14158 ข้อความ
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยน้ำสมุนไพรที่วัดเจดีย์หอยค่ะ ท่านต้มแจกใครติดเชื้อกิน 3 วันหายค่ะคนมารับไปกิน กว่าสองหมื่นรายแล้วน้ำสมุนไพรที่วัดเจดีย์หอยค่ะ ท่านต้มแจกใครติดเชื้อกิน 3 วันหายค่ะคนมารับไปกิน กว่าสองหมื่นรายแล้วยาสมุนไพรโควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยอย่าฉีดสเปย์ที่กุญแจรถยนต์ เพราะจะระเบิด จริงหรือไม่อย่าฉีดสเปย์ที่กุญแจรถยนต์ เพราะจะระเบิด จริงหรือไม่Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยคนที่ติดโควิดแล้วรักษาตัวหายแล้ว ควรรับวัคซีนเข็ม2ห่างจากเข็มแรก3เดือนจริงหรือลวงไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยสร้อยคอกรองอากาศ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโควิด-19 ได้จริงหรือ? |สร้อยคอกรองอากาศ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโควิด-19 ได้จริงหรือ? |โควิด 2019Mrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยนพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้ความเห็นนี้ จริงหรือไม่ถามความเห็นของหมอสันต์ ผมแนะนำในฐานะแพทย์ประจำครอบครัวว่า 1.. เกิดเป็นผู้ชายหากอายุมาก (เกิน 75 ปี) และอยู่สุขสบายดี ไม่ต้องไปตรวจ PSA 2.. หากเผลอตรวจ PSA ไปแล้วพบว่าได้ค่าสูงแต่อยู่สุขสบายดียังฉี่ออกและอั้นฉี่ได้ ก็ไม่ต้องไปตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก 3.. หากเผลอไปตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากไปและยืนยันว่าเป็นมะเร็งแล้ว โดยที่ยังอยู่สบายดีฉี่ออกอยู่ก็ไม่ควรไปตรวจการแพร่กระจาย (bone scan, MRI) 4. หากเผลอไปตรวจการแพร่กระจายแล้วไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องเดินหน้ารักษามะเร็งด้วยผ่าตัดฉายแสงหรือฮอร์โมนบำบัดหรือเคมีบำบัด คำแนะนำข้อ 1 และ 2 นั้นเป็นไปตามคำแนะนำล่าสุดของคณะกรรมการป้องกันโรคของรัฐบาลสหรัฐฯ (USPSTF) ว่าเกิดเป็นชายที่อยู่มาได้ถึงอายุ 75 ปีแล้ว อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยการเที่ยวตรวจ PSA เพราะผลที่ได้ออกมาจะนำไปสู่การตรวจและการรักษาที่ไม่จำเป็นต่างๆนาๆ โดยที่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่นิ่งๆอยู่เปล่าๆโดยไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว อัตราตายจากมะเร็งต่อมลูกหมากโหลงโจ้งแล้วก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนคำแนะนำข้อที่ 3 และ 4 นั้นเป็นผลจากการใช้ดุลพินิจเทียบประโยชน์และความเสี่ยงของการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในคนแก่อายุ 84 ปี กล่าวคือในการจะรักษาด้วยวิธีการรุนแรงรุกล้ำทั้งหลาย วงการแพทย์มุ่งประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในสองอย่างคือ (1) ความยืนยาวของชีวิต (2) คุณภาพชีวิต หากทำไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ การรักษานั้นเรียกว่าเป็นการรักษาไร้ประโยชน์ (futile treatment) ซึ่งตามหลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ แพทย์ไม่พึงให้การรักษาที่ไร้ประโยชน์แก่คนไข้ ข้อมูลการแพทย์ปัจจุบันพิสูจน์ไม่ได้ว่าการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากที่แพทย์ทำไปสาระพัดนั้นจะยืดอายุคนป่วยให้ยืนยาวออกไปได้จริงหรือเปล่า แปลไทยให้เป็นจีนก็คือรักษาไม่รักษาก็แปะเอี้ย คือตายในเวลาเท่าๆกัน เพราะทุกวันนี้วงการแพทย์ยังไม่ทราบเลยว่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากนี้ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ (natural course) มันจะเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่รู้เลยว่าปล่อยโรคไว้จะเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าการเข้าไปรักษาผ่าตัดคีโมฉายแสงจะดีกว่าโรคปล่อยไว้ จริงแมะ ดังนั้นมะเร็งต่อมลูกหมากนี้จะใช้หลักคิดแบบมะเร็งที่อื่นที่ว่าตรวจวินิจฉัยได้เร็ว รักษาได้เร็ว อัตราการหายสูงนั้น ใช้ไม่ได้ งานวิจัยเรื่องนี้ที่ดีที่สุดชื่อ PIVOT study ซึ่งเอาคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกมา 695 คน จับฉลากแบ่งเป็นสองพวก พวกแรกผ่าตัดรักษาไปตามสูตร พวกที่สองทิ้งไว้ไม่ทำอะไรเลย แล้วตามดูไป 10 ปี พบว่าพวกที่ทำผ่าตัดเกิดมะเร็งขยายตัวและแพร่กระจายน้อยกว่าพวกไม่ทำอย่างมีนัยสำคัญ แต่อัตราการรอดชีวิต (length of life) ของทั้งสองพวก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการรักษา กลับพบว่าไม่ต่างกันเลย ส่วนเรื่องประโยชน์ในด้านคุณภาพชีวิตนั้น คุณพ่อของคุณตอนนี้ฉี่ได้อั้นได้นี่เรียกว่ามีคุณภาพชีวิตที่สุดยอดแล้ว การรักษามีแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีๆอยู่นี้แย่ลง ต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาล ยังไม่นับว่าจะโดนพิษของรังสีและของยาอีก เมื่อความยืนยาวของชีวิตก็ไม่ได้ คุณภาพชีวิตก็มีแต่จะขาดทุน แล้วจะรักษาไปทำพรือละครับ คำแนะนำของผมอาจไม่เหมือนกับของหมอคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา คำแนะนำของผมเกิดจากการชั่งน้ำหนักหลักฐานวิทยาศาสตร์จากมุมมองแบบองค์รวมของแพทย์ประจำครอบครัว ย่อมแตกต่างจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่มองมาจากมุมของการมุ่งรักษาโรคนั้นให้สุดๆกันไปเลยรู้ดีรู้ชั่วกันไปข้างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง การแพทย์แผนปัจจุบันนี้มันมีสองด้าน ด้านสว่างก็คือการมุ่งเอาวิทยาศาสตร์มาช่วยรักษาคนเจ็บไข้ให้หาย อีกด้านหนึ่งซึ่งผมขอเรียกว่าเป็นด้านมืดของการแพทย์แผนปัจจุบันก็คือการที่ธุรกรรมทั้งหมดมีธรรมชาติเป็นการเสนอขายสินค้า ผมหมายถึงว่าทั้งการวินิจฉัยก็ดี การตรวจก็ดี และการรักษาก็ดี คือสินค้า โดยที่บริษัทยา บริษัทเครื่องมือ โรงพยาบาล ซึ่งเราเรียกรวมๆว่า medical industry เป็นผู้ขาย คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากด้านสว่าง แต่หลีกเลี่ยงการพลัดหลงเข้าไปสู่ด้านมืด นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์มะเร็งMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยมะเร็งลดความอ้วนไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัย(sos) อยากจะมาแชร์ประสบการณ์อันโหดร้าย เพื่อเตือนคนอื่นๆ เรื่องมีอยู่ว่า วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เรากลับบ้านไปไหว้ป๊า (เทศกาลไว้พระจันทร์ ต้องไหว้ป๊าล่วงหน้า 1 วัน) พอไหว้เสร็จ ก็กินข้าวกับครอบครัว และด้วยความที่นี้เป็นคนชอบกินผลไม้ทุกอย่างในโลก ก็เด็ดผลไม้กินไปเรื่อยๆ จนมาถึง ลองกอง พอเราจับไปที่ลองกอง ยังไม่ทันเด็ดกิน รู้สึกเหมือนหนังสติ๊กดีดใส่นิ้วอย่างแรงมาก(!?) จนเราสบัดมือ เพื่อเอาสิ่งที่เกาะนิ้วอยู่ออก ตามสัญชาตญาณ เราไม่ทันมองว่า มันคือตัวอะไร รู้แต่พี่ชายตีมันตาย ณ ตอนนั้นเลย เรารู้แต่ว่า หลังจากสบัดมือปุ๊ป เราก็ปวดมากเลย ปวดทันที แบบน้ำตาไหล จนพี่ชายต้องพาไปส่งที่ รพ. เข้าไปแผนกฉุกเฉิน ระหว่างทางคือร้องไห้ตลอดเวลา โดนกัดที่ปลายนิ้ว แต่มันปวดลามมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนปวดทั้งมือ ระหว่างรอหมอ คือปวดถึงรักแร้ ขยับไม่ได้เลย หมอมาถึง ม๊ากับพี่ชายบอกว่าโดนแมงป่องต่อยมา แต่ตัวมันเล็ก ยังสีขาวๆ อยู่ หมอเลยฉีดยาชาบล้อคความปวด ฉีดยาแก้ปวดให้ แล้วให้ดูอาการก่อน(..) แต่เชื่อมั้ยว่า มันแทบไม่ช่วยอะไรเลย ผ่านไปแล้ว 30 นาที ปวดมากอีก มากแบบดิ้นบิดตัวไปมา หมอต้องฉีดยาอีก แล้วให้กลับบ้าน บอกว่า ถ้าไม่ไหวให้กลับมาแอดมิทฯ เราเลยกลับมา กินยาแก้แพ้ และแก้ปวด แต่คือมันก็ช่วยได้นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ มันปวดแบบ จนร้องไห้ ปวดที่สุดในชีวิต คือผ่านมีดหมอมานักต่อนักก็เบากว่านี้ (!?) ม๊าเห็นเราเจ็บ นางก็เจ็บแทน เปิดเน็ตดู ลองทำทุกอย่าง มะนาว ผงชูรส ภูมิปัญญาพื้นบ้านอะไร ทำหมด ก็เหมือนเดิม จนช่วงค่ำ ม๊าบอกว่าไม่รู้ทำไงแล้ว ให้เราอัดยาน้ำเขากุยแก้ร้อนใน แล้วโป๊ะบัวหิมะ ในตู้เย็นทิ้งไว้ เหลือเชื่อ คือมันดีขึ้นเลย แบบดีขึ้นชัดมาก จนเราหลับได้ (คือปวดจนเพลียอยู่แล้วด้วย) แล้วก็หลับยาวจนเช้า อาการถึงค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เพิ่งมารู้ทีหลังว่า วันที่เราป่วย พี่ชายกับหลานชายช่วยกันค้นหาข้อมูลว่า แมงป่องมันมีกี่ชนิดกันแน่ ทำไมเราปวดมากขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่าที่เราเข้าใจว่ามันตัวเล็ก มันเด็ก คือไม่ใช่ แต่แมงป่องพันธ์นี้ มันตัวเต็มวัยคือขนาดเท่านี้ พิษรุนแรงกว่าตัวใหญ่ (สีดำๆ หรือแมงป่องงวงช้าง) 20เท่า เป็นพันธ์ที่มีพิษรุนแรงมากที่สุดในไทย ชอบอยู่ในผลไม้เช่น เงาะ ลำไย และลองกอง ที่สำคัญ ไม่มียาขับพิษ ทำได้แค่ทนทรมานจนพิษหมดไปเอง (แต่บัวหิมะจากประเทศจีนคือช่วยได้ดีจริงนะ) (two thumbs up) เพื่อนๆ คนไหน ที่ชอบกินผลไม้ประเภทพวงต่างๆ ควรระวังให้มากๆ ใส่ตะกร้าล้างให้แน่ใจ ว่าไม่มีแมลงพวกนี้อยู่นะ นี่คือเข็ด ไม่กล้าจับลองกองเลย โดนแล้วเข็ดไปนาน(..)(dazed face)เตือนคนรอบๆ ตัวด้วยจ้ะ (ขอร้อง) ปล.ขอบคุณม๊า ที่ดูแลหนูอย่างดีมาก มากจริงๆ เวลาหนูเจ็บป่วยน๊า เลิฟยูว ❤️❤️ ปล.รูปประกอบจาก น้ำหวาน(..)(big smile)ไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยงานจะยุ่งขนาดไหน ก็ต้องอ่าน เพียงกินแค่ส้มโอ ก็ทำให้เกือบเสียชีวิตได้ อันตราย...จำเป็นต้องระวัง!! วันนี้ที่เมืองเจียงซี มีผู้สูงวัยคนหนึ่งกินส้มโอเข้าไป หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงรู้สึกผิดปกติ ที่บ้านจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะที่เดินทางไปโรงพยาบาล ผู้สูงวัยก็รู้สึกโลกหมุน หัวใจเต้นเร็ว และก็เป็นลมไป เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตรวจร่างกายเรียบร้อย แพทย์ที่รักษาดูอาการได้วิเคราะห์สาเหตุออกมาว่า ส้มโอไม่มีพิษภัยต่อร่างกาย ถ้าจะมีปัญหาคือก่อนกินส้มโอ ผู้สูงวัยได้กินยา ลดความดัน แพทย์ได้แนะนำว่า ส้มโอมีผลต่อการทำงานของยา ลดความดัน ทำให้ยา กลายเป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกายได้ ภายในส้มโอมีสาร Coumarin ซึ่งมีผลต่อเอนไซม์ในตับ ทำให้การทำงานของเอนไซม์นั้นลดลง ซึ่งเอนไซม์นี้มีผลต่อการเผาผลาญยา เมื่อยาเผาผลาญไม่ได้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเลือดเข้มข้นขึ้น ทำให้สะสมกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ ในส้มโอยังมีสารที่เรียกว่า Naringenin ทำให้ยาเข้าไปในลำไส้ได้เร็วขึ้น เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าไป ก็จะทำให้ในเลือดมีความเข้มข้นของยาสูง ทำให้ร่างกายของคนเกิดอาการมึนหัวหรือความดันเลือดต่ำได้ แพทย์ผู้ชำนาญการได้เตือนว่า การกินส้มโอแบบนี้ให้โทษแก่ร่างกาย หากเป็นห่วงคนรอบตัว กรุณาส่งต่อให้พวกเขา! 1.ส้มโอไม่ควรกินพร้อมกับอาหารทะเล เพราะส้มโอมีวิตามินซีสูง ในอาหารทะเลจะมีธาตุสารหนูสูง วิตามินซีและสารหนู เมื่อเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เกิดสารจำพวกอาร์เซนิกไตรออกไซด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหากร่างกายได้รับเป็นปริมาณมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 2.ส้มโอไม่สามารถกินร่วมกับยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดไขมันในเส้นเลือด, ยาแก้แพ้ (Terfenadine), ยากดภูมิคุ้มกัน (Cyclosporine), คาเฟอีน, ยาต้านแคลเซียม (Calcium Channel Blocker), ยาลดอาการปวด (Cisapride) เป็นต้น ดังนั้นผู้ป่วยที่รับประทานยาเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ไม่ควรกินส้มโอหรือน้ำส้มโอ เรื่องนี้กรุณาอย่าเก็บไว้ดูเพียงคนเดียว ส่งต่อให้คนอื่นให้ได้มากที่สุด สิ่งนี้อาจช่วยชีวิตคนรอบข้างและเพื่อนๆ ของคุณให้พ้นจากอันตรายเหล่านี้ได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนนิยมกินส้มโอ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน หวังว่าคุณจะเป็นคนแรกที่ส่งต่อเรื่องราวที่มีประโยชน์นี้ ยิ่งส่งต่อมาก ก็จะทำให้คนยิ่งระมัดระวังกันมากขึ้น เพียงใช้เวลาแค่หนึ่งวินาทีในการส่งต่อแก่คนรู้จัก ขอบคุณมากๆไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยวัคซีน ChulaCOV-19 ป้องกันโควิดได้ 94% เทียบเท่า Pfizer จริงหรือวัคซีน ChulaCOV-19 ป้องกันโควิดได้ 94% เทียบเท่า Pfizer จริงหรือวัคซีนโควิดMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: middle1 ความเห็น