1 คนสงสัย
"จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !
"จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !

————————————

“ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคมม.เกษตรฯแห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่างและเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย       

ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood วันหนึ่งกลางปี 2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง,มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก8คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5 ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร? 

วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า "ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูกๆกินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อๆกันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขับสารพิษออกจากร่างกายทำ ให้ลูกๆไม่ค่อยเป็นอะไร

วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก 2 เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย1กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว(เล็ก)หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2 เดือน

ถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว"        

หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน8คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด(ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง        
ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน (ปี2006) เป็นมะเร็งที่เต้านม,มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี"นั่งสมาธิ"ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ        

ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1 ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี 2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้น 3 หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง (ผมให้เขาไปเพียง1ต้นไปปลูกและ เด็ดใบทานเลยวันละ1ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)        

ปี 2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่ายและนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย        

ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า"ยาเย็น"เป็น"หยิน"ช่วยฟอกเลือด,ขับสารพิษ..ฆ่าเชื้อ ไวรัสทุกชนิด..

เพื่อนku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง      เนื่องจากที่ LA.เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ (จริงๆต้องทานวันละ1กำ

)ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่
เขาขายกก.ละ 35 บาท     ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ คุณมีโอกาสหายครับ.

ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ         

เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน 

คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินซี และวิตามินอี         

มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่ง สารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย

ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต          

นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง 

ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย" มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ

แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กันจิงจูฉ่าย 

ในรูปแบบชา  คัดวัตถุดิบใบจิงจูฉ่ายคุณภาพ  ปลอดสาร ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน รสชาติหอมหวานไม่ขม ดื่มง่าย โดยกระบวนการหมัก นวดอย่างพิถีพิถัน และอบด้วยไฟอ่อนเพื่อให้คงคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา  ชาจิงจูฉ่ายจึงมีประโยชน์มากมาย  และเนื่องจากเป็๋นสมุนไพรจึงไม่มีผลข้างเคียง

ในกรณีที่บริโภคเป็นปริมาณมากอยกได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนในเวปค่ะLiked By: PinKen

มะเร็งระยะสุดท้าย 2 ปี ไม่เข้ารับรักษา ค่ามะเร็งล…: https://youtu.be/uITAm2Gi5mQ
Mrs.Doubt
 •  3 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น

ยาสมุนไพร

Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

ผักจิงจูฉ่ายรักษามะเร็งระยะสุดท้ายทำให้ค่ามะเร็งลดลง กรมการแพทย์ โดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า น้ำปั่นผักจิงจ

ที่มา

https://www.bangkokbiznews.com/news/922079

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เห็ดมีอันตรายจริงหรือ
    คนชอบกินเห็ดต้องอ่านให้จบ คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด ? คนขายเห็ดไม่กินเห็ด ? เห็ดนานาชนิด ที่เรารู้จักและคนก็ชอบกิน เพราะรสชาติที่อร่อยกินง่าย และเรารู้แต่ประโยชน์ที่มีอยู่ในเห็ดมากมาย แต่เราไม่เคยรู้ถึง....ผลเสียของเห็ด หมายเหตุ เห็ดที่พูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึง ทุกโรงเพาะเห็ดหรือเห็ดทั้งหมด แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เห็ดชนิดใดที่ปลอดภัย จึงอยากให้ทุกคนโปรดใคร่ครวญพิจารณา ยังไม่มีนักวิชาการคนใด พูดถึงผลเสียของเห็ด เราจะรู้กันแต่ประโยชน์ของเห็ด โดยเฉพาะถ้าเรากินเห็ด 3 ชนิดจะช่วยป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อสุขภาพ แต่เราไม่เคยรู้ที่มาที่ไป จากผลเสียที่ติดมากับเห็ดเลย จนมาวันนี้ ได้คุยกับคนขายเห็ดโดยเฉพาะเห็ดนางฟ้า วันนี้เรื่องราวที่จะมาเล่า. คำพูดคือความจริงทุกคำ ถ้าผู้อ่านช่วยส่งต่อเอาบุญ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ขอให้ทุกคนที่ชอบกินเห็ด ได้ป้องกันที่ตัวเรา ว่าเราควรจะกินเห็ดต่อไปหรือจะเลิกกินเห็ด จะได้ป้องกันตนเองจากโรคร้ายที่จะตามมาจากรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง จากการได้คุยเปิดใจ กับคนขายเห็ดหรือคนเพาะเห็ดขาย คุณมนัสมีอาชีพขายเห็ด ขายส่งต่อกับพ่อค้าแม่ค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำมาจนเข้าปีที่ 20 สิ่งหนึ่งที่รู้ในใจคือ จะไม่ให้ลูกและครอบครัวตัวเองกินเห็ดที่ขายเลย จนกระทั่งผลที่สุด....ร่างกายตัวเองทรุด หมดเรี่ยวหมดแรง ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว เป็นมาแบบนี้มาเป็นเดือน ๆ จนไปให้หมอตรวจร่างกาย หมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด แต่หาจุดที่เป็นไม่เจอ แต่ฟังจากหมอพูดว่า มะเร็งถ้าเป็นระยะที่ 1 หรือที่ 2 คงไม่พบ นี่อาจจะเป็นระยะ 3 หรือ 4 แต่หมอก็ยังเช็คไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน คุณมนัสก็กลับบ้านมาด้วยใจหดหู่หมดกำลังใจ แต่มีลูกที่น่ารักถึง 7 คน มีภรรยาที่น่ารัก แม่พ่อและญาติที่รักอีกหลายชีวิต ที่จะทำให้ต้องสู้กับโรคร้าย จนกระทั่งคุณมนัสได้เปิดใจ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลยคือ สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็ง คือน่าจะมาจากสาเหตุ จากการสูดดมสารในตัวเห็ดที่ตัวเองต้องทำขายทุกวันนั้นเอง เราถามว่าทำไมถึงทำให้คิดอย่างนั้น คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การปลูกเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเข็ม จะต้องใช้ยาฆ่าหนอนหรือยาฆ่าแมลง และต้องใช้เป็นจำนวนมากทุกรอบ ที่ต้องการผลผลิตที่มากและดี ต้องไม่ให้มีหนอนและแมลง แล้วคุณมนัสไม้รู้หรือถึงได้เอามาขาย คุณมนัสตอบรู้ครับ เลยไม่ให้คนในครอบครัวกินเลย รวมทั้งเพื่อนพ้องที่ตัวเองรักก็ไม่แนะนำให้กิน เพื่อนบางคนถามผมว่า ทำไมไม่เอาเห็ดมาฝากบ้าง ทั้งที่มีอาชีพขายส่งเห็ด ในใจผมรู้แต่ไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าไง แต่ไม่เคยเอาเห็ดนางฟ้าไปฝากใครเลย จนมาวันนี้เหมือนกับว่า สิ่งที่เจอจะเป็นเวรกรรมที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ ที่มาทำให้เป็นมะแร็ง ทั้งที่ไม่ได้กินเห็ดนางฟ้า ครอบครัวก็ไม่เคยกินเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเลย แต่ส่งขายให้คนกินทั้งประเทศ เวรกรรมจะมาย้อนที่หรือไม่ จึงถามไปว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น คุณมนัสเล่าต่อว่า ก่อนที่จะเป็นแบบนี้ เขาได้เห็นเจ้าของโรงเพาะเห็ด ที่ส่งเห็ดมาให้เป็นประจำ เป็นมะแร็งเต้านมและตัดเต้านมไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่ และลูกน้องที่ทำงานกับโรงเพาะเห็ด ก็มีอาการเจ็บป่วยไปทีละคนสองคนอย่างต่อเนื่อง และทุกคนที่ทำงานโรงเพาะเห็ด แต่ละคนมีสุขภาพไม่ดีกันเกือบทุกคน คุณมนัสไม่ได้เพาะเห็ดเอง แต่ผมเป็นผู้รับมาจำหน่ายต่อ ซึ่งล่าสุดก็มาพบเชื้อมะเร็งในกระแสเลือด จากนั้นจึงตั้งคำถามไปว่า เพราะอะไรที่ทำให้ทุกคนที่ทำงานตรงจุดนี้ จึงมีร่างกายไม่แข็งแรง คุณมนัสเลยเล่าให้ฟังว่า การเพาะเห็ดต้องใช้ยาสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนอนอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะเจ้าของโรงงานเพาะเห็ดและลูกน้อง ต้องสูดดมสารเคมีเหล่านั้น ถึงแม้คนปลูกเห็ดจะไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด แต่การสูดดมสารพิษพวกนี้ทุก ๆ วัน. มันก็สะสมในร่างกาย พอสะสมมาก ๆ ทุกวัน ๆ เลยมาแสดงอาการตอนมันเต็มที่แล้ว เมื่อขายเห็ดให้คนกินทั้งประเทศ แล้วผลเสียที่มีต่อคนอื่นต่อประชาชนคนที่ไม่รู้ เราก็จะเป็นบาปโดยที่ไม่รู้ตัวไหม เลยย้อนถามคุณมนัสว่า คุณมนัสเชื่อเรื่องเวรกรรมไหม โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร คุณมนัสตอบมาวันนี้เข้าใจและเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม หลังจากเจอด้วยตัวเอง และคุณมนัสฝากบอกมาว่า ให้ประชาชนทุกคนจงรู้ว่า เห็ดถึงมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษที่แอบแฝงมามากเช่นกัน เพราะถ้าคนที่เพาะเห็ดขายเพื่อหาผลกำไรมาก หรือต้องการกำไรมาก ก็จะใช้ยาฉีดที่เป็นอันตรายมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเห็ด เริ่มแรกอาจมีผลข้างเคียง แต่นานไปถ้าสะสมมาก ๆ ก็จะเป็นเหมือนเจ้าของโรงเพาะเห็ดและคุณมนัสผู้ขายส่งต่อ หรือคนใกล้ชิดที่ทำอาชีพนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีสุขภาพที่ย่ำแย่กันทุกคน เรื่องราวที่เล่าให้ฟังนี้ ขอให้ประชาชนผู้บริโภค ได้เตรียมพร้อมและรู้ทัน ว่าควรกินเห็ดต่อหรือควรหลีกเลี่ยงการกินเห็ด เนื่องจาก คนปลูกเห็ดไม่กินเห็ด คนขายเห็ดไม่กินเห็ด เพราะแบบนี้นี่เองหรือ โปรดส่งต่อเป็นวิทยาทาน
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    รักษา "มะเร็งระยะสุดท้าย" ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย
    กรณีที่มีผู้โพสต์แนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย
    std46418
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เคล็ดลับกินกล้วยน้ำว้าห่าม คุณประโยชน์ป้องกันโรค 12 ชนิด จากประสบการณ์จริงของ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานคณะกรรมการการสาธารณสุข และอนุกรรมการงบประมาณด้านสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพด้วยกล้วยน้ำว้ามานานกว่า 20 ปี เพราะการกินกล้วยน้ำว่าห่ามนี้เอง แม้วันนี้จะอายุ 66 แต่ร่างกายแข็งแรงดีเยี่ยม เหมือนคนหนุ่มวัย 30 ดร.นพ.พรเทพ เล่าจากประสบการณ์จริงถึงประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าว่า เริ่มกินกล้วยน้ำว้าตั้งแต่ปี 2539 หลังกลับจากอังกฤษ ณ ตอนนั้นมีปัญหาสุขภาพเรื่องโรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน ได้ฟังสรรพคุณของกล้วยน้ำว้าจากคนปลูกกล้วยเวลาไปเล่นเทนนิสทุกวันอาทิตย์ที่กระทรวงสาธารณสุข จึงลองกินกล้วยน้ำว้าห่ามทุกวันๆ ละ 4 ลูก แบ่งกินเช้า 2 ผล เย็น 2 ผล ไม่นานก็หายป่วยปลิดทิ้ง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีสารช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดี จากนั้น ดร.นพ.พรเทพ ก็กินกล้วยน้ำว้าเป็นประจำจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปี ได้รับคุณประโยชน์จากกล้วยน้ำว้าอย่างล้นหลามและน่าอัศจรรย์ เพราะกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอมิโน อาร์จีนิน ฮีสตีดินซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีในน้ำนมแม่ คนจึงนำมาบดให้กับข้าวให้ลูกกิน 1. กินกล้วยน้ำว้าห่ามแล้วอารมณ์ดี มีความสุข เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนเอ็นโดรฟีน 2. ขจัดความเครียด ช่วยให้หลับสบาย และช่วยต้านภาวะซึมเศร้าได้ด้วย เพราะกล้วยน้ำว้ามีสารทริปโตเฟน ทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ควรกินก่อนอาหารเย็น 1 ลูก และหลังอาหารเย็น 1 ลูก 3. แก้ท้องผูก เพราะมีกากใย ไฟเบอร์สูง กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายง่าย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคกระเพาะ มะเร็งตับ และบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวาร 4. แก้อาการท้องเสีย เพราะกล้วยน้ำว่าห่ามมีสารแทนนินที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย 5. ลดความดัน เพราะมีสารโพเแทสเซียมจะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ ปัสสาวะ 6. ชะลอชรา ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะมีสารเบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล 7. ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม 1 ผล มีน้ำตาลน้ำตาลเชิงเดียว คือกรูโคสและ ฟรุกโตส ประมาณ 1 ช้อนชา เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ทำให้รู้สึกมีแรง ควรกินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหาร 1 ผล ทำให้ กินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหาร 8. ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงเร่ิมเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและผู้หญิงสูงอายุ เพราะกล้วยน้ำว้าห่าม มีแคลเซียมสูง หากนำไปปิ้งหรือต้มปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า แนะกินกล้วยป้ิงหรือต้มวันละ 1 ลูก จะได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ 9. ดีท็อกซ์ลำไส้ ช่วยให้ถ่ายง่ายแล้ว ลำไส้สะอาด เพราะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์มากจนอุจาระมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าห่ามวันละ 4 ลูกเป็นเวลา 1 อาทิตย์ อุจจาระไม่เหม็น 10. แก้ปัญหาปากเป็นแผล ร้อนใน ช่วยให้ปากไม่เหม็น 11. ป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะกล้วยน้ำว้าห่ามมีธาตุเหล็ก 12. บำรุงเหงือกและช่วยป้องกันฟันผุ จากแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี :วิธีกินกล้วยน้ำว้าห่ามให้ได้ประโยชน์ : ลักษณะกล้วยน้ำว่าห่ามที่เหมาะกับการกินเพื่อสุขภาพที่ดี ดร.นพ.พรเทพ บอกว่า ปอกเปลือกแล้วเนื้อไม่เละ เปลือกมีปุยติด และรสชาติไม่หวาน วิธีการกินกล้วยน้ำว้าห่ามที่ถูกต้อง ปอกเปลือกจากบนลงล่าง เริ่มกินจากข้างบนลงไป คำแรกๆ จะรู้สึกฝาดจากยางกล้วย แต่ยางนี้คือ ยาวิเศษ มีส่วนผสมของเพคติน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยเคลือบกระเพาะป้องกันการเกิดโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน โรคทางเดินอาหาร ค่อยๆ กินและเคี้ยวให้ละเอียดจนกินถึงปลายลูก ยางกล้วยจะค่อยๆ หมด จนกินคำสุดท้ายจะได้รสชาติหวานพอดี เห็นหรือยัง! ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าห่ามเยอะขนาดนี้ ใครที่เคยเมิน คงต้องกลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ หากอยากสวย สุขภาพดี เวลาไปจ่ายตลาดหรือเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต อย่าลืมซื้อกล้วยน้ำว้ามาติดบ้านไว้นะ...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อย่าเชื่อ! รักษา "มะเร็งระยะสุดท้าย" ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย
    กรณีที่มีผู้โพสต์แนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย (Artemisia lactiflora) เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารเบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และแอสคอบิกแอซิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้องทดลอง และปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทั้งนี้การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
    std46556
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    การกระตุ้นฉีดวัคซีนภูมิสูงๆ ต้องระวัง Lymphoma (มะเร็งต่อมน้ำเหลือง)
    ส่งมาโดย อ.ภิรมย์ หมอจุฬา การกระตุ้นฉีดวัคซีนภูมิสูงๆ ต้องระวัง Lymphoma (มะเร็งต่อมน้ำเหลือง) เก็บมาฝาก แค่ให้รู้และเฝ้าระวัง ไม่ต้องตื่นกลัว คอยติดตามข่าวกันต่อไปแค่นั้น เมื่อวานและวันนี้ ห้องไลน์หมอ ผมคุยกันเรื่องนี้เยอะ มีทั้งคำเตือนจาก อจ.แพทย์ไทย และรายงานจากต่างประเทศ สรุปคร่าวๆ ได้ว่า ตอนนี้เชื้อโควิดแรงขึ้น หลายๆ คน (รวมทั้งผมเอง) ก็พยายามหาวัคซีนที่จะช่วยกระตุ้นภูมิให้สูงมากๆ ขึ้นเพื่อให้เกิดภูมิต้านทานสูง สู้กับโรคได้แบบไม่ต้องกังวล แต่ภูมิต้านทานอย่างพวก IgG หรือ แอนติบอดี้ ที่สร้างขึ้นมาในร่างกายเรานั้น มันสร้างมาจากการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte ถ้าได้รับการกระตุ้นมากจนเกินไป อาจจะทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ นอกจากนี้ยังอาจต้องระวังโรค Autoimmune หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง คือ โรค SLE หรือโรคพุ่มพวงที่เรารู้จักกันดี) ดังนั้น การจะกระตุ้นให้ขึ้นมากน้อย ตอนนี้คงต้องคำนึงถึงความจำเป็นและความเสี่ยงด้วย จากเคยคิดที่จะกระตุ้นกันแบบไม่ยั้ง เอาภูมิต้านทานแบบเกราะเหล็กหนาๆ อาจจะต้องเพลาๆ ลง เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงต่อโรคว่าคุ้มมั้ย และจักต้องติดตามรายงานศึกษาจากทั่วโลกตลอดจนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งแน่นอนว่าเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ข้อมูลข้างล่างนี้ คือที่หมอๆคุยปรึกษากัน โดยส่วนตัว ก็เคยคิดอยากกระตุ้นให้สูงมากเผื่อเหนียวไว้ แต่พอนักวิชาการท้วง ก็คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เอาเท่าที่จำเป็นก่อน โดยความเห็นส่วนตัว ที่เราใช้กันตอนนี้… SV + AZ 2SV + AZ 2SV + mRNA 2AZ 2mRNA AZ + mRNA เหล่านี้ผมว่าภูมิคุ้มกันสูงพอและใกล้เคียงมาตรฐาน แต่ที่เกรงก็คือ ผู้ที่จะกระตุ้นให้ภูมิสูงไปกว่านี้ เช่น 2AZ + mRNA 2SV + AZ + mRNA AZ + mRNA + mRNA หรือ mRNA 3 เข็ม --------------------------- งานวิจัยของเยอรมันบ่งชี้ว่า AZ + mRNA ผลข้างเคียงหลังเข็ม 2 พอๆ กับ mRNA + mRNA และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด B-cell (IgG) ที่ต่อสู้กับ Covid-19 ได้สูงมาก แต่ใครฉีด AZ + AZ ไปแล้วหมอไม่แนะนำให้ซ้ำ mRNA ในปีนี้อีก เพราะถ้า IgG ขึ้น สูงมากๆ อาจเสี่ยงต่อโรค B-cell Lymphoma --------------------------- ตามที่มีข่าวว่า ถ้าหาก ภูมิคุ้มกันมีระดับสูงมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงเรื่อง Lymphoma แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานเรื่อง Lymphoma โดยทฤษฏี เห็นด้วยว่าไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป อย่างน้อยๆ คือรอ 6 เดือนหลังเข็ม 2 เพราะสิ่งที่หวั่นเกรง คือ autoimmune disease VACCINE เป็นเหมือน antigen ชนิดหนึ่ง กระตุ้น innate และ adaptive หากมีการกระตุ้นบ่อยๆ T cell จะคุยกับ B cell บ่อยๆ เราเรียกว่า T-B cell crosstalk เพื่อให้สร้าง antibody เยอะๆ ความผิดพลาดเกิดได้หลายตำแหน่ง 1. ยิ่งคุยกันมาก ยิ่งพลาดได้ ทำให้สร้าง b cell clone ผิดปกติได้ โดยทฤษฏีจึงอาจเกิด lymphoma ได้ 2. ยิ่งสร้าง antibody มาก ยิ่งอาจมี antibody ที่จับกับ self antigen อาจเกิด autoimmune disease แต่ทั้งหมดคือทฤษฏี ต้องรอ real world data หลังฉีดไปอีก 2-3 ปี ว่า โรคเหล่านี้จะปรากฏเยอะขึ้นกว่าตอนก่อนฉีดหรือไม่ ดังนั้น ให้ยึดทางสายกลางไว้ก่อน หากได้ AZ + AZ หรือ mRNA + mRNA หรือ Mix & Match สลับกัน ก็ยังไม่ต้อง booster ให้รอข้อมูลจากอเมริกา อังกฤษ ตอนที่เค้า boost เข็มสาม ซึ่งน่าจะเป็นปีหน้า
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ในประเทศจีน Coca-Cola จะถูกขายเป็นเครื่องกำจัดสิ่งปฏิกูล และเครื่องดื่ม Coca-Cola ที่ผลิตโดย American Coca-Cola Company จะถูกโอนตามการตัดสินใจของคณะกรรมการกลางเพื่อคุณภาพอาหารของจีน ให้เป็นประเภทของเหลวสุขาภิบาล แนะนำการล้างท่อ... เหตุผลของการตัดสินใจที่เข้มงวดนี้คือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเนื้อหาของเครื่องดื่มและผลกระทบที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ นักโทษมากกว่า 500 คนได้รับเลือกในเรือนจำของจีนเพื่อทำการทดลองและการวิจัย พวกเขาดื่มโคคา-โคลาสามครั้งต่อวันเป็นเวลาหกเดือน การทดลองสิ้นสุดลงโดยมีผู้เสียชีวิต 75 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 150 ราย คนอื่นๆ พิการ และส่วนที่เหลือพบว่ามีอาการกำเริบของโรคเรื้อรัง และได้รับความเสียหายต่อสุขภาพในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน... จากข้อมูลเหล่านี้ ทางการได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอันตรายของน้ำอัดลมที่มีต่อสุขภาพและชีวิตของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจถอน Coca-Cola ออกจากร้านขายของชำทุกแห่งในจีน Fanta... ในเวลาเดียวกันจะมีการบันทึกคุณสมบัติเชิงบวกของของเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบประปาในฐานะน้ำยาทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับท่อระบายน้ำทิ้งและห้องส้วมในห้องน้ำ ห้องครัว... ในตุรกี และเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการทดลองกับบริษัท Coca-Cola ในอเมริกา เนื่องจากมีส่วนประกอบของเครื่องดื่มซึ่งอาจทำให้ปอด ตับ ต่อมไทรอยด์ และมะเร็งเม็ดเลือดขาว... ในอินเดีย ศาลฎีกาสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มโคคา-โคลา เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ... ลัตเวียสั่งห้ามจำหน่ายโคคา-โคลาและเป๊ปซี่ในโรงเรียนประถมศึกษา และในอังกฤษและยูเครน มีการห้ามการบริโภคโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ในโรงเรียน... ❌ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโคคา-โคลา: กำจัดสนิมหรือที่เรียกว่าตะกรันออกจากกาต้มน้ำและคราบจุลินทรีย์ในห้องน้ำได้ดี เนื่องจากมีกรดออร์โธฟอสฟอริกอยู่ในนั้น... ในบางประเทศในเอเชีย เกษตรกรใช้โคคา-โคลาเพื่อฆ่าแมลงศัตรูพืชและอื่นๆ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าสารเคมี และให้ผลเช่นเดียวกัน... ★ ทุก ๆ วินาที มีการบริโภคเครื่องดื่ม Coca-Cola กว่า 8,000,000 แก้วทั่วโลก... ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่เพียงแต่ใช้กับ Coca-Cola เท่านั้น แต่น้ำอัดลมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นอันตราย เช่น เป๊ปซี่ และเครื่องดื่มอื่นๆ ทุกชนิด... เราต้องจำไว้ว่าบริษัทผู้ผลิตให้ความสำคัญกับผลกำไรเท่านั้น และไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของมนุษย์เพียงเพื่อจุดประสงค์ทางการค้าเท่านั้น ส่วนการดูแลสุขภาพนั้นก็อยู่ในมือคุณเท่านั้นจึงต้องงดดื่มและแนะนำคนรอบข้างว่าอย่าดื่มเลย...ดื่มแล้วอร่อยจริง ๆ เพราะมีกรด น้ำตาล และสารเคมี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายถึงชีวิตและนำมาซึ่งโรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน และความจำเสื่อมในระยะเริ่มต้น....
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 7 คนสงสัย
    อย่าเชื่อ! รักษา "มะเร็งระยะสุดท้าย" ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย
    กรณีที่มีผู้โพสต์แนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย (Artemisia lactiflora) เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารเบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และแอสคอบิกแอซิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้องทดลอง และปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทั้งนี้การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้
    std46777
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เตรียมตัวรับมือกับสงครามใหญ่ ประเทศในแถบยุโรปเช่นฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และอีกหลายประเทศ เริ่มมองเห็นเค้าลางว่าจะเกิดสงครามใหญ่ในอีกไม่กี่ปีนี้ หลายๆประเทศจึงเตรียมตัวรับมือกับสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้น คาดว่าแต่ละประเทศต่างคงเร่งผลิตอาวุธ ผลิตโดรนที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ผลิตจรวดความเร็วสูง ผลิตรถถัง ผลิตเครื่องบินรบ รวมทั้งเรือรบด้วย ถ้ามองอย่างเป็นกลางในตอนนี้ อาวุธทางฝั่งประเทศยุโรปและอเมริกามีความทันสมัยมากกว่า สงครามใหญ่จะลุกลามไปหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในตะวันออกกลาง จะขยายวงกว้างมากขึ้น มากขึ้น ประเทศอิสราเอลคือสารตั้งต้น ที่ทำให้เกิดสงครามใหญ่ในแถบตะวันออกกลาง อีกไม่นานเกินรอ พี่น้องชาวมุสลิมหลายประเทศจะรวมตัวกันต่อสู้กับอิสราเอล...ผู้นำอิสราเอลโนสน โนแคร์ คำเตือนของผู้นำอเมริกา ที่แนะนำอิสราเอลว่าอย่าโจมตีเมืองราฟาร์ เพราะพลเมืองผู้บริสุทธิ์จะล้มตายจำนวนมาก...อิสราเอลไม่ยินยอมให้ UN ส่งเสบียงอาหาร น้ำดื่มให้ชาวปาเลสไตร์ ทางอเมริกาและชาติอื่นๆต้องส่งเสบียงอาหารทางเครื่องบิน และทางเรือ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรชาวปาเลสไตร์ที่หิวโหยอดอยากอยู่ในขณะนี้...อิสราเอลเหมือนจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตร์...คอยจับตาดูเมื่อไหร่ที่สงครามในประเทศตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น มันจะเป็นสัญญาณว่า...”สงครามศาสนา”...ได้เริ่มขึ้นแล้ว บรรดาชาติอาหรับจะจับมือกันอย่างเหนียวแน่น การสู้รบจะแผ่ขยายไปทั่ว จากสงครามใหญ่ จะพัฒนามาเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศอิสราเอลมีสิทธิที่จะถูกลบออกจากแผนที่โลก หรืออย่างน้อยพื้นที่ประเทศอิสราเอลก็จะเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ................................................ ประเทศรัสเซียถูกก่อวินาศกรรม พลเมืองชาวรัสเซียตายไป 139 คน บาดเจ็บอีกนับร้อยคน งานนี้ปูตินผู้นำประเทศรัสเซียคงไม่ยอมจบง่ายๆ พลเมืองชาวรัสเซียต้องไม่ตายฟรี กลุ่มผู้ก่อการร้ายถูกจับกุม 11 คน คาดว่าคนเหล่านี้คงจะถูกจัดหนักจัดเต็มตามสไตร์ โหด สัส รัสเซีย ถูกทรมานไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ให้ตายง่ายๆ กลุ่มนักรบ ISIS-K (กลุ่มรัฐอิสลามแห่งโคราซาน) ออกมารับผิดชอบ แต่ผู้นำรัสเซียปูติน ไม่ฟังแถมยังพุ่งเป้าไปที่ยูเครนเพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายขับรถมุ่งหน้าจะเข้าประเทศยูเครน...หวยจึงไปออกที่ประเทศยูเครน ถูกรัสเซียถล่มโจมตีอย่างหนักต่อเนื่องติดๆกัน รัสเซียระบายความแค้นกับยูเครนอย่างหูดับตับไหม้ และคาดว่าเบื้องหลังทางรัสเซียคงหาวิธีสางแค้นกลุ่ม ISIS-K ที่เป็นผู้ก่อวินาศกรรม...รัสเซียคงจะรีบเผด็จศึกยูเครนให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้เตรียมตัว ผลิตอาวุธ ธุทโธปกรณ์เพิ่มให้มากที่สุด ทางรัสเซียเองก็คงรู้ว่าอีกไม่นานนี้...”สงครามใหญ่ สงครามโลกครั้งที่ 3 จะต้องเกิดขึ้น”...อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องมีอาวุธสำรองให้มากที่สุด สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ใกล้จะเกิดขึ้น ประเทศแถบยุโรปและประเทศตะวันตก แต่ละประเทศต่างมีอาวุธที่ล้ำสมัย รวมทั้งเรือดำน้ำ เรือรบ และอื่นๆที่ล้ำหน้าและมีอานุภาพรุนแรงมาก ตอนนี้รัสเซียไม่ใช่สู้กับยูเครนเพียงประเทศเดียว แต่กำลังสู้กับบรรดาชาตินาโต้ที่สนับสนุนอาวุธให้กับยูเครน ต้องนับถือรัสเซียที่สามารถทำลายอาวุธของชาติยุโรปและชาติตะวันตกที่ส่งมาให้ยูเครน จนพังเสียหายไปมากมาย .....................................................กองทัพเรือของรัสเซียมีจุดอ่อนอยู่มากมาย ถูกยูเครนใช้โดรนและจรวดผิวน้ำจมเรือรบไปแล้วหลายลำ ทางกองทัพเรือรัสเซียต้องรีบหาวิธีป้องกันให้เร็วที่สุด แม้แต่เครื่องบินรบของรัสเซียที่ว่าเจ๋งๆ ยังถูกยูเครนสอยร่วงไปแล้วหลายลำ...เรือรบของประเทศอังกฤษก็อ่อนแอ สามวันดี สี่วันไข้ ต้องเข็นเข้าอู่ซ่อมหลายลำเช่นกัน คิดว่าทางรัสเซียคงจะมีการปรับปรุงกองทัพเรือให้มีประสิทธิภาพดีมากขึ้น ทางรัสเซียมีโคตรจรวดที่มีอนุภาพการทำลายล้างสูงจำนวนมาก ถ้าเกิดสงครามโลกขึ้น แรกๆจะไม่มีการใช้จรวดนิวเคลียร์ยิงถล่มกัน แต่ใช้น้องๆจรวดนิวเคลียร์เข้าถล่มกัน การยิงนิวเคลียร์จะยิงออกจากเรือดำน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะเริ่มใช้นิวเคลียร์ก่อนเท่านั้น หลังจากยิงนิวเคลียร์จากเรือดำน้ำแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะยิงนิวเคลียร์ออกจากฐานที่ตั้งอยู่นอกประเทศของแต่ละฝ่ายเข้าใส่กัน ถ้ายังย่อยยับกันไม่พอก็จะใช้เครื่องบินบรรทุกจรวดนิวเคลียร์ไปหย่อนใส่ประเทศฝ่ายตรงกันข้าม คิดว่าการยิงจรวดนิวเคลียร์ออกจากฐานที่ตั้งอยู่ในประเทศของตนเอง จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายเหมือนเป็นการทิ้งไพ่ใบสุดท้ายถ้าประเทศตัวเองเริ่มเสียเปรียบในการทำสงคราม...คนหนุ่มคนสาวยุคนี้จะได้ชมและได้ดมพิษสงของนิวเคลียร์ (ยกเว้นประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมทำสงคราม) คนจะตายกันหลายสิบล้านคน อาจจะตายถึงนับร้อยล้านคนก็เป็นไปได้เช่นกัน ..................................................ประเทศจีน คงซุ่มผลิตอาวุธ และพัฒนาอาวุธอยู่ตลอด ประเทศจีนจะมีทหารมากที่สุด คิดว่าจะมีทหารอย่างน้อยก็ 30-50 ล้านนาย...ประเทศจีนทุ่มเงินซื้อตัวนักบินทหารที่เกษียณอายุราชการจากประเทศอังกฤษหลายนายมาเป็นครูสอนเด็กหนุ่มชาวจีนที่มีอายุ 18 ปี ให้เป็นนักบิน ควบคุมเครื่องบินรบ รุ่นหนึ่งรับเด็ก 200-300 คน ต้องเรียนต้องฝึกให้ชำนาญใช้เวลาประมาณ 4 ปี ต่อหนึ่งรุ่น พอฝึกรุ่นนี้เสร็จก็จะรับเด็กหนุ่มรุ่นต่อๆไปให้เข้ามาฝึกบิน เมื่อถึงเวลาเกิดสงครามคาดว่าประเทศจีน จะมีนักบินทหารมากที่สุดในโลก และคิดว่าประเทศจีนจะมีอาวุธบางชนิดที่ล้ำสมัยที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ถ้าเกิดสงครามขึ้น ดาวเทียมของสหรัฐจะถูกรบกวนหรือถูกทำลายไปบางส่วน แต่ไม่รู้ว่าประเทศจีนหรือรัสเซียเป็นผู้ลงมือทำลายหรือรบกวนดาวเทียมของสหรัฐ คาดว่าสหรัฐคงรู้เรื่องนี้และคงหาทางป้องกันดาวเทียมของตนเองอยู่เช่นกัน ดาวเทียมของสหรัฐมีหลายดวง ไม่ใช่แค่ดวงเดียว เพราะฉะนั้นฝ่ายผู้ที่คิดจะทำลายดาวเทียมของสหรัฐต้องหาวิธีปิดตาดาวเทียมของสหรัฐให้มากที่สุด หลายๆประเทศต่างก็มีดาวเทียมของตนเอง ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นอินเตอร์เน็ตคงใช้ไม่ได้ การติดต่อสื่อสารจะเป็นอัมพาต ใช้บัตรถอนเงินจากตู้ ATM ไม่ได้ ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของไม่ได้ และกดถอนเงินสดออกจากตู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนควรสำรองเงินสดเอาไว้ เตรียมซื้อข้าวสาร อาหาร น้ำดื่ม และยา โดยเฉพาะคนที่ต้องกินยารักษาโรคประจำตัวทุกวัน ............................................ประเทศเกาหลีเหนือ ไม่รู้ว่าจะมีอาวุธที่ทันสมัยจริงหรือไม่? เพราะเป็นประเทศที่ถูกปิด ถูกบอยคอตจากชาติตะวันตกและชาติยุโรปมานานแล้ว แต่หลายๆประเทศต่างก็รู้สึกหวั่นเกรงอาวุธของเกาหลีเหนือเหมือนกัน เพราะเห็นเกาหลีเหนือทดลองการยิงจรวดอยู่เสมอ แถมยังขู่ว่ามีอาวุธนิวเคลียร์สามารถยิงได้ไกล จนประเทศเกาหลีใต้และประเทศญี่ปุ่นต่างก็หวั่นเกรงเกาหลีเหนือไม่น้อย ถ้าเกิดสงครามใหญ่ขึ้นเกาหลีเหนือก็มีทหารมากเหมือนกัน แต่จะรบเก่งแค่ไหนไม่รู้ คงต้องฟังแผนการรบจากประเทศจีนเป็นหลัก...ประเทศอิหร่าน ประเทศรัสเซีย ประเทศจีน ประเทศเกาหลีเหนือก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน สี่ประเทศนี้รวมตัวกันจะเป็นพี่ใหญ่ของประเทศตะวันออกกลางทั้งหมด...เพียงแต่ให้ประเทศอิหร่านคุมกำลังนักรบประเทศตะวันออกกลาง...ส่วนประเทศรัสเซีย ประเทศจีน ประเทศเกาหลีเหนือ จะเป็นผู้ปะทะกับกองกำลังของชาตินาโต้เป็นหลัก...สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดแน่นอน อาจจะเกิดเร็วกว่าที่คาดไว้...หลายคนกังวลว่าประเทศไทยจะถูกถล่มจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วย แต่เชื่อว่าประเทศไทยจะไม่เข้าร่วมรบกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าเข้าร่วมรบก็โง่บรรลัย...ประเทศไทยจะเป็น “ครัวโลก” ส่งออกอาหาร ข้าวสาร และแป้งสำหรับทำขนมปัง และพืชผักนานาชนิดจำนวนมาก รวมทั้งอาหารทะเลด้วย ราคาข้าวสารและอาหารอื่นๆจะแพงมาก การขนส่งก็ลำบากเพราะภัยสงครามเกิดขึ้นไปทั่วโลก...ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม ก็พลอยได้อานิสงส์จากราคาข้าวสารและอาหารอื่นๆไปด้วย เกษตรกรจะร่ำรวยก็คราวนี้แหละ...บางคนคิดว่าสถานทูตอเมริกาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการขุดลึกลงไปหลายร้อยเมตร ทำเป็นสถานที่เจาะล้วงความลับความมั่นคงของชาติตรงกันข้าม จะถูกถล่มไปด้วย แต่ผมมั่นใจว่าสถานฑูตแห่งนี้มีสิทธิ์ที่จะถูกปิดตายจากวิธีใดวิธีหนึ่ง และท้ายที่สุดสถานฑูตแห่งนี้จะไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ จ.เชียงใหม่จะไม่ถูกถล่มด้วยระเบิดอานุภาพแรงสูงอย่างแน่นอน แต่สถานฑูตอาจจะถูกก่อวินาศกรรม...หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 3 สงบลง จังหวัดตราด จะมีพื้นที่ใหญ่ขึ้น มากขึ้น หรืออาจจะมีอำเภอ / จังหวัดใหม่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย เพราะประเทศเขมรจะต้องคืนพื้นที่ๆติดกับจังหวัดตราดให้กับประเทศไทย ในขณะนี้ไทยกับเขมรกำลังหาทางลงเรื่องเขตแดนทางทะเลที่ทับซ้อนกันอยู่ ในอดีตมีนักการเมืองบางคนที่ชั่วช้าเลวทราม ไปทำ MOU กับฮุนเซน แต่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย มีสองทางที่ไทยจะได้พื้นที่คืนจากเขมรคือจะได้ด้วยการเจรจา หรือได้มาจากการทำสงครามรบกับเขมร ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย ไทยจะได้พื้นที่คืนมาอย่างแน่นอน / ด้วยความเคารพ หมอนิด กิจจา ทวีกุลกิจ 28 มี.ค. 2567 ...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  8 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    หมอได้ผ่าศพคนอายุ 90-103 ปีที่ตายธรรมชาติ พบว่าแต่ละคนล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่ บางคนมีหลายแห่งด้วย แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่มีอาการ เขาเชื่อว่ามันสงบอยู่ในระยะฟักตัว หรือจำศีล ถ้ามีสิ่งที่มีปลุกหรือกระตุ้นให้ตื่นจึงจะเจริญเติบโต วงการแพทย์ปัจจุบันกำลังพยายามหาวิธีทำให้เซลล์มะเร็งสงบอยู่ได้ตลอดไป เชื่อว่าอาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งสงบได้แก่ 1. ขมิ้น (สารที่เชื่อว่าต้านมะเร็งคือ curcumin) 2. พริก (capsaicin) 3. ขิง (curcumin) 4. ชาเขียว (catechin) 5. ถั่วเหลือง (isoflavones) 6. มะเขือเทศ (lycopene) 7. องุ่น (resveratrol)y 8. กระเทียม (sulfides) 9. อาหารเกาหลี (indole) 10. กะหล่ำปลี (sulfide) 10 อันดับอาหารที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งฟื้นคือ 1. แฮมเบอร์เกอร์ ของทอด, โค้ก (Hamburger Fries + Cola) 2. ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น + ชาไข่มุก (Pork ribs rice + Zhen milk) 3. เกี๊ยวซ่า + นมถั่วเหลือง (Pot Sticker + Soy Milk) 4. สปาร์เก็ตตี้อิตาเลียน + ซุปเมอแรงค์ ((Grilled Italian noodles) + meringue soup) 5. ไก่ทอดเกาหลีกับเบียร์ (Korean fried chicken + beer) 6. ข้าวผัด + ซุปกงเหมา (Fried rice + Gongmao soup) 7. ราเมง + ครีมแข็ง (Ramen + Frost Cream) 8. ข้าวหน้าหมูตุ๋น + ซุปลูกชิ้นปลา (Braised Pork Rice + Fish Ball Soup) 9. ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น + กะหล่ำปลีดอง (Braised beef noodles + sauerkraut) 10. หมูทอด + โอเด้ง (Fried meat round + Oden boiled) ส่วนอาหารที่ต้านพิษ ได้แก่ 1. มันหวาน (Sweet potato) 2. ถั่วเขียว (Mung beans) 3. ข้าวโอ๊ต (Oats) 4. เม็ดบัว (Huanren) 5. เซียวหมี่ (Xiaomi) 6. ข้าวกล้อง (Brown rice) 7. ถั่วแดง (Red Beans) 8. แครอท (Carrots) 9. แยม (Yam) 10. หญ้าเจ้าชู้ (Burdock) 11. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus) 12. หัวหอม (Onions) 13. รากบัว (Lotus root) 14. หัวไชเท้า (White radish) 15. โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia halodendron) 16. ใบของมันหวาน (Sweet potato leaves) 17. ใบหัวไชเท้า (Radish leaves) 18. ชวานชี (Chuanqi) 19. โยเกิร์ต (Yogurt) 20. น้ำส้มสายชู (Vinegart) "You are what You eat" คุณจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณกินเข้าไป Dunno who wrote but I do ไม่รู้ใครเขียนแต่ผมทำตาม...ฮา ด่วน... เส้นเลือด "ตีบ" ในสมองเกิดขึ้นทุก 4 นาที ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ? ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี มันเกิดอะไรขึ้น ความพิการจะหยุดได้หรือไม่ได้... ถ้าสำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า"หยุดได้" เส้นเลือดตีบในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที ปีละเป็นแสนคน ดารานักแสดง.. คนจน.. คนรวย.. ก็ไม่เว้น จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก วันนี้การแพทย์สหรัฐ ยังบอกเลยว่า มันยากมากที่สุด การรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะเลือนลาง เสียงบประมาณมากมาย กับคนป่วยเหล่านี้... อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร ? เส้นเลือดตีบ อาการที่ส่งสัญญาณ คือ.- 1.อาการมึนหัว 2.อาการบ้านหมุน 3.อาจมีอาการอาเจียนร่วม 4.อาการร่วมอ่อนแรงที่แขน 5.อาการร่วมอ่อนแรงที่ขา 6.มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด จากพฤติกรรมที่ทำ คือ.- 1.พักผ่อนน้อย 2.ดื่มน้ำน้อย 3.นอนดึก 4.ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ 5.ชอบทานอาหารมันๆ 6.ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 7.ขาดการออกกำลังกาย 8.ไม่เคยปรับสมดุล ดูแลระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนให้สมดุล 9.นั่งนาน 10.ยืนนาน 11.ทำงานหนัก 12.ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรม ที่สะสมมานาน ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือดถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟู สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลา.. นาน.. ไม่ต่ำกว่า 5 ปี คนที่เป็นมีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลา ไม่เกิด 3-6 เดือน อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค... เอาละครับ คิดว่าข้อมูลเล็กๆน้อยๆ คงช่วยให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงได้ ห่างไกลความพิการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (อนุญาตให้แชร์ข้อมูลได้ครับ) เพื่อเป็นวิทยาทาน...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ช่วยแบ่งปันโพสต์นี้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ " การกินผลไม้ในตอนท้องว่าง " สิ่งนี้จะเปิดดวงตาของคุณ! อ่านให้จบ และส่งมันให้กับรายชื่อ e-list ของคุณทั้งหมด ฉันเพียงทำมัน ! ดร. สตีเฟ่น หมาก ทำการรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายโดยวิธีการ “Un-Orthodox”และผู้ป่วยจำนวนมากฟื้นตัว ก่อนที่เขาได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อกำจัดการเจ็บป่วยของผู้ป่วยของเขา เขาเชื่อในการรักษาโดยทางธรรมชาติในร่างกายต่อความเจ็บป่วย ช่วยดูบทความของเขาด้านล่าง มันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการรักษาโรคมะเร็ง เมื่อเร็วๆนี้ อัตราความสำเร็จของฉันในการรักษาโรคมะเร็งคือประมาณ 80% ผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่ควรตาย การรักษาโรคมะเร็งถูกค้นพบแล้ว – มันอยู่ในวิธีที่เรากินผลไม้ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ฉันขอโทษสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายร้อยคน ที่ตายภายใต้การรักษาธรรมดาทั่วไป " การกินผลไม้ " เราทุกคนคิดว่าการกินผลไม้ หมายถึงเพียงแค่ การซื้อผลไม้ ตัดมัน และก็ใส่มันเข้าไปในปากของเรา มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด มันสำคัญที่จะทราบวิธีการและ * เมื่อไหร่ * ที่จะกินผลไม้ วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้อย่างไร? มันหมายถึง " ไม่กินผลไม้ " หลังมื้ออาหารของคุณ ! ผลไม้ควรกินในตอนท้องว่าง ถ้าคุณกินผลไม้ในตอนท้องว่าง มันจะมีบทบาทสำคัญ ในการล้างพิษในระบบของคุณ, ให้การจัดการที่ดีของพลังงาน เพื่อลดน้ำหนัก และกิจกรรมในชีวิตอื่น ๆ แก่คุณ " ผลไม้เป็นอาหารที่สำคัญที่สุด " สมมติว่า .. คุณกินสองชิ้นของขนมปัง แล้วชิ้นหนึ่งของผลไม้ ชิ้นของผลไม้ > พร้อมที่จะผ่านตรงไปสู่กระเพาะลงไปในลำไส้ > แต่มันถูกขัดขวางจากการทำเช่นนั้น เนื่องจากขนมปังถูกกินก่อนผลไม้ ในระหว่างนั้น อาหารทั้งมื้อของขนมปังและผลไม้นั้น จะเน่าเปื่อย และบูด และเปลี่ยนเป็นกรด ในนาทีที่ผลไม้เข้ามาสัมผัสกับอาหาร ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อย, มวลอาหารทั้งหมดเริ่มที่จะเปื่อยเน่า ดังนั้นโปรดกินผลไม้ของคุณในตอน * ท้องว่าง * หรือก่อนมื้ออาหารของคุณ! คุณเคยได้ยินคนบ่น : ทุกครั้งที่ ฉันกินแตงโม-ฉันเรอ เมื่อฉันกินทุเรียน-ท้องของฉันพองขึ้น เมื่อฉันกินกล้วย-ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งเข้าห้องน้ำ ฯลฯ .. ฯลฯ .. จริง .. ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง ผลไม้ผสมกับการเน่าเปื่อยของอาหารอื่น ๆ และผลิตก๊าซ และด้วยเหตุนี้ ตัวคุณจะขยาย! ผมสีเทา, หัวล้าน, การระเบิดทางประสาท และรอยคล้ำใต้ดวงตา ทั้งหมดเหล่านี้จะ * ไม่เกิดขึ้น * ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง ไม่มีสิ่งเช่นนั้นหรอก ที่ผลไม้บางอย่าง เช่นส้มและมะนาวเป็นกรด เพราะผลไม้ทั้งหมด > กลายเป็นด่างในร่างกายของเรา ตามที่ ดร.เฮอร์เบิร์ด เชลตัน ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าคุณได้เข้าใจถ่องแท้ วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้ คุณมี * ความลับ * ของความงาม อายุยืน สุขภาพ พลังงาน ความสุข และน้ำหนักที่ปกติ เมื่อคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้ - ดื่มเพียงแค่ * น้ำผลไม้สดเท่านั้น * ไม่ใช่จากกระป๋อง แพ็ค หรือฃวด อย่าแม้แต่ .. จะดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการทำให้ร้อนขึ้น อย่ากินผลไม้ปรุงสุก เพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารทั้งหมด คุณจะได้รับรสชาติของมัน การปรุงสุก ทำลายวิตามินทั้งหมด แต่กินผลไม้ทั้งผล จะดีกว่า การดื่มน้ำผลไม้ หากคุณควรดื่มน้ำผลไม้สด ดื่มมันคำหนึ่ง โดยคำหนึ่งช้าๆ เพราะคุณต้องปล่อยให้มัน > ผสมกับน้ำลายของคุณ ก่อนที่จะกลืนกินมันลงไป คุณสามารถดำเนินต่อไป ในการกินมังสวิรัติผลไม้ 3 วัน เพื่อทำความสะอาด หรือล้างพิษในร่างกายของคุณ เพียงแต่ กินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้สด ตลอดทั้ง 3 วัน แล้วคุณจะต้องแปลกใจ เมื่อเพื่อนของคุณ บอกคุณว่า คุณดูเปล่งประกายอย่างไร! กีวี : เล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ นี้เป็นแหล่งที่ดีของ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, วิตามินอี และไฟเบอร์ ปริมาณวิตามินซีของมันคือ สองเท่าของส้ม แอปเปิ้ล : แอปเปิ้ล 1 ผล ต่อวัน ช่วยให้ห่างไกลจากแพทย์? แม้ว่าแอปเปิ้ลมีปริมาณวิตามินซีต่ำ แต่ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ flavonoids ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของวิตามินซี จึงช่วยในการลดความเสี่ยงของ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง สตรอเบอร์รี่ : ผลไม้ป้องกัน สตรอเบอร์รี่มีความสามารถ ในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในบรรดาผลไม้ที่สำคัญ และป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็ง หลอดเลือดอุดตัน และอนุมูลอิสระ ส้ม : ยาที่หวานที่สุด กินส้ม 2-4 ผลต่อวัน อาจช่วยขจัดโรคหวัดออกไป, ลดคอเลสเตอรอล, ป้องกันและละลายนิ่วในไต, และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แตงโม : ดับกระหายที่ยอดที่สุด ประกอบด้วยน้ำ 92% มันถูกบรรจุด้วยปริมาณ " กลูตาไธออน " จำนวนมากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา พวกเขายังเป็นแหล่งสำคัญของ " ไลโคปีน " อนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับโรคมะเร็ง สารอาหารอื่นๆ ที่พบในแตงโม คือ วิตามินซี และโพแทสเซียม ฝรั่ง และมะละกอ : รางวัลสูงสุดสำหรับวิตามินซี พวกเขาเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน สำหรับปริมาณวิตามินซีสูงของพวกเขา ฝรั่ง-ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก มะละกอ-อุดมไปด้วยแคโรทีนๆนี้ เป็นสิ่งที่ดี สำหรับดวงตาของคุณ ################## การดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็นหลังอาหาร = มะเร็ง คุณสามารถเชื่อสิ่งนี้หรือไม่? สำหรับผู้ที่ชอบดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น, บทความนี้เหมาะสมกับคุณ อย่างไรก็ตาม น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น จะทำให้ของมันๆที่คุณเพิ่งจะได้กินเข้าไป-แข็งตัว จะทำให้การย่อยอาหารช้าลง ครั้งหนึ่ง “ ตะกอนนี้ ” จะทำปฏิกิริยากับกรด จะแยกตัว และถูกดูดซึมโดยลำไส้ เร็วกว่าอาหารที่เป็นของแข็งจะเรียงตัวที่ลำไส้ ในไม่ช้า จะกลายเป็นไขมัน และนำไปสู่โรค​​มะเร็ง! มันดีที่สุด ที่จะดื่ม น้ำซุปร้อนหรือน้ำอุ่น หลังอาหาร หมายเหตุที่สำคัญ เกี่ยวกับหัวใจวาย กระบวนการหัวใจวาย : ( สิ่งนี้ไม่ตลก! ) ผู้หญิงควรจะทราบว่า > ไม่ใช่ทุกอาการหัวใจวาย จะเป็นการเจ็บปวดที่แขนซ้าย โปรดระวังความเจ็บปวดที่รุนแรง ในแนวกราม ขากรรไกร คุณอาจจะไม่เคยเจ็บหน้าอก เป็นอันดับแรก ระหว่างในช่วงของหัวใจวาย อาการคลื่นไส้ และเหงื่อออกมาก คือ อาการทั่วไปด้วย หกสิบเปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีอาการ " หัวใจวายขณะที่พวกเขานอนหลับ " จะไม่ตื่นขึ้นมา อาการปวดกราม สามารถให้คุณตื่นขึ้นมา จากการหลับสนิท โปรดระมัดระวังและเฝ้าระวัง ยิ่งเรารู้ เรายิ่งมีโอกาสที่ดีกว่า ที่เราสามารถอยู่รอดได้ แพทย์โรคหัวใจพูดว่า : ถ้าทุกคนที่ได้รับอีเมล์นี้ โปรดส่งมันให้กับ 10 คน คุณสามารถแน่ใจได้ว่า เราจะรักษาอย่างน้อยที่สุด หนึ่งชีวิตไว้ ดังนั้นช่วยทำ อย่างน้อยที่สุด 1 งานที่ดี ในวันนี้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false