13132 ข้อความ
- 1 คนสงสัยเข้าใจเฟคนิวส์ในมุมมองแพทย์ด้านประสาทวิทยา: “เราเชื่อ เพราะเราอยากเชื่อ”ในยุคที่ข่าวสารหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เฟคนิวส์ (Fake news) กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งบนช่องทางการสื่อสาร โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่เรื่องความเข้าใจด้านสุขภาพ ไปจนถึงทัศนคติทางการเมือง และการสร้างความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีความพยายามจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม ที่พยายามเคลื่อนไหวเพื่อหยุดยั้งเฟคนิวส์ ด้วยการรวมกลุ่มตรวจจับและพิสูจน์ข้อมูล แต่ดูเหมือนว่าเฟคนิวส์ยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง พร้อมคำถามที่เกิดขึ้นว่า “เหตุใดคนถึงเชื่อเฟคนิวส์?” ทั้งๆ ที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสามารถทำได้ง่ายในปัจจุบัน การพิสูจน์ความจริงในหลายเรื่องจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินตัว Hfocus ชวนคุยกับ หมอแพท-อุเทน บุญอรณะ นักเขียนและแพทย์ด้านประสาทวิทยา โดยมองเฟคนิวส์ผ่านมุมมองด้านจิตวิทยา หาคำอธิบายถึงสาเหตุที่คนพร้อมเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ พร้อมข้อเสนอการรับมือเฟคนิวส์ที่มีประสิทธิผล หมอแพทมองเห็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของเฟคนิวส์ในตอนนี้ อย่างไรบ้าง? สถานการณ์เฟคนิวส์มัน “เคยรุนแรง” เราผ่านช่วงความรุนแรงของเฟคนิวส์ไปแล้ว คำว่ารุนแรงของเฟคนิวส์ แพทไม่ได้นับที่ปริมาณเฟคนิวส์เยอะหรือน้อย แพทนับที่ปริมาณสติสัมปชัญญะของคนที่ React (ตอบสนอง) ต่อเฟคนิวส์ สมัยก่อน เวลาที่เฟคนิวส์ออกมา ทุกคนพร้อมจะรับเฟคนิวส์และดราม่ากับเฟคนิวส์ แต่เดี๋ยวนี้ คนเริ่มมีความ “เอ๊ะ” หรือ “จริงเหรอ?” การที่คนเริ่ม “เอ๊ะ” มากขึ้น แพทถือว่าคนเริ่มมีสติสัมปชัญญะขึ้น เราก็เลยผ่านจุด Crisis (วิกฤติ) ของเฟคนิวส์มาแล้ว เพราะทุกครั้งที่มีข่าว มันจะต้องมีใครสักคนที่จุดประกายขึ้นมาว่า “เฮ่ย จริงหรือเปล่า” แพทให้ไม่เกินคอมเมนท์ที่ร้อย มันต้องมีคนมาแบบว่า “ใช่เหรอ” “ความจริงเป็นแบบนี้ต่างหาก” หลายคนที่เล่นอินเตอร์เน็ต ยังเป็นนักจับเฟคนิวส์อีกด้วย เฟคนิวส์เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว เฟคนิวส์ไม่ได้มีเยอะขึ้น แต่เราแค่เห็นมันเยอะขึ้นในปัจจุบัน เพราะเราใช้โซเชียลมีเดียกันเยอะขึ้น เฟคนิวส์คือสิ่งเดียวกับกอซซิป (Gossip) หรือการนินทาชาวบ้าน เหมือนทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) และเหมือนแชร์ลูกโซ่ สี่เรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน มันคือ คือการโฆษณาชวนเชื่อแบบหนึ่ง เช่น เวลาเรานินทาใครสักคนหนึ่ง เราต้องการให้เขามาเป็นพวกเรา เราต้องการให้เค้า Against (ต่อต้าน) อีกฝ่าย ทฤษฎีสมคบคิดก็เหมือนกัน เราต้องการ Manipulate (ชี้นำ) ให้คนฟังเลือกข้าง และด่าอีกข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับแชร์ลูกโซ่ เราต้องการให้อยู่ฝ่ายเรา จงเอาเงินมาให้ฉัน ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แต่คนก็เชื่อ คิดว่าทำไมคนถึงเชื่อโดยไม่มีหลักฐาน? จริงๆ แล้วข้อความหลายอย่างไม่ได้น่าเชื่อถือสำหรับเรา เราไม่ได้เชื่อข้อความที่เขาบอกเรา แต่สิ่งที่เขาพูดมันดันไปตรงกับอะไรลึกๆ ในใจเราต่างหาก มันเป็นอะไรที่สั่นพ้อง หรือ Resonance ตรงกับความเชื่อในใจเรา เราจึงเชื่อ แล้วรับมันมาทันที ฉะนั้น ข่าวลวงอะไรที่เราเชื่อ มันคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนจริงๆ ของเรา มีกระบวนการทางจิตวิทยาอย่างไรที่ทำให้คนเชื่อ? เราเคยไหม ที่เราเกลียดใครบางคนโดยที่เราไม่เคยเจอเขา แค่ฟังเรื่องเล่าของเขาเฉยๆ จริงๆ สิ่งที่เราเกลียด คือ นามธรรมในตัวเขา เช่น เราได้ยินเรื่องเล่าของเขาที่เกี่ยวกับความโลภ เราเกลียดคนโลภ เลยไม่ชอบเขา แต่มันมีข้อความต่อท้ายอีกนิดหนึ่ง “ขนาดชั้นเป็นคนโลภ ยังไม่ทำแบบเขาเลย” เวลาเราเกลียดใคร สิ่งที่เราเกลียดคือภาพขยายของตัวเราที่เราเกลียด บางเรื่องที่ไม่ดีของเรา เรารู้ว่าไม่ดี เช่น ความโลภไม่ดี ขี้นินทาไม่ดี เราก็เลยเก็บไว้เป็นหลืบในใจ เราไม่ทำ แต่ทันทีที่เราเห็นใครทำสิ่งนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่ละอายอะไรเลย เราจึงเกลียดเขา ในแง่การทำงานของสมอง เฟคนิวส์ทำให้คนเชื่อได้อย่างไร? เราอาจใช้เฟคนิวส์เป็นตัวศึกษาสมอง หรือศึกษาความเชื่อของคน สมมติเวลาเรารับสารมาบางเรื่อง เราต้องไตร่ตรอง ดูหลักฐานข้อมูล ใช้ความรู้ที่เรามีคิดวิเคราะห์ สมองส่วนหน้า หรือ Prefrontal cortex ของเราจะทำงานว่าสารที่เรารับมาสมเหตุสมผลไหม ตรงกับความรู้ทั่วไปหรือเปล่า มีอะไรยืนยันไหม ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก (ทำท่าเช็คลิสต์) โอเค ครบหมด เชื่อถือได้ เรารับเข้ามา แต่ก็จะมีบางข้อความ ที่เหมือนว่าจะไม่ผ่าน Prefrontal cortex คือ เข้ามาในสมองเราปุ๊ป แล้วแบบมันใช่เลย ไม่ผ่านการคิดวิเคราะห์ใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ข้อความเข้าหูวิธีเดียวกัน ไป Activate (ทำงานกับ)สมองวิธีเดียวกัน แต่มันกลายเป็นความเชื่อฝังหัวไปเลยโดยที่ไม่ต้องผ่านสมองส่วนหน้า แสดงว่ามีบางส่วนในสมองเป็น “ทางผ่านลัด” เขาเชื่อกันว่าคือส่วนสมองบริเวณอะมิกดะลา (Amygdala) คือสมองส่วนที่เกี่ยวกับสัญชาตญาณ เช่น หากเรามีความเกลียดความชังฝังอยู่ หรืออะไรก็ตามที่ฝังไว้ลึก ถ้ามันไปสั่นพ้องกับตรงนี้ปุ๊ป ก็จะได้เข้าทางด่วน ไม่ต้องผ่านการพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น การคิดวิเคราะห์เรื่องเหตุผลและหลักการจะถูกยกเลิก ฉันจะเชื่อเขาทันที ที่พูดว่าคนเชื่อเพราะตรงกับอะไรบางอย่างในใจ แล้วถ้ามองในมุมของคนที่ปล่อยเฟคนิวส์ เราใช้จิตวิทยาเดียวกันกับการที่คนเชื่อเฟคนิวส์ มองคนปล่อยเฟคนิวส์ได้ไหม? ทุกคนทำอะไรมีจุดประสงค์ คนที่ปล่อยเฟคนิวส์ก็มีจุดประสงค์ จุดประสงค์ของเฟคนิวส์ส่วนมาก คือ สร้างความเกลียด ที่เหลืออาจเป็นการหวังผลทาง Financial (การเงิน) เพราะโลกเราหมุนด้วยสองอย่างนี้ คือความเกลียดและทุนนิยม เช่น แชร์ลูกโซ่ ปล่อยออกมาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า หรือเรื่องการกักตุนหน้ากาก ตอนแรกหน้ากากไม่ขาดแคลนจริงๆ ทันทีที่มีคนปล่อยข่าวว่าหน้ากากขาดแคลน คนก็จะเริ่มกักตุนหน้ากาก คนที่มีอำนาจ ก็ Panic (ตระหนก) ตามเฟคนิวส์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น หน้ากากขาดแคลนมีหลักฐานอะไรบ้าง หลักฐานมาโผล่ 1 สัปดาห์หลังจากที่เขามาบอกว่าหน้ากากขาดแคลน โรงพยาบาลเริ่มไม่มีหน้ากาก มีคนที่ได้ประโยชน์จากการกักตุนสินค้า นี่คือการหวังผลทางการเงิน การหวังผลทางการเงิน โยงกับการที่มีเฟคนิวส์ระบาดมากในประเด็นสุขภาพหรือไม่? การที่เขาบอกว่าให้กินมะนาวโซดาแก้ทุกโรค เราอาจมองว่าไม่มีใครได้รับประโยชน์ เพราะเขาไม่ได้ขายโซดา ไม่ได้ขายมะนาว แต่จริงๆ มีคนได้รับประโยชน์ พวกนี้จะมี Seeding คือการวางเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้วางใจศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน ให้มาเชื่ออย่างอื่นแทน มันจะไม่จบที่มะนาวกับโซดา มันจะไปจบที่ผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างหนึ่งที่เขารออยู่ที่ปลายทาง เขาหยดเมล็ดพันธุ์ ใส่ปุ๋ยนิดหน่อย ใส่น้ำตาม พอเมล็ดโตขึ้น ก็เก็บเกี่ยวพืชผล สมมติว่าคุณตั้งโพสต์เรื่องมะนาวโซดาในเฟซบุ๊คคุณ แล้วคุณให้มันโปรโมต ให้มันเก็บข้อมูลว่าใครที่เข้าถึงโพสต์นี้ แล้วคุณตั้ง Target (เป้าหมาย) คนที่เชื่อเรื่องมะนาวโซดามีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องอาหารเสริม แล้วคุณค่อยแอดอย่างอื่นเข้ามาทีหลัง ผ่านคนที่เข้าถึงข้อมูลมะนาวโซดา หรือเรียกว่า Retargeting คนกลุ่มนี้ ดังนั้น มะนาวโซดาคือด่านแรก คล้ายแบบสอบถามว่าเขาสนใจเรื่องการแพทย์นอกกระแส หรือการแพทย์หลอกลวงหรือไม่ ถ้าเขาชอบ คุณก็จะได้รายชื่อคนกลุ่มนี้มาขายของอย่างอื่นต่อ หลายครั้งที่เราเห็นความเกลียดเกี่ยวโยงกับกับเฟคนิวส์ หมอแพทมองว่าเฟคนิวส์จะทำงานไปได้ถึงขั้นไหน ทำให้เราเกลียดกันได้มากกว่านี้อีกมั้ย ? เฟคนิวส์เป็น “อุปกรณ์” ในการสร้างความเกลียด Boss (หัวหน้า) ของเฟคนิวส์ คือ ความเกลียด ถ้าให้ความเกลียดเป็นคนหนึ่งคน หรือเป็นหัวหน้าคนหนึ่ง มันใช้ลูกน้องที่ชื่อเฟคนิวส์มาทำให้มนุษย์เกลียดกัน แพทมองว่าตอนนี้เป็นจุดที่เฟคนิวส์อยู่ในช่วง Decline (ตกต่ำลง) คือ ปล่อยเฟคนิวส์มากี่ครั้ง ก็โดนคนจับได้ ต่อไป คนจะพบว่าเฟคนิวส์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้เรื่อง สร้างความเกลียดไม่ได้แล้ว มันจะมีอุปกรณ์ใหม่เกิดขึ้น เพราะความเกลียดจะยังอยู่ต่อไป Boss ใหญ่ยังอยู่ Boss แค่เปลี่ยนอุปกรณ์ เปลี่ยนลูกน้องในการสร้างความเกลียด คิดว่าอุปกรณ์ใหม่จะเป็นอะไรได้บ้าง? เมื่อก่อนอุปกรณ์คือ ความเชื่อ ใครเห็นไม่ตรงกันกับเราจะถูกตีตราเป็นแม่มด ถัดมาคือ ใครเห็นไม่ตรงกับเราถูกตีตราว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน ใครเห็นไม่ตรงกับเรา หากเป็นฝ่าย liberal หน่อย คนเห็นไม่ตรงกับเราคือสลิ่ม ทั้งๆ ที่การเห็นไม่ตรงกับเราไม่ได้แปลว่าทุกคนเป็นสลิ่ม อุปกรณ์จะมีการเปลี่ยนโฉมหน้าไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่รู้ อาจเป็นอย่างอื่นแทน อาจเป็นเฟคนิวส์ที่มีวิวัฒนาการกว่านี้ เช่น เฟคนิวส์ที่มีการสร้างหลักฐานมาเพิ่ม มีการศึกษาในเรื่อง Peer group (กลุ่มสมาชิก) ที่พูดกันว่าเรามักจะได้รับอิทธิพลจากสมาชิกกลุ่มให้คิดหรือเชื่อเหมือนกัน สามารถนำการศึกษานี้มาอธิบายเรื่องเฟคนิวส์ได้หรือไม่? มีงานวิจัยที่ทำมานานแล้ว เรื่อง “People in the lift” คือในลิฟต์มีหน้าม้าของทีมวิจัยอยู่ประมาณ 10 คน ทุกคนหันหน้าไปทางซ้ายหมด พอเราขึ้นลิฟต์เราก็จะหันไปทางซ้ายตาม เพราะเรากลัวการที่จะไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะเราไปอยู่ใน Chamber (ห้อง) ที่แคบเดียวกัน ถ้าเราไปอยู่ใน Chamber หนึ่ง มันจะทำให้เราอยากทำแบบหนึ่งโดยที่เราคิดว่าเราอยากทำ ทั้งๆ ที่เปล่าเลย สิ่งแวดล้อมบังคับให้เราอยากทำ การมองสังคมกับ Social network (เครือข่ายทางสังคม) ก็เหมือนกัน มันคือ Echo chamber (ห้องสะท้อนเสียง) เช่น บนทวิตเตอร์ คุณไปทวิตหรือรีทวิตอะไรที่เกี่ยวกับดาราเกาหลี แป็ปเดียวเท่านั้น หน้าฟีดของคุณจะมีแต่เรื่องศิลปินเกาหลีเต็มไปหมด เราจะเข้าใจว่าสังคมนี้ชอบศิลปินเกาหลีกันหมด แต่จริงๆ เปล่าเลย สังคมในทวิตเตอร์นั้นมีคนชอบเกาหลีแค่ติ่งหนึ่ง ที่เหลือพูดเรื่องอื่น เรื่องหมาแมว แต่เราเข้าใจว่าทวิตเตอร์เป็นโลกของเกาหลี เพราะเราไปอยู่ใน Echo chamber ที่มีแต่เสียงสะท้อนพูดถึงศิลปินเกาหลี มันเป็นการสะกดจิตบน Cyber space (พื้นที่บนโลกไซเบอร์) แบบใหม่ มันเป็น Echo chamber ที่ Force (บังคับ) ให้เราอินไปด้วย แต่บางครั้งหากเราอินอยู่แล้ว เราก็พยายามไขว่คว้าหา Echo chamber ที่เราอิน เข้าไปในนั้นเพราะรู้สึก Fit in (เหมาะสมกับเรา) มีแต่คนที่ชอบแบบเดียวกับเรา แต่สังคมไม่เหมือนในลิฟต์ เราเข้าถึงข้อมูลเยอะมากวันนี้ อยากเสิร์ชอะไรก็เสิร์ชได้ ทำไม Echo chamber ยังมีอยู่? เพราะความอยาก เราไม่อยากจะไปหาข้อมูลเพราะเราเชื่อมันแล้ว เหมือนเวลาที่เรากลับถึงบ้าน เราอยากจะหาบ้านใหม่อีกไหม ไม่ หรือเวลาเราอยู่ในฝูงของเราแล้ว เราอยากจะหาฝูงใหม่อีกไหม ก็ไม่ เวลาเราเจอคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราอยากจะหาคนใหม่ไหม บางคนก็ใช่ (หัวเราะ) แต่บางคนก็ไม่ มันคือความรู้สึก Feel at home ถ้าคุณเชื่อ คุณจะไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ว่ามันสมควรเชื่อหรือไม่ คนเรา เราอยากจะเป็นคนแบบไหน หรืออยากเสแสร้งเป็นคนแบบไหนให้สังคมเห็น ให้ไปดูเฟซบุ๊คของเรา สิ่งที่เราโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ค คือสิ่งที่เราอยากให้สังคมมองเราว่าเป็นแบบนั้น เราเป็นหรือเปล่า ไม่รู้ แต่เราเป็นคนยังไงที่แท้ทรู ให้ไปดูใน Google search history คือสิ่งที่บอกตัวตนของเราที่แท้จริง ถ้าเราไม่มีสิ่งที่คนเขาบอกเราใน Google search history นั่นแปลว่าเราพร้อมจะเชื่อเขา โดยที่ไม่ต้องไปหาข้อมูลมายืนยัน เรากลัวการที่เราไม่มีฝูง เราเป็นม้าลายที่อยากอยู่ในฝูงม้าลาย เราอยากอยู่ท่ามกลางคนที่คิดแบบเดียวกับเรา หรือเรารู้สึกว่านี่แหล่ะ ครอบครัว หรือฝูงของเราที่แท้จริง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของสัตว์ ถ้าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การแก้ไขปัญหาเฟคนิวส์ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยหรือเปล่า? แล้วทำไมเราต้องมองว่าเฟคนิวส์เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เฟคนิวส์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลไกการสร้างความเกลียด ความเกลียดเป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาจนปัจจุบัน เรายอมรับว่าความเกลียดเป็นสิ่งที่ผลักดันโลกไปข้างหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็น Bad energy (พลังงานเชิงลบ) ถ้าเรากำจัดความเกลียดได้ โลกเราจะเป็นอีกโฉมหน้าไปนานแล้ว แต่เรากำจัดความเกลียดไม่ได้ จริงๆ เฟคนิวส์เป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางธรรมชาติ มันอาจถูก Invent (คิดค้น) ด้วยมนุษย์ แต่มันคือกลไกธรรมชาติที่ดลใจให้มนุษย์เป็นไป แพทไม่ได้มองว่าต้องไปกำจัดมัน เรามองว่าจะรับมือกับมันยังไง หากเฟคนิวส์เกิดขึ้น เรามีการชั่งใจหนึ่งจังหวะก่อนเราจะเชื่อ ถามว่าตรงนี้เพียงพอไหมกับสังคม ตอบว่าเพียงพอ ถ้าเป็นแบบนี้ สังคมไม่ได้เสียสมดุลด้วยเฟคนิวส์แน่นอน ปัจจุบัน มีแนวคิดจัดการเฟคนิวส์ด้วยการรวมศูนย์ เช่น รัฐบาลตั้งศูนย์เฟคนิวส์มา หรือภาคประชาชนก็ตั้งกลุ่ม Fact checking ขึ้นมาเช่นกัน หมอแพทมองว่าการแก้ไขปัญหาควรเป็นทิศทางใด ถ้ามี Center (ศูนย์)มาดูแลตรงนี้ มันคือการให้อำนาจกับจุดใดจุดหนึ่ง ไม่เคยมีอะไรดีๆ ตามมาเลย เช่นที่ผ่านมา หน่วยงานต่อต้านคอรัปชั่น กลายเป็นหน่วยงานที่คอรัปชั่นเยอะสุด หรือศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ก็อาจเป็นจุดปล่อยเฟคนิวส์ซะเอง เราใช้วิธีการรับมือกับมันได้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะเอาศูนย์พวกนี้มาจัดการกับเฟคนิวส์ มันเหมือนเราเจอผี เหมือน “เอาซาดาโกะมาสู้กับคายาโกะ” มันมีแต่ความวิบัติ สิ่งที่ง่ายสุดคือผีก็อยู่ส่วนผี เราก็อยู่ส่วนเรา ถ้ามองให้เฟคนิวส์เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคม วันนี้มีเฟคนิวส์เรื่องนี้ อีกวันก็ซาไป เราจะรู้สึกว่าแล้วยังไง ไม่ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ การตั้งศูนย์มาสู้กับเฟคนิวส์ แพทมองว่าเรื่องใหญ่ไปหรือเปล่า จริงๆ สอนลูกที่บ้านก่อนสิ กาลามสูตรทั้งสิบ จงอย่าเชื่อใน 10 อย่าง จงรู้จักชั่งตวงวัดก่อนที่จะเชื่อ เริ่มต้นจากหน่วยเล็กที่สุดจากครอบครัว ให้ครอบครัวมี Critical thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) ก่อน สักวันเฟคนิวส์อาจจะหายไปเลยก็ได้ Critical thinking คือ “ภูมิคุ้มกัน” ที่เราจะต้องมีก่อนออกจากบ้าน ในเมื่อเราไม่มีทางกำจัดเฟคนิวส์ได้ทั้งหมด เราต้องติดอาวุธให้ตัวเอง ให้เราไม่เป็นเหยื่อของมัน และอาวุธที่ง่ายมาก คือ คุณมีการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริง แค่นี้พอแล้วstd48359• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยติดเชื้อไวรัส Parabola จากสุนัขและแมว ทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเลือดตามที่มีการโพสต์แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับประเด็นเรื่องติดเชื้อไวรัส Parabola จากสุนัขและแมว ทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเลือด ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการแชร์ข้อมูลว่า พบเชื้อไวรัส Parabola แพร่จากหมาและแมวมาสู่คน โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้จะทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเลือด ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ไม่มีชื่อเชื้อไวรัส Parabola ปรากฏในสารบบทางการแพทย์ในประเทศไทย ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย และวิธีการป้องกันตนเอง สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.ddc.moph.go.th หรือโทร. 1422 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีชื่อเชื้อไวรัส Parabola ปรากฏในสารบบทางการแพทย์ในประเทศไทยStd48358• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยสาวกรี๊ดลั่น งูเหลือมห้อยหัวแลบลิ้นทักทายอยู่ที่ประตูรถ คนแห่ทักขอทะเบียนเสี่ยงโชคนางนงนุช คชรินทร์ ยังบอกอีกว่า งูตัวดังกล่าว น่าจะแอบอยู่ใต้ห้องเครื่องหรืออยู่ใต้ท้องรถ มาเจออีกทีก็เห็นห้อยหัวออกมาแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านจึงนำคลิปดังกล่าวไฟโพสต์ลงเฟซบุ๊ก หลังจากโพสต์ไป ปรากฏว่าคนรู้จักและเพื่อนๆ ต่างพากันสอบถามทะเบียนกันยกใหญ่ ไม่ได้ห่วงกันเลย ซึ่งหลังจากจับงูเสร็จ พอขับรถกลับบ้าน ยังนึกหวั่นใจว่า ถ้าหากงูอยู่ในห้องโดยสาร จะทำยังไงโชคดีที่เห็นก่อน และก็ไม่พลาดที่จะซื้อเลขรถตัวเองไว้เสี่ยงโชคเหมือนกัน ซึ่งเมื่อวานก็ได้สั่งจองลอตเตอรี่ไว้แล้วstd48355• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกินเผ็ดช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลด ผอมเร็ววันที่ 30 พ.ย.64 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand เผยแพร่ข้อความระบุว่า ... ตามที่มีการให้ข้อมูล เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง กินเผ็ดช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลด ผอมเร็ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีข้อความที่หลายคนแชร์กันว่า การกินเผ็ดจะเป็นการเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ผอมเร็วขึ้นจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริก ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ากินเผ็ด โดยพริกทำให้น้ำหนักลงได้ ซึ่งการกินพริกปริมาณมาก ๆ เพื่อหวังลดน้ำหนัก หรือเร่งการเผาผลาญไม่ควรทำ เพราะสารแคปไซซินในพริกทำให้ระคายเคืองเยื่อบุต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มการหลั่งกรดอาจจะทำให้แสบท้อง ท้องอืดและปวดท้องอีกด้วย โดยพริกเป็นพืชที่มีรสเผ็ดร้อนเนื่องจากมีสารสำคัญ คือแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็น Pungent agent ทำให้ ระคายเคืองและแสบร้อน ปัจจุบันมีการนำสารแคปไซซินจากพริกมาใช้ประโยชน์ เช่น นำมาผลิตเป็นยาทาเฉพาะที่สำหรับบรรเทาอาการปวด บางสูตรตำรับพัฒนาเป็นลักษณะพลาสเตอร์ปิดทับผิวหนังซึ่งจะใช้ความเข้มข้นของสารแคปไซซินอยู่ที่ 0.025% – 0.25% นอกจากนี้สารแคปไซซินยังถูกนำไปผลิตเป็นอาหารเสริมบรรจุในแคปซูล โดยอ้างสรรพคุณเพิ่มการเผาผลาญอีกด้วย แต่ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าช่วยลดน้ำหนักได้ ประกอบกับสารแคปไซซินที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเป็นสารสกัดจากพริกและปริมาณที่ใช้ในการศึกษาเป็นปริมาณที่มากกว่าปริมาณที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ากินพริก หรือการกินเผ็ด ทำให้น้ำหนักลงได้ และไม่ควรกินพริกเพื่อหวังลดน้ำหนักหรือเร่งการเผาผลาญ เพราะอาจทำให้แสบท้อง ท้องอืดและปวดท้อง หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณข้อมูลและภาพ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailandstd48349• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเมียช็อกคาตา ฟ้าผ่าลงกลางเป้ากางเกงสามี ดับสลดกลางไร่ สภาพศพเสื้อผ้าขาดวิ่นวันนี้ (29 มิ.ย.66) เวลาประมาณ 16.30 น. ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เกิดฝนฟ้าคะนองเป็นบริเวณกว้าง มีรายงานเกิดเหตุสลดมีชายวัย 49 ปี ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิต ในเขตพื้นที่ตำบลห้วยแย้ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา จึงลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่วัด หลังรับแจ้งจากชาวบ้านว่าได้นำศพกลับมาบำเพ็ญกุศล ที่บริเวณศาลาการเปรียญวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านห้วยแย้ หมู่ที่ 13 ตำบลห้วยแย้ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีชาวบ้านมามุงดูและให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บริเวณศาลายังพบร่างของ นายสวัสดิ์ อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าในครั้งนี้ ชาวบ้านกำลังนำร่างบรรจุภายในโลงศพ จากการสอบถาม นางกลิ่นธูป อายุ 44 ปี เล่าว่าก่อนเกิดเหตุ ตนและสามีได้ทำไร่อยู่บริเวณกลางไร่มันของตนเองที่อยู่ในพื้นที่บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลห้วยแย้ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ก่อนเกิดเหตุตนได้บอกกับสามีว่าฝนกำลังจะตก เรารีบกลับเข้าร่มก่อน ก่อนที่ฝนจะตกลงมา เลยหลังจากนั้นตนได้เดินไปหาสามี แต่ยังไปไม่ถึงฟ้าได้เกิดผ่าลงมาบริเวณเป้ากางเกงของสามีตนอย่างจัง จนทำให้เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ซึ่งขณะที่ฟ้าผ่าลงมานั้นตนและสามีได้ก้มลงเพื่อหลบฟ้า ตนก้มลงแล้ว พอมองขึ้นมาอีกทีพบว่าฟ้าผ่าสามีตนหน้าหงายไปแล้ว ตนจึงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านเพื่อให้รีบนำตัวสามีส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งสามีของตนถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุที่เกิดฟ้าผ่าในครั้งนี้ ตนคิดว่าไม่ได้มาจากต่างหู เนื่องจากฟ้าผ่าบริเวณที่เป้ากางเกง แต่คาดว่ามาจากกระดุมของเป้ากางเกงที่ทำจากโลหะจนทำให้ฟ้าผ่าในครั้งนี้std48356• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยFake newsข่าวปลอม อย่าแชร์! ❌ โหลดแอปฯ ThaID แทนการใช้บัตรประชาชน จะโดนดูดเงินหลักล้านstd48348• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยคนบาปหนา ตัดจู๋หมา รังแกสัตว์! ชาวบ้านสุดทนคนใจบาปรังแกสัตว์ พาน้องไปรักษาได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีน้องหมาเพศผู้ สีน้ำตาล อายุประมาณ 2 ขวบ ถูกคนรังแกจนบาดเจ็บที่จู๋จนขาด มานอนซมบาดเจ็บภายในปั้มน้ำมัน ปตท. บ้านนาหนอง อ.เมืองเลย จ.เลย แม่บ้านปั้มน้ำมันสงสารช่วยเหลือเบื้องต้น จนมีชาวบ้านทราบข่าวแชร์และประกาศหาคนช่วยน้องหมาทันที ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังปั้มน้ำมัน พบนางวรรษา อายุ 64 ปี เล่าว่า ปกติน้องหมาจะมาอาศัยอยู่ภายในปั้มน้ำมัน แล้วจะหายไป -2 วัน ก็กลับมาที่ปั้ม มานอนและอยู่ที่นี้ จน 2-3 วัน ที่ผ่านมาเห็นน้องหมาเดินผิดปกติ เดินวนไปมา จนลุกขึ้นเดินไม่ไหว นอนทั้งวัน สังเกตที่จู๋ของน้องมีบาดแผลเลือดออก พบว่าที่จู๋น้องหมาเหมือนกับมีคนมาตัด หรือเอาสิ่งของรัดจู๋น้องหมาจนขาด จนน้องบาดเจ็บ เดินลุกไม่ไหว คาดว่าช่วงเวลาที่น้องหายไป คงไปถูกชาวบ้านที่ไม่ชอบรังแกจนบาดเจ็บ จนน้องต้องกลับมานอนที่ปั้ม จนมีชาวบ้านทราบข่าวมาเอาน้องหมาไปรักษาแล้วstd48355• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชายหนุ่มคนนี้กำลังตามหาน้องชายของเขา น้องชายของเขาหายไปไหน ทำไมเขาถึงเปิดดการระดมทุนในการค้นหา ข่าวปลอมหรือไม่!เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ตามหาน้องชายของเขา โดยเขาเดินหาน้องชายรอบหมู่บ้านแต่ก็ยังไม่เจอ น้องชายของเขาที่ชื่อ victor ก่อนหน้านี้น้องชายของเขาได้ออกมาเล่นกับเพื่อนช่วงเวลา17.00และได้หายตัวไปตอน19.00 เขาได้ขอเปิดการระดมทุนเพื่อค้นหาน้องชายของเขา จนขณะนี้ยังไม่พบeardoil• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยหมอดูบอกว่าวิญญาณในเรือดำน้ำไททัน บอกว่าเด็กวัย19ปีร้องไห้อยากกลับบ้านจริงไหมหมอดูบอกว่าวิญญาณในเรือดำน้ำไททัน บอกว่าเด็กวัย19ปีร้องไห้อยากกลับบ้าน พร้อมบอกจุดที่ร่างอยู่std48352• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยดรีมจมูกโด่งเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีมีผู้แชร์ข้อมูลบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครีม หรือเซรั่ม ที่สามารถทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกดั้งโด่งภายใน 7 วันนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะโครงสร้างของจมูก ประกอบด้วยโครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อนห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่ง จึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกาย รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใดๆ ของร่างกายได้ ทั้งนี้ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือเกินความจริง มีความผิดต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รองเลขาธิการ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า อย.เคยออกข่าวเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้เมื่อปี 2561 และกลับมาเตือนซ้ำอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา ขอให้ผู้บริโภคหยุดคิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่างๆ หากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556Std48358• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ตัวช่วยลดน้ำหนัก ความดัน-คอเลสเตอรอล-เบาหวาน ล้างไขมันอุดตันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกโรงเตือนประชาชนระวังข่าวปลอม ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ล่าสุดพบประชาชนให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน ขึ้นแท่นข่าวปลอมที่คนไทยสนใจสูงสุด รองลงมา น้ำสกัดย่านาง ใบเตย รากหญ้าคา ตราประสมบุญ ต้านมะเร็ง ช่วยรักษาแผล ในกระเพาะอาหาร ลดความดันสูง ย้ำ! ต้องมีสติ ศึกษาข้อมูลและแหล่งที่มาให้น่าเชื่อถือ วอนอย่าแชร์ต่อ logo-heading HOME NEWS HOT ISSUE เลือกตั้ง 2566 อนาคตประเทศไทย ดีอีเอส เผย เฟคนิวส์ รอบสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมเครื่องดื่มลดน้ำหนัก 27 May 2023 ดีอีเอส เผย เฟคนิวส์ รอบสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมเครื่องดื่มลดน้ำหนัก ดีอีเอส เผยสถิติเฟคนิวส์รายสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอม ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ตัวช่วยลดน้ำหนัก ความดัน-คอเลสเตอรอล-เบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน เตือนอย่าแชร์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกโรงเตือนประชาชนระวังข่าวปลอม ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ล่าสุดพบประชาชนให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน ขึ้นแท่นข่าวปลอมที่คนไทยสนใจสูงสุด รองลงมา น้ำสกัดย่านาง ใบเตย รากหญ้าคา ตราประสมบุญ ต้านมะเร็ง ช่วยรักษาแผล ในกระเพาะอาหาร ลดความดันสูง ย้ำ! ต้องมีสติ ศึกษาข้อมูลและแหล่งที่มาให้น่าเชื่อถือ วอนอย่าแชร์ต่อ ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 25 พฤษภาคม 2566 โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,173,017 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 272 ข้อความ ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 230 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 42 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 179 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 116 เรื่องยาสมุนไพรลดความอ้วนstd48349• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยชายคนนี้ถูกอันธพาลขู่จะฆ่า จึงตะโกนออกมาว่า kakanguนาย กะกัง กูอ่า ถูกอันธพาลใกล้บ้านขู่ฆ่าที่ไปช่วยเหยื่อไว้ เขาจึงออกมาและตะโกนว่า kakangu ที่หมายความว่า พวก!!! ให้มาช่วยstd48341• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยรวมเลขเด็ด "หลวงปู่แสง" เลขฝาโลง อายุ รถเคลื่อนร่าง ลูกศิษย์ลุ้นโชคงวด 1 ก.ค.66เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น ขณะที่ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ได้เกิดท้องฟ้าครึ้มมีเมฆผาปกคลุม และฝนตกปรอยๆ พอชุ่มฉ่ำอากาศเย็นสบาย ท่ามกลางฝูงประชาชนที่มางานพิธีต่างพากัน สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยบารมีของหลวงปู่แสง ญาณวโร ผู้เปี่ยมล้นด้วยจิตเมตตา ทำให้ลูกศิษย์ ลูกหลานทุกคนได้ชุ่มเย็น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเสี่ยงโชค คือเลขที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่แสง ที่ต่างหวังนำไปลุ้นรางวัลในงวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้ -หลวงปู่แสงเกิด 01/09/2467 -หลวงปู่แสงอุปสมบท 01/06/2490 -หลวงปู่แสงมรณภาพ 19/06/2566 เวลา 19.13 น. -อายุ 99 ปี 75 พรรษา -พระราชทานเพลิงศพ 25/06/2566 เวลา 15.00 น. -เลขทะเบียนรถตู้เคลื่อนร่างหลวงปู่แสง ขง 5980 -เลขฝาโลง 256std48355• 1 ปีที่แล้ว
- 2 คนสงสัยแอปเป๋าตัง ให้กู้เงิน 1 หมื่นบาท ลงทะเบียนได้ทุกอาชีพแอปเป๋าตัง ให้กู้เงิน 1 หมื่นบาท ลงทะเบียนได้ทุกอาชีพ . ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง แอปเป๋าตัง ให้กู้เงิน 1 หมื่นบาท ลงทะเบียนได้ทุกอาชีพ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย ธนาคารกรุงไทย พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ . จากกรณีการโพสต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขอสินเชื่อกับธนาคารกรุงไทย ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังนั้น ทางธนาคารกรุงไทยได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่มีบริการให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งแอปพลิเคชันเป๋าตัง เป็นแพลตฟอร์มด้านการเงินระบบเปิด สามารถใช้บริการแม้ไม่มีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย ให้บริการครอบคลุมทั้งบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) รองรับการทำธุรกรรมโอนเงิน เติมเงิน และชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ (G-wallet) รองรับการทำนโยบายของภาครัฐ บริการกระเป๋าสุขภาพ (Health Wallet) ตรวจเช็กสิทธิด้านสุขภาพผ่านเป๋าตัง บริการด้านการลงทุนพันธบัตรของรัฐผ่านวอลเล็ต สบม.รวมถึงบริการเกี่ยวกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ช่วยให้การจัดการบัญชีกยศ. สะดวก และรวดเร็ว . ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้หากพบ SMS อีเมล หรือ LINE ที่มีลิงก์แอบอ้างเป็นธนาคาร หรือพบเหตุผิดปกติ สามารถแจ้งผ่าน Facebook Fanpage Krungthai Care และ Krungthai Contact Center โทร 02-111-1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง . บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ปัจจุบันธนาคารกรุงไทยยังไม่มีบริการให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด . หน่วยงานที่ตรวจสอบ : ธนาคารกรุงไทย . 📌 ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม . LINE : @antifakenewscenter (http://nav.cx/uyKYnsG) Website : https://www.antifakenewscenter.com/ Twitter: https://twitter.com/AFNCThailand สายด่วน : ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111 ต่อ 87 . #ข่าวปลอม #ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม #AntiFakeNewsCenter #AFNCThailand #กู้เงิน #อstd48354• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเด็กถูกครูฟาดน่องลาย 11 คน ผู้ปกครองอึ้ง เหตุผลที่ลงโทษเพราะรองเท้าเปียกผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังครูท่านหนึ่งในโรงเรียนซึ่งผู้ปกครองให้เบอร์มา เพื่อสอบถามเหตุผลของการตีเด็กลงโทษเด็ก โดยคุณครูให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่ครูประจำชั้นตีเด็กเนื่องจากว่า ทางโรงเรียนได้กำชับเด็กอยู่เสมอ เวลาฝนตกห้ามพากันเล่นน้ำฝน เดี๋ยวจะไม่สบายและเกิดอุบัติเหตุได้ ในวันเกิดเหตุเด็กทั้ง 11 คนได้พากันเล่นน้ำฝนจนตัวเปียก ไม่ใช่แค่รองเท้าเปียก คือเปียกทั้งตัวเลย ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า ครูจึงต้องลงโทษ และข้อมูลต่างๆ ได้ประสานชี้แจงผู้ปกครองไปเรียบร้อยแล้ว รายละเอียดความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไปstd48352• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! ปรากฏการณ์ APHELION โลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ ระยะทาง 5 นาทีแสง หรือ 90,000,000 กิโลเมตรตามที่มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องปรากฏการณ์ APHELION โลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ ระยะทาง 5 นาทีแสง หรือ 90,000,000 กิโลเมตร ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีการโพสต์ข้อมูลที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ APHELION โลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ ระยะทาง 5 นาทีแสง หรือ 90,000,000 กิโลเมตร ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า Aphelion เป็นปรากฏการณ์ที่โลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 152,100,000 กิโลเมตร แต่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม (ในปี 2565 โลกจะอยู่ในตำแหน่งไกลดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 4 กรกฎาคม 2565) นอกจากนี้โลกยังมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 8 นาทีแสง สำหรับระยะห่างที่โลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า Perihelion จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม โดยมีระยะห่างประมาณ 147,100,000 กิโลเมตร ดังนั้นโลกไม่เคยเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ถึง 90,000,000 กิโลเมตร เลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นที่น่าสนใจว่าระยะห่างในช่วง Perihelion ที่ 147,100,000 กม. นั้นมีระยะห่างคิดเป็น 91,400,000 ไมล์ จึงเป็นไปได้ว่ามีผู้ที่ไม่ได้อ่านหน่วย และเอาตัวเลข 91,400,000 ไปเปรียบเทียบกับ 152,100,000 จึงอาจเกิดความสับสน ซึ่งระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก สามารถส่งผลต่อสภาพอากาศได้ ความแตกต่างเพียง 3% ระหว่าง Perihelion และ Aphelion นั้นมีผลน้อยมาก และปัจจัยอื่น ๆ เช่น แกนเอียงของโลก นั้นส่งผลต่อสภาพอากาศมากกว่า ดังที่เห็นได้ว่าในช่วง Perihelion เดือนมกราคม ยังคงเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปีสำหรับซีกโลกเหนือ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.narit.or.th/ โทร. 053 121 2689 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อความดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก Aphelion เป็นปรากฏการณ์ที่โลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 152,100,000 กิโลเมตร หรือ 8 นาทีแสง ดังนั้นโลกไม่เคยเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ถึง 90,000,000 กิโลเมตรstd48359• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยดื่มน้ำมะนาวฆ่าเชื้อโควิดได้ตื่นเช้าขึ้นมา เอาน้ำเกลืออุ่นๆให้เค็มหน่อย น้ำเกลืออุ่นๆมาล้างคอ มาบ้วนปากสัก2-3นาที แล้วบ้วนทิ้ง ดื่มน้ำสมุนไพรที่เตรียมไว้น้ำมะนาวหรือน้ำขิงอุ่นๆดื่มลงไปสัก300cc เพื่อล้างลำคออีกที ถ้าไวรัสโควิดยังอยู่ มันก็จะลงไปในกระเพาะอาหาร ในกระเพาะอาหารมันจะมีน้ำย่อย บวกกับน้ำมะนาวมีกรดฆ่าไวรัสนี้ได้ ทานวันละ 3 เวลา ก่อนอาหารstd48357• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไข่ต้มต้านโควิดกลายเป็นประเด็นโดยข้อความมีใจความคือถ้ากินไข่ต้มจะรอดพ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19)" ล่าสุด (27 มี.ค.) หลายเพจชื่อดังหลายที่ต่างออกมาตบเท้ายืนยันว่าข้อความต่างๆ ที่ถูกส่งต่อไปทั่วเป็นเพียงเฟคนิวส์ (Fake news) เท่านั้น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยแห่กักตุนไข่สด จนกระทั่งไข่ขาดตลาดโควิด 2019std48349• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่รับ 8,000 บาท/คน ส่วนคนละครึ่งเพิ่มเป็น 5,000 บาท 3 เดือน. ตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็น เราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ รับ 8,000 บาท/คน ส่วนคนละครึ่งเพิ่มเป็น 5,000 บาท 3 เดือน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ . จากกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลถึงมาตรการเยียวยารอบใหม่ โครงการเราไม่ทิ้งกัน ได้รับเงิน 4,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน และโครงการคนละครึ่ง เพิ่มเงินเป็น 5,000 บาท นาน 3 เดือนนั้น ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่า ข้อมูลข้างต้นไม่เป็นความจริง ขณะนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่มีการอนุมัติโครงการเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่แต่อย่างใด และสำหรับโครงการคนละครึ่ง ขณะนี้ยังคงจ่ายเงินให้แค่ 3,500 บาท ไม่ใช่ 5,000 บาท ตามที่มีการแชร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มกราคม 2564) . ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงการคลัง สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.mof.go.th หรือโทร. 1689 . บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อมูลที่ถูกนำมาแชร์ไม่เป็นความจริง ขณะนี้ยังไม่มีโครงการเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ และโครงการคนละครึ่ง ยังคงจ่ายเงินให้แค่ 3,500 บาท ไม่ใช่ 5,000 บาท ตามที่มีการแชร์แต่อย่างใด . หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง . 📌 ช่องทางการติดตาม . LINE : @antifakenewscenter (http://nav.cx/uyKYnsG) Website : https://www.antifakenewscenter.com/ Twitter: https://twitter.com/AFNCThailand . #ข่าวปลอม #อย่าแชร์ต่อ #ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม #AntiFakeNewsCenter #AFNCThailand #เราไม่ทิ้งกัน #คนละครึ่ง #มาตรการเยียวยา #แจกเงินstd48354• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกินเผ็ดเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ผอมเร็วตามที่มีข้อมูลแนะนำด้านสุขภาพเกี่ยวกับประเด็นเรื่องกินเผ็ดเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ผอมเร็ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการแชร์ต่อ ๆ กันในสื่อออนไลน์ว่า การกินเผ็ดจะเป็นการเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ผอมเร็วขึ้นจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริก ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ากินพริกทำให้น้ำหนักลงได้ ซึ่งการกินพริกปริมาณมาก ๆ เพื่อหวังลดน้ำหนักหรือเล่นเร่งเผาผลาญไม่ควรทำ เพราะสารแคปไซซินในพริกทำให้ระคายเคืองเยื่อบุต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มการหลั่งกรดอาจจะทำให้แสบท้องท้องอืดและปวดท้องอีกด้วย โดยพริกเป็นพืชที่มีรสเผ็ดร้อนเนื่องจากมีสาระสำคัญ คือ แคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็น Pungent agent ทำให้ระคายเคืองและแสบร้อน ปัจจุบันมีการนำสารสกัดแคปไซซินจากพริกมาใช้ประโยชน์ เช่น นำมาผลิตเป็นยาทาเฉพาะที่สำหรับบรรเทาอาการปวด บางสูตรตำรับพัฒนาเป็นลักษณะพลาสเตอร์ปิดทับผิวหนังซึ่งจะใช้ความเข้มข้นของสารแคปไซซินอยู่ที่ 0.025% - 0.25% และสารแคปไซซินยังถูกนำไปผลิตเป็นอาหารเสริมบรรจุในรูปแบบแคปซูลสำหรับรับประทานโดยมีวัตถุประสงค์เพิ่มการเผาผลาญอีกด้วย แต่ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าช่วยลดน้ำหนักได้ประกอบกับแคปไซซินที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเป็นสารสกัดจากพริกและปริมาณที่ใช้ในการศึกษาเป็นปริมาณที่มากกว่าปริมาณที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ากินพริกทำให้น้ำหนักลงได้ และไม่ควรกินพริกเพื่อหวังลดน้ำหนักหรือเร่งการเผาผลาญ เพราะอาจทำให้แสบท้องท้องอืดและปวดท้องstd48354• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยนายกระทิง ช่างฝัน ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม!!!!เขาเป็นใคร ทำไมถึงได้รางวัลนักแสดง ข่าวปลอมรึป่าว?AIมีมล้อเลียนแอคปลอมstd48341• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยใส่ผ้าอนามัยนาน ทําให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ข้อมูลเท็จ!อย่าเชื่อ! ใส่ผ้าอนามัยนาน ทําให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ความจริงของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากอะไร วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก ทำได้หรือไม่ พบคำเตือนในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ใส่ผ้าอนามัยนาน ทําให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เป็นความเชื่อที่ผิด ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง โดยข้อมูลวิชาการไม่พบความเกี่ยวข้องการใส่ผ้าอนามัยนานเกินไปกับการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก แม้ว่า ใส่ผ้าอนามัยนาน ทําให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก จะเป็นเรื่องไม่จริง แต่การใส่ผ้าอนามัยนานเกินไป ใช้ผ้าอนามัยแผ่นเดิมตลอดทั้งวัน ไม่เปลี่ยนแผ่นใหม่เลย จะส่งผลให้เกิดอันตรายได้ เพราะการใส่ผ้าอนามัยโดยไม่เปลี่ยนจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเกิดเชื้อราได้ ควรทำตามคำแนะนำระหว่างมีประจำเดือน ดังนี้ ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4 – 6 ชั่วโมง เปลี่ยนผ้าอนามัยตามปริมาณประจำเดือน วันไหนมามากให้เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ ช่วงใกล้หมดประจำเดือนหรือวันที่มาน้อย ก็ลดจำนวนครั้งลงได้ การใช้ผ้าอนามัยแผ่นเดียวนานเกินไป เสี่ยงเกิดการอับชื้น ไม่สะอาดได้ เมื่อเกิดอาการระคายเคือง อาการคัน ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา หากปล่อยไว้นานเชื้อจะแพร่ไปที่ทางเดินปัสสาวะ เกิดโรคต่าง ๆ ได้ โรคมะเร็งปากมดลูก สาเหตุเกิดจากอะไร โรคมะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) เป็นสาเหตุหลัก โดยเชื้อไวรัส HPV จะพบได้มากกว่า 130 สายพันธุ์ แต่มี 40 สายพันธุ์ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดรอยโรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก โดยเฉพาะ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 สำหรับความเสี่ยงของ โรคมะเร็งปากมดลูก มีดังนี้ ติดเชื้อไวรัส HPV จากเพศสัมพันธ์ จึงควรป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัย และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยร่วมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค การมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ก็เป็นอีกปัจจัยร่วม สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากมดลูก เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย จากนโยบายการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระดับประเทศ ทำให้อุบัติการณ์มะเร็งปากมดลูกลดลง ในปี 2566 มะเร็งปากมดลูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย มีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 15 ราย หรือ 5,422 คนต่อปี เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 6 ราย หรือ 2,238 คนต่อปี โดยสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ ตกขาว มีเลือดหรือของเหลวที่ผิดปกติออกทางช่องคลอด ประจำเดือนมามากหรือนานกว่าปกติ ในระยะลุกลามอาจมีอาการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย ปัสสาวะขัดหรือถ่ายอุจจาระลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก ด้านนโยบายระดับประเทศได้ผลักดันให้ฉีดวัคซีน HPV กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กผู้หญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ที่เหมาะสมในการได้รับวัคซีน แต่การฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้ทั้งหมด จึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควบคู่ไปด้วย สำหรับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV test ได้รับการผลักดันให้เป็นนโยบายของประเทศ ผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 30-60 ปี สามารถเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV Test ได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์การรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายความสวยความงามมะเร็งstd48359• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยเขย่าขวดน้ำช่วยเพื่อแก๊สออกซิเจน"เขย่าขวดน้ำ ไม่ได้จะทำให้โมเลกุลของน้ำเล็กลง นะครับ" จู่ๆ ก็มีคลิปนี้ออกมาไวรัลกัน เป็นคุณผู้หญิงสูงอายุท่านหนึ่ง ออกมาสาธิตวิธีการ ที่อ้างว่าสามารถทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น !? โดยการให้เอาน้ำขวดมาเขย่ากระแทกแรงๆ 20 ครั้ง บอกว่าจะทำให้โมเลกุลของน้ำเปลี่ยนจากขนาดใหญ่เป็นขนาดเล็ก และทำให้ออกซิเจนในขวดลงไปในน้ำมากขึ้น เวลาดื่ม ให้อมไว้สักครู่ก่อนกลืน จะรู้สึกได้ว่าน้ำนุ่มนวลขึ้น และร่างกายมีออกซิเจนสูงขึ้น !? ไม่จริงนะครับ !! ทำอย่างนั้น ไม่ได้ทำให้โมเลกุลของน้ำเล็กลง และก็ไม่ได้เพิ่มออกซิเจนเข้าไปในน้ำมากมายขึ้นด้วย โมเลกุลของน้ำ ก็คือ H2O อย่างที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละ ประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอมและออกซิเจน 1 อะตอม ซึ่งขนาดโมเลกุลก็ไม่ได้เล็กไปกว่านี้แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าคำว่า "น้ำโมเลกุลใหญ่" "น้ำโมเลกุลเล็ก" อาจจะโดยเอามาจากเรื่องของการเกิด "คลัสเตอร์" ของกลุ่มโมเลกุลของน้ำ ที่มาอยู่รวมกันรูปของเหลว ที่ในทางเคมีฟิสิกส์แล้ว ถ้าเราให้พลังงานมากๆ กับคลัสเตอร์โมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ ก็สามารถทำให้โมเลกุลของน้ำกระจายตัวออกจากกัน หรืออาจพูดได้ว่าคลัสเตอร์มีขนาดเล็กลง ถึงเรื่องทำนองนี้ มักจะถูกเอาไปอ้างทำ "เครื่องกรองน้ำโมเลกุล พลังแม่เหล็ก" หลอกขายชาวบ้านกันอยู่เรื่อยๆ ว่าทำน้ำโมเลกุลเล็กได้ แล้วอ้างว่าจะดีขึ้นกับร่างกาย เพราะน้ำจะซึมซาบเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่นั่นก็ไม่จริงอีกนะครับ เพราะเวลาโมเลกุลของน้ำเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย มันจะเข้าเรียงหนึ่ว ทีละโมเลกุล H2O ตามปกติอยู่แล้ว ไม่ว่า cluster ของน้ำจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม และถ้าการให้พลังงานกับน้ำจนคลัสเตอร์เล็กลงได้อย่างที่ว่า (ซึ่งจริงๆ ก็โม้นั่นแหละ) เมื่อทิ้งน้ำเอาไว้ มันก็จะคายพลังงานออก และกลับเข้าสู่สภาวะเดิม กลับมาเรื่องคลิปไวรัลที่เห็นนั้น ก็ขอสรุปอีกทีว่า เขย่าให้ตายยังไง ก็ไม่ได้ทำให้โมเลกุลของน้ำเล็กลงแน่ๆ แล้วก๊าซออกซิเจน ก็ไม่ได้ลงไปละลายเพิ่มขึ้นในน้ำมากสักเท่าไหร่หรอก จากการเขย่าแบบนั้น .. ถ้าอยากให้ออกซิเจนเยอะๆ ก็ไปอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์ แล้วหายใจเต็มปอดเข้าออกเยอะๆ ครับ แค่นั้นก็ได้แล้ว 555 ปล. สงสัยที่คลิปนี้ดังได้ เพราะคนกำลังกลัวเรื่องติด covid แล้วขาดออกซิเจน ... พอๆ กับที่คนไปตามหาซื้อออกซิเจนกระป๋อง กะจะมาสูดดมกันเลย ... ซึ่งไม่เวิร์คนะครับ จริงๆ มันต้องใช้ออกซิเจนเป็นปริมาณมาก และแรงดันสูงขึ้นนะครับ ในการรักษาคนที่มีอาการปอดอักเสบจากโรคโควิด !!std48354• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยRoblox โดนแบนในประเทศไทย!!!!เรื่องจริงไม่โม้ แหล่งข่าว:trust me brostd48341• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยกรรม! พนักงานตดถึงกับโดนไล่ออก! บริษัทบอกทนไม่ไหว "กลิ่นไส้เน่า"ชายคนหนึ่งผู้ทำงานกับบริษัทค้าส่งเนื้อหมูแห่งหนึ่งถูกไล่ออก เพราะผายลม จนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นอบอวลไปทั่วทั้งบริษัท ด้านภรรยาเผยจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดstd47770• 1 ปีที่แล้ว