้อมูลมะนาวโซดา หรือเรียกว่า Retargeting คนกลุ่มนี้ ดังนั้น มะนาวโซดาคือด่านแรก คล้ายแบบสอบถามว่าเขาสนใจเรื่องการแพทย์นอกกระแส หรือการแพทย์หลอกลวงหรือไม่ ถ้าเขาชอบ คุณก็จะได้รายชื่อคนกลุ่มนี้มาขายของอย่างอื่นต่อ

หลายครั้งที่เราเห็นความเกลียดเกี่ยวโยงกับกับเฟคนิวส์ หมอแพทมองว่าเฟคนิวส์จะทำงานไปได้ถึงขั้นไหน ทำให้เราเกลียดกันได้มากกว่านี้อีกมั้ย ?

เฟคนิวส์เป็น “อุปกรณ์” ในการสร้างความเกลียด Boss (หัวหน้า) ของเฟคนิวส์ คือ ความเกลียด ถ้าให้ความเกลียดเป็นคนหนึ่งคน หรือเป็นหัวหน้าคนหนึ่ง มันใช้ลูกน้องที่ชื่อเฟคนิวส์มาทำให้มนุษย์เกลียดกัน แพทมองว่าตอนนี้เป็นจุดที่เฟคนิวส์อยู่ในช่วง Decline (ตกต่ำลง) คือ ปล่อยเฟคนิวส์มากี่ครั้ง ก็โดนคนจับได้ ต่อไป คนจะพบว่าเฟคนิวส์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้เรื่อง สร้างความเกลียดไม่ได้แล้ว มันจะมีอุปกรณ์ใหม่เกิดขึ้น เพราะความเกลียดจะยังอยู่ต่อไป Boss ใหญ่ยังอยู่ Boss แค่เปลี่ยนอุปกรณ์ เปลี่ยนลูกน้องในการสร้างความเกลียด

คิดว่าอุปกรณ์ใหม่จะเป็นอะไรได้บ้าง?

เมื่อก่อนอุปกรณ์คือ ความเชื่อ ใครเห็นไม่ตรงกันกับเราจะถูกตีตราเป็นแม่มด ถัดมาคือ ใครเห็นไม่ตรงกับเราถูกตีตราว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน ใครเห็นไม่ตรงกับเรา หากเป็นฝ่าย liberal หน่อย คนเห็นไม่ตรงกับเราคือสลิ่ม ทั้งๆ ที่การเห็นไม่ตรงกับเราไม่ได้แปลว่าทุกคนเป็นสลิ่ม

อุปกรณ์จะมีการเปลี่ยนโฉมหน้าไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่รู้ อาจเป็นอย่างอื่นแทน อาจเป็นเฟคนิวส์ที่มีวิวัฒนาการกว่านี้ เช่น เฟคนิวส์ที่มีการสร้างหลักฐานมาเพิ่ม

มีการศึกษาในเรื่อง Peer group (กลุ่มสมาชิก) ที่พูดกันว่าเรามักจะได้รับอิทธิพลจากสมาชิกกลุ่มให้คิดหรือเชื่อเหมือนกัน สามารถนำการศึกษานี้มาอธิบายเรื่องเฟคนิวส์ได้หรือไม่?

มีงานวิจัยที่ทำมานานแล้ว เรื่อง “People in the lift” คือในลิฟต์มีหน้าม้าของทีมวิจัยอยู่ประมาณ 10 คน ทุกคนหันหน้าไปทางซ้ายหมด พอเราขึ้นลิฟต์เราก็จะหันไปทางซ้ายตาม เพราะเรากลัวการที่จะไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะเราไปอยู่ใน Chamber (ห้อง) ที่แคบเดียวกัน ถ้าเราไปอยู่ใน Chamber หนึ่ง มันจะทำให้เราอยากทำแบบหนึ่งโดยที่เราคิดว่าเราอยากทำ ทั้งๆ ที่เปล่าเลย สิ่งแวดล้อมบังคับให้เราอยากทำ

การมองสังคมกับ Social network (เครือข่ายทางสังคม) ก็เหมือนกัน มันคือ Echo chamber (ห้องสะท้อนเสียง) เช่น บนทวิตเตอร์ คุณไปทวิตหรือรีทวิตอะไรที่เกี่ยวกับดาราเกาหลี แป็ปเดียวเท่านั้น หน้าฟีดของคุณจะมีแต่เรื่องศิลปินเกาหลีเต็มไปหมด เราจะเข้าใจว่าสังคมนี้ชอบศิลปินเกาหลีกันหมด

แต่จริงๆ เปล่าเลย สังคมในทวิตเตอร์นั้นมีคนชอบเกาหลีแค่ติ่งหนึ่ง ที่เหลือพูดเรื่องอื่น เรื่องหมาแมว แต่เราเข้าใจว่าทวิตเตอร์เป็นโลกของเกาหลี เพราะเราไปอยู่ใน Echo chamber ที่มีแต่เสียงสะท้อนพูดถึงศิลปินเกาหลี มันเป็นการสะกดจิตบน Cyber space (พื้นที่บนโลกไซเบอร์) แบบใหม่ มันเป็น Echo chamber ที่ Force (บังคับ) ให้เราอินไปด้วย แต่บางครั้งหากเราอินอยู่แล้ว เราก็พยายามไขว่คว้าหา Echo chamber ที่เราอิน เข้าไปในนั้นเพราะรู้สึก Fit in (เหมาะสมกับเรา) มีแต่คนที่ชอบแบบเดียวกับเรา

แต่สังคมไม่เหมือนในลิฟต์ เราเข้าถึงข้อมูลเยอะมากวันนี้ อยากเสิร์ชอะไรก็เสิร์ชได้ ทำไม Echo chamber ยังมีอยู่?

เพราะความอยาก เราไม่อยากจะไปหาข้อมูลเพราะเราเชื่อมันแล้ว เหมือนเวลาที่เรากลับถึงบ้าน เราอยากจะหาบ้านใหม่อีกไหม ไม่ หรือเวลาเราอยู่ในฝูงของเราแล้ว เราอยากจะหาฝูงใหม่อีกไหม ก็ไม่ เวลาเราเจอคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราอยากจะหาคนใหม่ไหม บางคนก็ใช่ (หัวเราะ) แต่บางคนก็ไม่ มันคือความรู้สึก Feel at home ถ้าคุณเชื่อ คุณจะไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ว่ามันสมควรเชื่อหรือไม่ คนเรา

เราอยากจะเป็นคนแบบไหน หรืออยากเสแสร้งเป็นคนแบบไหนให้สังคมเห็น ให้ไปดูเฟซบุ๊คของเรา สิ่งที่เราโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ค คือสิ่งที่เราอยากให้สังคมมองเราว่าเป็นแบบนั้น เราเป็นหรือเปล่า ไม่รู้ แต่เราเป็นคนยังไงที่แท้ทรู ให้ไปดูใน Google search history คือสิ่งที่บอกตัวตนของเราที่แท้จริง ถ้าเราไม่มีสิ่งที่คนเขาบอกเราใน Google search history นั่นแปลว่าเราพร้อมจะเชื่อเขา โดยที่ไม่ต้องไปหาข้อมูลมายืนยัน

เรากลัวการที่เราไม่มีฝูง เราเป็นม้าลายที่อยากอยู่ในฝูงม้าลาย เราอยากอยู่ท่ามกลางคนที่คิดแบบเดียวกับเรา หรือเรารู้สึกว่านี่แหล่ะ ครอบครัว หรือฝูงของเราที่แท้จริง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของสัตว์

ถ้าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การแก้ไขปัญหาเฟคนิวส์ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยหรือเปล่า?

แล้วทำไมเราต้องมองว่าเฟคนิวส์เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เฟคนิวส์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลไกการสร้างความเกลียด ความเกลียดเป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาจนปัจจุบัน เรายอมรับว่าความเกลียดเป็นสิ่งที่ผลักดันโลกไปข้างหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็น Bad energy (พลังงานเชิงลบ) ถ้าเรากำจัดความเกลียดได้ โลกเราจะเป็นอีกโฉมหน้าไปนานแล้ว แต่เรากำจัดความเกลียดไม่ได้ จริงๆ เฟคนิวส์เป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางธรรมชาติ มันอาจถูก Invent (คิดค้น) ด้วยมนุษย์ แต่มันคือกลไกธรรมชาติที่ดลใจให้มนุษย์เป็นไป

แพทไม่ได้มองว่าต้องไปกำจัดมัน เรามองว่าจะรับมือกับมันยังไง หากเฟคนิวส์เกิดขึ้น เรามีการชั่งใจหนึ่งจังหวะก่อนเราจะเชื่อ ถามว่าตรงนี้เพียงพอไหมกับสังคม ตอบว่าเพียงพอ ถ้าเป็นแบบนี้ สังคมไม่ได้เสียสมดุลด้วยเฟคนิวส์แน่นอน

ปัจจุบัน มีแนวคิดจัดการเฟคนิวส์ด้วยการรวมศูนย์ เช่น รัฐบาลตั้งศูนย์เฟคนิวส์มา หรือภาคประชาชนก็ตั้งกลุ่ม Fact checking ขึ้นมาเช่นกัน หมอแพทมองว่าการแก้ไขปัญหาควรเป็นทิศทางใด

ถ้ามี Center (ศูนย์)มาดูแลตรงนี้ มันคือการให้อำนาจกับจุดใดจุดหนึ่ง ไม่เคยมีอะไรดีๆ ตามมาเลย เช่นที่ผ่านมา หน่วยงานต่อต้านคอรัปชั่น กลายเป็นหน่วยงานที่คอรัปชั่นเยอะสุด หรือศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ก็อาจเป็นจุดปล่อยเฟคนิวส์ซะเอง

เราใช้วิธีการรับมือกับมันได้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะเอาศูนย์พวกนี้มาจัดการกับเฟคนิวส์ มันเหมือนเราเจอผี เหมือน “เอาซาดาโกะมาสู้กับคายาโกะ” มันมีแต่ความวิบัติ สิ่งที่ง่ายสุดคือผีก็อยู่ส่วนผี เราก็อยู่ส่วนเรา

ถ้ามองให้เฟคนิวส์เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคม วันนี้มีเฟคนิวส์เรื่องนี้ อีกวันก็ซาไป เราจะรู้สึกว่าแล้วยังไง ไม่ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ การตั้งศูนย์มาสู้กับเฟคนิวส์ แพทมองว่าเรื่องใหญ่ไปหรือเปล่า จริงๆ สอนลูกที่บ้านก่อนสิ กาลามสูตรทั้งสิบ จงอย่าเชื่อใน 10 อย่าง จงรู้จักชั่งตวงวัดก่อนที่จะเชื่อ เริ่มต้นจากหน่วยเล็กที่สุดจากครอบครัว ให้ครอบครัวมี Critical thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) ก่อน สักวันเฟคนิวส์อาจจะหายไปเลยก็ได้

Critical thinking คือ “ภูมิคุ้มกัน” ที่เราจะต้องมีก่อนออกจากบ้าน ในเมื่อเราไม่มีทางกำจัดเฟคนิวส์ได้ทั้งหมด เราต้องติดอาวุธให้ตัวเอง ให้เราไม่เป็นเหยื่อของมัน และอาวุธที่ง่ายมาก คือ คุณมีการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริง แค่นี้พอแล้ว
std48359
 •  1 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    “กฎแห่งกรรม” ของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต.. > แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน ๕ ~ ๖ คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร > วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ คว้าปืนยาว...สะพายบ่า.เดินเข้าป่าไป... > อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ.....คือแกงเนื้อลิง... > พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก. เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้.. > แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง.. > เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น... > ปกติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก ต้นไม้ทันที... แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา... > จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น... > ระยะแค่นี้ เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน... > ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก..... > ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ ... วิ่งแห่กันเข้ามาหาลิงตัวที่ถูกยิง > แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกันหมด... > แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... > สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง. โยนวัตถุเล็ก ๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด... > แล้วก็หล่นตุ๊บ...ลงมาจากต้นไม้... > คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง... ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว... > คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี... > ลิงที่ตกลงมาเป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง.เธอกำลังให้นม ลูก... > ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข... > ทันทีที่ถูกยิง..ถ้าเป็นลิงตัวอื่น... จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้..... > แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้.. > เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ... > รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้นอันตราย... > เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้.แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ... > มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ... > พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี! เหลือทั้งหมด... > ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก.ฝูงลิงเข้ามาใกล้ ๆ.. > แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ > หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไป จนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว... > จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา.....ตาย.. คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้... > เพราะที่เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ. กำลังไหลริน... > คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลยตลอดชีวิต.. > และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ...... > เป็นแรงบันดาลใจ. ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง... > ชื่อว่า... “ลิงทะโมน” > เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก พงษ์เทพต้องเผชิญชตากรรมตามสนองคือ เป็นมะเร็งขั้นรุนแรงที่ตับ ไปผ่าตัดที่ รพ.กรุงเทพ มีทรัพย์สินขายเกือบหมด ตอนนี้เหลือบ้านเพียงแห่งเดียวที่ปากช่องพออยู่อาศัย โรคร้ายปะทุยังไม่หายนอนรอวันดับก็น่าสงสาร เพื่อน ๆ วงคาราบาวก็ไปเยี่ยมพร้อมกัน นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงครับ https://youtu.be/U2jGXwBDClk
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ถามหน่อยค่ะถ้าเรามีเงินในบัญชีแต่ไม่มีแอปธนาคารในโทรศัพท์มันจะดูดเงินในบัญชีของเราได้มั้ยคะ⁉️
    ⚠️ ถามหน่อยค่ะถ้าเรามีเงินในบัญชีแต่ไม่มีแอปธนาคารในโทรศัพท์มันจะดูดเงินในบัญชีของเราได้มั้ยคะ⁉️ คำตอบ : โดนได้ครับ ถ้าบอกเลขบัญชี + เลขประชาชน + เลขโทรศัพท์มือถือ ให้เขาไป เขาจะไปเปิดบัญชี wallet หรือกระเป๋าเงิน ผูกกับบัญชีธนาคารเรา และโอนเงินออกไป เข้าบัญชี wallet ‼️ วิธีการคนร้าย 1. คนร้ายจะเข้ามาทำทีเป็นลูกค้าขอซื้อของออนไลน์ และขอเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ในบัตรประชาชนของผู้เสียหาย 2. คนร้ายจะนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น ไปเปิดบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ขึ้นมาใหม่ และตั้งค่าบัญชี E-Wallet ให้เชื่อมกับบัญชีธนาคารผู้เสียหาย 3. หลังจากนั้นผู้เสียหายจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ ในทำนองว่า "คุณต้องการที่จะให้บัญชีธนาคารของคุณเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่" ซึ่งการแจ้งเตือนมีข้อความค่อนข้างยาว ทำให้ผู้เสียหายหลายรายไม่อยากอ่าน และมองว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น 4. เมื่อผู้เสียหายกด "ยอมรับ" หรือ "ตกลง" บน Mobile Banking การเชื่อมระหว่างบัญชี Mobile Banking ของผู้เสียหาย กับบัญชี E-Wallet ของคนร้ายก็จะสมบูรณ์ ดังนั้น จึงทำให้คนร้ายสามารถยักย้ายถ่ายโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ผ่านช่องทาง Mobile Banking ไปยังบัญชี E-Wallet ของคนร้ายจนหมดภายในเวลาไม่กี่นาทีนั่นเอง จึงขอเตือนให้ทุกคนระมัดระวัง และพยายามอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับใคร หากมีการแจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน อย่าลืมอ่านข้อความที่แจ้งมาอย่างละเอียด หากอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ยังไม่ต้องตอบตกลง เพราะไม่แน่ว่าการแตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้เงินในบัญชีถูกถอนออกจนหมดก็ได้ เครดิตข้อมูล และภาพ : เฟซบุ๊ก กองปราบปราม (กฎหมายตำรวจและพนักงานสอบสวน by ภูมิรพี ผลาภูมิ)✅
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เห็ดมีอันตรายจริงหรือ
    คนชอบกินเห็ดต้องอ่านให้จบ คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด ? คนขายเห็ดไม่กินเห็ด ? เห็ดนานาชนิด ที่เรารู้จักและคนก็ชอบกิน เพราะรสชาติที่อร่อยกินง่าย และเรารู้แต่ประโยชน์ที่มีอยู่ในเห็ดมากมาย แต่เราไม่เคยรู้ถึง....ผลเสียของเห็ด หมายเหตุ เห็ดที่พูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึง ทุกโรงเพาะเห็ดหรือเห็ดทั้งหมด แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เห็ดชนิดใดที่ปลอดภัย จึงอยากให้ทุกคนโปรดใคร่ครวญพิจารณา ยังไม่มีนักวิชาการคนใด พูดถึงผลเสียของเห็ด เราจะรู้กันแต่ประโยชน์ของเห็ด โดยเฉพาะถ้าเรากินเห็ด 3 ชนิดจะช่วยป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อสุขภาพ แต่เราไม่เคยรู้ที่มาที่ไป จากผลเสียที่ติดมากับเห็ดเลย จนมาวันนี้ ได้คุยกับคนขายเห็ดโดยเฉพาะเห็ดนางฟ้า วันนี้เรื่องราวที่จะมาเล่า. คำพูดคือความจริงทุกคำ ถ้าผู้อ่านช่วยส่งต่อเอาบุญ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ขอให้ทุกคนที่ชอบกินเห็ด ได้ป้องกันที่ตัวเรา ว่าเราควรจะกินเห็ดต่อไปหรือจะเลิกกินเห็ด จะได้ป้องกันตนเองจากโรคร้ายที่จะตามมาจากรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง จากการได้คุยเปิดใจ กับคนขายเห็ดหรือคนเพาะเห็ดขาย คุณมนัสมีอาชีพขายเห็ด ขายส่งต่อกับพ่อค้าแม่ค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำมาจนเข้าปีที่ 20 สิ่งหนึ่งที่รู้ในใจคือ จะไม่ให้ลูกและครอบครัวตัวเองกินเห็ดที่ขายเลย จนกระทั่งผลที่สุด....ร่างกายตัวเองทรุด หมดเรี่ยวหมดแรง ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว เป็นมาแบบนี้มาเป็นเดือน ๆ จนไปให้หมอตรวจร่างกาย หมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด แต่หาจุดที่เป็นไม่เจอ แต่ฟังจากหมอพูดว่า มะเร็งถ้าเป็นระยะที่ 1 หรือที่ 2 คงไม่พบ นี่อาจจะเป็นระยะ 3 หรือ 4 แต่หมอก็ยังเช็คไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน คุณมนัสก็กลับบ้านมาด้วยใจหดหู่หมดกำลังใจ แต่มีลูกที่น่ารักถึง 7 คน มีภรรยาที่น่ารัก แม่พ่อและญาติที่รักอีกหลายชีวิต ที่จะทำให้ต้องสู้กับโรคร้าย จนกระทั่งคุณมนัสได้เปิดใจ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลยคือ สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็ง คือน่าจะมาจากสาเหตุ จากการสูดดมสารในตัวเห็ดที่ตัวเองต้องทำขายทุกวันนั้นเอง เราถามว่าทำไมถึงทำให้คิดอย่างนั้น คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การปลูกเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเข็ม จะต้องใช้ยาฆ่าหนอนหรือยาฆ่าแมลง และต้องใช้เป็นจำนวนมากทุกรอบ ที่ต้องการผลผลิตที่มากและดี ต้องไม่ให้มีหนอนและแมลง แล้วคุณมนัสไม้รู้หรือถึงได้เอามาขาย คุณมนัสตอบรู้ครับ เลยไม่ให้คนในครอบครัวกินเลย รวมทั้งเพื่อนพ้องที่ตัวเองรักก็ไม่แนะนำให้กิน เพื่อนบางคนถามผมว่า ทำไมไม่เอาเห็ดมาฝากบ้าง ทั้งที่มีอาชีพขายส่งเห็ด ในใจผมรู้แต่ไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าไง แต่ไม่เคยเอาเห็ดนางฟ้าไปฝากใครเลย จนมาวันนี้เหมือนกับว่า สิ่งที่เจอจะเป็นเวรกรรมที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ ที่มาทำให้เป็นมะแร็ง ทั้งที่ไม่ได้กินเห็ดนางฟ้า ครอบครัวก็ไม่เคยกินเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเลย แต่ส่งขายให้คนกินทั้งประเทศ เวรกรรมจะมาย้อนที่หรือไม่ จึงถามไปว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น คุณมนัสเล่าต่อว่า ก่อนที่จะเป็นแบบนี้ เขาได้เห็นเจ้าของโรงเพาะเห็ด ที่ส่งเห็ดมาให้เป็นประจำ เป็นมะแร็งเต้านมและตัดเต้านมไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่ และลูกน้องที่ทำงานกับโรงเพาะเห็ด ก็มีอาการเจ็บป่วยไปทีละคนสองคนอย่างต่อเนื่อง และทุกคนที่ทำงานโรงเพาะเห็ด แต่ละคนมีสุขภาพไม่ดีกันเกือบทุกคน คุณมนัสไม่ได้เพาะเห็ดเอง แต่ผมเป็นผู้รับมาจำหน่ายต่อ ซึ่งล่าสุดก็มาพบเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด จากนั้นจึงตั้งคำถามไปว่า เพราะอะไรที่ทำให้ทุกคนที่ทำงานตรงจุดนี้ จึงมีร่างกายไม่แข็งแรง คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การเพาะเห็ดต้องใช้ยาสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนอนอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะเจ้าของโรงงานเพาะเห็ดและลูกน้อง ต้องสูดดมสารเคมีเหล่านั้น ถึงแม้คนปลูกเห็ดจะไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด แต่การสูดดมสารพิษพวกนี้ทุก ๆ วัน. มันก็สะสมในร่างกาย พอสะสมมาก ๆ ทุกวัน ๆ เลยมาแสดงอาการตอนมันเต็มที่แล้ว เมื่อขายเห็ดให้คนกินทั้งประเทศ แล้วผลเสียที่มีต่อคนอื่นต่อประชาชนคนที่ไม่รู้ เราก็จะเป็นบาปโดยที่ไม่รู้ตัวไหม เลยย้อนถามคุณมนัสว่า คุณมนัสเชื่อเรื่องเวรกรรมไหม โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร คุณมนัสตอบมาวันนี้เข้าใจและเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม หลังจากเจอด้วยตัวเอง และคุณมนัสฝากบอกมาว่า ให้ประชาชนทุกคนจงรู้ว่า เห็ดถึงมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษที่แอบแฝงมามากเช่นกัน เพราะถ้าคนที่เพาะเห็ดขายเพื่อหาผลกำไรมาก หรือต้องการกำไรมาก ก็จะใช้ยาฉีดที่เป็นอันตรายมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเห็ด เริ่มแรกอาจมีผลข้างเคียง แต่นานไปถ้าสะสมมาก ๆ ก็จะเป็นเหมือนเจ้าของโรงเพาะเห็ดและคุณมนัสผู้ขายส่งต่อ หรือคนใกล้ชิดที่ทำอาชีพนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีสุขภาพที่ย่ำแย่กันทุกคน เรื่องราวที่เล่าให้ฟังนี้ ขอให้ประชาชนผู้บริโภค ได้เตรียมพร้อมและรู้ทัน ว่าควรกินเห็ดต่อหรือควรหลีกเลี่ยงการกินเห็ด เนื่องจาก คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เพราะแบบนี้นี่เองหรือ โปรดส่งต่อเป็นวิทยาทาน
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ข่าวบิดเบือน แพทย์เตือนให้เลิกกินก๋วยเตี๋ยว เพราะมีสารกันบูดเกินเกณฑ์
    ข่าวบิดเบือน แพทย์เตือนให้เลิกกินก๋วยเตี๋ยว เพราะมีสารกันบูดเกินเกณฑ์ . ตามที่มีการโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องแพทย์เตือนให้เลิกกินก๋วยเตี๋ยว เพราะมีสารกันบูดเกินเกณฑ์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน . กรณีการโพสต์ให้ข้อมูลโดยระบุว่าพบกรดเบนโซอิกในก๋วยเตี๋ยวประเภทต่างๆ โดยแพทย์เตือนให้เลิกกินก๋วยเตี๋ยว เพราะมีสารกันบูดเกินเกณฑ์ ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากที่มีการแชร์ข้อมูลผลตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเมื่อปี 2550 ซึ่งสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านการตรวจวิเคราะห์อาหารของประเทศ ได้มีการตรวจวิเคราะห์เฝ้าระวังการใช้วัตถุกันเสีย (กรดเบนโซอิคและกรดซอร์บิค) ในอาหารประเภทเส้นมาอย่างต่อเนื่อง . นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเฝ้าระวังคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ซึ่งการผลิตอาหารประเภทเส้น บางชนิดมีการใช้วัตถุกันเสีย เพื่อช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต หรือทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุให้อาหารเน่าเสีย หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกรดเบนโซอิกทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย แต่หากได้รับในปริมาณน้อยร่างกายสามารถขับออกไปได้ ซึ่งข้อมูลของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหารขององค์การอาหารและเกษตรและองค์การอนามัยโลกแห่งสหประชาชาติ (The joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives, JECFA) ได้ประเมินและกำหนดค่าความปลอดภัย (ADI) พบว่า มีความเป็นพิษต่อคนและสัตว์น้อย . อย่างไรก็ตามวัตถุกันเสียทั้งสองชนิดมีข้อกำหนดการใช้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 418) พ.ศ.2563 เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการใช้ และอัตราส่วนของวัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 2) สำหรับกรดเบนโซอิกให้ใช้ได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในอาหารประเภทเส้นที่ผ่านกระบวนการต้ม การนึ่ง การปรุงให้สุกการพรีเจลาทิไนซ์ (Pre-gelatinized) หรือแช่เยือกแข็ง และเส้นแบบกึ่งสำเร็จรูป ส่วนกรดซอร์บิกให้ใช้ได้ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เฉพาะอาหารประเภทเส้นแบบกึ่งสำเร็จรูป . เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารประเภทเส้นที่ทำจากแป้งอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพัฒนาผู้ผลิตให้มีความรู้ความเข้าใจการใช้วัตถุกันเสียอย่างถูกต้อง ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่ อย.กำหนด ซึ่งผู้ผลิตจะต้องควบคุมกระบวนการผลิตให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน GMP สำหรับผู้บริโภคควรเลือกซื้อและบริโภคอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ สะอาด ถูกสุขอนามัย และไม่ควรรับประทานอาหารซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ . ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www3.dmsc.moph.go.th หรือโทร. 02 9510000 . บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อมูลที่มีการบอกต่อดังกล่าวเป็นข้อมูลผลการตรวจวิเคราะห์เมื่อปี 2550 แต่ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เฝ้าระวังคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ประเภทเส้นที่ทำจากแป้งให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน GMP . หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข . 📌 ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม . Website : https://www.antifakenewscenter.com/
    ชุมพล ศรีสมบัติ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ด่วน‼ Mike Yeadon อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Pfizer กล่าวว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Covid-19 เขาขอเรียกร้องให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดสารพิษร้ายแรงนี้ ให้ต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และชีวิตของลูกหลานในอนาคต นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกกล่าวต่อไป....ถึงกระบวนการ/แผนการ ที่จะฆ่าคนส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทันทีที่ได้รับการฉีดเข็ม แรกประมาณ 0.8% ของผู้คนที่รับ จะเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์. ผู้ที่ยังรอดชีวิต...มีจะอายุขัยโดยเฉลี่ย 2 ปี แต่จะลดลงเรื่อยๆเมื่อ ฉีดเสริม(เข็มต่อๆมา) หรือ ฉีด "บูสเตอร์ * ทุกครั้ง วัคซีนเสริม...อยู่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ... ด้วยความคุ้นเคยอย่างใกล้ชิดกับการทำงานและเป้าหมายของการวิจัยและพัฒนาของยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม..ไฟเซอร์เป็นเวลา 2 ทศวรรษ ศาสตราจารย์ Yeadon กล่าวว่าเป้าหมายสุดท้ายของปัจจุบันของการฉีดวัคซีน..อาจเป็นเพียงเหตุการณ์การลดจำนวนประชากร..ซึ่งจะทำให้สงครามโลกทั้งหมดที่รวมกันดูเหมือนเป็นเพียงการสร้างมิกกี้เมาส์ 'หลายพันล้านคนได้รับผลร้ายไปแล้ว... ความตายและเจ็บปวดรวดร้าว ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่ได้รับการฉีดแต่ละคนจะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน และ 3 ปีเป็นการประมาณที่เมตตาแล้วสำหรับระยะเวลาที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ " https://www.lifesitenews.com/news/exclusive-former-pfizer-vp-your-government-is-lying-to-you-in-a-way-that-could-lead-to-your-death
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    รัฐฟลอริด้าประกาศ มหันตภัยจาก 'วัคซีน mRNA' ที่แท้ถูกสร้างมาเป็นอาวุธชีวภาพทำลายชีวิตผู้คน . 21 JULY , 2023 (21 ก.ค.66) ผู้ใช้ Blockdit 'ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... รัฐฟลอริด้ามีความกล้าหาญมากที่ออกมาแถลงว่าวัคซีน mRNA ที่ใช้ฉีดแก้โควิด-19 นั้น เป็นอาวุธชีวภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ถูกฉีดมากกว่าเป็นคุณและกำลังดำเนินการเพื่อประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายในรัฐ (Florida declare mRNA Covid shots a ‘Bio-Weapon’. Legislation looking to be passed to make it ILLEGAL to administer any mRNA Covid-19 Vaccine to anybody in the state) เห็นหรือยังครับ? คำว่า *ทฤษฎีสมคบคิด* (Conspiracy Theory) เป็นวาทกรรมที่ CIA สร้างขึ้นมาเพื่อสกัดมิให้คนเชื่อเมื่อมีคนแฉอาชญากรรมของยิวไซออนิสต์ที่คิดครองโลก ข่าวใดก็ตามที่ถูกตราว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด วิญญูชนไทยต้องศึกษาให้ลึกหรือต้องวิจัย แล้วจะเข้าใจความจริงเอง ไม่ต้องรอให้ฝรั่งมาชี้นิ้วว่าควรจะเป็นอย่างไร จักรวรรดิ์นิยมอเมริกานี้เติบโตมาพร้อม ๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก ถือว่าทีมผู้บริหารรัฐฟลอริด้ากล้าหาญมากครับ กล้าหาญมากว่าประเทศไทยที่นักการเมืองส่วนใหญ่ถูกล้างสมองด้วยข่าวโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีวิจารณญาณมากพอจะแยกแยะ น่าจะเรียกว่าเป็น *ประเทศฟลอริด้า* กันได้แล้วนะครับเพราะนโยบายแตกต่างจากรัฐบาลกลางอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปโตรดอลล่าร์ล่มสลายลง ถ้าจะแยกตัวไปเป็นเอกราช ก็ขอให้สำเร็จ ตอนนี้ เชื่อหรือยังว่าโควิด-19 มาพร้อมๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก? แน่นอนครับ ขอให้ค้นคว้ากันเองและตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/64b401cae14dd411895a2bfe TheStatesTimes World NewsFeed mRNA รัฐฟลอริด้า วัคซีน โควิด19 Hard News Team THE STATES TIMES
    Joke Air
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สาเหตุอาการบ้านหมุน อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
    ใครที่มีอาการบ้านหมุน อย่าคิดว่าแค่นอนไม่พอเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วอาการบ้านหมุนมีหลายสาเหตุ อาจอันตรายกว่าที่คิดก็ได้ อาการ “บ้านหมุน” เป็นอย่างไร ทุกคนอาจคุ้นเคยกับอาการ “เวียนศีรษะ” ตามปกติ แต่สำหรับอาการบ้านหมุน จะเป็นอาการที่รู้สึกว่าตัวเองหมุนหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนได้ ซึ่งที่จริงแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นจริง สาเหตุของอาการบ้านหมุน อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติของระบบการทรงตัวของร่างกายตลอดจนความเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น ความผิดปกติของหูชั้นในหรือระบบสมองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรงตัว ความผิดปกติของระบบอื่นๆ เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต หรือสายตา ฤทธิ์ข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด ปัจจัยอื่นๆ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ เมารถ หรือเมาเรือ วิธีรักษาอาการบ้านหมุน ปกติแล้วแพทย์จะทำการรักษาตามสาเหตุ วิธีรักษาในแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป เช่น อาจมีการให้ยาไปกินที่บ้าน เพื่อลดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือฝึกทรงตัว เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสมดุลของระบบประสาททรงตัวได้ เป็นต้น วิธีป้องกันการเกิดอาการบ้านหมุน หลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน เช่น เครียด วิตกกังวล นอนหลับไม่เพียงพอ เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ลดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกาย และบริหารประสาททรงตัวอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงเสียงดัง และการกระทบกระเทือนบริเวณหู
    somkid.so.63
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "ศาลโลก" รับฟ้อง "พญาอินทรีย์" ปล่อยโควิด-19 สงครามชีวภาพ ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย โดย ผู้ตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 คือพญาอินทรีย์เอง... ************** โควิด-19 มาจากฝีมือมนุษย์ สั่งทำโดย โดนัล ทรัมป์ มีแหล่งที่มาจากห้องแลป ไวรัส P3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ ของสหรัฐอเมริกา!!! นาย Greg Roubini ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชื่อดังของสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทีวีที่ 1 ของอเมริกาได้เป็นผู้เผยความลับนี้ นาย Greg เผยว่า ไวรัสโควิด-19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ หรือสงครามเชื้อโรค:- - มีแหล่งที่มาจากห้องแลป BSL-3 ในมลรัฐคาโรไลน่าเหนือ พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก - พร้อมกันนั้น เขาระบุว่า ไวรัสถูก “รัฐบาลมืด” จากรัฐคาโรไลน่าเหนือ ทดลองในทหารส่งไปแพร่ระบาดในการแข่งขันกีฬาในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ลุกลามไปอิตาลี และอเมริกาทั้งประเทศ ##..ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 มีนาคม 2564 นายเกรก ก็ได้ ทวิตข้อความถามนายทรัมป์ว่า - เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา? ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าตัวไวรัสเองแท้จริงแล้วคืออาวุธชีวภาพ? **บังเอิญ ศาสตราจารย์ Luc Montanier ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้เปิดเผยกับนักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า - โควิด-19 ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล ***ศาสตราจารย์ Luc Montanier ยืนยันว่า เป็นเรื่องเด่นชัดที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้นำเชื้อไวรัสที่มาจาก ค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเข้าไปด้วย - นี่คือ การวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก! ***นั่นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สุดโหด ข่าวเกี่ยวกับ “เชื้อโควิด-19 เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์” มีมาโดยตลอด ***นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำงานหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพบว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ มีเชื้อเอชไอวีแทรกอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าไวรัสตัวนี้มาจากการตัดต่อทางพันธุกรรม ***กลางเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตันพบว่าวัฏจักรวิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว พร้อมๆกับการศึกษาลึกซึ้งลงไปว่า ประเทศต่างๆในโลกไม่น้อยได้เบนสายตาแห่งความสงสัยไปที่อเมริกา ประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยทียืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น *** ในเวลาต่อมา ROBERT REDFIELD ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายอมรับว่า ผู้ป่วยตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2019 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ (เกิดก่อนการระบาดที่อู่ฮั่น) - ต่อปัญหานี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน นายจ้าว ลี่เจียง ได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ถามผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาว่า ผู้ป่วยรายแรกของอเมริกาเกิดขึ้นตอนไหน? ชื่ออะไร? อยู่โรงพยาบาลอะไร? และเป็นไปได้อย่างมากที่ทหารอเมริกาที่มาแข่งกีฬาทหาร นำเชื้อมาแพร่ที่เมืองอู่ฮั่น ในจีน >>>>สหรัฐอเมริกาต้องโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ให้โลกได้รู้ความจริง **ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถของคณะผู้สื่อข่าวคณะหนึ่งแห่งรัฐเวอร์จิเนีย ในที่สุดก็ได้ตามหาผู้ป่วยรายแรกจนพบ นั่นก็คือ ทหารอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทหารที่เมืองอู่ฮั่นของจีนในเดือนตุลาคม 2019 นางมีชื่อว่า "Maatje Benassi" >>>นายทหารหญิงของอเมริกาคนนี้มีภูมิหลังพิเศษตรงที่นางมีความเกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการชีวเคมี P4 ของนาย FORT DETRICK *** คนในครอบครัวก็มีหลายคนที่ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรกในฮอลแลนด์ ก่อนติดเชื้อ เขาเคยไปในเขตพื้นที่ลอมบาร์เดียของอิตาลี ทำให้เขตพื้นที่นั้นเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ***มาถึงตรงนี้ หลักฐานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน มีห่วงโซ่เชื่อมร้อยอย่างครบถ้วน ทหารพิเศษ 5 คนที่อเมริกาส่งเครื่องบินมารับกลับไปภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสและห้องแลป ที่ถูกปิดตาย ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว หากว่ากันตามตรรกะของนายทรัมป์ เราก็สามารถเรียกเชื้อโควิด-19 ว่า เป็น "ไวรัสนอร์ธคาโรไลนา" (Virus North Carolina) หรือ "ไวรัสอเมริกา" ***ในขณะที่หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่อเมริกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหรัฐอเมริกายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เชื้อโควิด-19 ไม่จัดอยู่ในชั้นของโรคระบาดเท่านั้น แต่จัดอยู่ในชั้นของอาวุธชีวภาพ กรืออาวุธเชื้อโรค เหมือนไวรัสโรคไข้หวัดเสปน เมื่อ 100 ปีก่อนที่ทหารอเมริกานำไปแพร่ในเสปน >>>ความไร้ยางอายนี้ ทำให้โลกตะลึงและได้เพิ่มข้อน่าสงสัยว่าสหรัฐอเมริกา เป็นฆาตกรผู้วางยาพิษคนทั้งโลก เพียงเพื่อจะขายวัคซีนป้องกันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดดุลการค้า” >>>เรื่องทั้งหมดได้ปรากฏชัดเจนแล้ว แต่ทว่าทรัมป์ยังพยายามโยนบาปอย่างไม่คิดชีวิต กล่าวหาให้จีนรับเคราะห์แทนอย่าง น่ารังเกลียดที่สุด ***เชื้อโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติและความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ บาปนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะโยนออกไป แล้วโทษคนอื่น ***ยังมีข้อน่าสงสัยที่นาย เกรกได้ตีแผ่ออกมา นายราล์ฟ บาร์ริค ผู้รับผิดชอบพัฒนาไวรัส รัฐคาโรไลนาเหนือคนนี้เป็นใคร *** นาย บาร์ริค มาจากมหาวิทยาลัยคาโรไลนาเหนือ เขาเป็นหัวหน้านักไวรัสวิทยาที่เปลี่ยนโฉมใหม่ของโรคซาร์สโคโรนาไวรัสโดยการตัดต่อยีนในปี 2015 - และเขายังเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาไวรัสดังกล่าวอีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ เขาเป็นบุคคลที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาทางคลินิกของยาวิเศษ "RADEXIVIR" เป็นไปอย่างที่โบราณว่าไว้ คนที่วางยาพิษก่อนอื่นต้องเตรียมผลิตยาแก้ยาพิษนั้นๆไว้ก่อนเสมอ!!!! - ยา RIDESIVIR ภายหลังจากปฏิบัติการทางคลินิกและถูกตั้งข้อสงสัยโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันจึงทำให้ตกกระป๋องไปพร้อมๆกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามออกไปทั่วโลก ***สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางการล้างโลก” ไปแล้ว - การแพร่ระบาดในช่วงแรกของอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้ความสาคัญกับมันเลยโดยมองว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่หนักกว่าปกติเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนของตนเองผลิตมันขึ้นมาจนกระทั่งเพื่อนรักของเขาคือ "นายสแตนลี่ย์ เชล่า" เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งมลรัฐนิวยอร์กเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 !! >>>>ถึงเวลานี้จีนได้ฟ้องร้องต่อศาลโลกว่า อเมริกาเป็นต้นเหตุในการแพร่เชื้อโรคไวรัสโควิด-19 อย่างตั้งใจเพื่อทำลายล้างจีนและประชาชนทั่วโลก*** >>>ตอนนี้คงต้องรอดูการสืบสวนของศาลโลกว่า จะตัดสินออกมาเช่นไร? ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ทรัมป์เริ่มรู้สึกตัว และให้ความสาคัญในระดับสูง แต่ว่าสายไปเสียแล้ว!!! https://youtu.be/Y04Qm8QVQXE ขอบคุณข้อมูลจาก นพ.ขวัญชัย เสธนันท์
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    โควิด ติดแล้ว ปอดจะทำงานไม่เหมือนเดิมตลอดไป จริงหรือไม่
    Don't mean to scare you, folks, but be very cautious, be protective & be safe to you all. ********************************************************** บอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์ December 29, 2020 at 4:55 PM โควิด-19 เป็นแล้วโอกาสตายน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ จริงครับ > แต่หายแล้ว ปอดอาจพังตลอดชีวิต > ลิเดีย-แข็งแรง เหลือปอดทำงาน หกสิบเปอร์เซ็นต์ > ล่าสุด...31 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าจังหวัดสมุทรสาครน่าจะเป็นเคสนี้ครับ บทความนี้ถูกส่งต่อกันมา ผมพอทราบว่ามีส่วนจริง แต่ให้แน่ใจ จึงส่งไปถามเพื่อนที่เป็น...’หมอ’ ! เขาตอบว่า...จริง !!! > โควิด-19 เป็นแล้วตายก็จบไป แต่ถ้าไม่ตายก็ต้องลุ้น ! > คุยกันครั้งใด เขาบอกผม...พี่อย่าให้เป็นนะ อายุเยอะแล้ว ตายก็ลำบากก่อนตาย ไม่ตายก็แย่ไปตลอดชีวิต ยกมา > "ผมกลัว" ที่จะติดเชื้อ Covid-l9 ผมจึงทำตามที่รัฐบาลบอก คือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และจะออกจากบ้าน เมื่อจำเป็นจริง ๆ ผมบอกว่า ผมเชื่อว่าใครที่ติดเชื้อ Covid-l9 จะไม่มีวันกลับไป "ปกติ" เพราะปอดจะไม่ทำงานเต็มร้อยอีกแล้ว > แต่...แต่ก่อนที่จะเสียชีวิต หากคุณติดเชื้อ รู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหน > คุณรู้ไหมว่า การรักษาโรคปอดติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2ol9 หรือ Covid-19 มันไม่ใช่แค่ใส่หน้ากากออกซิเจน แล้วนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ อยู่บนเตียงสบาย ๆ ในโรงพยาบาล > เพราะเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย Covid-19 (บางคน-ไม่ทุกคน) มันสร้างความเจ็บปวด ต้องสอดท่อลงไปในลำคอและคาไว้ จนกว่าจะหาย หรือตายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยแทบไม่สามารถขยับตัว > การรักษานี้ คนไข้จะถูกจับให้นอนคว่ำกลับหัว มีท่อหายใจต่อจากปากขึ้นไปที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูด กิน หรือขับถ่ายได้ตามปกติ แถมเจ็บปวดตลอดเวลา > สิ่งที่แพทย์ช่วยได้ก็คือ ให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถทนต่อความเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจ เหมือนอยู่ในอาการโคม่าเทียม > ผ่านไป 20 วัน ผู้ป่วยจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สี่สิบเปอร์เซนต์ และมีแผลในปากหรือหลอดลม เช่นเดียวกับปอด เกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ > นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนแก่ หรือผู้ป่วยโรคอื่น เช่น ความดัน หัวใจ ไม่สามารถทนการรักษาได้ และอาจตายในที่สุด >>> ย้ำ..นี่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ! การให้อาหารเหลวใส่หลอดเข้าไปในท้องของคุณ ไม่ว่าจะผ่านจมูกหรือเส้นเลือด การที่ต้องมีพยาบาลมาช่วยขยับแขนขาทุกสoงชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ และต้องนอนบนเตียงน้ำที่เย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ 40 องศาของคุณ "มันไม่ใช่เรื่องสนุก" และคนที่บ้านเป็นทุกข์แน่ ๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผล ที่ชาติตะวันตก ปล่อยให้ตาย ไม่รับรักษา เพราะสิ้นเปลือง > ผมกลัว...ผมจึงอยู่บ้าน ถ้าคุณไม่กลัว ก็ตามสบายนะครับ ไม่สวมหน้ากากตอนออกจากบ้าน ไม่รักษาระยะห่าง ไปในที่สุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่คุณมีต่อครอบครัวของคุณเอง > ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนที่รักคุณ และ เพื่อตัวคุณเอง #เรียบเรียงบางส่วนจาก LIND ใครจะหาว่าผมตื่นตูม ก็ตามสะดวก แต่ผมว่าเราต้อง ‘ตื่นตัว’ แม้คนที่เป็น ไม่ทุกคนที่จะมีสภาพนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หายแล้วปอดไม่เต็มร้อย > ผมว่าปอดพังเร็วมาก ยิ่งกว่าสูบบุหรี่ซะอีก > แชร์ได้ ไม่ต้องขอครับ > รักใคร ห่วงใคร ก็แชร์กันไป ถ้าคุณได้รับแชร์นี้มาแสดงว่ามีคนรักคุณ
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การแอบดูโทรศัพท์ของแฟนหรือของผู้อื่น เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ.คอม จริงหรือคะ
    เพจ "สายตรงกฎหมาย" โดย ทนายรัชพล ศิริสาคร ประธานชมรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ได้แชร์ข้อมูลกฎหมายน่ารู้ เกี่ยวกับกรณีการลักลอบ-แอบดูข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่แฟน สามี หรือภรรยา ก็ตามนั้นถือเป็นความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยทนายรัชพล ระบุข้อความว่า การแอบดูโทรศัพท์ของแฟนหรือของผู้อื่น กฎหมายไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นความผิด แต่มันจะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ.คอม เพราะโทรศัพท์สมัยนี้มันดันเป็นสมาทโฟนซะเกือบหมดแล้ว ดังนั้น พรบ.คอม มันจึงเข้ามาคุ้มครองการแอบเข้าไปดูข้อมูลโทรศัพท์เหล่านี้ด้วย กรณีที่มีการล็อครหัสไว้ พฤติกรรมการเข้ารหัสโทรศัพท์ของแฟนหรือของคนอื่น อาจเข้าข่ายเป็นการเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จริงหรือคะ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false