1 คนสงสัย
การหายใจเข้าลึก ๆ เป็นยาบำรุงปอด
ไม่ระบุชื่อ
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: mostly-true--middle
2 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Mrs.Doubt เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

หายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ

กระบวนการหายใจจำเป็นต้องพึ่งพาปอดเป็นหลัก เนื่องจากเมื่อหายใจเข้า จะนำออกซิเจนเข้าไปในปอดและเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ที่มา

https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/157
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน

เหตุผล

สำหรับหมอจะเพิ่มสูตรออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอด เน้นการออกกำลังกายเบาๆ เน้นกานฝึก หายใจช้าๆ ยาวๆ สำหรับการออกกำลังกายคนจี

ที่มา

https://dmh.go.th/news/view.asp?id=2476

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 2 คนสงสัย
    กล้วยดิบ 'วัคซีน' พื้นบ้าน เปลวสีเงิน : ไทยโพสต์ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 00:01 น. ผมทดลองแล้ว ลงทุนไป ๒๐ บาท รับประกันคุณภาพในการป้องกันได้กว่า ๘๐% UP! กล้วยครับ.... กล้วยน้ำว้าดิบๆ หั่นแว่นๆ ทั้งเปลือก คลุกเกลือ เคี้ยวให้เต็มปาก เจ้ายางและเมือกกล้วย จะเป็นด่านหน้า เคลือบในปากและลำคอ ฆ่าเชื้อแปลกปลอม ก่อนลงไปในท้อง ผมดูจากคลิป "ป้านิดดา หงษ์วิวัฒน์" นักธรรมชาติบำบัด สนทนากับ "รศ.ดร.โกวิน วิวัฒนพงศ์พันธ์" ที่พวกเขาส่งมาให้ ผมมันพวก "กล้วยนิยม" ฟังเสร็จ ซื้อกล้วยดิบมาลองเลย ลองมา ๒ วัน เห็นผลทันตา ปกติตื่นนอน คอผมเหมือนผ่านการกินทราย ปรากฏว่าหายไปเลย! ผมถอดคำจากคลิปมาให้ อยากให้ทดลองกัน ระหว่างวัคซีนยังไม่มา ใช้ "วัคซีนกล้วยดิบ" ไปก่อน รับรอง "โควิดยกโคตรขยาด"! โกวิน : ผมไอ แสบคอ ก็ค้นในเน็ต พบว่า เมื่อเป็นไวรัส มีรายงานศึกษาว่า โควิดตัวนี้ มีความแตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดาอย่างไร อยู่ในกลุ่มเดียวกัน อาการคล้ายกันมาก แต่จุดต่างของเขา คือ จะแสบคอมาก จะไอ (แห้ง) มาก มีไข้ ก็ไข้มากเลย มีรายงานออกมาว่า จุดเริ่มต้นของเขาอยู่ที่ลำคอ จนกระทั่งต่อมรับรสที่อยู่ที่ปลายลิ้นไม่สามารถทำงานได้ดี กินอาหารไม่อร่อย รับรสไม่ได้ "ผมก็บอกว่า เอ้ย..ถ้าอย่างนั้น มันเริ่มต้นที่คอใช่มั้ย เราหาอะไรมาจัดการที่คอให้ได้สิ ถ้าเราจัดการได้ มันก็ไม่มีลามไปที่ปอด ปอดก็ไม่เป็นไร ปอดก็ทำหน้าที่ได้ การที่เอาปอดเข้าฟอกออกซิเจนได้ ระบบอื่นก็ไม่ล้มเหลว ไม่ล้มเหลวเราก็ไม่ป่วยซี" ผมก็เริ่มต้นศึกษา แล้วก็เจอกล้วย มีอยู่ราย ผมจำไม่ได้ ต้องขอบคุณเขา ที่เขาช่วยแนะนำ เขาบอกว่ากล้วยน้ำว้า ต้องกล้วยดิบนะเขียวๆ เนี่ย เอามาแล้วต้องหั่นเป็นแว่นๆ เอาลักษณะที่เราเคี้ยวง่ายๆ มีข้อมูลแพทย์แผนไทยโบราณว่า กล้วยดิบนี้สามารถหยุดยั้งการไอที่ลำคอได้ "ผมบอกเอ๊ะ...อย่างนั้นต้องทดลองดูซี" มันหยุดไอที่ลำคอเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อมีเชื้อโรคมาเข้าร่างกาย จะผ่านระบบหายใจก่อน หรือผ่านมาที่ปาก ร่างกายก็จะมีระบบกักเชื้อโรค ลำคอนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะมีน้ำเมือกออกมา เพื่อกักเชื้อโรคจากอากาศที่มีเชื้อโรค ฉะนั้น เมื่อเชื้อโรคมาติดที่นี่ มันก็จะมีอาการอักเสบที่ลำคอก่อน พออักเสบปุ๊บ ร่างกายก็พยายามกำจัดมันออกด้วยอาการไอ ไอมากแสดงว่ามีเยอะ ถ้าแสบคอมาก แสดงว่ามีเยอะ แสบคอน้อยก็มีน้อย ผมก็เออ...เว็บไซต์ที่พูดถึงนี่ กล้วยเนี่ย ยางเขาสามารถจัดการได้ เขาบอกว่า เอายางเนี่ย แล้วก็เอาเกลือใส่เล็กน้อย แล้วก็เคี้ยว ยางก็จะค่อยๆ เคลือบลำคอ ยางมีคุณสมบัติพิเศษในการฆ่า เพราะเป็นด่างด้วย ถ้าสด ยางจะเยอะ แห้ง ยางจะน้อย แล้วผมก็ทดลอง เอากล้วยดิบทั้งเปลือกมาหั่น ใส่ทัพเพอร์แวร์แล้วเอาเกลือใส่ไว้ พกขึ้นก่อนนอน เพราะผมกลางวันไอน้อย กลางคืนไอเยอะ ถามว่าทำไมกลางวันไอน้อย เพราะกลางวันเราดื่มน้ำ เดินไป-เดินมา น้ำลายเราจะหลั่งมากในเวลากลางวัน เวลาหลั่งเราก็กลืนเข้าไปในร่างกาย ระหว่างกลืนก็พาเชื้อโรคเข้าไปในลำคอ น้ำลายเป็นด่าง พอเราดึงตัวนี้ผ่านเข้าไปในกระเพาะ กระเพาะมีกรดสูง ก็ฆ่ามันตาย แต่กลางคืนน้ำลายหลั่งน้อย ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งหลั่งน้อย เพราะฉะนั้น ผู้สูงอายุ แม้จะแปรงฟันให้สะอาดอย่างไร ก็จะมีรสเปรี้ยว-กลิ่นเปรี้ยว เพราะว่าแบคทีเรียมันเติบโต ยิ่งถ้าเกิดมีน้ำตาลในเหงือกเยอะ กินของหวานเยอะ แปรงยังไงก็ไม่สะอาดมาก ก็จะติดอยู่ แต่ถ้าเจอด่างเข้าไป ผมจิ้ม ก็จะเคี้ยว วันนั้นผมมีไข้ ไอเยอะมากเลย ผมก็ไปเอากล้วยดิบมาเลย หั่นๆๆๆๆ เก็บไว้ เกลือจิ้มไว้ กลางคืนก่อนนอน ผมก็เคี้ยวๆ พอเคี้ยวไปประมาณครึ่งลูก อาการที่ไอๆ อยู่เนี่ย ผมตกใจมากเลย เอ๊ะ...ผมไอ ทางการแพทย์นับเป็นหน่วยนะ มันหายไป ๕๐%เลย แล้วที่แสบคอ กินข้าว-กินน้ำแสบมากเลย โอ๊ะ..หายไปแฮะ ผมก็ดีใจ พร้อมตกใจนะ เอ๊ะ...เราไม่มียาอะไรในการแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเอายาอะไรมาอม ที่จะสามารถลดอาการอักเสบ ไอน้อยลง ๕๐% หลังเคี้ยวกลืนเข้าไปไม่เกิน ๕ นาที เป็นความมหัศจรรย์มากเลย ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านยุคโบราณที่เขาใช้อยู่ ผมก็เคี้ยวๆๆๆ พอเคี้ยวๆๆ เสร็จแล้ว ก็เคี้ยวให้เต็มปาก เพราะในปากก็จะมีเกลือที่ใส่กับกล้วยเข้าไป เกลือก็จะไปละลายเคลือบที่ลำคอ กล้วยนี่ก็มีเนื้อแล้วก็ยาง เมื่อเคี้ยวยางก็จะค่อยๆ ออก แล้วก็ค่อยๆ กลืนลงไป ก็จะไปเคลือบที่คอ พอเคลือบที่คอ ยางนี้เป็นด่างสูงมาก เจ้าเชื้อโรคที่มาจากหวัดทั้งหมดติดที่คอก็จะตาย พออาการไอน้อยลง ไข้น้อยลง เพราะว่าอักเสบน้อยลง ก็หลับสบาย ถ้าเมื่อไหร่ไอมาก เราจะนอนไม่หลับ พอหลับตื่นมา ก็เข้าห้องน้ำ ผมเคี้ยวต่อไปอีก เพราะว่าตื่นขึ้นปุ๊บก็กลืนน้ำลาย เคี้ยวต่ออีก ๓-๔ แว่น ต่อมาตอนเช้าผมหายเลย ป้านิดดา : อาจารย์เคี้ยวหลังแปรงฟันหรือก่อนแปรงฟัน? โกวิน : หลังแปรงฟัน หมายถึงกลางคืน อาจารย์แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เคี้ยว "คือเราแปรงฟันเรียบร้อยแล้วก็เคี้ยวเลย เคี้ยวแล้วก็เคลือบไว้เลย ไม่ต้องไปแปรงฟันใหม่นะ เพราะฉะนั้น แปรงฟันตอนเช้าก็จะมีเศษกล้วยอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น อาการอักเสบที่คอ ไอ หายไป" ป้านิดดา : เฉพาะก่อนนอนใช่มั้ย แล้วตอนเช้าเคี้ยวต่อมั้ย? โกวิน : พออาการไอมันหาย ก็ไม่ได้เคี้ยว แต่พอก่อนนอน ผมก็เตรียมไปอีก ถ้ามีอาการไอ ผมก็เคี้ยวต่อไป ทำแบบนี้ จนทุกวันนี้ติดกล้วยเลย "คำถามทางบ้าน" "มีหลายคนถามมาว่า เวลาทาน ทานทั้งเปลือกด้วยใช่มั้ยคะ?" "ใช่..ใช่ เอากล้วยทั้งลูกล้างให้สะอาด แล้วก็ฝาน พอฝานไปแล้ว ยางก็จะออกมา ส่วนกล้วย เนื้อกล้วยปกติจะมีคาร์โบไฮเดรต เป็นน้ำตาล แต่เนื่องจากเขาดิบ เป็นแป้ง เขาจึงไม่มีสภาพเป็นน้ำตาลเท่าไหร่ ฉะนั้น การที่เขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เนี่ย มันเป็นความซับซ้อน ไม่ใช่ยางอย่างเดียว ผมคาดว่า น้ำเกลือก็มีผล ยางก็มีผล เนื้อที่เป็นแป้งก็มีผล" ครับ....... ผมแกะคำมาเลย ไม่อยากสรุป ก็ยังไม่จบความดี แต่เนื้อที่หมด ที่เหลือ "ป้านิดดา" ให้ความรู้ด้านสารในกล้วยดิบ จะนำมาต่อวันหลัง ลองกันดูนะครับ "กล้วยดิบ" พิชิตโควิดได้ แต่ใครก็อย่าไปบอกธนาธรเชียวนะ เดี๋ยวมัน "อมกล้วย" ไลฟ์สดอีก ยุ่งตายหะ!
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สถานการณ์โควิด
    19:52 อรชร @ ปุ๊ ลูกชาย นพ.อดิศักดิ์ si69 อายุ51 เปนนักข่าว AP ที่ NY เสียชีวิตด้วยคว19 ทั้งที่มีอาการเล็กน้อย อจ.อดิศักดิ์เล่าว่า ‘ลูกชายเป็นคนแข็งแรง นักวิ่งมาราธอน ได้เหรียญ Full marathon มา 80 กว่าเหรียญแล้ว วันหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้รู้สึกเหนื่อยและเพลีย ไม่มีไข้ ไม่ไอ ไปหาหมอ เขาก็เลยตรวจ COVID 19 test ปรากฏว่า positive ได้ follow up กับหมอมาตลอด จนกระทั่งมีอาการ breathing issue ถึงได้ไป ER ใน Manhattan พบ Pneumonia เข้า ICU on Ventilator ไม่กี่ ชม. ก็เสียชีวิตครับ มันรวดเร็วมากๆ อยากบอกเพื่อนๆว่า อย่าเอาเรื่องไข้ 37.5 C เป็น indicator ของโรคนี้ Unexplained fatigue ควรรับไว้พิจารณาด้วย.. 19:52 อรชร @ ปุ๊ For your information นะคะ จาก เพื่อนรัก พี่เปิ้ลซึ่งเป็น อาจารย์แพทย์ที่ ศิริราชค่ะส่งมาให้ วันนี้ 16 กค 65 เชื้อ BA5 ติดง่ายมากจนคิดว่าลงท้ายคงเป็นกันทุกคนทั้งโลก เมื่วานนี้มีแพทย์ท่านหนึ่งติดโควิดแล้วหาเตียงตามสิทธิ UC รักษาในรพ.ของรัฐไม่ได้ ขณะนี้อาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ใน ICU รพ.เอกชนแห่งหนี่ง ทุก ๆ วันมีญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ปรึกษาผมมาวันละหลาย ๆ รายว่าติดโควิดแต่หาที่รับยาและ/หรือหาเตียงในรพ.ไม่ได้ ซึ่งมีในทุก ๆ สิทธิของระบบการรักษา และเพื่อน ๆ แพทย์ต่างก็ปรารภมากับผมว่าพบเหตุการณ์แบบเดียวกันจำนวนมาก ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์คนหนึ่งที่ยังตรวจผู้ป่วยที่รพ.อยู่เป็นประจำ ประเมินจากสถานการณ์จริงว่าขณะนี้น่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มในแต่ละวันเกินกว่าห้าหมื่นคนอย่างแน่นอน มีทั้งแบบไม่มีอาการ แบบอาการน้อยและแบบอาการหนัก (ทั้ง 3 แบบต่างก็แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ทั้งสิ้น) ซึ่งเพื่อน ๆ แพทย์ของผมที่อยู่หน้างานจริงต่างก็คิดเหมือน ๆ กัน ดังนั้นผมจึงขอให้พี่น้องประชาชนทุก ๆ ท่านอย่าประมาทและการ์ดอย่าตกอย่างเด็ดขาดเพราะบางรายแม้ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 608 และฉีดวัคซีนแล้วไม่ต่ำกว้า 3 เข็มติดแล้วต้องใส่ท่อช่วยหายใจก็ยังมีให้เห็น อีกทั้งโควิดไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ที่หายแล้วจบ หากแต่ภายหลังหายแล้วระยะหนึ่งอาจเกิด MIS-C (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children) กับลูกหลานของท่านซึ่งเป็นการอักเสบของหลาย ๆ อวัยวะพร้อม ๆ กันทำให้อาจเสียชีวิตได้ รวมทั้งทุก ๆ ท่านที่ติดเมื่อหายแล้วยังอาจเกิด Long Covid ในระยะยาวที่มีอาการได้ทั้งทางสมองและทางร่างกายทุก ๆ ส่วน กับท่านได้อีกด้วยนะครับ ด้วยความรักและความห่วงใย ศ.คลินิกเกียรติคุณนพ.อำนาจ กุสลานันท์ อดีตนายกแพทยสภา
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยการกลั้นหายใจ เช็กอาการไอ-แน่นหน้าอก จริงหรือ
    การส่งต่อข้อมูลในช่องทางออนไลน์โดยอ้างถึงผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสามารถตรวจสอบความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเองจากวิธีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลั้นหายใจไว้ 10 วินาที ดูว่ามีอาการไอ แน่นหน้าอก หรือไม่ หากไม่มีอาการแสดงว่าไม่ติดเชื้อ จริงหรือ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อ่านหน่อยนะ เตรียมตัวไว้นะ คนเยอะแยะบอกเราว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดไวรัสโคโรน่า แต่ไม่ยักมีใครสักคนบอกว่า ถ้าเกิดติดไวรัสแล้ว จะต้องทำอย่างไร ขอบคุณนะ คุณพยาบาลในจักรภพอังกฤษที่รวบรวมคำแนะนำนี้ให้เรา นี่เป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลบางประการ จากพยาบาลทั่วไปในอังกฤษ นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเจอคำแนะนำว่า แรกที่สุดต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกพ้นจากการติดไวรัส: • ล้างมือให้สะอาดหมดจด รักษาอนามัยร่างกาย อยู่ห่างๆ​ ผู้คน แต่ที่ดิฉันไม่เคยเห็นเลย คือ คำแนะนำว่า ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมาจริงๆ​ จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งนี่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้นะ ดังนั้น ในฐานะเป็นพยาบาลเพื่อนใกล้บ้าน ดิฉันขอให้คำแนะนำบางประการ: ถ้าคุณ เกิดติดเชื้อ โควิด-19 ขึ้นมา คุณต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คล้ายๆกับว่า คุณรู้แล้วว่าคุณโดนไอ้เจ้าเชื้อทางเดินลมหายใจเล่นงานเข้าแล้ว เช่น เป็นมีภาวะหลอดลมอักเสบ หรือ ภาวะปอดบวม คุณต้องนึกไว้นะว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับตัวคุณ คุณต้องเริ่มทำสิ่งต่อไปนี้เดี๋ยวนี้เลย : ให้แสงแดดชะโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้) แสงแดดจะเพิ่มระดับไวตามิน D ให้คุณมากมาย นี่จะไปเสริมความสามารถของภูมิคุ้มกันของตัวคุณ ถ้ามีกำลังทรัพย์ ให้กินอาหารเสริมดีๆ ร่วมกับไวตามิน C 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รวมทั้ง สังกะสี ซิลิเนียม และ สารกลูทาไธโอน น้ำมันตับปลายี่ห้อ Scott’s Emulsion ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีทีเดียว (น้ำมันตับปลาค้อด) สิ่งที่คุณจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเข้าไว้ก่อน คือ: *กระดาษ Kleenex* *ยาพาราเซตามอล Paracetamol* *ยาแก้ไอ ตามที่ชอบ (ให้ดูฉลากยาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ยาแก้ไอจะไม่มียาพาราเซตามอลไปเพิ่มอีก) *ยาอมผสมสังกะสี *สะเปรย์พ่นคอ เช่น Andolex หรือ TCP *น้ำผึ้งกับมะนาวก็ได้นะ ดีทีเดียวละ​ ! ยาหม่อง Vicks* vaporub ก็ดีนะ คนใช้กันเยอะ *เครื่องลดความชื้น ก็ควรจะซื้อมาใช้ในห้องที่คุณจะนอนทั้งคืน (คุณอาจจะใช้วิธีอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว และนั่งในห้องน้ำ หายใจเอาไอน้ำเข้าตัวก็ได้นะ) ถ้าคุณเคยเป็นหอบหืด และหมอเคยจ่ายยาพ่นให้ ต้องแน่ใจนะว่า มันยังไม่หมดอายุ ให้หายาพ่นมาสำรองไว้นะ *อาหารการกิน* นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การทำอาหารดีๆกิน ให้ทำซุบไว้เยอะๆเลย ใส่ตู้เย็นเอาไว้ พร้อมทุกเมื่อ *น้ำ น้ำ น้ำ* ตุนไว้เลยนะ ของเหลวใสๆที่คุณชอบนั่นแหละ เอาไว้ดื่มกิน น้ำประปาก็น่าจะดีนะ บางครั้งบางคราวคุณอาจนะต้องใช้ *การจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อมีไข้สูงกว่า 38°c ให้กินยา Paracetamol จะดีกว่ายา Ibuprofen. *พักผ่อนเยอะๆ * คุณไม่ควรออกจากบ้านนะ​ ! ถึงแม้ว่าคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็อาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่กับตัวไปตั้ง 14 วัน ดังนั้น คนแก่กับคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว อย่าไปใกล้เขานะ *ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย* เพื่อป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อไปให้คนอื่นในบ้านของคุณเอง *กักตัว* ในห้องนอน ถ้าคุณไม่ได้อยู่แต่ลำพัง ให้บอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้ วางสิ่งที่จะส่งให้คุณไว้ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดต่อ *ทำความสะอาด* ซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าบ่อยๆ และล้างห้องน้ำด้วยน้ำยาทำความสะอาดด้วย *คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เว้นไว้แต่ว่า คุณกำลังหายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมาก(มากกว่า 39°C) แล้ว ใช้หยูกยาต่างๆ​ ไม่ได้ผล กับผู้ใหญ่ ที่มีสุขภาพดีแล้ว 90% สามารถดูแลได้ที่บ้าน โดยการพักผ่อน ดื่มน้ำ กินยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา ถ้าคุณกังวล หรือไม่สบายใจ​ รู้สึกว่า ตัวเองอาการจะหนักขึ้น *ความเสี่ยงที่มีอยู่แล้ว* ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพปอด (เช่น​ หายใจติดขัด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด) หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ต้องคุยกับหมอแล้วละว่า คุณควรจะทำอย่างไร หากคุณเกิดไม่สบายขึ้นมา *สำหรับเด็กๆ* พ่อแม่ออกจะโล่งใจว่า โคโรนาไวรัส ญาติดีกับเด็กมาก มันมักจะเป็นไม่กี่วันก็หาย (แต่มันก็ยังเป็นเชื้อโรคติดต่อนะ) จึงต้องคำนึงถึงสภาพเด็กๆ​ ด้วย . *ให้มีสติและตระเตรียมตามควรแก่เหตุ* แล้วทุกอย่างจะไม่เสียหาย จะบอกคุณเอาไว้ว่า ค่า pH ของโคโรนาไวรัสทั้งหลาย มีได้ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.5. สิ่งที่เราต้องทำ ในการจัดการกับไวรัสโคโรนา คือ เราต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่า pH สูงกว่าของไวรัส ดังที่บอกไว้ข้างบนนี้ อาหารเหล่านั้น เช่น *มะนาวฝรั่ง - 9.9pH* *มะนาว - 8.2pH* *อะโวคาโด - 15.6pH* *กระเทียม - 13.2pH* *มะม่วง - 8.7pH* *ส้มเขียวหวาน - 8.5pH* *สับปะรด - 12.7pH* *ดอกเก็กฮวย(?) - 22.7pH* *ส้ม - 9.2pH* คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดไวรัสโคโรนาเข้าให้แล้ว? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. ไอแห้งๆ 4. มีไข้ตัวร้อน 5. หายใจถี่ หอบ 6. ไม่ได้กลิ่น และไม่รู้รส 7. นิ้วเท้า มีสีเขียวคล้ำ หรือดำ ดังนั้น เมื่อใดมีอาการอย่างนี้ให้กินน้ำอุ่น ร่วมกับน้ำมะนาวเข้าไปเลย อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ กรุณาส่งต่อๆไปให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยนะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น เอาอะไรเข้าไปก่อกวนลำไส้ ซึ่งอาจมีโทษข้างคียง เช่น ทำลายระบบนิเวศของ แบคทีเรียดีในลำไส้ นำสู่การขาดวิตามิน B12 เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ เช่น ท้องผูก อวัยวะขับพิษ ทั้ง 6 บทความตอนหนึ่ง ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ร่างกายของเรา เขาทำงานของเขาเองอยู่แล้ว โดยอาศัยอวัยวะ ขับพิษทั้ง 6 คือ (1) ตับ (2) ไต (3) ปอด (4) ลำไส้ใหญ่ (5) ต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง (6) น้ำเหลือง ถ้าท่านอยากจะล้างพิษ ผมแนะนำให้ท่าน ช่วยให้อวัยวะ ทั้งหกนี้ ทำงานได้ดีขึ้น ดังนี้ (1) ท่านช่วย “ตับ” ของท่านได้ ด้วยการกินอาหาร ที่ตับต้องใช้ในการขจัดพิษ ที่เรียกว่า สารต้าน อนุมูลอิสระ นั่นแหละ ได้แก่ อาหารพืชที่หลากสี (เน้นสีม่วงแดง) หลากรส (เน้นรสขม) ตามฤดูกาล (เน้นเห็ด) และ เน้นขมิ้นชัน ในภาพรวมว่าเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่น นอกจากนี้ ควรขยันออกแดด เพื่อให้ไมโตคอนเดรีย ในเซลร่างกายของท่าน ทุกเซลช่วยกันสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อเมลาโทนิน ขึ้นมาช่วยการทำงานของตับ (2) ท่านช่วย “ไต” ของท่านได้ ด้วยการระวัง ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ กินเกลือให้น้อย กินยาให้น้อยที่สุด ไม่กินยาที่ทำให้ เป็นโรคไตเรื้อรัง โดยตรง เช่น ยาลดการหลั่งกรด (เช่น omeprazole) ยาแก้ปวด แก้อักเสบข้อ และอย่าฉีดสี เพื่อวินิจฉัยโรคบ่อย โดยไม่จำเป็น เพราะ สีเหล่านั้น เป็นพิษต่อไตมาก..ก (3) ท่านช่วย “ปอด” ของท่านได้ ด้วยการ ฝึกหายใจให้ลึก ฝึกกลั้นหายใจนิดหนึ่ง ขณะลมเต็มปอด ฝึกหายใจออก ให้ยาวกว่า การหายใจเข้า เพื่อเอาลมค้างออกมา ให้มากที่สุด ใช้วิธีนับ 4-4-8 อย่างที่ผมเคยสอน ในบล็อกก่อนๆ ก็ได้ (เข้า 1 2 3 4, กลั้นไว้ 1 2 3 4 ออก 1 2 3 4 5 6 7 8 ) และขยันพาตัวเอง ไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ อากาศดีๆ (4) ท่านช่วย “ลำไส้ใหญ่” ของท่านได้ ด้วยการเอาใจใส่ เลี้ยงดูชุมชนจุลินทรีย์ (microbiomes) ในลำไส้ของท่าน ให้เจริญเติบโต หลากหลาย เพราะพวกเขา เป็นผู้ขับพิษ ที่แท้จริงของท่าน วิธีเลี้ยง ก็คือ กินของที่พวกเขา ใช้เป็นอาหาร (prebiotic) เช่น กากต่างๆ และถั่วต่างๆ และ ขยันกินอาหาร ที่มีจุลินทรีย์ (probiotic) เช่น อาหารหมักๆดองๆ ชาหมัก เป็นต้น (5) ท่านช่วย “ต่อมเหงื่อบนผิวหนัง” ของท่านได้ ด้วยการขยันออกกำลังกาย ให้เหงื่อออกมากๆ ขณะเดียวกัน ก็ดื่มน้ำตามไม่ให้ขาด ถ้ามีซาวน่า ก็ขยันอบซาวน่า ให้เหงื่อไหลโทรมกาย ก็ช่วยได้ (6) ท่านช่วย “ระบบน้ำเหลือง” ของท่านได้ ด้วยการขยัน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว อย่างน้อย ให้ขยันเดินทั้งวัน วิ่งเหยาะๆบ้าง เมื่อมีโอกาส เพราะการขยับแขนขา เป็นปัจจัยเดียว ที่จะขับเคลื่อน การไหลเวียน ของน้ำเหลือง เอาของเสียไปทิ้งได้ ทำทั้งหกอย่าง นี่แหละ เป็นการ “ดีท๊อกซ์” ที่ได้ผลดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องไปเสียเงิน ฉีดอะไรที่เสี่ยงๆเข้าตัวเอง ทุกเดือนเลย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ บรรณานุกรม 1. Knudston ML, Wyse DG, Galbraith PD, et al. Chelation therapy for ischemic heart disease, a randomized controlled trial. JAMA. 2002;287(4):481-486.
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กัญชาช่วยให้หลับสบายจริงหรือ
    โรคนอนไม่หลับ หรืออาการหลับยาก ถือว่าเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในกลุ่มคนทุกช่วงวัย โดยส่วนมากมักจะมีต้นเหตุมาจากความเครียดและความวิตกกังวล และสาเหตุอื่นๆที่พบได้น้อยกว่าเช่น โรคซึมเศร้า อาการเจ็บปวด หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด และบางครั้งอาการนอนไม่หลับก็ไม่ได้มีแค่หนึ่งต้นเหตุ ทำให้ผู้ป่วยบางคนไม่สามารถรักษาอาการนอนไม่หลับให้หายขาดได้ กัญชาทางการแพทย์จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกและความหวังใหม่ที่ช่วยให้นอนหลับง่ายและสบายขึ้น กัญชาทางการแพทย์/ยาระงับประสาท การที่กัญชาทางการแพทย์สามารถช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับดีขึ้นได้ก็เพราะว่ากัญชานั้นออกฤทธิ์ได้เหมือนยาระงับประสาทครับ โดยผู้ป่วยที่ได้ลองใช้กัญชาจะรู้สึกถึงความผ่อนคลายไปจนถึงง่วงนอนได้เลย อีกทั้งยังมีการพัฒนากัญชาทางการแพทย์บางสายพันธ์สำหรับรักษาโรคนอนไม่หลับโดยเฉพาะ ซึ่งเอฟเฟคท์การทำให้นอนหลับดีขึ้นจะมาจากสารแคนนาบินอยที่พบได้ในกัญชาคือ THC นั่นเอง กัญชาช่วยให้นอนหลับได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม การใช้ปริมาณที่พอดีและไม่เยอะเกินไปนั้นมีประโยชน์หลายอย่างรวมถึงการช่วยเรื่องโรคนอนไม่หลับ แต่ถ้าใช้มากเกินไป ประโยชน์ที่เคยมีก็จะสูญเปล่า และอาจจะถูกแทนที่ด้วยอาการทางจิตอย่างเช่นอาการวิตกกังวลแทนได้ ดังนั้นควรจะใช้รักษาภายใต้การดูแลของแพทย์จะดีที่สุดครับ การใช้กัญชาเพื่อช่วยในการนอนหลับนั้นช่วยลดวงจร REM Sleep (วงจรที่เวลาหลับแล้วจังหวะชีพจรและการหายใจจะเร็วขึ้น เป็นช่วงที่ทำให้เกิดการฝัน และสมองใช้งานหนักพอๆกับตอนตื่น) และช่วยให้หลับลึก แต่ถ้าใช้ไปนานๆเข้า อาการหลับลึกก็อาจจะน้อยลง รวมถึงสารTHCก็จะทำให้หลับเร็วขึ้นได้ด้วยครับ ใช้กัญชารักษาปลอดภัยแค่ไหน ในตอนนี้งานวิจัยเกี่ยวกับกัญชารักษาโรค รวมไปถึงโรคนอนไม่หลับ อาจจะยังใหม่อยู่และมีไม่มากนัก ดังนั้นจะพูดว่ากัญชาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของการรักษาโรคนอนไม่หลับนั้นก็อาจจะยังไม่ได้ในตอนนี้ และเราเองก็ไม่อาจแก้ปัญหานอนไม่หลับด้วยปลายเหตุโดยใช้กัญชาเป็นตัวเลือกแรก แต่ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการใช้ยานอนหลับเพราะกัญชาทางการแพทย์อาจจะทำให้หลับนานกว่าและหลับสนิทกว่าการใช้ยานอนกลับ ที่มีผลข้างเคียงมากกว่าการใช้กัญชา ตามที่บอกไปข้างต้นนะครับ อาการนอนไม่หลับ นั้นมีหลายสาเหตุ และไม่ควรใช้กัญชาเป็นการรักษาอย่างแรกถ้าไม่เคยรับการรักษาอย่างอื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาอื่นๆเช่นการออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการใช้สมุนไพรบำบัดที่ทำให้หลับง่ายขึ้นและไม่มีผลข้างเคียง แต่ถ้าลองมาหลายวิธีแล้วไม่หายขาด ก็อาจจะปรึกษาแพทย์และใช้กัญชาบำบัดควบคู่ไปได้เช่นกันครับ โรคนอนไม่หลับจะรักษาง่ายกว่าถ้าลองใช้วิธีรักษาหลายๆทาง และการจัดการกับความเครียด กัญชาบำบัดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้ครับ
    maxchowxingxing
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) กับตัวเอง โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้:
    ปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) กับตัวเอง โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้: 1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน 2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี 3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม. 4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ 5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง 6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ 7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรง ๆ และถี่ ๆ ก่อนไอให้หายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรง ๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ 8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ๊อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที 9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้ 10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับข้อความนี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต 11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้ 12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุข ที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว เพื่อน ๆ ช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล !!!
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    "จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !
    "จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ ! ———————————— “ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคมม.เกษตรฯแห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่างและเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย        ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood วันหนึ่งกลางปี 2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง,มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก8คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5 ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร?  วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า "ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูกๆกินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อๆกันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขับสารพิษออกจากร่างกายทำ ให้ลูกๆไม่ค่อยเป็นอะไร วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก 2 เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย1กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว(เล็ก)หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2 เดือน ถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว"         หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน8คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด(ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง         ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน (ปี2006) เป็นมะเร็งที่เต้านม,มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี"นั่งสมาธิ"ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ         ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1 ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี 2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้น 3 หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง (ผมให้เขาไปเพียง1ต้นไปปลูกและ เด็ดใบทานเลยวันละ1ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)         ปี 2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่ายและนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย         ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า"ยาเย็น"เป็น"หยิน"ช่วยฟอกเลือด,ขับสารพิษ..ฆ่าเชื้อ ไวรัสทุกชนิด.. เพื่อนku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง      เนื่องจากที่ LA.เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ (จริงๆต้องทานวันละ1กำ )ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่ เขาขายกก.ละ 35 บาท     ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ คุณมีโอกาสหายครับ. ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ          เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน  คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินซี และวิตามินอี          มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่ง สารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต           นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง  ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย" มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กันจิงจูฉ่าย  ในรูปแบบชา  คัดวัตถุดิบใบจิงจูฉ่ายคุณภาพ  ปลอดสาร ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน รสชาติหอมหวานไม่ขม ดื่มง่าย โดยกระบวนการหมัก นวดอย่างพิถีพิถัน และอบด้วยไฟอ่อนเพื่อให้คงคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา  ชาจิงจูฉ่ายจึงมีประโยชน์มากมาย  และเนื่องจากเป็๋นสมุนไพรจึงไม่มีผลข้างเคียง ในกรณีที่บริโภคเป็นปริมาณมากอยกได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนในเวปค่ะLiked By: PinKen มะเร็งระยะสุดท้าย 2 ปี ไม่เข้ารับรักษา ค่ามะเร็งล…: https://youtu.be/uITAm2Gi5mQ
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    คีโม คือธุรกิจเลือดเย็นของโรงพยาบาลแบบเจ้ามือหวย คนเล่นเสีย เจ้ามือรวย มะเร็งไม่ได้พรากใครไป คีโมต่างหาก โปรดอ่าน สำคัญมาก (Doctor)ดร. รุ่ง จาก รพ. จุฬา บทความนี้ น่าสนใจมาก Shafin de Zane presents: What is Cancer? นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ (Cancer is Natural) มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ มะเร็งแท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป เอาละ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน- เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ: 👉วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด -- เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ - หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4 - หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน ทำอย่างนี้ครับ >>>> 1-2-3-4 <<<< ทำอีกครั้งครับ >>>> 1-2-3-4 <<<< ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>> กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4 หายใจออกทางปาก <<<< หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ การออกกำลัง ของเราทุกวิธี 👉วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน -กรด สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น - น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก - งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์ - รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง -นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน 👉วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค -ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ? - ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว (ประกาศ)แชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้ ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้- น่าอยู่ขึ้น (หมอ)ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา (*)(*)(*)(*)
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    *** หมอท่านนี้รักษาพระองค์ ร.9 ผมก็พาพ่อไปให้ท่านรักษาด้วย รพ. ธนบุรี 1 #ศ_นพ_นิพนธ์_พวงวรินทร์ #คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล_ม_หิดล ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ #ท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองของรพ_ศิริราชท่านบอกเคล็ดดีๆของการรักษาสมองให้แจ่มใสความจำยังคงดีแม้วัยจะสูงขึ้นลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์ ด้วยการกินโกโก้ร้อน(ไม่ใช่ช๊อคโกแลต) ย้ำโกโก้ 100%แบบไม่ผสมน้ำตาลนะ จิบตอนเช้าๆแทนกาแฟ แต่ถ้าจะให้อร่อย อุ่นนมสดให้ร้อน แล้วใส่ผงโกโก้คนให้เข้ากัน ลองกินดูซักเดือนนะ ไม่เสียหายอะไร คุณหมอบอกทดลองกินมา 6 เดือนละ จำอะไรๆได้ดีขึ้น #วิธีชงโกโก้นมสดง่าย ๆ 1. เทนมสดกล่องลงในแก้ว 3/4 กล่อง 2. อุ่นใน microwave 50-60 วินาที นมจะเดือดแต่ยังไม่หกล้นแก้วถ้าใส่ 3/4 ของกล่อง 3. เอานมอุ่นออกมาผสมกับโกโก้หรือโอวัลตินผง 3-4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน 4. เติมนมที่เหลือในกล่องลงผสมให้เข้ากัน จะได้โกโก้นมสดอุ่นพอดื่มได้พอดี ใช้นมไวตามิลค์เจ แทนนมสดก็ดีสำหรับมังสวิรัติที่เคร่งครัด ท่านให้คำแนะนำที่น่าสนใจลองอ่านและพิจารณาดูครับ......... #สรุปสาระสำคัญมาได้ว่า 1. หากจมูกใคร…เริ่มไม่ได้กลิ่น …แม้ไม่เป็นหวัด …ให้รีบไปตรวจ… เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป…พึงทราบว่า…อัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว 2. เซลล์สมอง…พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ…หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ …การเลี้ยงดูเด็กทารก…จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก 3. ในอีกไม่กี่ปี … อัลไซเมอร์จะเป็นโรค…ที่คนแก่เป็นมากที่สุด …จะแซงหน้ามะเร็ง…อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม 4. อัลไซเมอร์ …นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว……ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ…และอารมณ์…ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ 5. การอดนอนมีผลต่อความจำ สว.ควรนอนให้เพียงพอ…ถ้านอนน้อย…โอกาสอัลไซเมอร์มาอยู่ด้วยมีสูง…ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น. คือ ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก…สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง 6.อาหารของสมองมี 2 ชนิด…คือ กลูโคส และออกซิเจน…กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม. ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน ผู้สูงอายุปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120 ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ …ในทุกครั้งที่นึกได้ …จะช่วยเติมออกซิเจนและ…ไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก…สมองจะสดชื่น แจ่มใส…อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง 7. ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา…คนที่เป็นอัลไซเมอร์…มีเพียงวิธีป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์ 7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง… ต้องรักษาเบาหวาน …ลดความดันโลหิต …และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ 7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ …ด้วยวิธีใดก็ได้ … สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ…และมีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ …เพื่อให้สมองได้ทำงาน ( แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน…ที่ไม่เคยทำ…และไม่ถนัดนะ …จะหมดตัวซะก่อน) 8. โกโก้ (ไม่ใช่ช๊อคโกแลต)…… เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ ……มีสารต้านอนุมูลอิสระ/สารลดอัตราการตายของเซลล์ /สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ ……มีงานศึกษาวิจัยประโยชน์ของโกโก้หลายผลงานวิจัย พบว่า การดื่มโกโก้…ในปริมาณมากพอ ……จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น(โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) คุณหมอ…แนะนำให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ …ควรเติมน้ำผึ้ง…เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น "Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away " โกโก้ รสชาติไม่อร่อย…แต่ มีคุณค่ามหาศาล……สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย……ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้ (จากผลวิจัยในต่างประเทศ……ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก) Cr. กลุ่มคนรักษ์สุขภาพ https://youtu.be/eyuoW0RfHFc
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false