(1461 ข้อความ)
- 1 คนสงสัยวัคซีนวัคซีนCOVID - 19 โดยปกติเชื้อโรคทุกชนิดเข้าสู่ร่างกายร่างกายจะมีวิธีจัดการเชื้อหลายแบบหนึ่งในนั้นคือเม็ดเลือดขาว Macrophage จะกลืนเชื้อเข้าไปและทิ้งเศษซากเชื้อบางส่วนไว้เรียกว่า แอนติเจน (Antigen) ร่างกายจะรู้ว่าแอนติเจนคือสื่งแปลกปลอม วัคซีนโควิด19 จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้คือขึ้นมาช่วยป้องกันการติดเชื้อหากได้รับเชื้อในอนาคตแต่ต้องใช้เวลาระยะนึงหลังฉีดวัคซีนร่างกายจึงจะสร้างภูมิขึ้นมาdiazp121phoenix• 3 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยจุดจบประเทศไทยเพื่อนส่งมาจาก USA จุดจบประเทศไทย ...... เรื่องนี้"คนไทยทุกคน"ควรที่จะได้รู้ ..... ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา ..... สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค ซึ่งเป็นสถาบันที่ สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14 ประเทศ ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง ! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์ และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศ ที่จะเกิดตามมา ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า "ประเทศไทย"จะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน ! ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ "การค้าเสรี"จะมีผลสมบูรณ์ สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่า. สินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๋ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากในอีก ไม่ถึง10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ "วิกฤต"ที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย "รัฐบาลไทย"จะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจาก"ธนาคารไทย"กลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร (เช่น สัมปทาน พลังงาน ที่กำลังเป็นอยู่ขนะนี้ ) ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้ ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา "คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ " ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ (เช่น ภาคกลาง จ.สุพรรณ อ่างทอง ชัยนาท อยุธยา ฯ ) และธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Lotus, Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น "เงินตรา"ของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด ... เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ... รัฐจะอยู่ได้ อย่างไร? (นี่คือโจทย์ ใหญ่ ที่ คสช.พลเอก ประยุทธ ต้องรีบแก้ปัญหาคนจนก่อนฯ) 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็น"ความล้มเหลวของรัฐบาลไทย " การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณ"จันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา " จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของ"ต่างชาติ"หมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง "การซื้อประเทศไทยคล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ เรา "คนไทย "จะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ? ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์ บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองธุรกิจการเมือง สังคมไปพร้อมกัน รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามองอาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ ก่อนล่มจริง ... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ โลตัสเหมือนกัน นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์ สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ ถ้าซื้อจากห้าง 1,000 บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาท ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง? ทั่วประเทศ คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด ผมอธิบาย วิธี"สิ้นชาติ"แบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ ได้ผล ... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน ... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ์ ) ให้ลูกฟัง ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธิ์ ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน ขนม"ต่างชาติ" ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ์ เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว ปล . ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ คิดว่า ช่วย กัน "ชาวไทย พิทักษ์ชาติไทย" ครับ ขอบคุณ ทุกท่าน ที่ "รักชาตินะครับข่าวการเมืองภาคใต้ภาคตะวันออก ผู้บริโภคเฝ้าระวังMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้ว2 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยFrom นายแพทย์สุธี ทุวิรัตน์ 25 ก.ค. 2564 สรุปประสบการณ์ในการดูแลรักษาครอบครัวที่ติดโควิดทั้งบ้าน 10 คน แบบ home isolation ครอบครัวนี้สมาชิก 10 คน ประกอบด้วย อากงและอาม่า อายุ ประมาณ 70 ปี อากงและอาม่า มีลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน ลูกชายเป็นพี่ชายคนโต แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว มีลูกอ่อน 2 คน เป็นฝาแฝด อายุ 2 ขวบ ลูกสาวคนโตก็แต่งงานแล้ว มีลูก 2 คน เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว ทั้งหมด 10 ชีวิต อาศัยอยู่รวมกันอย่างค่อนข้างจะแออัดในห้องแถวย่านตลาดน้อย ครอบครัวนี้เกิดโชคร้าย ติดเชื้อโควิดโดยไม่รู้ตัวว่าติดได้อย่างไร ติดจากใคร โดยมีไทม์ไลน์ดังนี้ วันที่ 12/7/64 อากงเริ่มมีอาการไอ วันที่ 15/7/64 ลูกสาวคนโตเริ่มมีอาการไอ วันที่ 17/7/64 ลูกสะใภ้ กับอาม่า เริ่มมีไข้ ไอ วันที่ 18/7/64 หลาน 2 คนที่เป็นวัยรุ่น เริ่มมีไข้ต่ำๆ, ลูกสาว อาการมากขึ้น เริ่มมีอาการเจ็บคอ ทั้งบ้านก็ยังไม่เฉลียวใจว่าติดเชื้อโควิดกันทั้งบ้านแล้ว วันที่ 19/7/64 ลูกสะใภ้ มีไข้สูง ไปตรวจที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน พยาบาลแนะนำให้แยกกักตัวเอง เพราะสงสัยจะเป็นโควิด ลูกชายและลูกสะใภ้แยกตัวไปนอนที่คอนโด วันที่ 21/7/64 ลูกสะใภ้รู้ผล และรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม, ลูกชายไปหาซื้อชุดตรวจมาได้ 4 ชุด ตรวจเสียไป 2 ชุด ผลตรวจ อาม่าเป็นบวก ลูกสาวเป็นลบ วันที่ 21/7/64 ผลการตรวจ rapid test ของอาม่าเป็นบวก ลูกชายพาอาม่าไปตรวจที่โรงพยาบาล แจ้งกับทางโรงพยาบาลว่าผลตรวจ rapid test เป็นบวก แต่โรงพยาบาลไม่ตรวจให้, ครอบครัวนี้เริ่มสติแตก พยายามดิ้นรนโทรติดต่อหาที่ตรวจแต่หาไม่ได้เลย มีที่พอจะรับตรวจ ก็อยู่ไกล และจำกัดจำนวนตรวจ ต้องไปวัดดวงรอว่าจะได้รับการตรวจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวนี้จะไปตรวจได้ เพราะทุกคนเริ่มป่วยและมีอาการแล้ว รวมทั้งเป็นคนแก่และเด็ก สุดท้ายมีเพื่อนของลูกชายช่วยนัดจองคิวตรวจอากงและอาม่าได้ 2 คน ได้คิวตรวจที่แลบเอกชนในวันที่ 23/7/64 วันที่ 21/7/64 ลูกชายไปต้องไปนอนค้างคืนที่โรงพยาบาลจุฬา เพื่อแย่งจองคิวตรวจที่จำกัดวันละ 50 คน วันที่ 22/7/64 ลูกชายได้รับการตรวจที่ รพ.จุฬา ผลเป็นบวก ได้รับการรักษาที่ รพ.จุฬา วันที่ 22/7/64 หลานอายุ 2 ขวบ 2 คนเริ่มมีไข้ ประมาณ37.5ให้ทานยาลดไข้ และเช็ดตัว ไข้ลง วันที่ 23/7/64 เด็ก 2 คนเริ่มมีไข้สูง 38.8 และ 38.6 เช็ดตัวไข้ไม่ลง นอนซึม วันที่ 24/7/64 เด็ก 2 คนอาการดีขึ้น ไข้ประมาณ 37.5 เริ่มทานขนมได้ วันที่ 25/7/64 ลูกสาว 2 คน และหลาน 2 คนที่เป็นวัยรุ่น จองคิวตรวจได้ที่ หน่วยตรวจเชิงรุกของกทม.ที่เขตดุสิต และไปรับการตรวจแล้ว ได้รับการแจ้งว่าต้องรอผล 2 วัน จะแจ้งทาง sms ตั้งแต่วันที่ 21/7/64 ที่รู้ว่ามีคนในครอบครัวนี้ติดโควิด ครอบครัวนี้พยายามหาทางที่จะติดต่อแจ้งไปหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 1330 1668 1669 สาธารณสุข แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ยอมรับแจ้ง โดยอ้างว่าเป็นกฎที่จะรับแจ้งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ติดเชื้อโควิดได้ ต้องมีผลการตรวจแบบ RT PCR เท่านั้น แม้ว่าครอบครัวนี้จะพยายามชี้แจงว่าเป็นผู้ติดเชื้อ เพราะมีคนในครอบครัวติดเชื้อและรักษาตัวในรพ.สนามแล้ว และคนที่เหลือในครอบครัวหาที่ตรวจโควิดไม่ได้ ขนาดเอาผลการตรวจของภรรยาลูกชายคนโตและบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ยอมรับแจ้ง และไล่ให้ต้องไปตรวจด้วย RT PCR มาก่อนเท่านั้น เมื่อรู้ว่าติดโควิดทั้งครอบครัว ก็ดิ้นรนหาซื้อชุดตรวจ และหาซื้อยาฟ้าทะลายโจร กระชาย ทั้งยาไทยและยาจีน ทุกตัวที่โฆษณาว่ารักษาโควิดได้ มากินกันทั้งครอบครัว น้องผมที่เป็นลูกเขยของบ้านนี้ ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผมในคืนวันที่ 21/7 ผมได้โทรไปสอบถามอาการของคนในครอบครัวนี้พบว่า อาม่า และน้องสะใภ้ผม เริ่มมีอาการไอมากและหอบเหนื่อย พูดได้ไม่เยอะ พูดไปไอไป เชื้อน่าจะเริ่มลงปอดแล้ว ผมประเมินดูแล้วมั่นใจว่าหาเตียงในโรงพยาบาลไม่ได้แน่ๆ ครอบครัวนี้น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อโควิดสีเหลือง และมี 2 คนที่น่าจะกำลังเป็นสีแดง โอกาสที่จะรอดของครอบครัวนี้คือ รักษาตัวที่บ้าน ผมตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาไปในการติดต่อหาเตียงตามโรงพยาบาลต่างๆ การหายาฟาวิพิราเวียมาให้เร็วที่สุด คือทางรอดเดียวของครอบครัวนี้ เพื่อป้องกันไวรัสลงปอด และลดการแพร่เชื้อไวรัส แม้ว่าจะติดเชื้อกันทั้งบ้านแล้ว แต่การอยู่กันอย่างแออัด 10 คนในห้องแถวเล็กๆ จะมีไวรัสออกมากับลมหายใจตลอดเวลา และทุกคนก็หายใจเอาไวรัสของคนในครอบครัวอีก 9 คนตลอดเวลา น่าจะทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้นทุกคน วันที่ 22/7 ผมและน้องชายพยายามติดต่อหาซื้อยาฟาวิพิราเวีย จากเพื่อนที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่สามารถหาซื้อได้เลย ทุกโรงพยาบาลยืนยันว่าการจะจ่ายยา ต้องสั่งโดยหมอ infectious และต้องมีใบตรวจด้วย RT PCR ของแต่ละคนเท่านั้น ผมและน้องชายพยายามติดต่อหาที่ตรวจ RT PCR และ RAT แต่ก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับตรวจ ขนาดน้องชายผมเป็น FT โรงพยาบาลเอกชน บอกว่าเป็นญาติและนามสกุลเดียวกัน ก็ยังไม่รับตรวจ และไม่จ่ายยาฟาวิพิราเวียให้ ผมเลยต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆศิริราช ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจ และช่วยหายาฟาวิพิราเวีย ได้ 3 ชุด เมื่อได้ยามาแล้ว ผมให้อากง และอาม่า กับลูกสาวที่เริ่มมีอาการหายใจเหนื่อยหอบได้ทานยาก่อน เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงและเริ่มมีอาการหนักแล้ว วันที่ 23/7 หลังจากได้ยาฟาวิพิราเวียไป 2 โดส อาม่าและลูกสาวที่อาการหนักที่สุด อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คุยได้มากขึ้นไอน้อยลง และต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยหายาฟาวิพิราเวียร์ มาให้อีก 3 ชุด และส่ง pulse oximeter มาให้ วัดออกซิเจน อาม่าและลูกสาว ได้ประมาณ 94 ส่วนคนอื่นได้ 96 ยกเว้นเด็ก 2 ขวบ 2 คน วัดได้ 93 แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิ้วเด็กหรือเปล่าเลยวัดได้ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่อาการเด็กก็เริ่มมีไข้สูงและเริ่มซึมแล้ว แนะนำให้ทานยาลดไข้พาราเซต และเช็ดตัวบ่อยๆ และวางแผนว่าถ้าวันที่ 24/7 อาการแย่ลง จะแบ่งยาฟาวิพิราเวียของลูกสาวคนที่ไม่มีอาการ มาให้เด็กทั้ง 2 คน แต่โชคดีที่ เมื่อวานนี้ไข้เริ่มลด และเด็กอาการดีขึ้น วันที่ 25/7 ทุกคนในครอบครัวอาการดีขึ้นแล้ว แต่จมูกยังไม่ได้กลิ่น วัดออกซิเจน ได้ 98 ทุกคน สรุป 1. ยาฟาวิพิราเวีย จำเป็นมากสำหรับการรักษาตัวเองที่บ้าน และต้องรีบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการหนัก 2. สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาทางไกลคือ การให้กำลังใจ เพราะคนไข้จะวิตกกังวลมาก กลัวตาย กลัวไปทุกเรื่อง ผมโทรไปถามอาการและชวนพูดคุยบ่อยมาก ทุก 2-3 ชั่วโมง 3. ควรจะต้องมียาลดไข้ ยาแก้ไอ และฟ้าทะลายโจร ติดบ้านไว้ 4. ตอนนี้โควิดมันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว แม้แต่อยู่แต่ในบ้านยังติดโควิดได้ ครอบครัวนี้อากงอาม่าและลูกสาว 2 คนอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลูกชายและลูกสะใภ้ที่ทำงานนอกบ้าน แต่อากงติดเชื้อเป็นคนแรกเลย ยังไม่รู้ว่าติดได้อย่างไร ยิ่งทำให้สงสัยว่าน่าจะติดจาก airborne 5. ให้ทานน้ำเยอะๆ ผมสั่งให้กินน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร และทุกครั้งที่โทรไปจะกระตุ้นให้กินน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยเรื่อง hydration 6. ผมให้คนไข้ทุกคน วัดไข้ จับชีพจร และนับการหายใจทุก 1 ชั่วโมง บันทึกไว้ วัตถุประสงค์เพื่อให้คนไข้ได้รู้จักสังเกตุอาการตนเอง ต่อมาเมื่อมี pulse oximeter ผมก็เปลี่ยนมาให้ทุกคนบันทึก ออกซิเจนและชีพจร ของตนเอง ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้ให้คนไข้ได้รู้การเปลี่ยนแปลงของตนเอง และช่วยให้ผมที่เป็นหมอสามารถที่จะมาประเมินทบทวนอาการของคนไข้ย้อนหลังได้ 7. ในกรณีเลวร้ายสุดๆ คือยาฟาวิพิราเวียไม่ได้ผล และคนไข้เริ่มมีอาการปอดอักเสบชัดเจน ผมจะไม่พยายามไปหาออกซิเจนมาให้ เพราะรู้ว่าไม่ได้ผล มีแต่จะทำให้คนไข้ทรมานมากขึ้น เพราะคนไข้ที่ปอดอักเสบรุนแรง ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็น high flow oxygen แต่ผมจะทดลองให้การรักษา ด้วยวิธีการที่ยังไม่เคยมีใครทดลองมาก่อน แต่อาจจะได้ผลสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ ซึ่งถ้าเพื่อนๆมีญาติหรือคนในครอบครัวที่เริ่มมีปอดอักเสบและไม่สามารถหาเตียงในไอซียูได้ หลังไมค์มาคุยกันนะครับ ยินดีแชร์ให้ฟังครับ แล้วเพื่อนๆให้คนไข้ตัดสินใจเองว่าจะทดลองรักษาตัวตามสูตรของผมหรือไม่ 8. ตอนนี้การติดเชื้อแพร่ระบาดเข้าไปในครัวเรือนแล้ว เมื่อพบผู้ติดเชื้อ 1 คน สมาชิกในครอบครัวจะติดเชื้อไปแล้วทุกคน ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข ต้องยกเลิกกฎที่บังคับให้ต้องมีผลตรวจ RT PCR ทุกคนถึงจะรับลงทะเบียนเข้าระบบ ควรจะใช้แค่ผลการตรวจ rapid test และกระทรวงสาธารณสุข ต้องมีหน้าทีจัดหาชุดตรวจ ATK ส่งไปให้คนในครอบครัวผู้ป่วยทุกคน เพื่อที่จะรีบตรวจและคัดกรองผู้ติดเชื้อ ไม่ใช่ผลักภาระให้ผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ต้องไปดิ้นรน หาที่จองคิวตรวจด้วยตัวเอง และก็เอาเชื้อไปแพร่ให้คนรอบข้าง แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 9. ครอบครัวนี้น่าจะเริ่มติดเชื้อวันที่ 12/7/64 จนกระทั่งวันนี้ (25/7/64) ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงการตรวจด้วย RT PCR และไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด 10. ช่วยกันเรียกร้องกดดันให้กระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกระเบียบคำสั่งที่การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ติดเชื้อต้องมีผลการตรวจยืนยันด้วย RT PCR เท่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันที่การระบาดอย่างหนัก ควรจะยืนยันด้วยผลการตรวจ ATK ก็น่าจะเพียงพอแล้ว และต้องเป็นหน้าที่ของสธ. สปสช. ที่ต้องจัดหาและจัดส่งชุดตรวจ ATK ไปให้ครอบครัวของผู้ติดเชื้อ เพื่อที่จะคัดกรองหาผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ 11. ถ้าคิดว่าโพสนี้เป็นประโยชน์ สามารถแชร์ต่อไปได้ครับ นายแพทย์สุธี ทุวิรัตน์ 25 ก.ค. 2564โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยโควิดเป็นแล้วกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่จากกรณีข่าวของวันที่ 9เมย ที่แพทย์ตรวจพบหญิงสาวจากจังหวัดชัยภูมิ ติดเชื้อโควิดรักษาตัวหายแล้วครบ 14 วัน เมื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว แพทย์ตรวจซ้ำพบเจอเชื้อโควิด 19 แต่ไม่มีไข้ และกรณีของคนเกาหลี เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ในวันศุกร์ (10 เม.ย.) รายงานว่า มีคนไข้ที่คิดว่าหายดีจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) กลับมีผลตรวจออกมาเป็นบวกอีกรอบ 91 คนโควิด 2019naydoitall• 6 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย“เพื่อไทย”ใกล้ล่มสลาย กลุ่มทุนจ่อเซ้งพรรค https://mgronline.com/specialscoop/detail/9680000084856ข่าวการเมือง เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 3 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยประเทศไทยมีหิมะวันที่32เดือน13มีหิมะตกที่ประเทศไทยMoui• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยปลุกเสกลูกเทพที่ดังรวมสถานที่คนที่ปลุกเสกลูกเทพเข้มขลังเสียดสีstd47926• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัย“พิธา” อาจทำก้าวไกลถูกยุบ! พบ “แถลงแยกดินแดน” ก๊อบปี้ “ช่อ-ธนาธร”อ.เจษฎ์ ชี้คำปราศรัย "พิธา" ปัตตานีเลือกนายกฯ หากมีเจตนาแฝงจะเข้าข่ายยุยงปลุกปั่น อาจนำไปสู่การ “ยุบพรรค” ก้าวไกล ด้าน “พล.ท.นันทเดช” ระบุนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” จี้สอบทั้งพรรคส้ม-เป็นธรรม-ประชาชาติ พบเนื้อหาแถลงการณ์แยกดินแดนปาตานี เนื้อความเดียวกับคำกล่าวของ “ช่อ พรรณิการ์-ธนาธร” เมื่อปี 65 กรณีที่ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ที่เรียกตัวเองว่า เปลาจาร์ บังซา จัดปาฐกถาเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี” เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2566 ที่ห้องประชุมศรีวังสา ตึกรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) โดยได้มีการแจกเอกสารเพื่อลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช มีข้อความว่า “คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกต้อง” ได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ด้วยมองว่านี่คือความพยายามในการแบ่งแยกดินแดน!std48049• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยhttps://www.bbc.com/thai/thailand-60676759ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเนเธอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินมากที่สุดในโลกhttps://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_wealth_inequality Here are the 10 countries with the highest wealth inequality: Netherlands (0.902) Russia (0.879) Sweden (0.867) United States (0.852) Brazil (0.849) Thailand (0.846) Denmark (0.838) Philippines (0.837) Saudi Arabia (0.834) Indonesia (0.833) https://worldpopulationreview.com/country-rankings/wealth-inequality-by-countryเสียดสีSuppakit Boontantapiwat• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยมีผู้เสียชัวิต หลังการฉีดวัคซีน ชิโนแวค จริงหรือไม่มีผู้เสียชัวิต หลังการฉีดวัคซีน ชิโนแวค จริงหรือไม่โควิด 2019วัคซีนโควิดMrs.Doubt• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยมุสลิม 1 ล้านคน ร่วมละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดฮะรอมในวันดังกล่าว ผู้แสวงบุญส่วนหนึ่งที่เสร็จสิ้นการประกอบขั้นตอนต่าง ๆ ของพิธีฮัจญ์แล้ว ยังเดินทางไปมัสยิดฮะรอม เพื่อทำการเวียนรอบกะอฺบะฮ์ (ตอวาฟ) ที่เรียกว่า ตอวาฟอัล-วิดา (การตอวาฟอำลา) เป็นวันที่ 2 เป็นที่น่าสังเกตว่า การขยายตัวครั้งใหญ่ของมัสยิดฮะรอม รวมทั้งมาตอวาฟ และการจัดเตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้ผู้แสวงบุญสามารถประกอบศาสนกิจได้อย่างสะดวกสบายstd48372• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยฝรั่งเศสลุกเป็นไฟ ตร.ยิงวัยรุ่นมุสลิม เพียงเพราะไม่มีสิ่งนี้!ผู้คนพากันออกมาประท้วงตามท้องถนน 3 คืนติดต่อกันหลังเกิดเหตุ มีการจุดไฟเผารถ ขว้างปาก้อนหิน และดอกไม้ไฟ มีผู้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีผู้ถูกจับกุมแล้ว 667 รายทั่วประเทศ หลังการประท้วงดำเนินมาเป็นเวลา 3 วัน ภาพวิดีโอที่แชร์กันบนโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย อยู่ข้างรถ เมอร์ซีเดส เอเอ็มจี โดยคนหนึ่งยิงใส่คนขัยวับรุ่นในระยะเผาขน ขณะที่เขากำลังถอยรถออกไป อัยการท้องถิ่นกล่าวว่า เขาเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นานเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวstd48372• 2 ปีที่แล้ว
- 3 คนสงสัยเคี้ยวเม็ดมะละกอรักษามะเร็งเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือนมะเร็งstd48316• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกัญชากัญชา เป็นพืชล้มลุกคล้ายต้นหญ้า มีสารเคมีอยู่ในใบกัญชาชื่อ Cannabinoids ซึ่งมีฤทธิ์สำคัญได้แก่ THC และ CBD ในปัจจุบัน กันชานิยมนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น สเปรย์ น้ำมัน แคปซูล เครื่องพ่นไอระเหยทางการแพทย์ ไปจนถึงการนำมาใส่ในอาหาร และเครื่องดื่มต่างๆ และในทางการแพทย์นั้น กัญชาทุกนำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ โดยแต่ละรูปแบบของการรักษา ให้ปริมาณความเข้มของสารแคนนาบินอยด์ที่ไม่เหมือนกัน และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลstd46308• 2 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยเคี้ยวเม็ดมะละกอรักษามะเร็ง ติดอันดับ 1 ข่าวปลอมถูกแชร์มากสุดปี 65ดีอีเอส เปิดสถิติข่าวปลอมประจำปี 2565 นโยบายภาครัฐครองแชมป์สูงสุด ส่วน เคี้ยวเม็ดมะละกอรักษามะเร็ง ข่าวปลอมถูกแชร์วนซ้ำบ่อยที่สุดอันดับ 1 น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ฝ่ายการเมือง เปิดเผย สถิติการตรวจสอบข่าวปลอม โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประจำปี 2565 (ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.2565 – 31 ธ.ค.2565) พบว่ามีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรอง 517,965,417 ข้อความ หลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 14,859 เรื่องแบ่งเป็น โดยหมวดหมู่นโยบายรัฐ 3,772 เรื่อง ตามมาด้วย หมวดหมู่สุขภาพ 2,344 เรื่อง หมวดหมู่เศรษฐกิจ 634 เรื่อง และหมวดหมู่ภัยพิบัติ 450 เรื่องstd47676• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยปชช. ระวังมิจฉาชีพแฝงตัวหลอกกดลิ้งก์ ลอยกระทงออนไลน์ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยปชช. ระวังมิจฉาชีพแฝงตัวหลอกกดลิ้งก์ ลอยกระทงออนไลน์ https://ch3plus.com/news/crime/ch3onlinenews/318993 #3PlusNews #ข่าวช่อง3ผู้บริโภคเฝ้าระวังMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยซิลิโคนทำให้อุดตันจริงไหมถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาเป็นสิวง่าย และเป็นคนที่สนใจในการอ่านส่วนผสมบนฉลากเครื่องสำอาง คุณคงจะพยายามมองหาส่วนผสมที่ทำให้เกิดการอุดตันและเลี่ยงที่จะใช้มันKhairun Nisa• 4 ปีที่แล้วmeter: middle3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอนุมัติแล้วจ่ายคนละ9,100 ให้อนุบาลถึงม.6หรือปวช.อนุมัติแล้วจ่ายคนละ9,100 ให้อนุบาลถึงม.6หรือปวช.Abd Zaaq• 4 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยยารักษาโรคมะเร็งหายขาดยารักษาโรคมะเร็งให้ไม่มีเชื้อ หายขาดจากมะเร็ง เป็นยาช่วยทำให้คนมีเรี่ยวมีเเรง โดยไม่ใช้เคมีgreen.immek• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชัชชาติ สิทธิพันธุ์ : สำรวจงบ กทม. ไปไหน ท่ามกลางดราม่า “งบเหลือ 94 ล้าน”นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับข้อมูลผ่านสาธารณะว่างบลงทุนของ กทม. เหลืออยู่เพียง 94 ล้านบาท ในวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ถึงกระนั้นทั้งผู้ว่าฯ และปลัด กทม. ต่างยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะ กทม. มีเงืนสะสมนับหมื่นล้านบาท ปัญหางบประมาณของ กทม. ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง หลังจากนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ออกมาเปิดประเด็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาเมื่อ 1 มิ.ย. โดยแจกแจงรายละเอียดของงบประเภทต่างๆ ก่อนสรุปว่า กทม. มีงบประมาณรายจ่ายเหลือเพียง 94 ล้านบาท "ด้วยเหตุนี้ ในปีงบประมาณ 2565 ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ คงไม่สามารถนำนโยบายที่ใช้หาเสียงมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มาก" ขณะที่ผู้ว่าฯ กทม. เจ้าของนโยบาย 214 ข้อ กล่าวว่า ไม่กังวลใจ เพราะเชื่อว่ามีเงินยังไม่ได้จ่ายเหลืออยู่ และยังมีเงินสะสมของ กทม. เป็นหมื่นล้านบาท ซึ่งให้สภา กทม. อนุมัติได้ อีกทั้งนโยบาย 214 ข้อ ก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานว่าใช้เงินเยอะ หลายเรื่องเดินได้โดยไม่ต้องใช้เงินข่าวการเมืองTulakarn Loyhar• 4 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยงานวิจัย "เพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ 20% " จริงหรือ ? มีการเผยแพร่ข่าวงานวิจัย จากประเทศบราซิล ที่อ้างทำนองว่า เมื่อทดลองเปิดเพลง 3 เพลงให้กับเซลล์มะเร็งเต้านม ในห้องปฏิบัติการ คือเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 (Fifth Symphony) ของ เบโธเฟน (Beethoven) , เพลงโซนาต้า สำหรับเปียโนสองตัว ใน D (Sonata for Two Pianos in D) ของโมสาร์ท (Mozart) และเพลง "Atmosphères" ของ ลีเก็ตตี้ (Ligeti) ... พบว่าเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 5 และเพลง "Atmosphères" ช่วยให้เซลล์มะเร็งตายลง เมื่อเทียบกับเพลงของโมสาร์ท หรือเมื่อเงียบสนิท !? แต่ทีมวิจัยชาวบราซิลดังกล่าว ไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมเพลงที่ส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายได้ และไม่รู้ว่าในเนื้อเยื่อปรกติจริงๆ จะให้ตอบสนองแบบนี้หรือไม่อย่างไร (งานนี้ เป็นการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ไม่ใช้กับมะเร็งที่อยู่ในตัวของสัตว์ทดลอง) และนักวิจัยยังยอมรับด้วยว่า วิธีการที่ใช้ทดลองนั้น ไม่สามารถหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ ตัวเลข 20% ที่มีข่าวกันนั้นเป็นตัวเลขที่ไปเขียนกันเอาเอง ! ซึ่งตอนนี้ นักวิจัยก็บอกว่าไม่ได้ทำการทดลองเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็ง อีกต่อไปแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีทุนวิจัย ดูรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ - เมื่อไม่นานมานี้ มีการเผยแพร่ข่าวสารการวิจัยที่อ้างว่า "ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ทำให้เซลล์มะเร็งตาย 20% ในห้องปฏิบัติการได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติ" . .. โดยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ Instituto de Biofísica Carlos Chagas Filho มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ริโอเดจาเนโร (Federal University of Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล ได้ศึกษาว่า ดนตรีอาจมีบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งได้ ทีมวิจัยที่นำโดย ดร. มาร์เซีย อัลเวส มาร์เกว คาเปลลา (Dr. Márcia Alves Marques Capella) ได้ทดลองให้เซลล์เพาะเลี้ยง ทั้งเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง ได้ฟังดนตรีหลายประเภท และผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน ทำลายเซลล์มะเร็งประมาณ 20% ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ในขณะที่เซลล์ปกติไม่เกิดผลกระทบ ซึ่งยังไม่ทราบว่ากลไกที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์นี้คืออะไร แต่อาจเป็นไปได้ว่า จังหวะ ความถี่ หรือความข้นของเสียง อาจเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งจะมีการทดลองเพิ่มเติมที่รวมถึงเพลงจังหวะแซมบา (Samba) และฟังค์ (Funk) ด้วย - จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เพราะข้อกล่าวอ้างดังกล่าวนี้ ได้เริ่มถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว โดยเป็นบทความข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน O Globo ในบราซิล ที่ระบุว่าเซลล์มะเร็ง MCF-7 (เป็นเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ที่ตอบสนองต่อเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และกลูโคคอร์ติคอยด์ และเป็นหนึ่งในเซลล์มะเร็งที่ได้รับการศึกษามากที่สุดในโลก) เมื่อถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ใส่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทำให้ 1 ใน 5 ของเซลล์มะเร็ง MCF-7 ที่เพาะเลี้ยงนี้ได้ตายลง ขณะที่บรรดาเซลล์ที่รอดชีวิตหลายเซลล์มีขนาดเล็กลง ส่วนเพลง "Atmosphères" ของลิเก็ตติ ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน แต่ท่อนแรกของเพลงโซนาต้าสำหรับเปียโนสองตัว ของโมสาร์ทแทบไม่ส่งผลกระทบเลย ... ในบทความอ้างว่า การทดลองนี้ สามารถเปิดทางใหม่สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง และอ้างคำพูดของนักวิจัยนำ คือ ดร. คาเปลลา ว่า "เราเชื่อว่าเพลงซิมโฟนีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม ไม่ใช่ไปทำเซลล์มะเร็งตายโดยตรง" - หลังจากนั้น ดร. คาเปลลา ได้ตีพิมพ์บทความวิจัย ในปี 2013 ในวารสาร Noise and Health และอีกบทความหนึ่ง ในวารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ในปี 2016 หลังจากการทดลองอีกครั้งกับเซลล์มะเร็งเต้านม อีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ MDA-MB-231 .. (แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า วารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine นี้ ได้หยุดเผยแพร่ไปแล้ว ในปี 2024 หลังจากถูกถอดออกจากฐานข้อมูลวารสารวิชาการของ Clarivate's Web of Science เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพ) ซึ่งในบทความได้อ้างว่า มีการทดลองกับเซลล์มะเร็ง ที่เพาะเลี้ยงในจานเพาะเลี้ยง ด้วยการเปิดเพลงทั้งสามเพลง ผ่านลำโพง (มีอีกชุดการทดลองที่ไม่เปิดเพลงใดๆ เป็นชุดทดลองควบคุม) ทำซ้ำการทดลองอย่างน้อย 4 ครั้ง เพื่อยืนยันผลลัพธ์ - แต่บทความวิจัยเหล่านั้น ไม่ได้รายงานเกี่ยวกับ จำนวนของเซลล์ที่ตายแล้ว หรืออ้างว่า เพลงเหล่านี้มีพลังในการรักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีการเอาเพลงไปทดลองกับเซลล์ปกติ แต่บอกเพียงแค่ว่าเซลล์มะเร็งที่ใช้ในการทดลองนั้นมีลักษณะคล้ายเซลล์เยื่อบุผิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เลยเป็นแบบจำลองที่ดีในการศึกษาวิจัย ... ทีมวิจัยระบุว่า การทดลองนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อ "ทำความเข้าใจผลกระทบโดยตรง ของการสั่นสะเทือนทางเสียง ในรูปแบบของดนตรี ต่อเซลล์มนุษย์ที่เพาะเลี้ยงไว้ ให้ดีขึ้น" - ทาง ดร. Capella เน้นว่า การทดลองเหล่านี้กับเซลล์ในจานเพาะเลี้ยง และผลลัพธ์ "ไม่สามารถขยายไปยังมนุษย์ได้" พูดง่ายๆ ว่า แม้ว่าเพลงจะฆ่าเซลล์มะเร็งในสภาพห้องปฏิบัติการที่ควบคุมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเอาเพลงนี้ไปใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้ .. แถมเธอยังบอกว่า ไม่ถูกต้องที่จะไปพูดกันว่า "หนึ่งในห้า (หรือ 20%) ของเซลล์มะเร็งตายลง หลังจากถูกเปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเบโธเฟน" เพราะวิธีการที่ใช้ทดลองไปนั้น ไม่สามารถนำมาหาปริมาณการตายของเซลล์ได้ .. แถมด้วยว่า เธอก็ไม่เคยวางแผนการทดลองเพิ่มเติม กับเพลงฟังค์ หรือเพลงซัมบ้า ของบราซิลอย่างที่แชร์กันด้วย - ดร. Capella เพิ่มเติมด้วยว่า หลังจากที่ข้ออ้างเหล่านี้ได้แพร่ระบาดไวรัลไปทั่ว เธอก็พยายามให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNN Radio เพื่อขจัดความสับสน และหลังจากนั้น เธอก็ได้หยุดงานวิจัยเรื่องผลของดนตรีต่อเซลล์มะเร็งไปแล้ว เพราะหาทุนสนับสนุนงานวิจัยได้ยาก ข้อมูลจาก https://www.snopes.com/news/2025/02/15/study-beethovens-5th-cancer-cells/?cb_rec=djRfMl8xXzBfMTgwXzBfMF8wXwมะเร็งมีมไม่ระบุชื่อ• 9 เดือนที่แล้ว
- 1 คนสงสัยในเชิงภูมิศาสตร์และธรรมชาติ เมืองไทยเกือบไม่แพ้ประเทศแถบอบอุ่นที่พัฒนาแล้ว แต่ในเขิงสังคมและการเมือง ตอนนี้ประเทศไทยติดอันดับบ๊วยๆ แบบเขมรไม่มีผิดเลย…(หรือจะแย่กว่าเขมรก็ไม่รู้) ….นี่คือความจริง อย่างไรก็ตาม ปชช. คนไทยที่มีสติสัมปชัญญะ มีคุณธรรม อย่าพึ่งท่อนะครับ ต้องจำปล่อยวางและลองอ่านข้อเขียนเกี่ยวกับเมืองไทยในมุมหนึ่ง ของ ดร.ธรณ์ ดูว่าเผื่อจะหายเบื่อและไปพักผ่อนท่องเที่ยวในที่ซึ่งยังไม่เคยไป (ถ้ามีศักยภาพก็ไปเที่ยวเมืองนอกเปรียบเทียบกันดูด้วย) ... ------------------------------------ ระหว่าง นั่งรับลมหนาว น้อย ๆ ที่ ระเบียงหน้าบ้าน จู่ ๆ ก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อนธรณ์ รู้ไหมครับว่า เราอยู่ในประเทศน่าเที่ยว ที่สุดแห่งหนึ่ง ในโลก... ผมมีเหตุผล รองรับตามนี้เลยครับ 1 - ประเทศไทย ทอดยาวอยู่ในแนว เหนือ/ใต้ ทำให้เรามีภูมิอากาศ หลากหลาย หน้าร้อนไปทะเล หน้าหนาว ขึ้นเหนือ/อีสาน ลองดู เพื่อนบ้านของเรา สิงคโปร์ แม้เจริญ แต่อากาศร้อน คงที่ตลอดปี หน้าหนาว อยากไปรับลมเย็นให้ขนลุก ก็ไม่รู้ทำไง ต้องบินไปประเทศอื่น สถานเดียว (ซึ่งก็มาไทย นั่นแหละ) มาเลย์ อินโดนีเซีย เป็นแบบนี้ทั้งนั้น แม้อาจขึ้นเขาไปรับลมหนาว แต่ใช่ว่า ทุกคนจะไปได้ อีกทั้ง ขึ้นไปมีแต่ หินกับต้นไม้ มันดี แต่ถ้ามีเมือง มีร้านค้า มีคาเฟ่ มันก็ดีกว่า เนอะ 🧋 เราไปเชียงใหม่ เชียงราย เชียงคาน หรืออีกหลายร้อยแห่ง ที่นั่งจิบกาแฟ กินไข่กระทะที่อุณหภูมิ สิบกว่าองศาได้ ไอฟีล กู้ดดดดดด… 2 - ประเทศเรา ต่อเนื่องเป็นแผ่นดินเดียวตลอด ลองคิดถึงประเทศเป็นเกาะ จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง ต้องใช้เฟอร์รี่ หรือไม่ก็เครื่องบิน ซึ่งทำได้ เพียงบางคน แค่นั้น แม้แต่ญี่ปุ่น ที่ทอดตัวแนวเหนือใต้ ยังแบ่งเป็นเกาะใหญ่หลายเกาะ คนโตเกียว จะไปเล่นน้ำทะเล อุ่น ๆ ที่โอกินาวา ก็ต้องใช้เครื่องบิน ขณะที่คนเชียงใหม่ จะไปบางแสน พัทยาก็ขับรถถึง 3 - เรามีทะเล จุดนี้คนลาว คงอิจฉา น้อย ๆ ยิ่งถ้าคิดว่า เรามีทะเล 2 ฝั่ง แม้แต่ คนเวียดนามคนเมียนมาร์ ก็อาจคิด ทะเล 2 ฝั่ง หมายถึง เที่ยวได้ตลอดปี เวียดนาม ชายฝั่งยาวไกล แต่รับลมมรสุม ด้านเดียว เมียนมาร์ ก็เช่นกัน แต่ไทย…ไม่ ช่วงนี้ แม้มีลมแรง / ฝนตกที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก แต่ภาคตะวันออก เริ่มสงบ หรือแม้กระทั่ง อันดามัน เริ่มเปิดให้เที่ยวกันแล้ว ครับ ในช่วงกลางปี ลมเปลี่ยนทาง เราย้ายที่ไป ประจวบ ชุมพร สุราษฎร์ ฯลฯ ได้เช่นกัน ทะเลไทย เที่ยวได้ตลอดปี เราเลือกเที่ยวได้มาตลอด จนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ หากันง่าย ๆ 4 - ประเทศเรา ไม่ใหญ่แต่หลากหลาย ไม่ต้องลงทุนเดินทาง มากมายก็เปลี่ยนอารมณ์ได้แล้ว หลาน ผมเรียนอยู่ แคนาดา ตอนนี้หนาวจัด น้องผมไปรับหนีหนาว ต้องบินไกลข้ามไปฟลอริดา ซึ่งตอนนี้ คนอเมริกาก็แห่กันไป รัสเซีย ใหญ่มหึมา แต่บินมาไทยคึ่ก ๆ เพื่อหนีความหนาว คนยุโรป อยากไปนอนอาบแดด แช่น้ำให้คลื่นซัดซู่ ๆจะไปไหนดีล่ะ ? เราอยู่เขาใหญ่ 14 องศา ขับรถไปบางแสน 3 ชั่วโมง อุณหภูมิเพิ่ม 10 องศา ไม่ใช่หากันได้ง่าย ๆ นะจ๊ะ นั่นแค่ สภาพภูมิศาสตร์ อย่างเดียว ยังไม่พูดถึงศิลปวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่หลากหลาย อาหารอร่อยมากมาย สายมู ก็มีที่ให้เลือกเต็มไปหมด ขอเพียง รักษาธรรมชาติที่แสนดี ศิลปวัฒนธรรมที่แสนงาม วิถีชีวิต ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทย รักษาไว้ให้ได้ ประเทศเราจะเป็นประเทศ สุดสนุก แสนสบายในการเที่ยว ของคนไทย และเป็นประเทศ น่าเที่ยวที่สุดของคนทั้งโลก ไปอีกแสนนาน ขอบคุณ ประเทศไทย ครับ 🥰 🇹🇭 🙏🏼สภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัยสุดช็อค! “ธนาคารโลก”ประจานเศรษฐกิจไทย กำลังเจ๊งทั้งระบบเพราะ รัฐบาลโกงยอดคนอดตาย พุ่งเกินครึ่งของประชากร 27 พฤศจิกายน 2564 ราว 40 ล้านคน (57%) คนไทยรายได้ต่ำกว่า 150 บาท/วัน เพิ่มขึ้น 100% ตัวเลขหนี้ประเทศพุ่งทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี รวม 13 ล้านล้านบาท สูงแตะ 88-90% ต่อจีดีพี การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะกิน รัฐบาลกู้มือเติบ 7 ล้านล้านบาท ผลาญงบประมาณต่อท่อน้ำเลี้ยงคอร์รัปชั่น ⚫️เจ๊งทั้งประเทศ ธนาคารโลก (World Bank) เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทยในสภาวะวิกฤติ ผู้มีรายได้น้อย/คนไม่มีรายได้พุ่ง 40 ล้านคน หรือเกือบเท่ากับ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ จากการขอรับสิทธิ์ช่วยเหลือช่วงโควิดจากรัฐบาล คอร์รัปชั่นรัฐบาลประยุทธ์ ถูกสื่อต่างชาติ รายงานผลการประเมิน ว่า ไทยเป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่น โกงกิน เป็นอับดับที่ 1 ของโลก ฉุดประเทศถอยหลัง เศรษฐกิจพุ่งดิ่งลงเหว การคลังถังแตก-คนจนไม่มีจะกิน สอดคล้องกับตัวเลขคนจนที่พุ่งสูงขึ้น 100% โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 150 บาท (ครึ่งนึงของค่าแรงขั้นต่ำ) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 4.7 ล้านคน เป็น 9.7 ล้านคนในปัจจุบัน นอกจากนี้ธนาคารโลกยังงัดตัวเลขตอกย้ำความเน่าเฟะในยุคลุงตู่อีกด้วยว่า อัตราความยากจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.2 ปี 2558 เป็นร้อยละ 9.8 ปี 2561 สวนทางกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งที่รัฐบาลไทยกู้เงินมือเติบ 1.9 ล้านล้านบาท ถือว่ามากสุดในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็น 13% ของ GDP แต่ผลทีได้คือเศรษฐกิจเจ๊งมากสุดในเอเชีย กระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ 6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของ GDP และทำเงินหายไป 1.3 ล้านล้านบาท ⚫️หนี้ท่วมทะลุเพดาน ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ รัฐบาลที่สร้างหนี้มากสุดในประวัติศาสตร์ แต่เศรษฐกิจไทยก็เจ๊งมากสุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน ตัวเลขหนี้ล้นเพดานเติบโตพุ่งพรวดไปพ้อมกับความเหลื่อมล้ำ ตอกย้ำเศรษฐกิจลิเกหลวงที่ใช้ระบบเอื้อศักดินาแล้วปล่อยปลาเล็กปลาน้อยตายเรียบ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของประเทศพุ่งสูงแตะ 88-90% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจพังจากฐานราก คนไทยชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้เท่าเดิมแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น ไทยเหลื่อมล้ำพุ่งรอบ 10 ปี รวยจนห่างกันสูงสุด 20 เท่า หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มทะลุ 80% คนจนมีโอกาสเรียน ป.ตรีแค่ 3% เมื่อพิจารณาในส่วนของผู้ที่มีรายได้มากที่สุดแตกต่างจากผู้ที่มีรายได้น้อยสุดกว่า 20 เท่า โดยมีกลุ่มคนชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 35% สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มบน และการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง แม้ดูจะดีขึ้นจากปี 2550-2561 แต่จำนวนคนยากจนในปี 2560-2563 มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าจำนวนคนจนจะเพิ่มขึ้นมาในช่วง 3 ปีหลัง ⚫️โกง-จน-เจ๊ง ธนาคารโลกระบุถึงสาเหตุหลักที่เศรษฐกิจไทยถดถอย คือ ปัญหาการคอร์รัปชั่นของภาครัฐบาล [3] ซึ่งเป็นอันดับที่ 1 ในโลก นำไปสู่ ‘ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน’ ซึ่งเป็นปัญหาการขับเคลื่อนจีดีพีตามหลักเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะปัญหาธรรมาภิบาล หรือการทุจริต มีปัญหาทั้งภาคราชการและฝ่ายการเมือง นำไปสู่ปัญหาเกี่ยวเนื่องที่ไทยกำลังเผชิญ คือ การโกงงบประมาณ ความเหลื่อมล้ำ หรือการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน ‘ผู้นำบ้าอำนาจ’ คือเหตุผลที่ธนาคารโลกประจานไทยว่าเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่นในยุครัฐบาลประยุทธ์ เนื่องจากคนที่เข้ามามีอำนาจและมีหน้าที่ทางการเมืองไม่สามารถประนีประนอม (compromise) และหาจุดร่วมกันได้เพื่อนำพาประเทศให้ดีขึ้นได้ตามนโยบายที่ตนวางไว้ ผลคือในสายตาต่างประเทศ ประเทศเรามีปัญหาสนามแข่งขันที่ไม่ตรงหรือเอียง (Unlevel Playing Field) ระหว่างบริษัทไทยขนาดเล็ก บริษัทต่างชาติ เทียบกับบริษัทไทยขนาดใหญ่ เห็นได้จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ การจัดซื้อจัดจ้าง การให้สัมปทานสิทธิในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่จัดสรรโดยรัฐมักจะไม่มีบริษัทที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศในธุรกิจนั้นๆ เข้าแข่งขัน ผู้ได้สัมปทานจะเป็นบริษัทใหญ่ของประเทศกับบริษัทแนวร่วมต่างชาติที่จัดตั้งขึ้น ผลคืออำนาจทางเศรษฐกิจของบริษัทใหญ่นับวันจะมากขึ้น ผลวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2562 ชี้ว่า บริษัทขนาดใหญ่ 5% แรกของประเทศมีสัดส่วนรายรับสะสมสูงถึง 85% ของรายรับทั้งหมด มีส่วนแบ่งยอดขายมากถึง 46% และสัดส่วนกำไรกว่า 60% อำนาจทางธุรกิจแบบนี้ไม่จูงใจให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าแข่งขัน ขณะที่ผู้บริโภคเสียประโยชน์ข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 4 คนสงสัยน้ำมันมะพร้าว ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 5.4 ล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ตัวเลขนี้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยประชากรสูงอายุ หนึ่งในนั้นคือสตีฟ นิวพอร์ต แมรี่ นิวพอร์ต ภรรยาของเขาเป็นหมอ ดร.แมรีรู้ว่าสามีของเธอเป็นโรคอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรง เมื่อแพทย์ตรวจดูสามีของเธอที่โรงพยาบาล เขาขอให้สตีฟทาสีนาฬิกา แต่เขาวาดวงกลมสองสามวงแล้ววาดรูปสองสามตัวโดยไม่มีตรรกะ ไม่เหมือนนาฬิกาเลย!. หมอดึงเธอออกมาแล้วพูดว่า: "สามีของคุณใกล้จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรงแล้ว!" ปรากฎว่าเป็นการทดสอบว่าบุคคลนั้นเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่ ดร. แมรี่ในตอนนั้นอารมณ์เสียมาก แต่ในฐานะหมอ เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอเริ่มศึกษาโรค เธอพบว่าโรคอัลไซเมอร์เกี่ยวข้องกับการขาดกลูโคสในสมอง งานวิจัยของเธอกล่าวว่า: "ภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุก็เหมือนมีโรคเบาหวานที่ศีรษะ ! ก่อนที่จะมีอาการของโรคเบาหวานหรือโรคอัลไซเมอร์ ร่างกายมีปัญหามา 10 ถึง 20 ปีแล้ว" จากการศึกษาของ Dr. Mary โรคอัลไซเมอร์มีความคล้ายคลึงกับโรคเบาหวานประเภท 1 หรือประเภท 2 มาก สาเหตุก็คือความไม่สมดุลของอินซูลินด้วย เนื่องจากอินซูลินมีปัญหา จึงป้องกันไม่ให้เซลล์สมองดูดซับกลูโคส กลูโคสเป็นสารอาหารของเซลล์สมอง หากไม่มีกลูโคส เซลล์สมองก็ตาย ปรากฏว่าโปรตีนคุณภาพสูงเหล่านี้เป็นเซลล์ที่เลี้ยงร่างกายของเรา แต่สารอาหารสำหรับเซลล์สมองของเราคือกลูโคส ตราบใดที่เราเชี่ยวชาญแหล่งที่มาของอาหารสองประเภทนี้ เราก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของเราเอง! คำถามต่อไปคือ จะหากลูโคสได้ที่ไหน? ไม่ใช่กลูโคสสำเร็จรูปที่เราซื้อจากร้านค้า ไม่ได้มาจากผลไม้อย่างองุ่น เธอเริ่มมองหาทางเลือกอื่น สารอาหารทดแทนสำหรับเซลล์สมองคือคีโตน คีโตนมีความจำเป็นในเซลล์สมอง ไม่พบคีโตนในวิตามิน *น้ำมันมะพร้าว* มีไตรกลีเซอไรด์ หลังจากบริโภคไตรกลีเซอไรด์ใน *น้ำมันมะพร้าว* แล้ว จะถูกเผาผลาญเป็นคีโตนในตับ นี่คือสารอาหารทางเลือกสำหรับเซลล์สมอง! หลังจากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ดร. แมรี่ได้เพิ่ม *น้ำมันมะพร้าว* ลงในอาหารของสามี หลังจากผ่านไปเพียงสองสัปดาห์ เมื่อเขาไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อทำการทดสอบภาพวาดและนาฬิกา ความก้าวหน้านั้นน่าทึ่งมาก ดร.แมรี่กล่าวว่า: "ในตอนนั้น ฉันคิดว่า พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของฉันหรือเปล่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้ผลหรอกหรือ แต่ไม่มีทางอื่นแล้ว ยังไงก็ดีกว่าถ้าใช้*น้ำมันมะพร้าว*ต่อไป" ปัจจุบัน ดร.แมรี่ เป็นส่วนหนึ่งของฐานปฏิบัติการทางการแพทย์แผนโบราณ เธอรู้ถึงความสามารถของยาแผนโบราณอย่างชัดเจน สามสัปดาห์ต่อมา ครั้งที่สามที่เธอพาเขาไปทำการทดสอบนาฬิกาอัจฉริยะ ผลงานดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแต่มีสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์และร่างกายด้วย ดร.แมรี่กล่าวว่า "เขาวิ่งไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาวิ่งได้ เขาอ่านหนังสือไม่ออกเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่ตอนนี้เขาสามารถอ่านได้อีกครั้งหลังจากกิน *น้ำมันมะพร้าว* เป็นเวลาสามเดือน" การกระทำของสามีของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้พูดในตอนเช้า ตอนนี้เธอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย: "ตอนนี้หลังจากที่เขาลุกขึ้น เขาก็ร่าเริง พูดและหัวเราะ เขาดื่มน้ำเองและถือช้อนส้อมสำหรับตัวเอง" บนพื้นผิวงานเหล่านี้เป็นงานประจำวันที่เรียบง่าย แต่เฉพาะผู้ที่มาที่คลินิกหรือมีญาติที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่บ้านเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับความสุขได้: ไม่ง่ายที่จะเห็นความก้าวหน้าดังกล่าว! หลังจากทอดผักใบเขียวและหัวหอมในน้ำมันมะพร้าว ทำเค้กกับมะพร้าว หลังจากทานน้ำมันมะพร้าว 3 ถึง 4 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 2-3 เดือนต่อมา ดวงตาก็สามารถโฟกัสได้ตามปกติเช่นกัน การศึกษาของเธอพิสูจน์ว่า *น้ำมันมะพร้าว* สามารถปรับปรุงปัญหาภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้จริงๆ ทา *น้ำมันมะพร้าว* ลงบนขนมปัง เมื่อใช้กะทิรสชาติดีเกินคาด คนหนุ่มสาวยังสามารถใช้เพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกัน และสามารถปรับปรุงได้หากพวกเขามีอาการของภาวะสมองเสื่อม ภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นเนื่องจากสารอาหารไม่สามารถขนส่งไปยังเซลล์สมองได้ และสารอาหารจะต้องส่งผ่านจากร่างกายไปยังสมองด้วยอินซูลิน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน การหลั่งอินซูลินไม่ใช่เรื่องง่าย “โภชนาการไม่สามารถไปถึงสมองได้ เมื่อเซลล์สมองถูกอดอาหารจนตาย พวกเขาจะขาดสติปัญญา” *น้ำมันมะพร้าว* มีไตรกลีเซอไรด์สายกลาง ซึ่งสามารถให้สารอาหารไปยังสมองได้โดยไม่ต้องใช้อินซูลิน *ดังนั้นจึงสามารถปรับปรุงโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสันได้* อ่านบทความเสร็จแล้วอย่าลืมแชร์สุขภาพยาสมุนไพรไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ
