(2462 ข้อความ)
- 2 คนสงสัยเปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย11 ก.พ. 2565 12:30 น. ข่าว ทั่วไทย ข่าวประชาสัมพันธ์ เปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย สิ้นสุดแล้วโครงการ “FACTkathon” นักศึกษาร่วมระดมสมองส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวด เพื่อแก้ปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม พร้อมผลักดัน 7 ข้อเสนอให้เกิดเป็นนโยบายแก้ปัญหาเฟกนิวส์เกลื่อนโลกออนไลน์ เปิดไอเดียสุดเจ๋งของเยาวรุ่น ร่วมแก้ปัญหาข่าวลวง สร้างนวัตกรรมพร้อมข้อเสนอผลักสู่ระดับนโยบาย ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรมการแข่งขันระดมสมอง “หักล้างมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” “FACTkathon : Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และเป็นความร่วมมือกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มูลนิธิสภาการหนังสือพิมพ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย (Fnf Thailand) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) งานนี้นอกจากจะเป็นการประชันไอเดียของคนรุ่นใหม่ระดับมหาวิทยาลัย ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ปัญหาข่าวลวงที่มากมายในโลกออนไลน์แล้ว ยังมีการระดมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการหา “ความจริงร่วม” ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมของผู้ที่มีความเห็นต่างได้อย่างปกติสุข จากการแข่งขันครั้งนี้ทีมที่ได้รับรางวัลที่ 1 ได้แก่ ทีมบอท เป็นการผสมผสานทีมจากนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีไอเดียสุดเจ๋ง “Check-on” หรือ “เช็กก่อน” โดยพัฒนาเครื่องมือ Extension เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอ่านข่าวในเว็บหรือเห็นภาพต่างๆ แล้วสงสัยว่าจริงหรือไม่ ให้คลุมดำที่ข้อความ คลิกขวา จะมีปุ่ม Check หน้าต่างของ Check-On ขึ้นมาแล้วประมวลผลความน่าเชื่อถือจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ อาทิ Cofact ชัวร์ก่อนแชร์ ศูนย์ต่อต้านข่าวลวง เป็นต้น ทีม TU Validator ซึ่งได้รับรางวัลที่ 2 รวมทีมจากคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอแพลตฟอร์มเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาร่วมค้นหาความจริงด้วยกัน พร้อมรับคะแนนและของรางวัล เพื่อสร้างชุมชนในสังคมออนไลน์ ให้ผู้ใช้งานได้มีการถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อข้อมูลต่างๆ จัดกิจกรรม Debate ถกประเด็นกัน เชื่อว่าความจริงต้องเกิดขึ้นได้ สำหรับทีมที่ได้รับรางวัลที่ 3 คือ ทีม New Gen Next FACTkathon เป็นการรวมตัวของนักศึกษาคณะต่างๆ จากมหาวิทยาลัยพายัพ ออกแบบการนำข้อมูลข่าวสาร มาถ่ายทอดในรูปแบบของการ์ตูน ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันด้วยการสร้างการ์ตูนลงแพลตฟอร์มหนังสือการ์ตูนออนไลน์ (Webtoon) เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข่าวลวงไปด้วย พร้อมมีลูกเล่นด้วยการให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมไขปริศนา โหวตว่าจริงหรือไม่จริง โดยให้สิ่งตอบแทนเป็นเหรียญ สำหรับใช้เปิดอ่านตอนต่อไป นอกจากกิจกรรมการประกวดเสนอแนวคิดนวัตกรรมแล้ว ยังได้จัดการประชุมเพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะที่จะแก้ปัญหาข่าวลวงอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นตรงกันว่าต้องผลักดันให้เกิดนโยบายที่แก้ปัญหาข่าวลวงที่เกลื่อนโลกออนไลน์ร่วมกันด้วย ดังนี้ 1) ทวงถามความรับผิดชอบกับผู้ผลิตและส่งต่อข่าวลวง : มีข้อเสนอแนะให้มีวิธีการป้องกันและแก้ไขข้อความผู้ผลิตและผู้ส่งต่อข่าวลวง ที่จะช่วยลดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นลงได้ 2) ให้ความสำคัญกับทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” : การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ไม่ใช่วิชาที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคดิจิทัล แต่ถูกพูดถึงเรื่องนี้นับตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของสื่อมวลชนยุคอนาล็อก (วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์) เช่น กลยุทธ์หรือเทคนิคที่ใช้ผลิตเนื้อหาผ่านสื่อแต่ละประเภทใช้ส่งสารถึงปัจเจกชนหรือกลุ่มคนซึ่งเป็นผู้รับสาร บทบาทของสื่อต่อการสร้างกระแสค่านิยม หรือวัฒนธรรมต่างๆ ในสังคม เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล การผลิตและส่งต่อข้อมูลข่าวสารเพิ่มมากขึ้นทั้งกว้างขวางและรวดเร็ว การรู้เท่าทันสื่อจึงยิ่งมีความสำคัญเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือน ความเข้าใจในแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, Instagram, Line ฯลฯ ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างไร และผู้ผลิตเนื้อหา (Content) ใช้วิธีการอย่างไรในการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้รับสาร ซึ่งจะซับซ้อนกว่าสื่อดั้งเดิม เช่น แพลตฟอร์มบางชนิดสามารถใช้วิธีการบางอย่างเพื่อให้สาร (ข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ คลิปเสียง) ถูกมองเห็นอย่างกว้างขวางและในความถี่ต่อเนื่อง หรือมีสถิติการส่งต่อจำนวนมาก ผู้ที่ไม่รู้เท่าทันวิธีการเหล่านี้อาจเชื่อไปก่อนแล้วว่าเป็นเรื่องจริงโดยไม่ได้ตรวจสอบ 3) ลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล : แม้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะถูกมองว่าเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) จึงใช้งานได้คล่องกว่าคนวัยอื่นๆ ที่อาจจะเพิ่งรู้จักเทคโนโลยีดิจิทัลในวัยกลางคนหรือวัยเกษียณ แต่ในความเป็นจริงก็ยังพบช่องว่าง กล่าวคือ เด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่ไม่มีทุนทรัพย์จัดหาเครื่องมือเชื่อมต่อ (Device) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้านดิจิทัล อาทิ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สัญญาณมีความเสถียร ย่อมมีข้อจำกัดในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลเมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่มีความพร้อม 4) สนับสนุนบทบาทขององค์กรที่ทำงานต่อต้านข่าวลวงที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถนำข้อมูลไปถึงผู้คนได้ง่าย : ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการต่อสู้กับปัญหาข่าวลวง ทั้งภาครัฐที่มีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ภาคสื่อมวลชนที่มีศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ของ อสมท. และภาควิชาการ-ประชาชน ที่รวมตัวกันในนามโคแฟค ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนให้องค์กรเหล่านี้ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วแล้ว ควรพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่เมื่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไปพบข้อมูลบางอย่างแล้วสงสัย สามารถส่งไปประมวลผลกับระบบขององค์กรข้างต้นได้ทันทีว่าเคยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วหรือไม่ เนื่องจากพบว่าข่าวลวงหลายข่าวมักมีลักษณะ “แชร์วนซ้ำ” บางเรื่องพิสูจน์กันไปแล้วหลายปีว่าไม่จริงแต่ก็ยังมีการส่งต่อวนกลับมาอีก 5) ขยายแนวร่วมตรวจสอบข่าวลวงสู่ระดับท้องถิ่น : ในความเป็นจริงที่การสื่อสารรวดเร็ว ข้อมูลถูกผลิตและส่งต่ออย่างมหาศาล ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนจึงมีความหลากหลายซึ่งบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นกระแสมากพอที่องค์กรจากส่วนกลางจะมองเห็นและเข้าไปตรวจสอบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างแนวร่วมในระดับชุมชน ซึ่งอาจเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น หรือแกนนำชุมชน (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ฯลฯ) โดยให้ผู้ที่สนใจประเด็นข่าวลวงมาฝึกฝนทักษะการตรวจสอบ รวมถึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะว่าจะส่งเสริมเรื่องนี้ในระดับท้องถิ่นของตนเองอย่างไร เพราะแต่ละพื้นที่นั้นมีบริบททางสังคมไม่เหมือนกันผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48026• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่ เทคฮอร์โมนในปริมาณที่มากทำให้ใบหน้าสวยขึ้นในปัจจุบันมีผู้คนหลากหลายที่มีความสนใจในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศ การเทค ฮอร์โมนจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมมาก แต่มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่ทราบการเทคฮอร์โมนอย่างถูกต้อง และอาจไปซื้อยา มาเทคฮอร์โมนเองจนเกิดอันตรายต่อร่างกาย ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ) จากการสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิง ข้ามเพศเป็นการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับให้ยากดฮอร์โมนเพศชายที่มีตามเพศสภาพให้ ลดลง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการเทคฮอร์โมนในกลุ่มนี้จะทำให้สรีระร่างกายใกล้เคียงเพศหญิงมากขึ้น เช่น มี หน้าอก เสียงเล็กแหลมขึ้นหนวดเคราน้อยลง กล้ามเนื้อเล็กลง เป็นต้น (ข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ) ข้อแนะนำในการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิงข้ามเพศ • ร่างกายของคนข้ามเพศแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนจึงต่างกัน ควรที่จะเข้ารับการปรึกษา จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มให้ฮอร์โมน • หาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาฮอร์โมนที่ถูกต้อง รวมทั้งอันตรายของการใช้ยาเกินขนาด • วัดระดับฮอร์โมน testosterone และ estradiol ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่จะ ตามมา ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ) ดังนั้นการเทคฮอร์โมนสำหรับหญิงข้ามเพศ เป็นการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเข้าสู่ร่างกาย และกดฮอร์โมนเพศชาย ให้ลดลง ซึ่งนั่นจะทำให้สรีระร่างกายใกล้เคียงเพศหญิงมากขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่นรูปลักษณ์ของใบหน้าได้ ปรับเปลี่ยนได้แค่สรีระร่างกายสุขภาพความสวยความงามChittakon Pawakho• 1 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวการกินยาลดน้ำหนักของแบงค์สตางค์เป็นเรื่อง! “แบงค์สตางค์” เล่านาทีเฉียดตาย “ใจเต้นรัว – หายใจไม่ออก” หลังกินยาลดอ้วนนับ 10 แบรนด์kulanit1363• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางาน“บริษัทจัดหางาน” ที่มีการรับรองจากกรมการจัดหางาน ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอม• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! เพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางานกรณีที่มีการโฆษณาว่า เพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางาน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับเพจ “บริษัทจัดหางาน” ที่มีการรับรองจากกรมการจัดหางาน ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า เพจเฟซบุ๊ก “บริษัทจัดหางาน” ที่อ้างว่าได้รับการรับรองจากกรมจัดหางานเชิญชวนให้สมัครงาน โดยใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรมการจัดหางานตรวจสอบพบว่า เพจดังกล่าวไม่ได้มาจากส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากพบเห็นข้อความดังกล่าวโปรดอย่าหลงเชื่อผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd46463• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! เพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางานตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับเพจ “บริษัทจัดหางาน” ที่มีการรับรองจากกรมการจัดหางาน ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า เพจเฟซบุ๊ก “บริษัทจัดหางาน” ที่อ้างว่าได้รับการรับรองจากกรมจัดหางานเชิญชวนให้สมัครงาน โดยใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรมการจัดหางานตรวจสอบพบว่า เพจดังกล่าวไม่ได้มาจากส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากพบเห็นข้อความดังกล่าวโปรดอย่าหลงเชื่อผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd46400• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! เพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางานกรณีที่มีการโฆษณาว่า เพจ “บริษัทจัดหางาน” ผ่านการรับรองจากกรมการจัดหางาน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมzenter.05.10.• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครงาน รายได้วันละ 900 – 2,500 บาทตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครงาน รายได้วันละ 900 – 2,500 บาท ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า มีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ภาพประกาศเชิญชวนรับสมัครงานและข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และข้อความดังกล่าวมิได้มาจากส่วนราชการของกรมการจัดหางานผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd47084• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยกรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงานตำแหน่งโปรโมทสินค้าและผลิตภัณฑ์ ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์Phitchapa Limwatthana• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์กรณีที่มีการโฆษณาข้อมูลว่า กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงานตำแหน่งโปรโมทสินค้าและผลิตภัณฑ์ ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ภาพประกาศรับสมัครงานที่มีข้อความเชิญชวนทำงาน และมีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรมการจัดหางานตรวจสอบพบว่า ข้อความดังกล่าวมิได้มาจากส่วนราชการของกรมการจัดหางาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากพบเห็นข้อความดังกล่าวโปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะอาจมีการขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ หรืออาจถูกหลอกลวงจนเกิดความเสียหาย website 2328std47697• 3 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์กรณีที่มีการโฆษณาข้อมูลว่า กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานข่าวการเมืองstd47690• 3 ปีที่แล้ว
- 3 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์กรณีที่มีการโฆษณาข้อมูลว่า กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงานตำแหน่งโปรโมทสินค้าและผลิตภัณฑ์ ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ภาพประกาศรับสมัครงานที่มีข้อความเชิญชวนทำงาน และมีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรมการจัดหางานตรวจสอบพบว่า ข้อความดังกล่าวมิได้มาจากส่วนราชการของกรมการจัดหางาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากพบเห็นข้อความดังกล่าวโปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะอาจมีการขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ หรืออาจถูกหลอกลวงจนเกิดความเสียหายstd46678• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ตามที่มีข่าวสารเผยแพร่เกี่ยวกับกรมการจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงานตำแหน่งโปรโมทสินค้าและผลิตภัณฑ์ ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ภาพประกาศรับสมัครงานที่มีข้อความเชิญชวนทำงาน และมีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงAmonrat Maardlert• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานเปิดรับสมัครงานตำแหน่งโปรโมทสินค้าและผลิตภัณฑ์ ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงว่า ภาพประกาศรับสมัครงานที่มีข้อความเชิญชวนทำงาน และมีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแอคปลอมsarocha082549• 3 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ภาพประกาศรับสมัครงานที่มีข้อความเชิญชวนทำงาน ทั้งยังมีการใช้ตราสัญลักษณ์กรมการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อความดังกล่าวมิได้มาจากส่วนราชการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคCheer Petseat• 3 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยกรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์กรณีที่มีการโฆษณาข้อมูลว่า กรมจัดหางานร่วมกับภาคเอกชน เปิดรับสมัครงาน ผ่านเพจบริษัทจัดหางานออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จแอคปลอมkhendolukkha489• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชาลดบวมขับโซเดียม ทำได้จริงหรือไม่ ?จากโฆษณาสินค้าตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่อ้างว่า การดื่มชาช่วยลดการบวมจากการกินโซเดียม ส่งผลให้หลายคนเชื่อและหันมาซื้อชามาดื่มกันมากยาสมุนไพรลดความอ้วนSasikarn Permpol• 1 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: false2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยชี้ยาลดอ้วน เป็นต้นเหตุ สาวท้องดับชี้ยาลดอ้วน เป็นต้นเหตุ สาวท้องดับสุชญา ชูจันทร์• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย“อนุทิน” ฉะแรง มีแต่ควายทุ่มซื้อ “งูเห่า” 100 ล้าน ปัดแข่งตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยฝ่ายการเมืองดาหน้าปฏิเสธ กระแสทุ่มหลักร้อยล้านซื้องูเห่า “ประเสริฐ” ขู่พวกที่คิดจะเป็นงูเห่าพึงระวังตัว ลั่นเพื่อไทยไม่มีฟรีโหวตเลือกประธานสภาฯ “เศรษฐา” ย้ำการแข่งขันจบไปแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยต้องจับมือตั้งรัฐบาลให้ได้ ก้าวไกลรอให้เพื่อไทยตกผลึกก่อน “ชัยธวัช” ชี้ผลโหวต ปธ.สภาฯ สะท้อนต่อการตัดสินใจ ส.ว.เลือกนายกฯ ว่าขั้ว 8 พรรคยังเหนียวแน่น “อนุทิน” แขวะมีแต่ควายเท่านั้นที่คิดจะซื้องูเห่า 100 ล้าน ยันไม่มีทางเกิด รบ.เสียงข้างน้อย “พิธา-ก.ก.” มีผวา ศาล รธน.จี้ อสส.แจงผลสอบคดีชูนโยบายแก้ ม.112 คืบหน้าถึงไหน “ลุงป้อม” กลับจากอังกฤษแล้ว เรียกติวเข้ม ส.ส.โหวต ปธ.สภาฯ-นายกฯ “พรเพชร” เชื่อ ส.ว.ไม่มีทางโหวตไปทางเดียวกัน ศาลนัดไต่สวนคดี “อุปกิต” ฟ้อง “โรม”Panisara Rukngam• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเตือนภัยคนใช้ BTS เหตุการณ์จริง กำลังอาละวาด + อ่านให้จบ เพื่อทราบวิธีแก้ไขสถานการณ์ค่ะ แก๊งมิจฉาชีพ อาละวาดบน BTS เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานีราชดำริ และขนส่งหมอชิต เริ่มจากผู้หญิงวัยกลางคนจะเข้ามาแกล้งถามว่าไปอนุเสาวรีย์ขึ้นรถตรงนี้หรือเปล่า(เหมือนชี้เป้า) จากนั้นเมื่อขึ้นรถไฟแล้วจะมีผู้ชายถือกล่องไปใหญ่แกล้งเดินมาชนแล้วล้มลงบนพื้น ร้องโอดโอยประมาณว่าโดนสิบล้อชน เมื่อเหยื่อตกใจจะมีหน้าม้าอีกคนเข้ามาพยุงคนเจ็บบอกว่าต้องไปส่งโรงพยาบาล อาการน่าจะเข่าหลุด (คาดคงเป็นโรคกระดูกพรุน) หน้าม้าอีกคนที่เข้ามามุงดูจะพูดให้น่าเชื่อถือว่าอาการแบบนี้จะเจ็บมากเพื่อให้เหยื่อตายใจ พอเหยื่อหลงเชื่อจะพาไปหาหมอ คนเจ็บก็จะร้องตอบขึ้นมาว่าผมไม่มีเงินเลยแถมของที่ถือมาก็เสียหายมาก (ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ) แล้วก็ขอให้เหยื่อชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาล ระวังๆกันไว้นะครับ " วิ ธี แ ก้ ไ ข ส ถ า น ก า ร ณ์ " : คุณ Banyat Seknamchoke ได้แจ้งวิธีแก้ไขดังนี้ค่ะ ในฐานะเป็นกู้ชีพ คนหนึ่ง ขอทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า หากพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าว "อย่าไปหลงเชื่อ" แต่ "ให้แจ้ง จนท. รปภ. หรือเจ้าหน้าที่ประจำรถ" ให้ทราบครับ เพราะในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน บนสถานีรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น BTS , MRT , Airport link , BRT ถ้าจำเป็นต้องส่ง โรงพยาบาลหรือต้องนอนพักสักครู่ ทุกสถานีมีห้องพยาบาลประจำสถานีแล้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลครับ (ยกเว้น BRT) ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดหรือโดนหลอก ขอให้ "แจ้งเจ้าหน้าที่สถานี" ไว้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่สถานีจะมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น เข้ามาดูแล และหากต้องส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จะประสานงานกับหน่วยกู้ชีพที่อยู่ใกล้ที่สุด มานำคนเจ็บคนป่วยส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้น ไม่ต้องจ่ายให้ครับ เพราะคนไทยทุกคน จะต้องมีสิทธิ์ต่อไปนี้ตั้งแต่กำเนิด คือ 1.สิทธิ์บัตรทอง (ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องมี) ถ้าไม่มี ก็ต้องมี 2.สิทธิ์ประกันสังคม(คนทำงานเอกชนหรือลูกจ้างของรัฐ) 3.สิทธิ์จ่ายตรง(ข้าราชการ) 4.สิทธิ์ประกันอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตของเอกชน ซึ่งไม่ว่าสิทธิ์ไหน ก็สามารถครอบคลุมอุบัติเหตุฉุกเฉิน แบบนี้ได้ (ยกเว้นอุบัติเหตุจราจร) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ฉะนั้นขอให้อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพครับ ถ้าเค้าแกล้งเจ็บขนาดนั้น ลุกไม่ไหว ไม่ยากครับ สะกิด จนท.ประจำรถ หรือ รปภ. ได้เลยครับ ถ้าเค้าจะโวยวายปล่อยให้โวยวายไป เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จัดการเองครับ ถ้าเค้าอยากเล่นละครจะให้รอดไปถึง รพ.ได้ ก็คงยากแล้วครับ เล่นงัยก็ไม่เนียนแล้ว พวกนี้พอเห็น จนท.เข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวก็แกล้งทำเป็นดีขึ้น หาย แล้วก็เดินจากไปเข้ากลีบเมฆต่อ Cr. แชร์เพื่อสังคม และ วิธีแก้ไขสถานการณ์โดย คุณ Banyat Seknamchokeผู้บริโภคเฝ้าระวังมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสารหวานในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล เสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์อันตราย! สารหวานในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล เสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์ หลายปีแล้วที่เรามีการใช้สารน้ำตาลเทียมเพิ่มหรือแทนความหวานที่ได้จากน้ำตาล เพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพลดเสี่ยงโรค ซึ่งวันนี้ องค์การอนามัยโลก ก็ออกมาเตือนเรื่อง กินสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด ล่าสุด (28 พ.ค.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า นับเป็น 10 ปีมาแล้วที่มีการใช้สารน้ำตาลเทียมเพิ่มหรือแทนความหวานที่ได้จากน้ำตาล ทั้งนี้เพื่อตอบสนองกับคนที่มีโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เรียกว่า เมตาบอลิก ซินโดรม (Metabolic syndrome) ที่เป็นกลุ่มอาการที่จะต่อติดต่อเนื่อง ตามกันมา ...จากอ้วน ดื้ออินซูลิน เบาหวาน ไขมันสูง มีภาวะเส้นเลือดผิดปกติและนำไปสู่โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ จนกระทั่งถึงมะเร็ง ด้วยการที่มีสารอักเสบก่อตัวในร่างกาย ทุกระบบและในสมอง จนเร่งสมองเสื่อมให้เกิดขึ้นเร็วและรุนแรง และพิสูจน์แล้วว่าเร่งความแก่ชราให้มากขึ้น และสารทดแทนเหล่านี้ ได้มีการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรกลางต่างๆ ที่ทำการประเมินและมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่กระนั้น การติดตามภาวะสุขภาพในคนที่ได้รับสารหวานเทียมเหล่านี้ เริ่มมีรายงานออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในปี 2000 เป็นต้นมา ถึงผลที่อาจไม่พึงประสงค์ รวมทั้งแทนที่จะเกิดประโยชน์ กลับมีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดตีบ แต่เนื่องจากเป็นการศึกษาที่ไม่ทอดระยะเวลานานนัก และไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์หรือการเป็นสาเหตุได้ชัดเจน เนื่องจากมีตัวแปรและปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ข้อมูลยังมีความคลุมเครืออยู่ รายงานในวารสาร เนเจอร์ 27 กุมภาพันธ์ 2023 เป็นงานต่อเนื่องตั้งแต่การค้นพบความสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ในลำไส้ กับการอักเสบ และเส้นเลือดตันที่รายงานในวารสารนิวอิงแลนด์และเนเจอร์ในปี 2013 ที่ตอกย้ำพิสูจน์ว่าการกินเนื้อแดง และไข่แดงจะเชื่อมโยงกับจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียไม่ดีในลำไส้ ที่สกัดและผลิตสารอักเสบออกมาชื่อ TMA และ TMAO ทั้งนี้ การลดการกินเนื้อและไข่แดง โดยที่หนักผัก ผลไม้ กากใย ถั่ว จะระงับการอักเสบดังกล่าว และเริ่มพบว่าสาร polyols ก็มีความสัมพันธ์ร่วม งานในปี 2023 นี้พบว่าสาร erythritol ซึ่งอยู่ในกลุ่ม polyol ทำให้เกล็ดเลือดไวขึ้น จนเพิ่มความเสี่ยงของเส้นเลือดตันstd47629• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วันกรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่งภายใน 7 วัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่งภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใดๆ ของร่างกายได้ วันนี้ (24 ธ.ค.) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีการโฆษณาทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเพื่อทำความสะอาด สวยงามแต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ โดยเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้ข้อมูลว่า โครงสร้างของจมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อน โดยห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่งจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกายของมนุษย์ รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ทำให้ดั้งโด่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณที่โกหก เพราะครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนผู้บริโภคให้คิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่าง ๆ ว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th และหากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงขอให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ความสวยความงามผู้บริโภคเฝ้าระวังstd46432• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยความเชื่อเรื่องวิตามินซีกับมะเร็งและการป้องกันหวัด ความจริงที่ทุกท่านควรทราบ ทุกวันนี้แทบทุกคนคงเคยได้ยินหรือรับประทานวิตามินซีเสริม โดยมีความเชื่อว่าใช้ป้องกันไข้หวัดหรือทำให้อาการลดลง นอกจากนี้ยังมีการบอกเล่าว่าการได้รับวิตามินซีขนาดสูงมากๆ (megadose) เช่น 10 กรัมต่อวัน จะช่วยในการรักษาหรือเสริมการรักษามะเร็งได้ แนวความคิดนี้เริ่มต้นในเมื่อ Dr. Linus Pauling นักวิทยาศาสตร์รางวัล Noble Prize สาขา Chemistry ซึ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัยในปี 1976 (47 ปีที่แล้ว) โดยเป็นการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับวิตามินซีขนาด megadose ฉีดเข้าเส้นเลือดติดต่อกันสิบวันและรับประทานต่อไปเรื่อยจำนวย 100 รายเปรียบเทียบกับข้อมูลกลุ่มคนไข้มะเร็งในอดีตที่ไม่ได้รับวิตามินซี และพบว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินซี megadose มีอัตราการอยู่รอดชีวิตยาวนานกว่า นอกจากนั้น Dr. Pauling ยังเสนอแนวคิดเรื่องการรับวิตามินซีเพื่อป้องกันและลดอาการของโรคหวัด โดยตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ "Vitamin and the Common Cold" ซึ่งเป็นที่แพร่หลายและถูกนำไปอ้างอิงมากมายเนื่องจากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น อย่างไรก็ดี ในปี 1976 และปี 1985 แพทย์ที่ Mayo Clinic ได้ทำการวิจัยผู้ป่วยมะเร็งโดยทำการศึกษาอย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง สุ่มแยกคนไข้เป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับวิตามินซี megadose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซี ทั้งสองการศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างในแง่ของอาการ คุณภาพชีวิต ความอยากอาหาร และที่สำคัญคือมีระยะเวลาอยู่รอดนานเท่ากัน หลังจากนั้น ในปี 2010 ได้มีการรวบรวมรายงานการศึกษามากมายซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งกว่า 1500 รายที่ได้รับวิตามินซี megadose หลังทำการวิเคราะห์แล้วไม่พบว่าการรับวิตามินซีมีประโยชน์ใดๆในการป้องกัน การรักษาหรือเสริมการรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาบางงานที่แสดงให้เห็นว่าการได้รับวิตามินซีปริมาณสูงไปลดประสิทธิภาพของยารักษามะเร็งที่ผู้ป่วยได้รับ อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ Dr. Linus Pauling และภรรยา ซึ่งทั้งคู่รับวิตามินซีปริมาณมากตลอดชั่วชีวิต ได้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารตามลำดับ เช่นเดียวกันมีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (systematic review) ของการศึกษาวิจัยจำนวน 104 งานตีพิมพ์จนถึงปี 2021 ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนประโยชน์ของวิตามินซีต่อการป้องกันหรือรักษาโรคหวัดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ผลเสียของการรับวิตามินซีขนาดสูงเกินจำเป็น (มากกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อวัน) ได้แก่ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ทางเดินอาหารอักเสบ มีผลทำลายไตและเกิดนิ่วในไตได้ โดยสรุปคือ ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการแต่ละวันเท่ากับ 75 มิลลิกรัมในผู้หญิงและ 90 มิลลิกรัมในผู้ชาย ซึ่งปริมาณนี้สามารถรับได้เพียงพอจากการรับประทานส้มวันละ 1-2 ผลหรือน้ำส้มคั้นวันละ 1 แก้วก็เพียงพอแล้ว ความเชื่อเรื่องการรับวิตามินซีเสริมเพื่อป้องกันหวัด ป้องกันหรือรักษามะเร็ง จนถึงปัจจุบันไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้มาสนันสนุนครับ 🙏🙏🙏 อ้างอิงจาก https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20799507/ และ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34544670/มะเร็งไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้วmeter: mostly-false--middle2 ความเห็น
- 1 คนสงสัย๏ทำไมยาเสพติด ไม่หมดไปจากประเทศ๏ 30 วิธีนอกรีต-สืบ-จับ คดียาเสพติด ตำรวจไทย ทุกท่านควรอ่านไว้ เพราะอาจเจอกับตัวเอง! 1. ยัดยาเสพติด สร้างผลงานให้ตนเอง 2. จับแล้ว ลดจำนวนยาเสพติด โดยเรียกเงินผุ้ต้องหา หรือนำยา ไปขายต่อ 3. รับวิ่งเต้นจากผุ้ต้องหา โดยอ้างว่าสามารถลดจำนวนยาเสพติดได้ 4. ลดของกลางยาบ้า โดยเรียกเม็ดละ 5,000 บาท 5. จับผุ้ต้องหา แล้วพาไปกดเงินตู้ เอทีเอ็ม ถ้าไม่พอใจให้ญาติไปกดเงินมาให้เพิ่ม 6. จับผุ้ต้องหาพร้อมยา แต่นำเงินผุ้ต้องหา เข้ากระเป๋าตนเอง 7. จับตัวผุ้ต้องหา และพาทัวร์ ให้ไปหาเงินมาให้ หรือกักตัวใจเซฟเฮ้าส์ 8. จับยาเสพติดในรถยนต์ ถ้าเป็นผัวเมีย ปล่อยเมียไปหาเงินมาให้ 9. จับยาบ้า พร้อมเงินสด และปล่อยผุ้ต้องหาไป นำเงินเข้ากระเป๋า 10. ปลอมปนยาบ้า เอาของปลอมมาผสม และเอาของจริงไปขายต่อ 11. จับผู้ต้องหามาแล้ว ปล่อยตัวไป ให้ไปหาเงินมาส่งส่วยเป็นรายเดือน 12. จับผู้ต้องหาที่ไม่ส่งส่วย ให้ขายยาบ้าได้เฉพาะที่ส่งส่วย 13. จับผู้ต้องหาได้ และซักทอด ก็ออกหมายเรียก และนัดหมายนอกสถานที่รีดเงิน บอกว่าไม่ส่งฟ้อง 14. รับจ้างวิ่งเต้นล้มคดี กับพนักงานสอบสวนด้วยกัน และวิ่งเต้นชั้นอัยการ 15. รับเงินจากผู้ต้องหา เพื่อไม่คัดค้านการประกันตัว ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นศาล โดยอ้างว่านำไปให้อัยการ เพื่อไม่ให้คัดค้านการประกันตัว 16. รับเงินเพื่อทำบันทึกการจับกุมใหม่ เพื่อให้สำนวนอ่อน กลับคำให้การ 17. ถ่ายสำเนา สำนวนดำเนินคดีผู้ต้องหา ให้กับญาติผู้ต้องการ เพื่อให้ทนายความเตรียมการต่อสู้คดีในชั้นสอบสวน และ ชั้นศาล 18. จัดทำบันทึกกาจับกุมเป็นเท็จ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยนำรายชื่อตำรวจไม่เกี่ยวข้องมาร่วมเพื่อสร้างผลงาน 19. จัดหา ทนายความให้ผุ้ต้องหา เพื่อเรียกเงิน 20. จัดหา นายประกันให้ผู้ต้องหา และเรียกเงิน 21. จับผู้ต้องหา แต่ไม่ได้ของกลาง เลยยัดยาเสพติด บังคับให้รับสารภาพ และเขียนด้วยลายมือตนเอง โดยซ้อมผู้ต้องหา 22. รับจ้างเคลียร์คดีให้ผุ้ต้องหา โดยเรียกเงิน โดยเสนอเงินให้พนักงานสอบสวน เป็นค่าตอบแทน 23. รับจ้าง ลบประวัติอาชญากร เพื่อไม่ให้มีการนับโทษต่อ หรือเป็นประโยชน์ให้ผุ้ต้องหา เพียงรอการรับโทษ 24. เรียกเงินจากผู้ต้องหา เพื่อไม่ให้ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน 25. รับเงินจาก ญาติพี่น้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยม 26. นำภรรยา ผู้ต้องหา ไปร่วมประเวณี 27. ปล่อยตัวผู้ต้องหาหญิง และนำมาเป็นสายลับ และ บังคับร่วมประเวณี 28. จับผู้ต้องหา ในอาคารชุด โดยไม่มีหมายจับ จากนั้นทำบันทึกการจับกุมเป็นเท็จ ว่า ทำที่สาธารณะ 29. เดินสายหาเหยื่อ นอกเขตพื้นที่ตนเอง เพื่อเรียกเงินให้ส่งส่วยเป็นรายเดือน 30. นำรถยนต์ของกลางที่จับได้ขณะขายยาเสพติด ไปใช้ส่วนตน และปลอมแปลงทะเบียนและไปขายต่อ” #มิตรสหายท่านหนึ่งผู้บริโภคเฝ้าระวัง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยประเทศต่อไปนี้ประกาศยกเลิกกระบวนการกักกันทั้งหมด การทดสอบโคโรนา และการฉีดวัคซีนภาคบังคับ และพิจารณาว่าโคโรนาเป็นเพียงไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล: 1) ตุรกี 🇹🇷 2) บราซิล 🇧🇷 3) สหราชอาณาจักร 🇬🇧 4) สวีเดน 🇸🇪 5) สเปน 🇪🇸 6) สาธารณรัฐเช็ก 🇨🇿 7) เม็กซิโก 🇲🇽 8) เอลซัลวาดอร์ 🇸🇻 9) ญี่ปุ่น 🇯🇵 10) สิงคโปร์ 🇸🇬 : จุดจบของไวรัสโคโรน่าด้วยการป้องกันแบบเยอรมันนี นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันประกาศหลังจากการศึกษาหลายครั้งว่า ไวรัสโคโรน่าไม่เพียงแต่แพร่พันธุ์ในปอดเหมือนไวรัสซาร์สในปี 2545 แต่ยังแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในลำคอในช่วงสัปดาห์แรกของการติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำให้นายกรัฐมนตรีเยอรมนีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้พวกเขาทำภารกิจง่ายๆ หลายๆ ครั้งต่อวัน ซึ่งก็คือการกลั้วคอด้วยสารละลาย Abmonak แบบกึ่งร้อน พวกเขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำเช่นนี้มานานแล้ว และหลังจากผลการทดลองที่ดำเนินการโดยนักชีววิทยาชาวเยอรมันเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนของไวรัสโคโรน่าในลำคอ พวกเขาได้เน้นย้ำอีกครั้งถึงความจำเป็นในการกลั้วคอด้วยน้ำและเกลืออุ่นๆ .. นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันให้คำมั่นกับกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนีว่า หากทุกคนล้างคอวันละหลายๆ ครั้งด้วยการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือกึ่งร้อน ไวรัสก็จะถูกกำจัดไปทั่วทั้งเยอรมนีภายในหนึ่งสัปดาห์ การทดลองแสดงให้เห็นว่าการกลั้วคอด้วยน้ำและเกลือจะทำให้คอของเรามีสภาพแวดล้อมที่เป็นด่างโดยสมบูรณ์ และสภาพแวดล้อมนี้เป็นสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ coronavirus เพราะน้ำเกลือ pH ของปากจะเปลี่ยนเป็นด่าง ค่า pH และหากเรากลั้วคอวันละหลายๆ ครั้งด้วยการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เกือบร้อนแล้ว เราจะไม่ให้โอกาสที่ coronavirus ทวีคูณ ทุกคนจึงจำเป็นต้องกลั้วคอด้วยน้ำเกลือกึ่งร้อนวันละหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้า ก่อนออกจากบ้าน และหลังกลับบ้าน เพื่อไม่ให้เชื้อโคโรน่าเพิ่มจำนวนขึ้นแต่อย่างใด ในช่วงเริ่มต้นเดียวกัน ขอให้ทุกคนนำเคล็ดลับสุขภาพที่สำคัญและเรียบง่ายเหล่านี้ไปใช้ด้วยความมุ่งมั่น เมื่อบทความนี้กลายเป็นกระแสไวรัล คุณเองก็จะอยู่ในแวดวงของผู้ที่ต่อสู้กับการแพร่กระจายของ coronavirus ข่าวดี ๆ อย่างนี้ สื่อบ้านเราไม่เอามาลงหรอก กรุณาส่งให้คนที่คุณรักด้วยนะโควิด 2019ยาสมุนไพรผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้วmeter: false2 ความเห็น

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ
