ข่าวจริงหรือข่าวลวง

แม้ว่ากระเทียมจะมีกลิ่นฉุนจากสารอัลลิซินและสารประกอบซัลเฟอร์อื่น ๆ แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการลดหรือดับกลิ่นซากศพที่เกิดจากสารเคมีหลายชนิด เช่น พิวเทรสซีน คาดาเวอรีน และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งมีกลิ่นซับซ้อนและรุนแรง การกำจัดกลิ่นซากศพต้องใช้วิธีเฉพาะทาง เช่น การเคลื่อนย้ายซากออกจากพื้นที่และทำความสะอาดด้วยสารเคมีกำจัดกลิ่นเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม อดีตเคยมีการใช้สมุนไพรกลิ่นหอมเพื่อบรรเทากลิ่นศพ เช่น ใบพลู ดอกพิกุล ดอกซ่อนกลิ่น ใบฝรั่ง รวมถึงน้ำมันหอมระเหยอย่างเปปเปอร์มินต์หรือเมนทอล และการใช้หน้ากาก N95 ที่มีคาร์บอน จึงสรุปได้ว่ากระเทียม ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการดับกลิ่นซากศพตามหลักวิชาการ

แนวคิดนี้มาจาก Dr. Peter D’Adamo ที่อ้างเรื่องโปรตีนเล็คตินกับหมู่เลือด แต่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ งานวิจัยด้านโภชนาการและชีววิทยาไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างหมู่เลือดกับโรค หรือข้อดีของการกินอาหารตามหมู่เลือด เล็คตินที่จำเพาะต่อหมู่เลือดแทบไม่มีในอาหารทั่วไป และหลายชนิดจับกับเม็ดเลือดแดงทุกหมู่ ไม่ได้จำเพาะต่อบางหมู่ การอ้างว่าหมู่เลือด O เกิดก่อนและเหมาะกับอาหารโปรตีนสูง ส่วนหมู่ A เหมาะกับมังสวิรัติ เป็นข้อมูลผิด หลักฐานทางวิวัฒนาการพบว่าหมู่เลือด A เกิดก่อน และหมู่ O เกิดภายหลังจากการกลายพันธุ์ แนวคิดนี้จึงไม่สอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกกินอาหารให้หลากหลายและสมดุลตามหลักโภชนาการ ไม่ยึดตามหมู่เลือด

การละลายโฟมเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างสารกลุ่มเอสเตอร์ในหัวเชื้อแมงดากับโพลีสไตรีน ไม่ใช่เพราะมีสารพิษ เอสเตอร์ (เช่น hexyl acetate) สามารถละลายไขมัน เรซิ่น และโพลิเมอร์อย่างโฟมได้ จึงทำให้โฟมละลายเมื่อหยดลงไป ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับการใช้น้ำมันปลา หรือน้ำมันผิวเลมอน ซึ่งก็ละลายโฟมได้เช่นกัน สารแต่งกลิ่นแมงดาที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ผ่านการควบคุมตามกฎหมายไทยและมาตรฐานสากล ปลอดภัยเมื่อใช้ตามฉลาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันว่าไม่ก่ออันตรายต่อสุขภาพ หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ร่างกายสามารถย่อยไขมันและสารเอสเตอร์เหล่านี้ได้ตามปกติ ไม่ทำให้ “ละลายอวัยวะ” อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกลืนกินหัวเชื้อแมงดาแบบเข้มข้นโดยตรง หรือสูดดมต่อเนื่องในปริมาณมาก

ข่าวที่ว่า “กันยายน 2568 จะไฟดับทั่วโลก 10 วัน เพราะโลกเข้าสู่มิติที่ 5” เป็น เท็จ ไม่เคยมีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับพร้อมกันทั่วโลกมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไฟดับขนาดใหญ่เคยเกิดแค่ระดับประเทศหรือภูมิภาค เช่น อินเดีย 2555 ปากีสถาน 2566 สเปน–โปรตุเกส 2566 สาเหตุไฟดับมาจากปัญหาเทคนิค อุบัติเหตุ หรือสภาพอากาศ ไม่เกี่ยวกับ “รีเซตโลก” หรือ “มิติที่ 5” การทำนายลักษณะนี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เป็นเพียงการสร้างความตื่นตระหนก ประเทศไทยเองเคยไฟดับทั่วประเทศในปี 2521 และ 2556 แต่แก้ไขได้ภายในเวลาไม่นาน คำกล่าวอ้างในคลิปเป็นข้อมูลเท็จ อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) ผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จที่สร้างความตื่นตระหนก อาจถูกจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท

ข่าวที่ว่า “ถูเปลือกกล้วยบนใบหน้าให้ผลเท่าโบท็อกซ์” เป็น เท็จ กระแสนี้มาจากคลิป TikTok ของอินฟลูเอนเซอร์ ที่อ้างว่าเป็น “โบท็อกซ์ธรรมชาติ” เปลือกกล้วยมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน อาจช่วยให้ผิวชุ่มชื้นหรือบรรเทาระคายเคืองได้เล็กน้อย แต่ไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าช่วยลดริ้วรอยได้ใกล้เคียงโบท็อกซ์ สารอาหารในเปลือกกล้วยซึมเข้าสู่ผิวได้จำกัด ไม่เหมือนสกินแคร์ที่ผ่านการพัฒนาสูตร ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผิวแพ้ง่ายอาจระคายเคือง หรือติดเชื้อหากผิวมีแผล หากจะลองควรใช้เปลือกกล้วยสดและสะอาด พร้อมสังเกตอาการแพ้ทันที การอ้างว่า “ธรรมชาติ” ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยหรือได้ผลเสมอไป

ข่าวที่อ้างว่า “วัตถุระหว่างดวงดาว 3I/ATLAS” เป็นยานต่างดาวที่มีเจตนาร้ายและจะถึงโลกภายในปีนี้ เป็น เท็จ 3I/ATLAS ถูกค้นพบเมื่อ 1 ก.ค. 2568 และ NASA กับองค์การอวกาศยุโรปยืนยันว่าเป็น ดาวหางระหว่างดวงดาว ศ. Abraham “Avi” Loeb ผู้เขียนบทความวิจัยก็สรุปเองว่า มีแนวโน้มสูงที่สุดว่าเป็นวัตถุตามธรรมชาติ ไม่ใช่ยานต่างดาว ข่าวลือเริ่มจากการตีความผิดและบิดเบือนเนื้อหางานวิจัย รวมถึงการขยายความจากสื่อบางสำนัก เช่น New York Post บทความวิจัยตั้งสมมติฐานเรื่องยานต่างดาวเพื่อการวิเคราะห์เชิงความคิด ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ NASA ยืนยันว่า วัตถุนี้จะอยู่ห่างไกลและ ไม่เป็นภัยต่อโลก ส่วนการอ้างว่ามาถึงโลกในเดือนพฤศจิกายน มาจากการคำนวณสมมติของ “ยานต่างดาว” ไม่ใช่วงโคจรจริงของ 3I/ATLAS จึงไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาถึงหรือโจมตีโลกในปีนี้

เป็นมิจฉาชีพจริงครับ ถ้าเราแอดเข้าไปจะมีให้สมัครเปิดบิล แล้วจะให้เราค่อยๆโอน ซึ่งถ้าขายของทำไมเราต้องเสียเงิน

-

❓เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปวิดีโอชาวกัมพูชาก่อเหตุเผาตึกคอลเซ็นเตอร์ ❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุไฟไหม้กาสิโนที่ปอยเปตเมื่อเดือน ธ.ค. 2565 ** 📍 เนื้อหาโดยสรุป: ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กในไทยจำนวนมากแชร์คลิปภาพเหตุการณ์ไฟไหม้โดยฝังข้อความในวิดีโอและเขียนคำบรรยายว่า "ชาวกัมพูชาก่อเหตุวางเพลิงตึกคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีคนไทยจำนวนมากอยู่ภายในตึก เตือนคนไทยให้รีบอพยพกลับบ้านด่วน…" คลิปนี้ถูกแชร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชามีผลบังคับใช้เมื่อ 29 ก.ค. 68 เป็นต้นมา 🔎 โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากคลิปดังกล่าวไปสืบค้นในกูเกิล พบวิดีโอที่ตรงกันทุกประการทั้งภาพและเสียงซึ่งเผยแพร่โดยผู้ใช้ติ๊กตอกเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 โดยผู้โพสต์ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ไฟไหม้กาสิโนที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายหลังเหตุไฟไหม้กาสิโนปอยเปตที่เผยแพร่ใน Google Maps พบว่าเป็นสถานที่เดียวกัน จึงสรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพเหตุไฟไหม้กาสิโนที่ปอยเปตเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่กาสิโนในปอยเปตเกิดขึ้นในช่วงกลางดึกของวันที่ 28 ธ.ค. 65 เจ้าหน้าที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงได้ในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค. 65 เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย ในจำนวนนี้มีคนไทยรวมอยู่ด้วย #โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

จากกรณีข่าวลงว่า มีการจับกุมสายลับชาวกัมพูชา ลอบเข้ามาในไทย ด้านชายทะเล อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พร้อมโดรนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชี้ เป้าให้โดรนโจมตี กองบิน 5 จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยข้อมูลดังกล่าว ได้มีการจับกุมชาวเขมรในพื้นที่กองบิน 5 จริง แต่เรื่องบินโดรนไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จากสอบสวน รายละเอียดการปฏิบัติ ดังนี้ เมื่อ 2 ส.ค.68 เวลา เวลา 05:29น. พบเห็นผู้ต้องสงสัย นั่งสูบยาเส้นอยู่ที่ บริเวณลานปูน หัวทางวิ่ง 18 จึงได้ทำการเข้าควบคุมตัว มาสอบสวนที่ ร้อย.ทสห.บน.5 ข้อมูลในระบบขาเข้า ล่าสุด เดินทางผ่าน จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ตำบลเทพนิมิต อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 07 มิถุนายน 2568 แล้วตรวจลงตรา วีซ่าแรงงาน ที่ระยอง 24 มิถุนายน 2568 โดยได้รับการตรวจลงตราเข้าเมือง ที่ จ.ระยอง ในบ้านเลขที่ 93 ถ.บางจาก ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ได้รับอนุญาติให้ทำงานในกิจการประมงทะเล ทำงานกับเรือประมงชื่อ อ.ศรีสุภาวดี 9 โดยมี ไต๋ช้าง เป็นเจ้าของเรือ จนท.ร้อย.ทสห.บน.5 ได้ดำเนิการตรวจสอบสารเสพติดในร่างกาย ของผู้ต้องสงสัย ไม่พบสารเสพติดในร่างกาย จากนั้น ตม.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการ พาผู้ต้องสงสัยไปตรวจใบหน้า และลายนิ้วมือ ไม่ปรากฏข้อมูลแต่อย่างใด

ไมเกรนจัดเป็นโรคทางระบบประสาทชนิดหนึ่ง ที่มีสาเหตุทางด้านระบบประสาทและสารสื่อประสาทที่มีความผิดปกติทำให้มีอาการปวดศีรษะในลักษณะอาการปวดตุบ ๆ เป็นระยะ ตั้งแต่ปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ก่อนจะค่อย ๆ ปวดมากขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่ และอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย สำหรับระยะเวลาปวดอาจนานหลายชั่วโมง ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน บางรายอาจมีอาการเตือนนำมาก่อน เช่น สายตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงกะพริบ ๆ โดยอาการปวดนั้นสามารถเป็นได้ทุกเวลา หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรนคือ ปัจจัยด้านอาหาร ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงอาหารตามในบทความ เช่น น้ำตาลและแป้งขัดขาว น้ำมันพืชแปรรูปและเนยเทียม ผงชูรส (MSG) สารกันบูดน้ำตาลเทียม คาเฟอีน ไทรามีน (Tyramine) กลูเตน (Gluten) ผงโปรตีน เดกซ์ทริน ก็สามารถลดปัจจัยการถูกกระตุ้นจากอาหารได้ ส่งผลให้โรคไมเกรนสงบลง ไม่ปวดไมเกรนบ่อย และมีผลให้รักษาไมเกรนได้ง่ายขึ้น

กองทัพอากาศ ขอความร่วมมือประชาชน ให้ความร่วมมือและเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ในการปฏิบัติภารกิจสอดส่องออกลาดตระเวนในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังการใช้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน) และทำการสำรวจ (X-Ray) ผู้ทำการบังคับอากาศยานไร้นักบิน “โดรน” เชิงรุก สืบหาความเคลื่อนไหวการนำเข้าพื้นที่ จำนวนการครอบครอง วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ และอุปกรณ์ควบคุมที่ผิดสังเกตทุกกรณี เพื่อความมั่นคงของชาติ

จากกรณีสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น หากผู้เสียชีวิตเป็นผู้กู้ยืมเงินจาก กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนจะดำเนินการ ระงับหนี้ทั้งหมด ให้แก่ผู้กู้ยืมที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยขอให้ญาติของผู้กู้ยืมจัดส่งเอกสารหลักฐานแจ้งการถึงแก่กรรมมายังสำนักงาน กยศ. ได้แก่ -สำเนาใบมรณบัตรของผู้กู้ยืม -สำเนาทะเบียนบ้านของผู้กู้ยืม (ถ้ามี) -สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืม (ถ้ามี) -สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้ง

คแฟคตรวจสอบ: เมื่อใช้ Google Lens ตรวจสอบภาพพบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกชื่อ "makeupthupn" เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 พร้อมคำบรรยายภาษาเวียดนาม แปลความได้ว่า "เบื้องหลังการถ่ายทำ ผลงานของฉัน" และเมื่อนำคำที่สกรีนบนเสื้อชายในคลิปไปสืบค้นพบว่าเป็นชื่อภาพยนตร์เวียดนาม โคแฟคติดต่อไปยังเจ้าของบัญชีติ๊กตอกรายนี้ได้รับคำยืนยันว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เวียดนามเรื่อง Kien Detective ซึ่งเธอรับหน้าที่เป็นช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์พิเศษ

สมาคมอนุรักษ์นกแห่งประเทศไทย ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า ไม่ใช่แร้ง และ ไม่ใช่ภาพจากชายแดนไทย–กัมพูชา ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าจำนวนแร้งในพื้นที่กัมพูชานั้นน้อยมากจนไม่มีทางจะเป็นภาพนี้ได้

“เครื่องหมายแดงขาวนี้ ไม่ได้ไว้โจมตีทางอากาศ แต่เอาไว้สำหรับถ่ายแผนที่อากาศ” เป็น เรื่องจริง เครื่องหมายที่เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาว-แดงนั้น เป็น จุดอ้างอิงค่าพิกัด สำหรับการถ่ายภาพทางอากาศ เพื่อนำไปใช้จัดทำแผนที่โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับการระบุตำแหน่งโจมตีทางทหารหรือโดรนแต่อย่างใด มีการจ้างงานโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) อย่างเป็นทางการ และดำเนินการก่อนจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลที่มีการแชร์ว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการโจมตีทางอากาศเป็นการคาดเดาผิดและทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นตระหนกหรือแชร์ต่อโดยไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง.

รณีที่มีการอ้างว่าหัวหน้าพรรคประชาชน “ประณามโรงพยาบาลด้วยถ้อยคำรุนแรง” จากกรณียุติการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา เป็น ข่าวเท็จ โดยพรรคประชาชนชี้แจงว่าไม่เคยใช้ถ้อยคำเช่นนั้น และไม่ได้แสดงความเห็นในลักษณะรุนแรงตามที่ถูกกล่าวหา การตรวจสอบโดยโคแฟคไม่พบทั้งข้อความและคลิปที่กล่าวอ้างตามช่องทางทางการของพรรค ข้อเท็จจริงคือ พรรคโพสต์เพียงความกังวลว่าการเลือกปฏิบัติทางการแพทย์อาจขัดต่อหลักมนุษยธรรมและกระทบภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ขณะที่โรงพยาบาลชี้แจงว่าการงดบริการบางส่วนเป็นเพียงการปรับระบบชั่วคราวเพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินจากชายแดน และยังคงให้บริการกรณีจำเป็น รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชา.

อย. แจงสารตกค้าง “องุ่นไชน์มัสแคท” มีเพียง 1 ตัวอย่างพบคลอร์ไพริฟอส สารในกลุ่มวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 กฎหมายห้ามใช้ ส่วนอีก 23 ตัวอย่างมีสารปนเปื้อนจริง แต่ไม่เกินเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนด หากล้างถูกวิธีสามารถรับประทานได้

วันที่ 5 ส.ค. 68 เพจเฟซบุ๊กชื่อ Army Media ของกัมพูชาซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 1 แสนบัญชี โพสต์คลิปวิดีโอฝูงนกในป่าแห่งหนึ่ง คำบรรยายอ้างว่าเป็นภาพฝูงแร้งและอีกากำลังรุมทึ้งร่างทหารไทย ขอให้ทางการไทยมานำร่างทหารกลับไปเสีย (แปลโดยเครื่องมือแปลภาษาของเฟซบุ๊กและ Google Translate) โพสต์นี้ถูกแชร์ไปเกือบ 3,000 ครั้ง 🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ในโพสต์ดังกล่าวมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียไทยจำนวนมากให้ข้อมูลว่าเป็นนกเงือกกรามช้างปากเรียบใน จ.พัทลุง โคแฟคจึงได้ติดต่อไปที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า จ.พัทลุง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคลิปดังกล่าวแล้ว ยืนยันว่าเป็นนกเงือกกรามช้างปากเรียบในพื้นที่พัทลุง และให้ข้อมูลว่าผู้ถ่ายคลิปนี้คือนายสมชาย ชูศิริ ช่างภาพอิสระใน จ.พัทลุง วันที่ 6 ส.ค. 68 นายสมชายให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์โดยยืนยันว่าเขาเป็นผู้ถ่ายคลิปนกเงือกกรามช้างปากเรียบที่เพจเฟซบุ๊ก Army Media ของกัมพูชานำไปอ้างเท็จ จุดที่ถ่ายคลิปคือบ้านตะแพน อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง ช่วงพลบค่ำวันที่ 21 ก.ค. 68 และได้เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กในวันเดียวกัน ขณะนี้คลิปที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊กของนายสมชายมียอดชมกว่า 3.5 ล้านครั้ง จากการเปรียบเทียบภาพในคลิปที่ถ่ายโดยนายสมชายและคลิปที่เพจ Army Media นำไปอ้างเท็จ พบว่ามีความตรงกันหลายจุด รวมทั้งลายน้ำที่เป็นชื่อของเจ้าของคลิปด้วย

โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคตรวจสอบโดยใช้ Google Reverse Image Search พบว่าผู้ใช้ติ๊กตอกชาวกัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า "Nun No Heart" โพสต์คลิปนี้ในช่วงเที่ยงของวันที่ 4 ส.ค. 68 โดยไม่ได้มีคำบรรยายใด ๆ ที่ระบุว่าชายชราคนนี้มาร่ำลาลูกสาวเพื่อเตรียมตัวออกไปสู้รบ แต่ผู้โพสต์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคอมเมนต์ว่าคุณตาไม่สบายและมาซื้อยาในจังหวัดมณฑลคีรี เธอพบเห็นโดยบังเอิญและรู้สึกสงสารจึงถ่ายคลิปไว้ โพสต์นี้มีคนไทยจำนวนมากเข้าไปแสดงความสงสารและเห็นใจ วันที่ 6 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าของบัญชีติ๊กตอกได้โพสต์คลิปเป็นภาษาเขมรและภาษาไทยชี้แจงว่า ชายชราในคลิปที่เธอถ่ายและโพสต์ไม่ได้ถูกสั่งให้ออกไปสู้รบ "สวัสดีพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ขอบคุณมาก ๆ ที่เป็นห่วงคุณตา จริง ๆ คุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ เขาไม่สบาย แล้ววันนั้นมาหาหมอ บังเอิญเจอแกก็เลยถ่ายคลิปไว้…อยากบอกให้ทุกคนเข้าใจ และขอขอบคุณที่เป็นห่วง เชื่อว่าคนไทยใจดี แล้วก็เชื่อว่าทุกคนไม่อยากให้มีสงคราม แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ขอให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายปลอดภัย" โคแฟคติดต่อสอบถามเจ้าของบัญชีติ๊กตอก "Nun No Heart" โดยตรง เธอให้ข้อมูลโดยส่งเป็นคลิปเสียงภาษาไทยตอบกลับมาว่า "จริง ๆ แล้วคุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ แกเป็นทหารเก่าก็เลยใส่ชุดทหารออกมาแค่นั้น คุณตาอายุเยอะแล้ว ข่าวลือที่บอกว่าแกถูกส่งออกไปสู้รบไม่ใช่เรื่องจริง ทุกวันนี้แกก็อยู่บ้านกับลูกกับเมีย"

“เครื่องหมายแดงขาวนี้ ไม่ได้ไว้โจมตีทางอากาศ แต่เอาไว้สำหรับถ่ายแผนที่อากาศ” เป็น เรื่องจริง เครื่องหมายที่เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาว-แดงนั้น เป็น จุดอ้างอิงค่าพิกัด สำหรับการถ่ายภาพทางอากาศ เพื่อนำไปใช้จัดทำแผนที่โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับการระบุตำแหน่งโจมตีทางทหารหรือโดรนแต่อย่างใด มีการจ้างงานโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) อย่างเป็นทางการ และดำเนินการก่อนจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลที่มีการแชร์ว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการโจมตีทางอากาศเป็นการคาดเดาผิดและทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นตระหนกหรือแชร์ต่อโดยไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง.

นี่คือข้อความทดสอบ

โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคส่งคลิปที่อ้างว่าเป็นภาพฝูงแร้งและอีกาจำนวน 3 คลิป ให้ ดร.เพชร มโนปวิตร นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ช่วยตรวจสอบ ดร.เพชรสรุปว่าทั้ง 3 คลิปไม่ใช่ภาพแร้งและอีกาบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ด้วยเหตุผลทางวิชาการต่อไปนี้ 1) แม้ในกัมพูชายังคงมีประชากรแร้งในธรรมชาติอยู่ก็จริง แต่ทั้ง 3 ชนิดคือ พญาแร้ง (Red-headed Vulture) แร้งเทาหลังขาว (White-rumors Vulture) และแร้งสีน้ำตาล (Slender-billed Vulture) ต่างมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically-endangered) โอกาสที่จะเห็นแร้งรวมฝูงอย่างในภาพแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในปี 2567 ข้อมูลจากการสำรวจทั่วประเทศนับจำนวนแร้งเทาหลังขาวได้ 78 ตัว และแร้งสีน้ำตาล 48 ตัว ส่วนพญาแร้ง (Sarcogyps calvus) ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ โดยมีการบันทึกพบเพียง 14 ตัวในปีที่ผ่านมา 2) ลักษณะของแร้งในภาพไม่เหมือนแร้งทั้งสามชนิดที่พบได้ในกัมพูชา 3) แร้งและอีกามีพฤติกรรมการกินซาก (Scavenging Behavior) แร้งเป็นสัตว์ที่พึ่งพิงซากสัตว์เป็นอาหารหลักเกือบทั้งหมด ไม่ล่าสัตว์มีชีวิตเป็นอาหาร ส่วนอีกาเป็นสัตว์ที่ปรับตัวเก่ง กินได้ทั้งซากสัตว์และอาหารหลากหลายชนิด แต่จำนวนแร้งที่ลงกินซากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะประชากรมีค่อนข้างน้อย แต่เนื่องจากคุณภาพของภาพในคลิปไม่ชัด จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นนกอะไร ถ่ายในพื้นที่ไหน

บีบีซีไทยตรวจสอบพบว่า ภาพที่ถูกแชร์อย่างแพร่หลายเป็นภาพตัดต่อ และบางส่วนเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดยเอไอ นี่คือหนึ่งในภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดยเอไอจากสมาชิกในกลุ่มเฟซบุ๊ก "AI CREATIVES THAILAND" ซึ่งแสดงภาพสมเด็จฮุน เซน และโฆษกกลาโหมกัมพูชา ในเชิงชู้สาวโดยไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ สมาชิกในกลุ่มเฟซบุ๊กดังกล่าวยังได้โพสต์ขอให้สมาชิกกลุ่มผลิตภาพผู้นำฝั่งไทยและกัมพูชาในลักษณะสนิทสนมกันโดยใช้เอไอ พร้อมระบุด้วยว่าหากได้ภาพมาแล้ว "จะไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ" นอกจากนี้ ยังมีภาพนางบุน รานี ภริยาของสมเด็จฮุน เซน และพลโทหญิงมาลี ในรายการโหนกระแส พร้อมข้อความว่า "บุน รานี เปิดใจกลางรายการว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเค้าไม่คิดว่าฮุน เซนจะหักหลังไปคบหากับมาลี หลังจากนี้จะดำเนินการฟ้องหย่าตามกฎหมาย" ซึ่งบีบีซีไทย ตรวจสอบพบว่าเทปรายการดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น และภาพดังกล่าวเป็นภาพตัดต่อ

ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ยืนยันว่า แสงสีเขียวที่เห็นบนท้องฟ้าเมื่อคืนวันที่ 3 ส.ค. 2568 ไม่ใช่โดรน แต่คือ “ดาวตกชนิดระเบิด” (Bolide) ซึ่งมีความสว่างมากกว่าดวงจันทร์เต็มดวง ปรากฏการณ์นี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ หรือที่เรียกกันว่า “ฝนดาวตกวันแม่” ซึ่งเกิดขึ้นทุกปีช่วงเดือน ก.ค.–ส.ค. เกิดจากเศษฝุ่นของดาวหาง 109P/Swift-Tuttle เมื่อเข้าสู่บรรยากาศโลกแล้วลุกไหม้ แสงสีเขียวสดใสของดาวตก เกิดจากธาตุแมกนีเซียมในองค์ประกอบของมัน และแม้จะเห็นเป็นแสงสว่างจ้า หรือได้ยินเสียงคล้ายระเบิด ก็ไม่มีอันตรายต่อโลกแต่อย่างใด