ข่าวจริงหรือข่าวลวง

คลิปนี้ถูกเผยแพร่สองวันหลังจากทางการไทยนำคณะทูตจากประเทศอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 68 เพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชาในดินแดนไทย โคแฟคตรวจสอบจากรายงานข่าวของสื่อมวลชนพบว่าระหว่างลงพื้นที่ นายแร็มโก ฟัน ไวร์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์เป็นภาษาอังกฤษ โดยผู้สื่อข่าวถามเอกอัครราชทูตถึงผลการสังเกตการณ์ที่ภูมะเขือ เขาตอบว่าได้เห็นปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก และนี่เป็นเหตุผลที่เนเธอร์แลนด์และอีกหลายประเทศเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาออตตาวาและต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดในทุกกรณีและทุกพื้นที่รวมถึงที่นี่ด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่าทุ่นระเบิดที่เห็นเป็นของใหม่ตามที่ทางการไทยให้ข้อมูลหรือไม่ ท่านทูตตอบว่า "ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิด จึงไม่สามารถบอกได้" ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า "(ทุ่นระเบิด) ดูใหม่หรือไม่" ท่านทูตตอบว่า "...ผมบอกไม่ได้ว่ามันเก่าหรือใหม่แค่ไหน แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นทุ่นระเบิดเก่า แต่ผมไม่สามารถตัดสินได้ว่าทุ่นใหม่นั้นใหม่แค่ไหน หรือเก่าแค่ไหน มันดูใหม่สำหรับผม แต่ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิด" จากคำให้สัมภาษณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า คลิปที่เพจเฟซบุ๊กนำมาเผยแพร่โดยอ้างว่าทูตเนเธอร์แลนด์ "พูดชัด ๆ ว่าทุ่นระเบิดเป็นของใหม่" เป็นการบิดเบือนคำพูดที่ท่านทูตตอบคำถามผู้สื่อข่าว โคแฟคสอบถามนายสุผจญ กลิ่นสุวรรณ ผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์นายแร็มโก ฟัน ไวร์คาร์เดิน ได้รับคำยืนยันว่าท่านทูตระบุเพียงว่าทุ่นระเบิดที่ได้เห็น "ดูใหม่สำหรับผม" (They look new to me) และย้ำถึงสองครั้งว่าท่านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิด

เมื่อค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เผยแพร่มานานก่อนเกิดเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา เช่น The Sun สื่อของอังกฤษเผยแพร่คลิปนี้ในช่องยูทูบเมื่อ 6 ก.ย. 2567 โดยบรรยายว่าเป็นภาพรถหุ้มเกราะของรัสเซียถูกทหารยูเครนโจมตีจนเกิดไฟไหม้และระเบิด สำนักข่าวออนไลน์ Kanal13 ของอาเซอร์ไบจาน เผยแพร่คลิปนี้ในวันเดียวกัน โดยระบุว่าทหารยูเครนโจมตีรถหุ้มเกราะของรัสเซียที่บรรทุกกระสุนมาเต็มคันจนส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสำนักข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่เท่าไหร่และเกิดขึ้นในพื้นที่ใดของการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน

เมื่อค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เผยแพร่มานานก่อนเกิดเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา เช่น The Sun สื่อของอังกฤษเผยแพร่คลิปนี้ในช่องยูทูบเมื่อ 6 ก.ย. 2567 โดยบรรยายว่าเป็นภาพรถหุ้มเกราะของรัสเซียถูกทหารยูเครนโจมตีจนเกิดไฟไหม้และระเบิด สำนักข่าวออนไลน์ Kanal13 ของอาเซอร์ไบจาน เผยแพร่คลิปนี้ในวันเดียวกัน โดยระบุว่าทหารยูเครนโจมตีรถหุ้มเกราะของรัสเซียที่บรรทุกกระสุนมาเต็มคันจนส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสำนักข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่เท่าไหร่และเกิดขึ้นในพื้นที่ใดของการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน

โคแฟคตรวจสอบ: วันนี้ (22 ส.ค. 68) ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายแรง พร้อมกับยืนยันว่าทางการไทย "ไม่มีการประกาศสงครามกับกัมพูชา" ศบ.ทก. ระบุว่าประเทศไทย "ไม่มีการประชุมรัฐสภาเพื่อประกาศสงคราม กับประเทศใด ๆ รวมถึงประเทศกัมพูชา และไม่มีการดำเนินการใด ๆ ที่จะนำไปสู่ภาวะสงคราม" และยึดมั่นในหลักการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ตามกลไกทวิภาคี

ทาง Cofact Thailand ได้สอบถามไปยัง เพจ สวนผักโอ้กะจู๋ OHKAJHU.Official เกี่ยวกับเมนูอาหาร Chicken caesar with egg wrap ที่เสิร์ฟบนเครื่องบินการบินไทย ทาง Cofact ได้รับข้อมูลมาจากแอดมินเพจ ว่า "รายการอาหารของเราขณะนี้ยังไม่ได้รับรองฮาลาล แต่ทางเราตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่ทานฮาลาลได้ในอนาคต ครับ ขอฝากให้ติดตามข่าวสารจากทางร้านอีกครั้ง หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องหมายการรับรองฮาลาล เราจะแจ้งให้ทราบทันที ครับ"

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายจากการถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า โดยจะขอให้แต่ละธนาคารพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของลูกค้า ซึ่งวงเงินเริ่มต้นจะอยู่ที่ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน โดยมาตรการนี้จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่เหยื่อจะรู้ตัว

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณ 700 ล้านบาท สำหรับโครงการ “Buy International, Free Thailand Domestic Flights” มอบตั๋วเครื่องบินภายในประเทศฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 200,000 คน เป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเดินทางสู่เมืองรองและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ โครงการนี้มีต้นแบบจากญี่ปุ่น และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ประกาศให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย นอกจากนี้ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ว่าขณะนี้สิทธิ์ในเมืองหลักถูกจองเต็มแล้ว เหลือสิทธิ์ในเมืองรองราว 54,075 สิทธิ์ ซึ่งคาดว่าจะหมดภายในเดือนกันยายนนี้ กระทรวงฯ มีแผนหารือเพื่อประเมินผลและพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง เฟส 2” โดยใช้งบที่เหลือและผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเป็นเกณฑ์ สำหรับรายละเอียดโครงการ Buy International, Free Thailand Domestic Flights นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางเข้าประเทศไทย จะได้รับบัตรโดยสารภายในประเทศแบบไป-กลับฟรี 1 ใบ พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม เมื่อจองผ่านสายการบินที่เข้าร่วม 6 สาย ได้แก่ ไทยแอร์เอเชีย, บางกอกแอร์เวย์ส, นกแอร์, การบินไทย, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท สามารถใช้สิทธิ์เดินทางได้ในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2568

ด่วน! หลักฐานเด็ด ‘ทหารเรือ’ เก็บกู้ทุ่นระเบิด เจอ ‘มือถือปริศนา’ แถวภูมะเขือ พบหลักฐานเพียบ ทหารเขมรลักลอบใช้-วางทุ่นระเบิด PMN-2 วันที่ 19 ส.ค. 68 ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ (นปท.ทร.) ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานการเก็บกู้ และกวาดล้างฯ ได้ตรวจพบโทรศัพท์ของทหารกัมพูชา ที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ร้อย ร.132 พัน.13 (ฐานเหนือเมฆ) นปท.ทร. จึงได้นำมาใส่แบตเตอรี่ และตรวจสอบภาพที่อยู่ในโทรศัพท์ พบคลิปวีดีโอ และภาพถ่าย ทหารกัมพูชาถือทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งในคลิปพูดภาษาเขมร คาดว่าเป็นการแนะนำการใช้งาน ก่อนลักลอบนำไปฝังดิน เจ้าหน้าที่ ทร.จึงได้นำโทรศัพท์ ส่งให้ทางหน่วยกองทัพบกในพื้นที่ เพื่อดำเนินการต่อไปทั้งนี้ ถือว่าเจ้าหน้าที่ นปท. ทร. มีไหวพริบที่ดีมาก เมื่อพบหลักฐานแล้วรีบตรวจสอบ ที่สำคัญภาพในโทรศัพท์ ระบุไว้ด้วยว่า ถ่ายวันไหน จึงถือเป็นหลักฐานชั้นดีทีเดียว

แม้ “ฟอสฟอรัสขาว” ไม่ถูกจัดเป็น อาวุธเคมี ตามอนุสัญญา CWC และไม่ถือว่าเป็น อาวุธเพลิงโดยตรง ตามพิธีสารที่ 3 ของอนุสัญญา CCW แต่ความจริงคือสารชนิดนี้มีอันตรายสูงมาก หากสัมผัสผิวหนังจะไหม้ลึกถึงกระดูก และสามารถทำลายอวัยวะภายในได้ อีกทั้งยังปล่อยควันพิษที่เป็นอันตรายต่อการหายใจ ฟอสฟอรัสขาวถูกใช้โดยกองทัพหลายประเทศเพื่อสร้างม่านควันหรือเพลิง แต่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกำหนดห้ามใช้กับพลเรือนหรือพื้นที่ที่มีชุมชนอยู่ เนื่องจากผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น ข่าวที่ว่า “ฟอสฟอรัสขาวไม่ใช่อาวุธเคมีแต่ก็ห้ามใช้กับพลเรือน” จึงเป็น จริงบางส่วน เพราะถูกต้องที่ไม่ใช่อาวุธเคมี แต่ก็จริงเช่นกันว่ามีข้อห้ามใช้ต่อพลเรือนภายใต้กฎหมายสงครามสากล

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ยืนยันว่ามาม่าทุกรุ่นผลิตตามมาตรฐานเดียวกันทั้งที่ขายในไทยและต่างประเทศ คำว่า “For Export Only” เป็นเพียงเรื่องบรรจุภัณฑ์และภาษี ไม่เกี่ยวกับคุณภาพ ความแตกต่างที่พบมักเป็นเรื่องรสชาติซึ่งปรับให้เข้ากับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ สินค้าส่งออกทุกล็อตยังต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานไทยและประเทศปลายทางก่อนวางขาย มาม่าใช้วัตถุดิบการเกษตรในประเทศเป็นหลัก กระบวนการผลิตได้มาตรฐานเหมือนกันทั้งหมด สิ่งที่ผู้บริโภคควรระวังคือปริมาณโซเดียมที่สูง ไม่ว่าจะเป็นมาม่าในไทยหรือที่ส่งออก สรุปคือ มาม่าที่ขายในประเทศและส่งออก ปลอดภัยเท่ากัน

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ทางกรมสรรพากร ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ www.rd.go.th ตามที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) เพื่อยกระดับบริการภาครัฐให้ประชาชนได้รับความสะดวกและรวดเร็วเพิ่มขึ้น กรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้บริจาคให้แก่วัดวาอาราม

จึงจะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริจาคแก่ วัดวาอาราม, มูลนิธิ, สมาคม, กองทุน และองค์กรที่ได้รับการประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เป็นองค์กรหรือสถานสาธารณกุศล สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคที่เป็นกระดาษ และได้รับเงินคืนภาษีเร็วขึ้น เพื่อลดภาระการจัดทำและเก็บหลักฐานการรับบริจาคสำหรับหน่วยรับบริจาค และส่งเสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของหน่วยรับบริจาค การปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดให้การบริจาคให้แก่ วัดวาอาราม, มูลนิธิ, สมาคม, กองทุน และองค์กรต่าง ๆ ที่ผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรเท่านั้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป

เรื่องนี้สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ 100% 1. ตรวจบันทึกการประชุม 29 ก.ค. 2568 2. อีเมลล์ถามนักข่าว Cambodianess ที่ใช้ประโยคกำกวม แต่ถึงแม้ไม่มีข้อมูลชี้ชัด 100% ก็ต้องมีคนกล้าฟันธงว่า: จากข้อมูลที่ปรากฏ ข่าวของ TOP NEWS เป็นข่าวที่บิดเบือน (misleading) ไม่มีมูล ทำให้คนไทยเข้าใจผิด-เกลียดชังโดยไม่จำเป็น

29 ก.ค. 2568 เวลา 12:49 กองทัพบกรายงานว่า: "ประเด็นในการหารือ ได้แก่ การยุติการยิงโดยทันที การห้ามใช้กำลังหรืออาวุธต่อประชาชน การงดเสริมกำลังและห้ามเคลื่อนย้ายกำลังในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจผิด ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ" ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1BNt3S9dJa เวลา 17:09 สื่อเขมร Thmey Thmey Media รายงานว่า: (แปล) "ประเด็นที่ 1 การหยุดยิง... ประเด็นที่ 2 การห้ามเคลื่อนย้ายกำลังพลและอาวุธ และประเด็นที่ 3 ในส่วนของกำลังพลที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บที่ต้องเคลื่อนย้ายไปรักษา ฝ่ายไทยต้องไม่สับสนและห้ามยิงใส่กัมพูชา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องสอบถามซึ่งกันและกันเพื่อขอความชัดเจนและแจ้งให้กันและกันทราบก่อน" ที่มา: https://thmeythmey.com/detail/149890 เวลา 18:41 สื่อเขมร Cambodianess รายงานว่า: (แปล) "กัมพูชาเรียกร้องให้กองทัพไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มที่ โดยการระงับการเคลื่อนกำลังทหารและงดเว้นการส่งกำลังพลเพิ่มเติม ผู้บัญชาการทหารกัมพูชายังขอให้ทางการไทยอนุญาตให้ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บข้ามพรมแดนเพื่อรับการรักษาพยาบาล" ที่มา: https://cambodianess.com/article/thai-command-says-it-lacks-power-as-cambodia-opposes-land-entry ในวันเดียวกัน Reuters รายงานว่า: "... maintain the ceasefire, stop any troop movement, and facilitate the return of the wounded and dead" ที่มา: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/guns-fall-silent-thai-cambodia-border-commanders-seek-uphold-truce-2025-07-29 ในวันเดียวกัน The Guardian รายงานว่า: "... facilitate the repatriation of injured and deceased from the clashes." ที่มา: https://www.theguardian.com/world/2025/jul/29/thailand-cambodia-ceasefire 30 ก.ค. 2568 TOP NEWS รายงานว่า: "เขมรขอส่งทหาร-พลเรือน เข้ามารักษาในไทย" (อ้างสื่อเขมร Cambodianess) ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=Q8F3l9OYrzU อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Cambodianess ที่ TOP NEWS อ้างอิง มันคือสื่อภาคภาษาอังกฤษของสำนัก Thmey Thmey Media ที่มา: https://cambodianess.com/contact-us • เรามักจะพูดว่า ฝั่งเขมรชอบปล่อยเฟคนิวส์ เชื่อถือไม่ได้ แล้วเหตุใด TOP NEWS จึงไปเอาข่าวเขมรมาแปลให้คนไทยเชื่อ? • แม้แต่สื่อต้นฉบับฝั่งเขมร ก็รายงานตรงกับกองทัพไทย หารือสามประเด็น: หยุดยิง ห้ามย้าย อำนวยส่งกลับ • การระบุถึงกำลังพลที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บ ตรงกับกรณีที่ฝั่งไทยจับเขมรได้ 18 คน มี 2 คนที่ป่วยจิตเวชและกระดูกหัก ฝั่งไทยได้ให้การรักษาเบื้องต้นก่อนส่งกลับไปรักษาต่อที่เขมร • ไม่มีการระบุ ขอส่งทหารและคนเขมรมารักษาในไทย แบบที่คนไทยเข้าใจ !!!

29 ก.ค. 2568 เวลา 12:49 กองทัพบกรายงานว่า: "ประเด็นในการหารือ ได้แก่ การยุติการยิงโดยทันที การห้ามใช้กำลังหรืออาวุธต่อประชาชน การงดเสริมกำลังและห้ามเคลื่อนย้ายกำลังในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจผิด ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ" ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1BNt3S9dJa เวลา 17:09 สื่อเขมร Thmey Thmey Media รายงานว่า: (แปล) "ประเด็นที่ 1 การหยุดยิง... ประเด็นที่ 2 การห้ามเคลื่อนย้ายกำลังพลและอาวุธ และประเด็นที่ 3 ในส่วนของกำลังพลที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บที่ต้องเคลื่อนย้ายไปรักษา ฝ่ายไทยต้องไม่สับสนและห้ามยิงใส่กัมพูชา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องสอบถามซึ่งกันและกันเพื่อขอความชัดเจนและแจ้งให้กันและกันทราบก่อน" ที่มา: https://thmeythmey.com/detail/149890 เวลา 18:41 สื่อเขมร Cambodianess รายงานว่า: (แปล) "กัมพูชาเรียกร้องให้กองทัพไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มที่ โดยการระงับการเคลื่อนกำลังทหารและงดเว้นการส่งกำลังพลเพิ่มเติม ผู้บัญชาการทหารกัมพูชายังขอให้ทางการไทยอนุญาตให้ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บข้ามพรมแดนเพื่อรับการรักษาพยาบาล" ที่มา: https://cambodianess.com/article/thai-command-says-it-lacks-power-as-cambodia-opposes-land-entry ในวันเดียวกัน Reuters รายงานว่า: "... maintain the ceasefire, stop any troop movement, and facilitate the return of the wounded and dead" ที่มา: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/guns-fall-silent-thai-cambodia-border-commanders-seek-uphold-truce-2025-07-29 ในวันเดียวกัน The Guardian รายงานว่า: "... facilitate the repatriation of injured and deceased from the clashes." ที่มา: https://www.theguardian.com/world/2025/jul/29/thailand-cambodia-ceasefire 30 ก.ค. 2568 TOP NEWS รายงานว่า: "เขมรขอส่งทหาร-พลเรือน เข้ามารักษาในไทย" (อ้างสื่อเขมร Cambodianess) ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=Q8F3l9OYrzU อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Cambodianess ที่ TOP NEWS อ้างอิง มันคือสื่อภาคภาษาอังกฤษของสำนัก Thmey Thmey Media ที่มา: https://cambodianess.com/contact-us • เรามักจะพูดว่า ฝั่งเขมรชอบปล่อยเฟคนิวส์ เชื่อถือไม่ได้ แล้วเหตุใด TOP NEWS จึงไปเอาข่าวเขมรมาแปลให้คนไทยเชื่อ? • แม้แต่สื่อต้นฉบับฝั่งเขมร ก็รายงานตรงกับกองทัพไทย หารือสามประเด็น: หยุดยิง ห้ามย้าย อำนวยส่งกลับ • การระบุถึงกำลังพลที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บ ตรงกับกรณีที่ฝั่งไทยจับเขมรได้ 18 คน มี 2 คนที่ป่วยจิตเวชและกระดูกหัก ฝั่งไทยได้ให้การรักษาเบื้องต้นก่อนส่งกลับไปรักษาต่อที่เขมร • ไม่มีการระบุ ขอส่งทหารและคนเขมรมารักษาในไทย แบบที่คนไทยเข้าใจ !!!

ข่าวที่แชร์กันว่าห้ามใช้ไฟฉายจากมือถือส่องตู้ไฟหรือเบรกเกอร์ เพราะจะทำให้ไฟแรงสูงพุ่งใส่จนเกิดระเบิด เป็นข้อมูลไม่จริง ต้นเรื่องมาจากอุบัติเหตุปี 2559 ที่สนามบินแม่ฮ่องสอน ซึ่งเจ้าหน้าที่ 2 คนถูกไฟลัดวงจรจากเครื่องมือวัดกระแสไฟ (แคลมป์มิเตอร์) ที่เสื่อมสภาพ ไม่ใช่จากมือถือที่ใช้ส่องไฟ ทั้งยังไม่ได้สวมถุงมือฉนวน ทำให้บาดเจ็บจากไฟฟ้าแรงดัน 380 โวลต์ ไม่ใช่ไฟแรงสูงตามที่ถูกลือ แสงไฟจากมือถือไม่สามารถเหนี่ยวนำไฟฟ้าหรือทำให้ไฟฟ้าวิ่งเข้าหาได้ และสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการระเบิดในตู้ไฟหรือถังแก๊ส ดังนั้นเรื่องนี้เป็นข่าวปลอมที่ถูกแชร์ซ้ำมานานแล้ว ควรหยุดเผยแพร่ต่อครับ

ไม่มีนโยบายรื้อรั้วลวดหนามตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ข่าวที่เผยแพร่ว่าจะรื้อเป็น “ข่าวปลอม” ที่ถูกบิดเบือนเพื่อปั่นกระแสสร้างความแตกแยก โดยแท้จริงแล้วรัฐบาลมีแต่แผนเพิ่มรั้วลวดหนามในเขตอธิปไตยของไทย เพื่อยืนยันสิทธิ์และรักษาความมั่นคงชายแดน ขณะเดียวกันยังยึดข้อตกลงหยุดยิงวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ระบุให้แต่ละฝ่ายคงสภาพพื้นที่ไว้ตามเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลย้ำจะไม่หวั่นไหวต่อการปลุกปั่นใด ๆ และจะไม่มีการรื้อลวดหนามในทุกจังหวัดที่ติดชายแดน ส่วนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ได้รับแจ้งจากกัมพูชาขอเลื่อนจาก 21 สิงหาคม ไปเป็น 27 สิงหาคม 2568 โดยจะจัดที่จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ

กรณีที่มีคลิปวิดีโอปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ในลักษณะการใช้รถตักดินทำการรื้อถอนหลักคอนกรีตที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นหลักเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยทหารในพื้นที่แล้ว พบว่า ภาพหลักคอนกรีตที่ปรากฏในคลิปวีดีโอนั้นไม่ใช่หลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่สร้างโดยคณะกรรมการปักปัน เขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1919-1920 (พ.ศ. 2462-2463) อย่างไรก็ตาม จากขนาดและรูปร่างของหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีความกว้าง 40 ซม. ยาว 40 ซม. สูงเหนือพื้นดิน 1 เมตร และส่วนที่ฝังลงไปในดิน มีฐานรากอีกประมาณ 80 ซม. มีการสลักข้อความ 3 ภาษา คือ ด้านที่หันเข้าหาฝั่งไทย จะเขียนว่า กรุงสยามอยู่บรรทัดบน ภาษาฝรั่งเศสอยู่ตรงกลาง และภาษาเขมรอยู่บรรทัดล่าง ด้านที่หันเข้าหาประเทศกัมพูชา จะเขียนบรรทัดบนเป็นภาษาเขมร บรรทัดกลางเป็นภาษาฝรั่งเศส และบรรทัดล่างเป็น ภาษาไทย เขียนว่า กรุงกัมพูชา ส่วนด้านข้างของตัวหลักทั้ง 2 ข้าง ก็เขียนไว้ 3 ภาษา เช่นเดียวกัน โดย ภาษาไทยเขียนไว้ว่า แดนต่อแดน และด้านบนหลักเขตจะมีหมายเลขหลักเขตกำกับไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากข้อมูลในช่องทางอย่างเป็นทางการเท่านั้น เช่น เพจ “ทีมโฆษกกองทัพบก”, เพจ“กองทัพบก” และเพจ “กองทัพภาคที่ 2” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงต่อสถานการณ์ในพื้นที่ ซึ่งสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง และทันเวลา

ดื่มน้ำอัดลมวันละ 3 ขวด จะทำให้ฟันผุ ฟันหักทั้งปาก ‘เป็นข่าวจริง’ เนื่องจากน้ำอัดลมมีส่วนประกอบของกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก และมักจะมีส่วนประกอบของน้ำตาล ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นส่วนประกอบที่ทำให้มีความเสี่ยงอย่างมากในการเกิดฟันผุ โดยจะก่อให้เกิดการจับตัวเป็นคราบจุลินทรีย์ (Plaque) ลักษณะเหนียว เกาะติดฟัน ยากแก่การละลาย โดยบริเวณชั้นในสุดของแผ่นคราบจุลินทรีย์มีความเป็นกรดสูง สารละลายและน้ำลายไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปเจือจางได้ ผิวเคลือบฟันจึงมักถูกทำลายค่อนข้างเร็ว เสี่ยงทำให้เกิดฟันผุหรือฟันหักได้

อาร์ติโชค เป็นสมุนไพรดั้งเดิมของประเทศแถบยุโรป ใช้ส่วนใบบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและบำรุงตับ ช่อดอกอ่อนที่ยังมีกลีบเลี้ยงสีเขียวห่อหุ้มอยู่สามารถนำไปประกอบอาหารทั้งอบ ต้ม นึ่ง ทอด หรือรับประทานเป็นผักสด จัดเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ส่วนของใบยังนำมาตากแห้งทำเป็นชาชงดื่ม โดยมีรายงานการศึกษาทางคลินิกในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การกระตุ้นการหลั่งน้ำดี บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ลดไขมันในเลือด ลดไขมันในตับ ลดน้ำตาล ต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้อาร์ติโชคได้รับความสนใจนำไปใช้เป็นทางเลือกในการรักษาสุขภาพ แต่แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกเสริมเพิ่มเติมในการรับประทานมากกว่าการกินเป็นอาหารหลัก และผลข้างเคียงของอาร์ติโชคถือว่าปลอดภัยเมื่อบริโภคในปริมาณที่ใช้ในอาหาร แต่ในบางคน อาร์ติโชกอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น ท้องอืดและอาการแพ้ หากมีอาการแพ้ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน

อาร์ติโชค เป็นสมุนไพรดั้งเดิมของประเทศแถบยุโรป ใช้ส่วนใบบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและบำรุงตับ ช่อดอกอ่อนที่ยังมีกลีบเลี้ยงสีเขียวห่อหุ้มอยู่สามารถนำไปประกอบอาหารทั้งอบ ต้ม นึ่ง ทอด หรือรับประทานเป็นผักสด จัดเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ส่วนของใบยังนำมาตากแห้งทำเป็นชาชงดื่ม โดยมีรายงานการศึกษาทางคลินิกในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การกระตุ้นการหลั่งน้ำดี บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ลดไขมันในเลือด ลดไขมันในตับ ลดน้ำตาล ต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้อาร์ติโชคได้รับความสนใจนำไปใช้เป็นทางเลือกในการรักษาสุขภาพ แต่แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกเสริมเพิ่มเติมในการรับประทานมากกว่าการกินเป็นอาหารหลัก และผลข้างเคียงของอาร์ติโชคถือว่าปลอดภัยเมื่อบริโภคในปริมาณที่ใช้ในอาหาร แต่ในบางคน อาร์ติโชกอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น ท้องอืดและอาการแพ้ หากมีอาการแพ้ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน

เป็นภาพที่ถูกตัดต่อผลการแข่งขัน โดยเมื่อ วันที่ 9 ส.ค. 68 ศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์อาเซียน (ASEAN Women's MSIG Serenity Cup 2025) รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ นัดที่ 2 ทีมชาติไทย ลงสนาม พบกับ กัมพูชา เกมนี้เล่นที่สนาม ลัช ไช สเตเดียม เมืองไฮฟอง ประเทศเวียดนาม จบเกม ทีมชาติไทย เอาชนะ กัมพูชา ไป 7-0 ประตู

คลิปที่แชร์กันอย่างกว้างขวางนั้น ไม่ใช่ภาพการก่อสร้างถนนบริเวณช่องอานม้า แต่เป็นคลิปเก่าเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนในจังหวัดอื่น ได้แก่ คลิปหนึ่งจาก จ.กระบี่ ในเดือน พ.ค. 2568 และอีกคลิปจาก อ.รัตนะบุรี จ.สุรินทร์ ในเดือน มิ.ย. 2568 ทั้งสองคลิปถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการสร้างถนนหลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีการสร้างถนนยุทธวิธีบริเวณช่องอาน้าจริงหรือไม่ เนื่องจากเป็นข้อมูลทางการทหาร อย่างไรก็ตาม เส้นทางปัจจุบันไปช่องอาน้าสามารถใช้ถนนลาดยางจากอำเภอนาจะหลวยไปอำเภอน้ำยืน และต่อไปยังเขาพระวิหารได้ตามปกติ

คลิปดังกล่าวเป็นภาพพระสงฆ์กว่า 2,500 รูป เดินขบวนเพื่อสันติภาพในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ ได้แก่ ขอให้มีการหยุดยิงถาวร, ขอให้ฝ่ายไทยปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย และขอให้รัฐบาลไทยและกัมพูชารักษาสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพของประชาชน ไม่เกี่ยวข้องกับการประท้วงสมเด็จฮุน เซน การระบุว่าเป็นการประท้วงนั้นเป็นการบิดเบือนข้อมูล ทั้งคลิป เส้นทางเดิน และรายงานสื่อยืนยันตรงกันว่าเป็นกิจกรรมเรียกร้องสันติภาพ มิใช่การประท้วงทางการเมืองต่อผู้นำกัมพูชา

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ (พ.ร.บ. ชาติพันธุ์) เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์" ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 2.4 แสนบัญชี โพสต์ข้อความว่ากฎหมายฉบับนี้ "อาจมีแอบแฝงแจกที่ทำกินให้ครอบครัวละ 20 ไร่ สุดท้ายแล้วคนไทยแท้ไม่มีที่ทำกิน แต่กลุ่มต่างด้าวที่แฝงเป็นชาติติพันธุ์อาจได้ที่ทำกิน" โพสต์นี้ถูกแชร์ไปเกือบ 500 ครั้ง 🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ ไม่พบข้อความใดที่ระบุถึงการแจกที่ดินทำกิน 20 ไร่ให้กลุ่มคนต่างด้าวตามที่กล่าวอ้าง ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ซึ่งอยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้กำหนดหลักการโดยกว้างเพื่อคุ้มครองสิทธิพลเมืองพื้นฐานและการเข้าถึงที่ดินให้ชาวไทยชาติพันธุ์ โดยระบุถึงสิทธิที่ดินทำกินในมาตรา 9 ว่า "กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน" มาตรา 9 (4) กำหนดให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองจากการถูกพรากจากที่ดินและที่อยู่อาศัยของตนโดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้า และมีสิทธิโต้แย้งทางกฎหมาย สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม

ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กในไทยจำนวนมากแชร์คลิปภาพเหตุการณ์ไฟไหม้โดยฝังข้อความในวิดีโอและเขียนคำบรรยายว่า "ชาวกัมพูชาก่อเหตุวางเพลิงตึกคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีคนไทยจำนวนมากอยู่ภายในตึก เตือนคนไทยให้รีบอพยพกลับบ้านด่วน…" คลิปนี้ถูกแชร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชามีผลบังคับใช้เมื่อ 29 ก.ค. 68 เป็นต้นมา 🔎 โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากคลิปดังกล่าวไปสืบค้นในกูเกิล พบวิดีโอที่ตรงกันทุกประการทั้งภาพและเสียงซึ่งเผยแพร่โดยผู้ใช้ติ๊กตอกเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 65 โดยผู้โพสต์ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ไฟไหม้กาสิโนที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายหลังเหตุไฟไหม้กาสิโนปอยเปตที่เผยแพร่ใน Google Maps พบว่าเป็นสถานที่เดียวกัน จึงสรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพเหตุไฟไหม้กาสิโนที่ปอยเปตเมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่กาสิโนในปอยเปตเกิดขึ้นในช่วงกลางดึกของวันที่ 28 ธ.ค. 65 เจ้าหน้าที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงได้ในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค. 65 เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย ในจำนวนนี้มีคนไทยรวมอยู่ด้วย