ข่าวจริงหรือข่าวลวง

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลินขอเรียนสรุปมาตรการล่าสุดสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยมายังสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ฉบับปรับปรุง สถานะวันที่ 17 ก.ค. 2564 (ปรับเล็กน้อยในข้อ 4 เพื่อความถูกต้องชัดเจนเกี่ยวกับการกักตัวค่ะ) โดยท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bundesgesundheitsministerium.de/.../current... และ https://www.bundesgesundheitsministerium.de/.../faq-tests... และสามารถตรวจสอบเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนได้ที่ https://www.bmi.bund.de/.../what-constitutes-an... และสามารถเข้าระบบการลงทะเบียนออนไลน์ก่อนเดินทางเข้าสหพันธ์ฯ​ ได้ที่ https://www.einreiseanmeldung.de

ภาพจากแอคเคาต์จริง

ตรงตามข้อเท็จจริง คือ ไทยยังไม่ได้รับวัคซีนจากโครงการโคแว็กซ์

ถูกต้องตามข้อเท็จจริง

URL ที่ให้มาเป็นแหล่งข่าวของสำนักข่าวจริงๆจึงมีความเชื่อถือได้พอสมควร

เพจจริง

“แลมบ์ดา” มีลักษณะการกลายพันธุ์แบบใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีการพบเห็น แต่สายพันธุ์นี้ “สามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้เร็ว” เทียบเท่ากับ “เดลตา” และมีการแพร่เชื้อได้มากกว่า “อัลฟา” และ “แกมมา” นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค จาก สวทช. ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่าโควิดสายพันธุ์แลมบ์ดา หรือ C.37 ซึ่ง พบครั้งแรกในเปรูเมื่อปีที่แล้ว แพร่กระจายได้เร็วกว่า หรือ รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า และไม่มีอะไรน่ากังวลเท่ากับสายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะเรื่องการหลบหนีภูมิจากวัคซีน โดยงานวิจัยล่าสุดของเปรู หรือ ทีมวิจัยจากสหรัฐฯพบว่าโควิดสายพันธุ์แลมบ์ดาหนีภูมิจากวัคซีนได้น้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ณ ปัจจุบันนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า แลมบ์ดา มีความร้ายแรงกว่าสายพันธุ์อื่น หรือสามารถต้านทานวัคซีนหรือวิธีการรักษาต่างๆ และการแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่า ไม่ได้หมายความว่าตัวกลายพันธุ์นั้น จะมีความอันตรายร้ายแรงกว่าตัวดั้งเดิม และแม้วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคอาจมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ประมาณร้อยละ 64 แต่ยังคงมีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ 90 ในการป้องกันการติดเชื้ออาการหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจสายพันธุ์แลมบ์ดาให้มากขึ้น

แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ระบุมี 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถดำเนินการจัดหา สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วนได้ เกิดกระแสในกลุ่มประชาชนคาดการณ์หน่วยงานนำเข้าไฟเซอร์ร่วมกับภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 1 ใน 5 องค์กรรัฐที่มีหน้าที่นำเข้าวัคซีน ได้เปิดเผยความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติขอแจ้งว่า การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด 19 ชนิด mRNA จากบริษัทไฟเซอร์ ทางสถาบันฯ ได้ดำเนินการจัดหาร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น

จากกรณีวัคซีนโควิด-19 ในไทยขาดแคลน ไปจนถึงหนังสือหลุดเรื่องการขอเพิ่มจำนวนวัคซีนเป็นจำนวนเดือนละ 10 ล้านโดส จากเดิมที่เคยตกลงไว้เดือนละ 3 ล้านโดสระหว่างแอสตร้าฯ และนายอนุทิน ชาญวีรกุล ขณะที่แอสตร้าเซนเนก้า แจกแจงต้อตอปัญหาเกิดจากไทยสั่งวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่น ๆ นั้น

เป็นเพียงภาพคอนเซปต์เท่านั้น

ไม่ใช่การไม่รับเคส 1330กด14 ของ กทม. เป็นทางเลือกสำหรับผู้มีอาการน้อย ที่ต้องการแยกกัก-รักษาตัวที่บ้าน ให้โทรแจ้งได้

ไม่ใช่การไม่รับเคส 1330กด14 ของกรุงเทพฯเป็นทางเลือกสำหรับผู้มีอาการน้อยที่ต้องการแยกกัก-รักษาตัวที่บ้าน ให้โทรแจ้ง เพื่อให้เข้าไปสอบสวนโรค หรือประเมินอาการเบื้องต้น

ไม่ใช่การไม่รับเคสครับ กทม.กำหนดแนวทางดูแลแยกกัก-รักษาตัวที่บ้าน เป็นทางเลือกหนึ่ง โดยผู้ป่วยที่จะแยกกัก-รักษาตัวที่บ้าน ให้โทรแจ้งสายด่วน สปสช. 1330กด14 หรือแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปสอบสวนโรค หรือประเมินอาการเบื้องต้น

เนื้อหาของข้อความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

ในขณะนี้ มีหลายหน่วยงานที่ออกมาอาสาในเรื่องนี้ แต่ในเบื้องต้น พบว่า ไลน์แอท @comcovid-19 (มีตัว@) นี้จะเป็นข่าวจริงครับ

เป็นภาพจาก เพจจริง https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/367517784866552

เป็นภาพจาก เพจจริง https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/367517784866552 https://twitter.com/Covid19Thailand/status/1416739958665056257

สามารถเข้าได้ปกติ แต่ต้องแสดงเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนผู้เดินทางที่ไม่ใช่พลเมืองหรือมีถิ่นพำนักหรือเป็นบุคคลในครอบครัวของพลเมืองหรือผู้มีถิ่นพำนักในประเทศสมาชิกอียูและกลุ่มเชงเก้นจะต้องแสดงเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน (urgent need to travel) ในการเดินทางเข้าสหพันธ์ฯ อาทิเจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติหน้าที่แรงงานฝีมือลูกเรือนักเรียนการเยี่ยมญาติที่มีเหตุเร่งด่วนเหตุผลทางมนุษยธรรมเว้นแต่หากผู้เดินทางได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วอย่างน้อย 14 วัน (เฉพาะ BioNTech / Pfizer Moderna AstraZeneca และ Johnson & Johnson) หรือแสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ต่อสายการบินก่อนเดินทาง 1) ผลการตรวจเชื้อฯ เป็นลบแบบ PCR Test (ไม่เกิน 72 ซม.) หรือ Antigen Test (ไม่เกิน 48 ชม.) หรือ 2) หลักฐานการได้รับวัคซีนครบถ้วนมาแล้วอย่างน้อย 14 วัน (เฉพาะ BioNTech / Pfizer, Moderna, AstraZeneca และ Johnson & Johnson) หรือ 3) ประวัติการเคยป่วยจากการติดเชื้อฯ (ผลการตรวจพบเชื้อฯ แบบ PCR Test อายุอย่างน้อย 28 วัน แต่ไม่เกิน 6 เดือน) 4. กักตัวอย่างน้อย 10 วันโดยต้องเดินทางตรงไปยังที่พักเพื่อกักตัวทันทีเมื่อเดินทางมาถึงสหพันธ์ฯ แต่หากเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนมาแล้วอย่างน้อย 14 วัน (เฉพาะ BioNTech / Pfizer Moderna AstraZeneca และ Johnson & Johnson) หรือสามารถแสดงประวัติการเคยป่วยจากการติดเชื้อฯ

การตัดสินใจไม่เข้าร่วม COVAX เป็นตัวอย่างของความ ‘อหังการ’ ของรัฐบาลไทยว่าสามารถจัดการการระบาดโควิด-19 ได้อยู่หมัดจึงไม่ต้องรีบร้อนจัดซื้อวัคซีน เก็บเงินไว้รอให้มี ‘ดีลที่ดีที่สุด’ แล้วจึงค่อยตกลงปลงใจ กลายเป็นการรับความเสี่ยงโดยไม่เผื่อใจว่าจะมีความผิดพลาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเพียงทางเลือกเดียว ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เลือกจะเข้าร่วม COVAX แต่ก็ตัดสินใจสั่งซื้อตรงจากผู้ผลิตหลายรายเพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด ปัญหาวัคซีนกลายเป็นการปะทะกันระหว่างสองค่าย เมื่อฝั่งกองเชียร์รัฐบาลต่างเห็นดีเห็นงามกับคำชี้แจงที่ว่าการไม่เข้า COVAX คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง ขณะที่ฝั่งฝ่ายค้านภาคประชาชนกลับเห็นต่างโดยมองว่าการไม่เข้าร่วมคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาล

ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากนายแพทย์ระดับสูงรายหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาการสั่งจองวัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนค้าของประเทศไทยเป็นหนังสือลับลงวันที่ 25 มิ.ย. 2554 ที่นายสจอร์ดฮับเบนรองประธานฝ่ายกิจการองค์กรทั่วโลกของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้าที่ส่งให้กับนายอนุทินชาญวีรกุลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและมีการส่งต่อหนังสือดังกล่าวไปให้กับนพ. โอภาสการกวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรคซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าแจ้งขอรับวัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนค้าในช่วงแรกเพียงแค่ 3 ล้านโดสต่อเดือนและเป็นการแจ้งช้าที่สุดในอาเซียน

15 กรกฎาคม 2564 ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Politifact (สหรัฐอเมริกา) แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ บทสรุป: FDA ระบุอย่างชัดเจนว่าไม่มีไมโครชิปหรือแม่เหล็กเป็นส่วนประกอบของวัคซีนโควิด 19 และไม่มีส่วนประกอบใดในวัคซีนที่มีพลังงานแม่เหล็ก

มีคำยืนยันจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ออกมาแล้วว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ใช้งานกันอยู่ไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กได้

BREAKING : คปภ. ออกคำสั่ง ให้บริษัทประกันยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด อ่านต่อที่ https://facebook.com/thestandardth/posts/2797716457187895

ยังไม่มีการเซ็นสัญญาใดๆเกิดขึ้น มีความสับสน ไม่แน่นอน อีกทั้งบริษัทที่ผลิตวัคซีนก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เจรจากับภาคเอกชนไทย

ประเด็นนี้มีความเห็นส่วนตัวของหมอบุญ แต่ยังไม่มีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในการจะเซ็นสัญญาซื้อวัคซีน อีกทั้งทางบริษัทผลิตวัคซีนแจ้งว่าเจรจากับภาครัฐเท่านั้น ต้องรอติดตามข้อเท็จจริงต่อไป มีคนสงสัยในประเด็นเรื่องการขายหุ้นด้วย ทาง กลต. ออกมาให้หยุดการให้ความเห็นส่วนตัวแล้ว