13121 ข้อความ
- 1 คนสงสัยข่าวการเมืองไม่ระบุชื่อ• 17 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกทม. เตรียมรับน้ำ เตือนชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยายกของขึ้นที่สูงเนื่องจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นไม่ระบุชื่อ• 18 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยงดทัศนศึกษาทั่วประเทศ หากโรงเรียนใดฝ่าฝืนปรับ 20,000,000 บาทเสียดสีไม่ระบุชื่อ• 18 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยคำเตือนจาก กทม. เรื่อง น้ำท่วม ทั้งมี และ ไม่มี ในกทม.ในปี 2567 จากสถานการณ์น้ำจะท่วม หรือ ไม่ท่วม ในพื้นที่เขตต่างๆของ กทม.สรุป ได้ เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มที่ 1 : เขตที่น้ำไม่ท่วม มี 12 เขต คือ ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ คลองสาน ป้อมปราบศัตรูพ่าย ราชเทวี วังทองหลาง พญาไท วัฒนา สาทร สวนหลวง ปทุมวัน และ บางนา 2. กลุ่มที่ 2 : เขตที่จะท่วม ช่วงสั้น ๆ มี 9 เขต ที่จะเสียหายบางส่วนจากปริมาณ "น้ำเจ้าพระยาขึ้น-ลง" ประกอบด้วย พระนคร ดุสิต สัมพันธวงศ์ บางรัก บางคอแหลม คลองเตย ยานนาวา พระโขนง และ บางซื่อ 3. กลุ่มที่ 3 : เขตที่จะเสียหายบางส่วน แยกเป็น 2 ส่วนคือ 3.1 เขตที่จะเสียหายเกิน 20% มี 9 เขต ได้แก่ ประเวศ คันนายาว มีนบุรี ลาดกระบัง สะพานสูง ลาดพร้าว บางกอกน้อย และบางบอน 3.2 เขตที่จะเสียหายน้อยกว่า 20% มี 8 เขตคือ ดินแดง ห้วยขวาง บึงกุ่ม บางกะปิ บางกอกใหญ่ จอมทอง ธนบุรี และบางขุนเทียน 4. เขตที่จะเสียหายแบบยกเขต และ ได้รับผลกระทบเป็นเวลานานมี 12 เขต ได้แก่ ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา บางพลัด บางแค ภาษีเจริญ หนองแขม ดอนเมือง บางเขน สายไหม หลักสี่ จตุจักร และคลองสามวา ใครที่อยู่ในเขตกลุ่มที่ 4 ต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน และ น้ำฝนที่จะตกลงมาเพิ่ม เพราะ เสมือน ท่านอยู่ในพื้นที่แอ่งกระทะ โอกาสถูกน้ำท่วมสูง และ ถูกท่วมนาน นะจาบอกให้ เมื่อ 3 น้ำ คือ น้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน และ น้ำฝน มาบรรจบกัน อย่ามาต่อว่า ว่า ทำไม จึงไม่ออกมาเตือน มิได้นะ มิได้นะ ไม่ได้หิวแสง ไม่ต้องการให้ทัวร์มาลง ท่านตรวจสอบเพิ่มเติมเอง 8 ตุลาคม 2567สภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 19 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผู้บริโภคเฝ้าระวังมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 20 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยมีม เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 20 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยภาคเหนือล้อเลียน เสียดสีไม่ระบุชื่อ• 20 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเตือนภัยมิจฉาชีพในแอปฯหาคู่ปัจจุบันแอปพลิเคชั่นหรือโซเชียลมีเดียเพื่อการหาคู่ได้รับความนิยมมากของคนทุกวัย เนื่เองจากสามารถเชื่อมต่อหาคู่ได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ความนิยมดังกล่าวก็เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพ อาชญากรไซเบอร์เข้ามาใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเหยื่อด้วยรูปแบบต่าง ๆ จากการสืบค้นข้อมูลในปัจจุบันได้ปรากฏกรณีการใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่เป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมโดยต่อเนื่อง เช่นล่าสุดได้ปรากฏว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ได้ใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่หลอกลวงเหยื่ออีกราย โดยมีการกักขัง ทำร้ายร่างกาย แต่เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้และจับกุมผู้กระทำผิดได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีการออกข่าวสารเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องให้ผู้ใช้บริการใช้ความระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อผู้ที่พบกันในโซเชียลมีเดียโดยง่าย ขอให้ตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะคบหาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะที่เข้ามายืมเงินและให้โอนเงิน ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอย่าโอนเด็ดขาด ให้สันนิษฐานก่อนว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาหลอกลวง ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ WWW.PRACHACHAT.NET/) ดังนั้นก่อนที่จะใช้แอปฯหาคู่ก็ควรที่จะมีวิธีป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนี้ 1. ควรระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก เมื่อใช้บริการแอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์ต่าง ๆ 2. ไม่ควรหลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดง่าย ๆ หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอ ควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย 3. พึงระลึกไว้เสมอว่า อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไป มักจะลงเอยไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่าย หากตกเป็นเหยื่อให้เก็บหลักฐานการโอนเงิน ภาพและข้อความการพูดคุยกับคนร้ายทุกช่องทาง แล้วรวบรวมหลักฐานเอกสารนำไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ) การใช้แอปหาคู่สิ่งที่ควรตระหนักไว้เสมอคืออย่าไว้ใจใครง่ายๆระมัดระวังความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินไว้ให้ดีอย่าประมาทจงมีสติ แค่นี้ก็ปลอดภัยจากภัยรักออนไลน์ได้แล้ว #ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม #อีสานโคแฟค #โคแฟคประเทศไทย #ชมรมสื่อสร้างสรรค์มมส #สื่อสร้างสรรค์มมสofficialwuttikon459• 20 วันที่แล้วmeter: mostly-true--middle3 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผู้รับเหมาทิ้งงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเลชายหาดหนองแฟบภาคตะวันออกKANTA• 20 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 20 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยอาการ Mucus Fishing Syndrome หากดึงเมือกออกมา จะกระตุ้นการระคายเคืองสุขภาพไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเมืองเชียงใหม่จะจมบาดาลใน 6 ชั่วโมงภาคเหนือสภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกรมการข้าว เตือนภัยอย่าหลงเชื่อ เพจเฟซบุ๊ก พันธ์ทวีมอลล์ คอร์ปอเรชั่นภาคอีสานผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยธอส. ประกาศโครงการเงินกู้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย โดยพักชำระหนี้นาน 3 เดือนภาคเหนือสภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยรัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ตใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนได้ที่ธนาคารออมสิน กรุงไทยไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกทม. ออกกฎใหม่ สามารถขายแผงลอยบนถนนหรือพื้นที่สาธารณะได้ไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยพบรถทัศนศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.นครพนม เกิดกลุ่มควันขึ้น ขณะเดินทางภาคอีสานไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเงินเดือนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท เริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยปากกาฟอกฟันขาวอันตรายไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้ว
- 1 คนสงสัยปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?“ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้งสุขภาพธนกฤต ราชัย• 21 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสุขภาพผู้บริโภคเฝ้าระวังมีมไม่ระบุชื่อ• 21 วันที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยกัญชารักษาโรคซึมเศร้าได้จริงไหม?ในปัจจุบัน กัญชาถูกพูดถึงมากขึ้นในแง่ของสรรพคุณทางยา และหนึ่งในโรคที่หลายคนสงสัยว่ากัญชาจะช่วยรักษาได้คือ โรคซึมเศร้า แต่ความจริงแล้ว กัญชาช่วยรักษาโรคซึมเศร้าได้จริงหรือไม่? ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า กัญชาไม่ได้เป็นยาที่รักษาโรคซึมเศร้าได้โดยตรง แต่สาร CBD ที่อยู่ในกัญชา มีศักยภาพในการช่วยบรรเทาอาการบางอย่าง เช่น ความวิตกกังวล การนอนไม่หลับ และอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.rama.mahidol.ac.th ) กัญชามีกลไกเข้าไปลดการกระตุ้นในสมอง ทำให้อาการดีขึ้นร่วมกับการนอนหลับ ส่วนการใช้กับโรคซึมเศร้า ยังไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจน ในทางกลับกันพบว่าอาจจะส่งผลเสียต่อการดำเนินโรค ตัวอย่างเช่น กลุ่มโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว โรคจิตเภท ปัญหานอนไม่หลับ ส่วนในด้านกลไกการทำงาน สันนิษฐานว่าสารในกัญชาอาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้าได้โดยการปรับระดับสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนินและโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความสุขนั่นเอง (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://suicide.dmh.go.th/abstract/details.asp?id=3607 ) ดังนั้น แม้ว่าจะมีหลักฐานบางส่วนบ่งชี้ว่ากัญชามีสารช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้ แต่การใช้กัญชาในการรักษาโรคซึมเศร้ายังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและวิจัยเพิ่มเติม การตัดสินใจใช้กัญชาในการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอแพทย์จะประเมินสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดยาสมุนไพรPongsapak Laonet• 22 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย🚨อำเภอลับแล ขอแจ้งเตือน 🚨 พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินบนภูเขาถล่ม ให้เตรียมอพยพประชาชนไปจุดปลอดภัย หากมีปริมาณฝนมากกว่าหรือเท่า 100 มิลลิเมตร . 🚨ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่ม อำเภอลับแล ได้รับการแจ้งเตือนจากศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่มจังหวัดอุตรดิตถ์ 📌ศูนย์ฯอุตรดิตถ์ ได้ติดตามวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ปริมาณน้ำฝนที่ผ่านมาพบว่า มีฝนตกหนักเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอลับแล ส่งผลให้ปริมาณความอุ้มน้ำของดินบนภูเขามีค่าวัดสูงมาก อาจจะทำให้เกิดการถล่มของดินบนภูเขาได้ 📌ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น ทางอำเภอลับแล จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อำเภอลับแล ดำเนินการสำรวจข้อมูลกลุ่มเปราะบาง แยกรายประเภท ทั้งผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และหากมีปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่เท่ากับหรือมากกว่า 100 มิลลิเมตร ให้เตรียมการอพยพประชาชนไปยังจุดปลอดภัย โดยให้ดำเนินการอพยพกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งกำหนดรายชื่อผู้นำอพยพในแต่ละหมู่บ้าน 📌มอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมสถานที่อพยพ 📌 ให้กำนันแต่ละตำบล ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ดำเนินการเป็นผู้นำการอพยพประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของตนเองไปยังพื้นที่ปลอดภัยภาคเหนือสภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 23 วันที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือไม่กินเม็ดชาไข่มุกทําให้เป็นมะเร็ง...!!จากกระแสบนโลกออนไลน์ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการกินเม็ด ชานมไข่มุกที่ส่งมาจากประเทศไต้หวัน จะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งเพราะ มีสาร ที่เป็นอันตรายต่อตับ ไต ระบบเลือด และระบบประสาท ซึ่งเป็น สาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งต่างๆ จากข้อความดังกล่าวที่มีการแชร์บน โลกออนไลน์นั้น ได้มีการตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) และได้ชี้แจงข้อสรุปว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง จากการที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประเทศไต้หวัน ได้มีการตรวจ สอบสิ่งที่พบจริงในเม็ดไข่มุกคือสารอะซิโตฟีโนน ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ ชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายอัลมอนด์ มักถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมน้ำหอมและอุตสาหกรรมยา ในเม็ดไข่มุกบางยี่ห้ออาจพบ สารเหล่านี้ในปริมาณน้อยมากแต่ไม่ใช่สารก่อมะเร็งดังที่ข่าวลือกล่าวอ้าง (อ้างอิงข้อมูลจากเว็ปไซต์ https://shorturl.asia/i74FQ ) และข้อมูลจากงานวิจัยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดไข่มุกเสริมใยอาหารพร้อมบริโภค ของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าในเม็ดไข่มุก หลายยี่ห้อมีส่วนผสมของแป้งมันสำปะหลังเป็นหลัก ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเป็นสาร อาหารหลักชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราต้องการและสวนผสมอื่นประกอบด้วย ผงเห็ดนางฟ้า เมือกกระเจี๊ยบเขียว อินูลิน แป้งดัดแปร คอนยัค คาราจีแนน น้ำตาล น้ำ เพียงเท่านั้น เป็นส่วนประกอบที่สามารถบริโภคได้ปกติทั่วไป (อ้างอิงข้อมูลโดยเว็บไซต์ https://shorturl.asia/mR2zQ ) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการกินเม็ดชาไข่มุกนั้นไม่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ดังที่แชร์ กันเพราะไม่มีสารประกอบใดๆที่เป็นอัตรายหรือก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่ถึงแม้ว่า การกินเม็ดไข่มุกไม่ได้ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็ง แต่ถ้าหากเราบริโภคไข่มุกในปริมาณที่ มากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ แทนได้เช่นกันสุขภาพมะเร็งประมุขตรัย ผิงอัน• 23 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอุปกรณ์ชาร์จโทรศัพท์มือถือสามารถดูดเงินในบัญชีออกไปได้ผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 24 วันที่แล้วmeter: false1 ความเห็น