ข่าวจริงหรือข่าวลวง

"อันตรายจากสารเบนซีน ห้ามเปิดแอร์ทันทีหลังสตาร์ตรถยนต์ " เป็นเรื่องไม่จริงนะครับ !! ฟอร์เวิร์คเมล์ลวงโลกเก่าแก่อันนี้ กลับมาวนแชร์กันอีกแล้ว จริงๆ เคยเขียนอธิบายไว้แล้วตั้งแต่ 3-4 ปีก่อน (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=591445640986074&set=a.348119915318649&type=1&theater) วันนี้เอามาเขียนอธิบายใหม่กันอีกที ให้ละเอียดขึ้นนะครับ เนื้อหาที่แชร์กัน บอกทำนองว่า "เวลาขึ้นรถ อย่าเพิ่งรีบเปิดแอร์ทันที ให้ลดกระจกลงเพื่อให้ความร้อนระบายออกไปอย่างน้อยสัก 2-3 นาทีถึงค่อยเปิดแอร์ เพราะอุปกรณ์พลาสติกในรถ เมื่อโดนความร้อนสะสมในรถจะมีการปล่อยสาร "เบนซีน" ที่เป็นสารก่อมะเร็งออกมา มีผลต่อสุขภาพ กระดูก และลดปริมาณเม็ดเลือดขาว ในระยะยาวจะทำให้เป็นลิวคีเมีย และเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตรได้ ฯลฯ หากจอดรถกลางแจ้ง ระดับสารเบนซีนจะสูงถึง 2000-4000 ม.ก. หรือ 40 เท่าของระดับที่ร่างกายรับได้ " แม้ว่าจะมีหลักฐานที่บ่งบอกว่า การได้รับสารเบนซีน (benzene) จะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคลิวคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ตาม แต่รถยนต์ของเราปลดปล่อยสารเบนซีน (ชื่อคล้ายกันกับน้ำมันเบนซิน แต่เป็นสารคนละตัวกันเลยนะ) ในปริมาณที่จะทำให้เป็นอันตรายได้จริงหรือ .. คำตอบคือ ไม่จริง การศึกษาในปี ค.ศ. 2001 ในประเทศเกาหลี พบว่าการเดินทางด้วยรถยนต์และรถบัสในเขตเมืองนั้น ทำให้ผู้ใช้ถนนได้รับสารเคมีอันตรายหลายอย่างมากขึ้น รวมทั้งสารเบนซีนด้วย แต่มาจากเชื้อเพลิงที่ใช้กับรถ ไม่ใช่จากส่วนประกอบภายในรถ เช่น คอนโซลรถ แบบที่ฟอร์เวิร์ดเมล์นั้นว่าไว้ ผลการศึกษายังบอกด้วยว่า ระดับของเบนซีนนั้นพบว่าในรถเก่าจะมีปริมาณมากกว่าในรถใหม่ และพบในหน้าหนาวมากกว่าในหน้าร้อน ... แสดงว่า เบนซีนไม่ได้มาจากเรื่องของความร้อนในรถยนต์หรือการใช้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ อีกงานการศึกษาหนึ่งของประเทศเยอรมันในปี 2007 ที่ทดสอบผลกระทบต่อสุขภาพของสารที่ปลดปล่อยออกมาระหว่างรถใหม่และรถเก่า (อายุ 3 ปี) ที่จอดตากแดดจัดเอาไว้ โดยเอาอากาศที่อยู่ในรถทั้งสองคันนี้ ไปทดสอบหาความเป็นพิษที่มีต่อเซลล์ของคน หนู และแฮมสเตอร์ ... ผลที่ได้คือ ไม่พบว่าจะเกิดผลร้ายต่อสุขภาพแต่อย่างไร แถมปริมาณของสารระเหยอินทรีย์ที่พบในรถตากแดดนั้น มีน้อยที่ฟอรเ์วิร์ดเมล์นั้นอ้างไว้ถึง 10 เท่า สำหรับสมาคมมะเร็งอเมริกา (American Cancer Society) ก็ได้ระบุเช่นกันว่า ไม่มีงานวิจัยตีพิมพ์แต่อย่างไรที่ยืนยันว่าฟอร์เวิร์ดเมล์นั้นเป็นเรื่องจริง ... ถึงจะพบระดับของสารเบนซีนเยอะบ้างในรถบางคัน ก็เป็นเพราะรถพวกนั้นไม่ได้รับการบำรุงรักษาเครื่องยนต์อย่างถูกต้องเหมาะสม เรื่องเดียวที่เมล์นี้พอจะเชื่อได้ ก็คือเรื่องที่ควรจะเปิดหน้าต่างออกซักนาที หลังจากจอดรถตากแดดไว้แล้วจะสตาร์ตรถเปิดแอร์ เพื่อช่วยระบายลมร้อนออกไป ให้อากาศเย็นเข้ามา แอร์รถจะได้ทำงานได้ดีขึ้น เย็นเร็วขึ้น

ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด แจ้งอำเภอ และอปท. ติดตามและเฝ้าระวังผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศภายหลังจากการกักตัวแล้ว และกลับไปยังหมู่บ้าน/ชุมชน หากมีอาการน่าสงสัยให้ดำเนินตามมาตรการป้องกันโรคที่จังหวัดกำหนด

"วางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอน ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งสมอง" เป็นหนึ่งในความเชื่อ (myth) ที่ยังคงหลงเหลือ และสืบทอดกันมานาน เกี่ยวกับเรื่องที่กลัวกันว่า "สัญญาณโทรศัพท์จะทำให้เป็นมะเร็งสมอง" ถึงขนาดเตือนกันให้ "ห้ามวางไว้ใกล้หัวนอน" เลยทีเดียว ... นอกจากจะไม่จริงแล้ว ผลการศึกษาในปัจจุบัน ยังบอกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือตามปรกตินั้น ไม่ได้จะทำให้เกิดมะเร็งสมอง !! จากเพจขององค์กรวิจัยด้านมะเร็ง ของประเทศสหราชอาณาจักร อย่าง Cancer Research UK ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่มีอยู่ แสดงให้เห้นว่า การใช้โทรศัพท์มือถือนั้นไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง" Cancer Research UK ยังระบุด้วยว่า มันไม่มีคำอธิบายที่ดีแต่อย่างไร ว่าโทรศัพท์มือถือจะสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของสัญญาณวิทยุ ที่ส่งและรับจากโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นการแผ่รังสีแบบไม่มีประจุ (non-ionising radiation) แถมยังมีกำลังต่ำมากด้วย การแผ่รังสีแบบไม่มีประจุนี้ไม่ได้มีพลังงานมากเพียงพอที่จะทำลายดีเอ็นเอได้ จึงไม่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยตรง (ดู https://www.cancerresearchuk.org/about-cancer/causes-of-cancer/cancer-myths/do-mobile-phones-cause-cancer) สอดคล้องกับที่องค์กร Cancer.org ของ American Cancer Society ได้พิจารณางานวิจัยต่างๆ ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้โทรศัพท์มือถือและมะเร็งสมอง (ดูรายละเอียดใน https://www.cancer.org/cancer/cancer-causes/radiation-exposure/cellular-phones.html) และสรุปไว้ว่า จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีงานวิจัยไหนในมนุษย์ที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างการใช้โทรศัพท์มือถือกับการเกิดโรคมะเร็ง (แต่ได้ให้ข้อสังเกตไว้เช่นกันว่า ยังไม่อาจฟันธงถึงผลระยะยาวเป็นสิบๆ ปี หรือผลกระทบกับเด็กๆ ที่ใช้มือถือ) ทาง Cancer.org ยังพูดถึงระบบเครือข่ายสมัยใหม่อย่าง 5G ด้วยว่า ถึงแม้เครือข่าย 5G ที่กำลังจะมาแทนที่ 3G และ 4G ที่นิยมใช้ในปัจจุบันนั้น จะทำงานบนคลื่นวิทยุที่ความถี่สูงขึ้น (ซึ่งก็คงมีกำลังส่งแรงขึ้น พลังงานสูงขึ้น) มันก็ยังเป็นสัญญาณวิทยุอยู่ดี จึงไม่ได้จะมีความสามารถในการทำลายดีเอ็นเอโดยตรงได้ ดังนั้น การวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว หรือข้างหัวนอนนั้น ย่อมไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมองของเรา จนก่อให้เกิดมะเร็งสมองได้ อย่างที่กังวลกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าใครยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพ จากการใช้โทรศัพท์มือถือ ก็สามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ - เปิดเป็นระบบ speaker phone ใช้พูดและฟังผ่านทางลำโพงของโทรศัพท์โดยไม่ต้องยกขึ้นมาแนบหัว หรือใช้ระบบ video chat คุยกันก็ได้ ตัวเสาส่งวิทยุของโทรศัพท์จะได้อยู่ไกลศีรษะมากขึ้น - ใช้หูฟังแบบมีสาย หรือ small talk แทนการใช้โทรศัพท์ขึ้นมาแนบหัวได้เช่นกัน วิธีนี้จะไม่มีสัญญาณวิทยุมาที่ศรีษะเลย เทียบกับหูฟังแบบ Bluetooth ที่ยังมีการส่งสัญญาณวิทยุ แต่ก็ในระดับต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับการคุยผ่านเครื่องโทรศัพท์โดยตรง - ลดการใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยลง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

ที่ประชุม "ศบค.ชุดใหญ่" มีมติ ต่ออายุ "พรก.ฉุกเฉิน" อีก 1 เดือน ไปถึงสิ้นเดือนกันยายน เพื่อคุมสถานการณ์โควิด-19

"แบงก์ชาติ" ออกเกณฑ์รักษาความปลอดภัย โมบายแบงกิ้งของสถาบันการเงินทั้งระบบ วางมาตรฐานการตั้งรหัสผ่านต้องซับซ้อนมากขึ้น ป้องกันถูกแฮกข้อมูล ขณะที่โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า ระบบปฏิบัติการทั้ง IOS และ Android เวอร์ชั่นต่ำ จะใช้งานโมบายแบงกิ้งไม่ได้

ข้อมูลและเนื้อหานี้ไม่อยู่ในขอบแขตการตรวจสอบ

เนื้อหานี้ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ

คนพิการ” กู้เงินกองทุนฯ ประกอบอาชีพรายละ 1 หมื่น ผ่อน 5 ปี ฟรี! ดอกเบี้ย ไม่ต้องมีผู้ค้ำฯ ถึง 30 ก.ย.นี้

เพจหมอเวร ออกมาให้ความรู้หลัง สธ.ประกาศพบผู้ติดโควิด 2 ราย เคยกักตัวครบ 14 วัน ผลตรวจพบเชื้อพบเป็นซากเชื้อ ยืนยัน “ซากเชื้อ COVID-19” ที่ตายแล้ว ไม่สามารถแพร่เชื้อต่อให้ใครแล้วก็ได้ อย่ากังวล

ตามที่มีบทความแนะนำเกี่ยวกับเรื่อง ดื่มน้ำอัญชัน มะนาวโซดา 1 แก้วทุกวัน แก้ตาฟาง ผอมลงเร็ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทำให้ประเทศไทยมีข้อบังคับการสื่อสารใหม่ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

"กลั้วคอด้วย "โพวิโดน ไอโอดีน" ไม่ได้ช่วยรักษาโควิด-19 หลังติดเชื้อ"

"กลั้วคอด้วย "โพวิโดน ไอโอดีน" ไม่ได้ช่วยรักษาโควิด-19 หลังติดเชื้อ"

เนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

เนื้อหานี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

จากกรณีมีคลิปเสียงแพทย์หญิง ระบุห้างดังย่านพระราม9 สนามบิน และจ.ภูเก็ต มีผู้ติดโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการตรวจสอบพบว่าเป็นคลิปเสียงที่เคยถูกส่งต่อกันเมื่อช่วงเดือนก.พ. 63 ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มเติม และปัจจุบันผู้ป่วยรายใหม่เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ไม่พบการติดเชื้อในประเทศ ซึ่งหากมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะมีการแถลงข่าวให้ทราบทุกครั้ง

เมื่อเจ้ามรดกมีหนี้สินในจำนวนที่มากกว่าทรัพย์มรดก หรือมีแต่หนี้สิน ไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินใดๆ ให้แก่ทายาทเลย ทายาทไม่ต้องรับผิดชอบชำระหนี้สินเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ทายาทได้รับ ดังนั้น หากผู้ตายมีแต่ หนี้สิน และไม่มีทรัพย์มรดกเลย ทายาทก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินนั้น แต่หากมีทรัพย์มรดกเกินกว่าหนี้สิน ทายาทต้องชดใช้หนี้สินที่มีทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงค่อยนำมรดกมาแบ่งกัน แต่ หนี้สิน ถือเป็นมรดก #เจ้าหนี้ ทวงเงินกับทายาทได้เพียงเท่ากับมรดกที่ได้รับเท่านั้น หากมีหนี้มากกว่านั้น ทายาทก็ไม่ต้องจ่าย โดยเจ้าหนี้ต้องฟ้องทายาทให้ชำระหนี้กองมรดกภายในกำหนด 1 ปีนับแต่เจ้าหนี้ได้ทราบหรือควรทราบถึงความตายของเจ้ามรดก หรือภายในกำหนด 10 ปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย และต้องฟ้องทายาททุกคน จะฟ้องเพียงคนใดคนหนึ่งไม่ได้

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้เกิดอาการเผาผลาญมากขึ้น ร่างกายเหมือนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา โดยอาการแสดงของภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่มีพบบ่อย เช่น 1. น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว 2. ใจสั่น 3. ต่อมไทรอยด์โต 4. เหงื่อออกมากกว่าปกติ 5. หงุดหงิดบ่อย 6. ตาโปน 7. ประจำเดือนน้อยลง 8. มือสั่น ภาวะดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เป็นอย่างมาก จึงมีบางคนพยายามหาวิธีรักษาภาวะดังกล่าวด้วยตัวเองโดยการนำน้ำใบย่านางมารักษาไทรอยด์เป็นพิษ แล้วเป็นความจริงหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบ ความจริงแล้วใบย่านางตามข้อมูลสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน มีไว้แก้ไข้ทุกชนิด ไม่มีงานวิจัยใดสรุปได้ว่าใบย่านางสามารถรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้ ดังนั้นความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด หากต้องการรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย และพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม วิธีการรักษาหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ 1. รับประทานยาที่ลดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้มากจนเกินไป เช่น ยาเมไทมาโซล (Methimazole: MMI) และยาโพพิลไทโออูราซิล (Propylthiouracil: PTU) 2. การรักษาด้วยรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine) 3. การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) นอกจากนี้ผู้ที่เป็นจะต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ไปพบแพทย์ตามกำหนดนัดเพื่อติดตามผลการรักษา สังเกตอาการผิดปกติ หรือผลข้างเคียงของยา หรือการรักษา และงดดื่มสุรา

ปัญหาสิว ๆ เป็นปัญหาที่รบกวนใจ สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ที่เป็น จึงมีหลาย ๆ คนพยายามหา วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง เช่น นำครีมมาทาผิวเพื่อหวังให้สิวหาย ซึ่งครีมวิตามินซี ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนมักนำมาทา วันนี้เรามาดูกันว่าครีมวิตามินซีสามารถทำให้สิวหายได้หรือไม่ สิวเกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมัน ดังนั้น จึงมักพบสิวในบริเวณที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก เช่น ใบหน้า หน้าอก หลัง คอ ไหล่ อาจเป็นได้ทั้งสิวที่เกิดจากต่อมไขมันอุดตัน หรือสิวอักเสบเป็นตุ่มหนอง และพบว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิว การแก้ปัญหาสิว ต้องไปลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว เช่น ลดการอุดตัน ลดการอักเสบของต่อมไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชกรจึงจะปลอดภัย การนำครีมวิตามินซีซึ่งเป็นเครื่องสำอางมาทาผิว หวังให้สิวหายนั้น ไม่อาจเป็นจริงได้ เพราะวิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว สามารถละลายน้ำได้ดี ในขณะที่ผิวหนังประกอบด้วยชั้นไขมัน วิจามินซีจึงไม่อาจแทรกซึมผ่านผิวหนังไปได้ ดังนั้น ครีมวิตามินซีจึงช่วยบำรุงผิว อาจช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถเข้าไปรักษาสิว การป้องกัน และลดการเกิดสิว 1. เลือกใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน (Oil Free) และมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (Water based) 2. ทำความสะอาดผิวด้วยสบู่อ่อน ๆ อย่าล้างหน้าบ่อย หรือขัดถูผิวหนังมากเกินไป 3. อย่าบีบ หรือแกะสิว 4. รักษาความสะอาด เช่น ล้างเครื่องสำอางให้สะอาด ใช้ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนที่สะอาด

โดยระบุว่า เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (19 ส.ค. 63) พายุระดับ 3 (โซนร้อน) “ฮีโกส” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุระดับ 4 (โซนร้อนกำลังแรง) “ฮีโกส” แล้ว และเมื่อเวลา 04.00 น. มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 21.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.5 องศาตะวันออก พายุนี้ยังคงเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 15 กม./ชม. มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กม./ชม. และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนตอนใต้ ในเช้าวันนี้ (19 ส.ค. 63) โดยพายุนี้อยู่ห่างจากเกาะมาเก๊า ประเทศจีน ไปทางใต้ประมาณ 35 กิโลเมตร สำหรับร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศเมียนมา ลาว และเวียดนามตอนบน จะเคลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนในช่วงวันที่ 20-23 สิงหาคม 2563 จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกาศ ณ วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไป ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.00 น.

นพ.อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี กล่าวถึงกรณีมีผู้เสียชีวิตด้วยภาวะปอดอักเสบ ในโรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงคือ มีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบจริง 2 ราย แต่ตรวจสอบแล้วไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด ซึ่งทางแพทย์ ได้แจ้งต่อญาติให้ทราบแล้ว ด้วยจรรยาบรรณและสิทธิของผู้ป่วย จึงไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มาก แต่สิ่งที่ยืนยันได้ คือมีการตรวจสอบแล้วไม่ใช่การเสียชีวิตจากโควิด-19 แน่นอน

WHO วิตกกังวลคนช่วงอายุ 20-40 ปี เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดกระจายเป็นกวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

การทานยาดักไข้จึงไม่สามารถช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้แล้วการทานยาดักไข้จะทำให้เกิดผลเสีย ต่อร่างกาย ในด้านใดหรือไม่

มะเร็ง โรคร้ายที่ใครๆก็อยากหนี ทุกวันนี้ผู้คนกังวลอย่างมากกับโรคมะเร็ง โดยมีการแชร์สารพัดเกี่ยวกับสูตรรักษามะเร็งต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การดื่มน้ำมะนาวโซดา ซึ่งความจริงน้ำมะนาวโซดาไม่สามารถรักษามะเร็งได้ เพราะในน้ำมะนาวนั้น มีส่วนประกอบหลักคือ กรดซิตริก (Citric acid) เป็นกรดอย่างอ่อน มีรสเปรี้ยว จะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมาทำให้ชุ่มคอ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ส่วนน้ำโซดา (Carbonate beverages) เกิดจากการนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาอัดลงในน้ำ ทำให้ส่วนประกอบหลักของน้ำโซดาคือ กรดคาร์บอเนต ก็มีความเป็นกรดเช่นเดียวกับกรดซิตริก และมีบางงานวิจัย กล่าวว่า การดื่มน้ำโซดาในขณะท้องว่าง หรือการดื่มน้ำโซดาในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้เกิดผลเสียต่างๆต่อระบบทางเดินอาหารตามมา ไม่ว่าจะเป็นการไม่สบายท้อง เกิดภาวะกรดไหลย้อน เกิดการระคายเคืองเยื่อบุในระบบทางเดินอาหาร สรุปทั้งน้ำมะนาวและน้ำโซดานั้น ไม่ได้มีข้อบ่งใช้ในการรักษามะเร็งเลยซักนิด แต่การดื่มน้ำมะนาวในปริมาณที่เหมาะสมก็มีประโยชน์เพราะทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการเจ็บคอและอุดมด้วยวิตามิน C ดูแลรักษาร่างกาย และออกกำลังกายอยู่เสมอกันดีกว่า เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์นะ

ที่ประชุมครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและต่ออายุใบขับขี่ เพิ่มข้อกำหนดให้คนขี่ "บิ๊กไบค์" ต้องอบรม-ทดสอบเพิ่มเติมเพื่อลดอุบัติเหตุ