(2461 ข้อความ)
- 1 คนสงสัยสรุปสาระ ตากับสูงวัย โดย พญ.เตือนใจ วงศ์วรเศรษฐ์ (จักษุแพทย์) 18 เม.ย.66 โรคตาของ สว. 1. การหย่อนคล้อยรอบตา ถ้าหนังตาตกจนมาบังรูม่านตา อาจมีปัญหาเรื่องการมองเห็น แก้ไขโดยผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาที่เปลือกตา ไม่ใช่แค่ตัดหนังตาทำตา2ชั้น 2. ต้อกระจก (เลนส์ตาขุ่น) ทุกคนจะเป็นเพราะ ความเสื่อมของเซล (เริ่มเสื่อมอายุ 50-90 ขึ้นไป) (*)การผ่าต้อกระจก คือ การใส่เลนส์เทียมแทนเลนส์ที่ขุ่น วิทยาการก้าวหน้าทุกวัน เลนส์มีหลายแบบควรปรึกษาหมอตา คนที่เปลี่ยนเลนส์ต้อกระจกแล้ว ต่อมาอาจมองไม่ชัด เพราะถุงรองรับเลนส์อาจขุ่น ไปให้หมอทำ Laser จะใสเป็นปกติ 3. ต้อหิน : การเสียของประสาทตาปัจจัยเสี่ยงคือความดันตาสูง แต่ก็มีต้อหินแบบความดันตาปกติ คนที่มุมตาแคบอาจเป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน มีอาการปวด คลื่นไส้ มองไม่เห็น การแก้ไข ต้องไปหาหมอตา 4. วุ้นนัยตาเสื่อม เกิดแทบทุกคน อายุมาก ของเหลวในวุ้นตาตกตะกอน (*)วุ้นตาเสื่อม ถ้าพบแสงเหมือนแฟลช.. แว๊บ.. แว๊บ.. ต้องรีบพบหมอตาด่วน อาจต้องรักษาโดยทำ Laserถ้ามีประสาทตาฉีกขาด ถ้าไม่รักษาจะเป็นหายนะของตา น้ำในวุ้นตาจะเซาะไปทำให้ประสาทตาหลุดร่อน Laser เอาไม่อยู่ การมองเห็นอาจเสียไป 5. ตาแห้ง (Dry eye) ใส่คอนแทคเลนส์นานมาก ไม่เปลี่ยนมาใส่แว่นตาเลย อาการ : มีการระคายเคือง อักเสบ น้ำตาไหล : รักษาไม่หายขาด เพียงชะลอ 6. เบาหวาน ตามองไม่เห็นเพราะเส้นเลือดที่ผิดปกติ แตกง่าย การมองเห็นเสีย (*)เส้นเลือดผิดปกติที่ตา อาจมีที่ไต และหัวใจด้วย (*)คนที่เป็นเบาหวานต้องคุมความดัน คลอเรสตอรอลด้วย 7. แว่นสายตา สำหรับสายตาสูงวัยปกติจะเริ่มใส่แว่นสายตาสูงวัยเมื่ออายุ 39-45 ปี หลายคนมีแว่น 2 อัน สำหรับอ่านหนังสือ และดูไกล บางคนแก้ปัญหาโดยทำแว่น Progressive เพื่อจะไม่ต้องใส่ ๆ ถอด ๆ แว่น บางคนใส่แว่น progressive ไม่ได้ ใส่แล้ว.. งง.. งง.. ( ปจบ. เทคโนโลยี่พัฒนา.. ปัญหาใส่แว่นแล้ว.. งง.. งง.. ไม่ค่อยมีละ) 8. "แว่นกันแดด" สำคัญมาก ต้องเลือกที่กันแสง UV ได้ 100 % (ร้านแว่นจะมีเครื่องวัด )แว่นกันแดดควรมีราคา 160 บาท หรือ 500 บาทขึ้นไป แว่นแบรนด์เนม เช่น Ray Ban & ยี่ห้ออื่น ๆ ผลิตเพื่อป้องกันสายตาอยู่แล้ว (*)แว่นกันแดดปลอม คือ แว่นที่ย้อมสีดำ ใส่แล้ว ทำให้ม่านตาขยาย แสง UV เข้าตามากขึ้น ทำให้เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก และตาแห้ง "แว่นสายตา" สามารถทำเป็น "แว่นกันแดด" ได้การเคลือบสีเลนส์ เคลือบกัน UV เพื่อความสบายตา (*)แว่นสีเทา สบายตามาก (*)แว่นสีเหลือง ใส่กลางคืนชัดเจนมาก เป็นแว่นส่องสัตว์ (*)ข้อควรระวัง 1. "การนวดตา".. ไม่ดี จะทำให้เลนส์ตาหลุด 2. การถูมือ 2 ข้างเร็ว ๆ แล้วเอามาอังที่ตา (แบบชี่กง).. ดี เป็นการเพิ่มๆพลังให้(ดวงตา) 3. คนที่มีลูกหลานเล่นแบตมินตัน หรือ กอล์ฟ ควรให้ใส่แว่นตา ป้องกันลูกแบตฯ หรือลูกกอล์ฟมาอัดตา ทำให้ตาแตก เลือดออกในตา เลนส์หลุด อาจเป็นต้อหินได้ "ดวงตา.. เปิดโลกกว้าง".. ตรวจตาอย่างน้อย 1 ปี/ครั้งไม่ระบุชื่อ• 1 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยด่วน!!! รัสเซียประกาศตัดขาดเงินดอลลาร์และยูโรอย่างเป็นทางการ เตรียมใช้เงินหยวนของจีนแทน จริงหรือด่วน!!! รัสเซียประกาศตัดขาดเงินดอลลาร์และยูโรอย่างเป็นทางการ เตรียมใช้เงินหยวนของจีนแทน รัสเซีย ประกาศตัดขาดจากเงินสกุลดอลลาร์และยูโรอย่างเป็นทางการแล้ว โดนในตอนนี้ธนาคาร VTB ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัสเซีย ได้ประกาศรับเงินหยวนของจีนเข้ามาในบัญชีแทนที่เงินสกุลดอลลาร์และยูโรแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ธนาคาร VTB เพิ่งจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินหยวนไปถึงระดับ 8% สำหรับลูกค้าชาวจีน โดยทางรัสเซียระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวนี้เป็นกลยุทธ์ที่รัสเซียใช้ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐและชาติพันธมิตรและรัสเซียจะไม่กลับไปอยู่ภายใต้อำนาจของเงินดอลลาร์และยูโรอีกต่อไป นอกจากนี้ VTB ยังได้เปิดเผยอีกว่า ในตอนนี้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีเงินฝากที่เป็นสกุลเงินหยวน ผ่านทางออนไลน์ ด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำเพียง 100 หยวน หรือราว 16 ดอลลาร์ และถ้าฝากเงินสดที่สาขา จะมีกำหนดเงินฝากขั้นต่ำอยู่ที่ 500 หยวน ขณะที่ เงินฝากสกุลรูเบิลจะมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 21% ต่อปี ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนก็เพิ่งจะประกาศเพิ่มวงการค้า (Trading band) ระหว่างเงินหยวนและรูเบิลขึ้นเป็น 2 เท่า เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับเงินรูเบิลผ่านตลาดจีน ทำให้สามารถแลกเงินหยวนเป็นรูเบิลได้มากขึ้นอีกเท่าตัวMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยท่านที่คิดจะฉีดวัคซีน mRNA โปรดสละเวลาฟังคลิปนี้หน่อย หมอคนนี้รักษาคนไข้ในอเมริกา บอกว่าเริ่มพบคนไข้มีปัญหาโรคภูมิแพ้ตนเอง (Auto-immune Disease), มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) เพิ่มขึ้น 20 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนการฉีดวัคซีน และยังกล่าวอีกว่า โรคโควิด19 สามารถรักษาให้หายได้หากคนไข้ได้รับยา Ivermectin ในระยะเริ่มต้น นั่นหมายถึงไม่ปล่อยให้ โรคล่วงเลยไปสู่เฟสที่ 2 คือการลงไปทำลายปอด ซึ่งการอักเสบที่ปอดนี้เองเป็นสาเหตุให้เนื้อปอดที่สามารถแลกเปลี่ยนอ๊อกซิเจนให้เม็ดเลือดลดลง ทำให้อวัยวะเริ่มล้มเหลวเริ่มจากไตวาย และตามด้วยตับวาย คนไข้จึงมีอัตราการเสียชีวิตได้รวดเร็ว อันเนื่องมาจากการอักเสบและการเกิดลิ่มเลือดที่ปอด คนไข้ในเฟสที่ 2 นี้จะไม่พบการแบ่งตัวของไวรัสแล้ว แต่สามารถพบเศษทรากไวรัสและเศษหนามไวรัส (Spike Proteins) ได้เป็นจำนวนมาก จากการศึกษาทาง Microbiology พบว่าแค่เพียงหนามไวรัส หรือ Spike Protein ก็ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในเสันเลือดได้ดังนั้น Spike Protein จึงเป็นอาวุธสำคัญของโคโรนาไวรัสนี้ แต่เขากลับนำอาวุธของ SARs-CoV2 มาทำวัคซีน นั่นเท่ากับฉีดอาวุธของไวรัสให้คนโดยตรง ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อย่อมเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่อย่าบอกว่า เราไม่เตือนท่าน หากท่านจำเป็นต้องฉีดวัคซีน ขอให้เป็นวัคซีนเชื้อตายปลอดภัยที่สุด รองลงไปคือ ไวรัสเวคเตอร์และที่อันตรายที่สุด คือ mRNA. ด้วยความปรารถนาดีจาก ทพญ.อุบลรัตน์ วรรณวิสูตร DDS, MPH, MS, Diplomate American Board of Periodontology https://youtu.be/tUE5EBPt-lUวัคซีนโควิดไม่ระบุชื่อ• 4 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัวmeter: false2 ความเห็น
- 1 คนสงสัยความรู้เพื่อการอยู่ร่วมกับการระบาดของโควิด 19มาเพิ่มเติม..ความรู้อีกรูปแบบ เพื่อการอยู่ร่วมกับ การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างปลอดภัย มาเรียนรู้กัน.... 1)ค่าพีเอช (pH) คือความเป็นกรดด่าง ที่มีอยู่ในกระแสเลือด -ค่าพีเอชของ"ไวรัสโคโรนา" มีค่า 5.5 ถึง 8.5 -สิ่งที่เราต้องทำ เพื่อเอาชนะไวรัสโคโรนา คือ ต้องกินอาหารที่มีค่าพีเอช มากกว่า พีเอช ในไวรัสโคโรนา -ส่วนอาหารที่มีค่าพีเอช สูงกว่าโคโรนาไวรัส ที่น่าสนใจคือ: * กระเทียม - 13.2pH * * สัปปะรด - 12.7pH* * มะนาว - 9.5pH * * มะม่วง - 8.7pH * * Tangerine(ส้มเขียวหวาน)- 8.5pH * ดังนั้นถ้ากินอาหารเหล่านี้จะทำให้เราเอาชนะไวรัสโคโรนาได้ 2) คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณมี coronavirus(ไวรัสโคโรนา) 1. * มีอาการคันที่คอ * 2. * คอแห้ง * 3. * อาการไอแห้ง * 4. อุณหภูมิสูง 5. หายใจถี่ @ ดังนั้น..ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการ คือ #ต้องรีบ ดื่มน้ำอุ่นกับมะนาว (ซึ่งมีค่า Ph 9.5) # หมั่นกินสิ่งที่มี ค่าpH สูงกว่าเชื้อโคโรนาไวรัส 😘 ส่งต่อ ทุกคนในครอบครัวและคนที่คุณรู้จัก ด้วยน่ะMrs.Doubt• 4 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยคำแนะนำในโรงพยาบาลกักกัน (เราสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้) - ยาที่ดำเนินการในโรงพยาบาลกักกัน 1. วิตามินซี -1000 2. วิตามินอี (E) 3. เวลา 10.00-11.00 น. นั่งตากแดด 15-20 นาที 4. อาหารไข่วันละครั้ง 5. เราพักผ่อน / นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 6. ทุกวันเราดื่มน้ำ 1.5 ลิตร 7. อาหารทุกมื้อต้องทานแบบร้อน (ไม่เย็น) นี่คือสิ่งที่เราทำในโรงพยาบาลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โปรดทราบว่า pH ของ COVID-19 อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 8.5 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อกำจัดไวรัสคือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างและเป็นกรดมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น: กล้วย มะนาวเขียว -9.9 pH มะนาวเหลือง -8.2 pH ผลไม้นม -15.6 pH * กระเทียม -13.2 pH * Mango-8.7 pH * Orange Orange-8.5 pH * Huang Li-12.7 pH * แพงพวย - 22.7 pH * Orange-9.2 pH คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. อาการไอแห้ง 4. อุณหภูมิร่างกายสูง 5. หายใจถี่ 6. การสูญเสียกลิ่น . ก่อนที่ไวรัสจะติดเชื้อในปอดน้ำอุ่นผสมมะนาวสามารถกำจัดไวรัสได้ อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ใช้เอง กรุณาส่งต่อไปยังครอบครัวและเพื่อนของคุณ.โควิด 2019ไม่ระบุชื่อ• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยสุขภาพทางเลือกโรงพยาบาลธรรมชาติ บอกต่อไป ได้บุญ 🚫 1. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินวันละ 10 กลีบ กินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว -------------------------- 🚫 2. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง(แมกนีเซียม)กินวันละ 4 ขีดและกินปลาทูอีกวันละ 2 ตัว(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้)หรือจะชงโกโก้กินก็ช่วยได้ ------------------------- 🚫 3. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้น และกินกระเทียม หอม พริกให้มากๆ ____________________ 🚫 4. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ 4 ชิ้นกินเมล็ดฝักทองวันละ 1 กำมือ(สังกะสี) -------------------------- 🚫 5. แพ้ฝุ่นละอองไรฝุ่น หาโยเกิร์ตรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน ------------------------------ 🚫 6. โรค หืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่ กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน -------------------------- 🚫 7. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ 2 ขีด เช่น ปลาทู ปลาสวาย ปลาแซลมอน หรือปลากระป๋อง ------------------------- 🚫 8. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ 3 มื้อ ------------------------ 🚫 9. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อยๆ --------------------- 🚫 10. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ 3 ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า/เย็น. ------------------------- 🚫 11. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน กล้วยน้ำว้า หรือกระหล่ำปลีให้เยอะมาก ------------------------- 🚫 12. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทานเช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง น้ำขิง ชาขิง -------------------------- 🚫 13. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ 1 แผ่นหรือถั่วลิสงวันละ 1 กำมือ ------------------------- 🚫 14. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือข้าวเหนียว ข้าวโพด กลอย กล้วยหอม และทูน่า --------------------------- 🚫 15. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ 4 ช้อนโต๊ะ(ได้แคลเซียมมาก) ------------------------ 🚫 16. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ 2 ขีด หอยแครง และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้ ------------------------ 🚫 17. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อกโคลี หรือคะน้าวันละ 5 ขีด ------------------------ 🚫 18. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วงให้มากเพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี ------------------------- 🚫 19. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ 1-2 ผลหรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกากจะเป็นการล้างพิษไปในตัว -------------------------- 🚫 20. เจ็บอกโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก ผลอโวคาโด เพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชา ให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มวันละถ้วย --------------------------- 🚫 21. ความดันสูง ต้องงดบุหรี่และความเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากิน หรือผักคึ่นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยควบคุมความดันให้ดีขึ้น ------------------------- 🚫 22. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อกโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก โรงพยาบาลธรรมชาติ บอกต่อกันไป ได้บุญ... #สุขภาพทางเลือก.ยาสมุนไพรMrs.Doubt• 5 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยหมอได้ผ่าศพคนอายุ 90-103 ปีที่ตายธรรมชาติ พบว่าแต่ละคนล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่ บางคนมีหลายแห่งด้วย แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่มีอาการ เขาเชื่อว่ามันสงบอยู่ในระยะฟักตัว หรือจำศีล ถ้ามีสิ่งที่มีปลุกหรือกระตุ้นให้ตื่นจึงจะเจริญเติบโต วงการแพทย์ปัจจุบันกำลังพยายามหาวิธีทำให้เซลล์มะเร็งสงบอยู่ได้ตลอดไป เชื่อว่าอาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งสงบได้แก่ 1. ขมิ้น (สารที่เชื่อว่าต้านมะเร็งคือ curcumin) 2. พริก (capsaicin) 3. ขิง (curcumin) 4. ชาเขียว (catechin) 5. ถั่วเหลือง (isoflavones) 6. มะเขือเทศ (lycopene) 7. องุ่น (resveratrol)y 8. กระเทียม (sulfides) 9. อาหารเกาหลี (indole) 10. กะหล่ำปลี (sulfide) 10 อันดับอาหารที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งฟื้นคือ 1. แฮมเบอร์เกอร์ ของทอด, โค้ก (Hamburger Fries + Cola) 2. ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น + ชาไข่มุก (Pork ribs rice + Zhen milk) 3. เกี๊ยวซ่า + นมถั่วเหลือง (Pot Sticker + Soy Milk) 4. สปาร์เก็ตตี้อิตาเลียน + ซุปเมอแรงค์ ((Grilled Italian noodles) + meringue soup) 5. ไก่ทอดเกาหลีกับเบียร์ (Korean fried chicken + beer) 6. ข้าวผัด + ซุปกงเหมา (Fried rice + Gongmao soup) 7. ราเมง + ครีมแข็ง (Ramen + Frost Cream) 8. ข้าวหน้าหมูตุ๋น + ซุปลูกชิ้นปลา (Braised Pork Rice + Fish Ball Soup) 9. ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น + กะหล่ำปลีดอง (Braised beef noodles + sauerkraut) 10. หมูทอด + โอเด้ง (Fried meat round + Oden boiled) ส่วนอาหารที่ต้านพิษ ได้แก่ 1. มันหวาน (Sweet potato) 2. ถั่วเขียว (Mung beans) 3. ข้าวโอ๊ต (Oats) 4. เม็ดบัว (Huanren) 5. เซียวหมี่ (Xiaomi) 6. ข้าวกล้อง (Brown rice) 7. ถั่วแดง (Red Beans) 8. แครอท (Carrots) 9. แยม (Yam) 10. หญ้าเจ้าชู้ (Burdock) 11. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus) 12. หัวหอม (Onions) 13. รากบัว (Lotus root) 14. หัวไชเท้า (White radish) 15. โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia halodendron) 16. ใบของมันหวาน (Sweet potato leaves) 17. ใบหัวไชเท้า (Radish leaves) 18. ชวานชี (Chuanqi) 19. โยเกิร์ต (Yogurt) 20. น้ำส้มสายชู (Vinegart) "You are what You eat" คุณจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณกินเข้าไป Dunno who wrote but I do ไม่รู้ใครเขียนแต่ผมทำตาม...ฮา ด่วน... เส้นเลือด "ตีบ" ในสมองเกิดขึ้นทุก 4 นาที ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ? ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี มันเกิดอะไรขึ้น ความพิการจะหยุดได้หรือไม่ได้... ถ้าสำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า"หยุดได้" เส้นเลือดตีบในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที ปีละเป็นแสนคน ดารานักแสดง.. คนจน.. คนรวย.. ก็ไม่เว้น จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก วันนี้การแพทย์สหรัฐ ยังบอกเลยว่า มันยากมากที่สุด การรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะเลือนลาง เสียงบประมาณมากมาย กับคนป่วยเหล่านี้... อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร ? เส้นเลือดตีบ อาการที่ส่งสัญญาณ คือ.- 1.อาการมึนหัว 2.อาการบ้านหมุน 3.อาจมีอาการอาเจียนร่วม 4.อาการร่วมอ่อนแรงที่แขน 5.อาการร่วมอ่อนแรงที่ขา 6.มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด จากพฤติกรรมที่ทำ คือ.- 1.พักผ่อนน้อย 2.ดื่มน้ำน้อย 3.นอนดึก 4.ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ 5.ชอบทานอาหารมันๆ 6.ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 7.ขาดการออกกำลังกาย 8.ไม่เคยปรับสมดุล ดูแลระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนให้สมดุล 9.นั่งนาน 10.ยืนนาน 11.ทำงานหนัก 12.ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรม ที่สะสมมานาน ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือดถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟู สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลา.. นาน.. ไม่ต่ำกว่า 5 ปี คนที่เป็นมีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลา ไม่เกิด 3-6 เดือน อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค... เอาละครับ คิดว่าข้อมูลเล็กๆน้อยๆ คงช่วยให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงได้ ห่างไกลความพิการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (อนุญาตให้แชร์ข้อมูลได้ครับ) เพื่อเป็นวิทยาทาน...โควิด 2019วัคซีนโควิดยาสมุนไพรมะเร็งผู้บริโภคเฝ้าระวังไม่ระบุชื่อ• 6 ปีที่แล้ว1 คนว่า ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
- 1 คนสงสัยปิดตำนานจูบงูตำนานราชางูจงอาง ทองคำ ลูกทองชัย เจ้าของสถิติโลกจูบงูจงอาง 19 ตัว ไม่อยากตายเหมือนรุ่นพี่ (14 ก.ค.66) นายทองคำ ไชยบุดดี อายุ 62 ปี ฉายา “ทองคำ ลูกทองชัย” เปิดบ้านพักเลขที่ 90 หมู่ที่ 6 บ้านโคกสง่า ตำบลทรายมูล อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นหมู่บ้านงูจงอางแห่งเดียวในประเทศไทย ต้อนรับสื่อมวลชน เพื่อประกาศวางมือจากวงการนักแสดงโชว์งู หรือหลายคนที่รู้จักในนามการชกมวยระหว่างคนกับงู ที่ยึดเป็นอาชีพมาตั้งแต่ปี 2538 รวมเวลา 28 ปี โดยผนังบ้านของเค้าได้รวบรวมข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ ภาพถ่าย ตลอดจนประกาศนียบัตร กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด 2 ครั้ง หลังจากสร้างชื่อนักแสดงโชว์งูที่บ้านโคกสง่า ด้วยความสามารถอันโดดเด่น เรื่องการจูบหัวงูจงอางจนเป็นเอกลักษณ์ ก็ได้ออกไปทำมาหากินนอกพื้นที่ในเวลาต่อมาตามเมืองท่องเที่ยวอย่างสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และกรุงเทพฯ โดยหลังบ้าน ยังมีงูจงอางอยู่ในลังไม้ 5 ตัว เลยถือโอกาสแสดงโชว์งูทิ้งทวนต่อหน้าสื่อมวลชน ซึ่งถ่ายทำไป ลุ้นไป กลัวงูจงอางจะหลุดเข้าถึงตัว แต่การแสดงก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปลอดภัย โดยลุงทองคำ สามารถโชว์การหลอกล่อจูบหัวงูได้หลายครั้ง ถือว่าเป็นการจูบอย่างดูดดื่ม เพราะได้แลบลิ้นมาแตะ หรือเลียหัวงูกันเลยทีเดียว หลังจากนี้ จะเลี้ยงงูไปสักระยะก่อน หากบริษัทติดต่อมา ก็จะจำหน่ายออกไปทั้งหมด โดยชั่งน้ำหนัก คิดราคากิโลกรัมละ 1,000 บาท น้ำหนักงูอยู่ที่ 4 – 5 กิโลกรัม ทองคำ ลูกทองชัย หรือราชางูจงอาง กล่าวเปิดใจว่า ที่ตัดสินใจวางมือ เพราะคิดว่า ชีวิตทุกวันนี้มีครบทุกอย่างแล้ว รถก็ไม่ต้องส่งค่างวดแล้ว ประกอบกับช่วงหลังสงกรานต์ ภรรยาโทรศัพท์ตามขณะทำงานอยู่กรุงเทพฯ ว่า แก่แล้ว เป็นห่วง อยากให้กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน ซึ่งตรงใจตัวเองพอดี ที่เริ่มรู้สึกอิ่มตัว นอกจากนี้ ยังคิดถึงคำเตือนของแพทย์สถานเสาวภาอยู่ตลอดว่า คนวัย 60 ปี ขึ้นไป หากถูกงูจงอางกัด เสี่ยงเสียชีวิตสูง พิษจะไปทำลายระบบประสาทต่างๆ 5 + ดูภาพทั้งหมด ที่ผ่านมา คนในชมรมงูจงอางฯ เสียชีวิตแล้ว 4 คน ล้วนวัย 60 ปีทั้งสิ้น ขณะที่ตัวเอง ก็ถูกงูกัดมาแล้วถึง 4 ครั้ง เกือบเอาชีวิตไม่รอด 3 ครั้ง ครั้งล่าสุด ปี 2557 ที่จังหวัดภูเก็ต ต้องนอนในห้อง ICU ถึง 2 วัน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ คิดว่า สมควรแก่เวลาแล้ว จึงตัดสินใจประกาศวางมือ ปิดตำนานราชางูจงอางอย่างเป็นทางการในวันนี้ ชีวิตหลังจากนี้ ก็จะอยู่อย่างสงบ พอเพียง กับครอบครัวที่บ้านโคกสง่า โดยช่วยงานนางจันทร์แดง ไชยบุดดี อายุ 58 ปี ภรรยา ทอเสื่อธูปฤาษีจำหน่าย ซึ่งมีงานทำทุกวัน เงินเข้าเฉลี่ยวันละ 400 – 500 บาทก็พอใจแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปทำการแสดงเวทีแสดงที่ชมรมงูจงอางของหมู่บ้านโคกสง่าแล้ว นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางมาพูดคุยกันได้ แต่จะไม่มีงูให้ดู ทั้งนี้ ปี 2549 กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด บันทึกเป็นสถิติโลกว่า ลุงทองคำสามารถจูบงูจงอางมากที่สุดที่ 19 ตัว พิชิตประกาศนียบัตรทองคำจากพิพิธภัณฑ์ริบลีย์ “Believe it or not” ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี เท่านั้นยังไม่พอ ปี 2553 ตอกย้ำความยอดเยี่ยมด้วยการบันทึกสถิติโลกอีกครั้ง โดยจูบงูจงอางได้ถึง 34 ครั้ง ในเวลาเพียง 3 นาที ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี กระทั่งชาวต่างชาติยกนิ้วให้ พร้อมกับตั้งฉายา “ราชางูจงอาง” สำหรับรายได้ของราชางูจงอาง ก่อนหน้านี้ ถือว่าไม่ธรรมดา ตอนอยู่ภูเก็ตประมาณ 7 – 8 ปี ได้เงินเดือน 50,000 บาท อยู่กรุงเทพฯ ช่วงแรก 1 ปีครึ่ง ก่อนปิดหนีโควิด เงินเดือน 22,000 บาท บวกทิปอีกเฉลี่ยวันละ 800 – 1,000 บาทstd47875• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม! ห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้จากการส่งต่อข้อความที่ระบุ ห้ามสระผมก่อนอาบน้ำ ว่า ไม่ควรสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ทางสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า โรคหลอดเลือดสมอง มี 2 ประเภท คือ สมองขาดเลือด และภาวะเลือดออกในเนื้อสมองstd47916• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยออมสินเปิดลงทะเบียนกู้เงิน 500,000 บาท ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก .ออมสินเปิดลงทะเบียนกู้เงิน 500,000 บาท ไม่เกิน 2 ปี ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ร้อยละ 1.25% ต่อปี ผ่านเพจ Mymo ทางธนาคารออมสิน กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า เพจเฟซบุ๊ก “Mymo” ไม่ใช่เพจของธนาคาร และไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับธนาคารออมสิน ข้อมูลที่เพจนำมาเผยแพร่เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ธนาคารไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนเงินกู้ และไม่มีนโยบายให้บริการเงินกู้ผ่านทางเฟซบุ๊กผู้บริโภคเฝ้าระวังแอคปลอมstd46441• 2 ปีที่แล้ว1 คนว่า มีความเห็นส่วนตัว
- 1 คนสงสัย06.17 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.2 ลึก 2 กม. บริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขี่ยวหลาน ต.เขาพัง อ.ตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี ขนาดไม่แรง แต่ตื้นมาก บริเวณนี้มีกลุ่มรอยเลื่อนที่มีพลังคือ กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ที่พาดผ่านสุราษฎร์ธานี-กระบี่-พังงา-ภูเก็ตภาคใต้อันดามันไม่ระบุชื่อ• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยแพทย์จักษุเตือน ฝังตะกรุด สาริกาตาหวาน ที่ใต้เปลือกตา อันตรายจริงหรือการทำ สาริกาตาหวาน คือ การนำตะกรุดขนาด 2 มิลิเมตร ซึ่งเป็นทองคำแท้ วางไว้ที่เปลือกตา ทางพ.อ. นพ.ยุทธพงษ์ อิ่มสุวรรณ เลขาธิการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ออกเตือนถึงการการกระทำเช่นนี้ อาจทำให้ตาดำถลอก กระจกตาเป็นแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ จริงหรือanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือ กะปิมีประโยชน์ถึง 10 ข้อควรกินเป็นประจำกะปิมี 10 ข้อดีที่ควรกินเป็นประจำ โดยอ้างสรรพคุณ ดังนี้ 1. บำรุงกระดูก 2. บำรุงเลือด 3. ช่วยให้ฟันไม่ผุ 4. มีโอเมก้า 3 5. มีจุลินทรีย์ เสริมภูมิต้านทาน 6. บำรุงสายตา 7. มีวิตามินช่วยทำให้ผ่อนคลาย 8. ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี 9. บำรุงสมอง และ 10. บำรุงหัวใจ ควรกินเป็นประจำเพื่อทำให้สุขภาพแข็งแรงnaydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยตบแขนรักษาหัวใจวายได้ จริงหรือมีการแชร์ข้อความพร้อมคลิปวิดีโอ อ้างว่าเป็นคำแนะนำกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยบอกว่า "เกิดเหตุหัวใจวายกะทันหันในโรงละครที่สิงคโปร์ แพทย์และผู้ช่วยเหลือชาวสิงคโปร์ตบมือลงบนแขนของผู้ป่วย และเธอก็หายเป็นปกติหลังจากผ่านไป 2 นาที" .. พร้อมทั้งระบุว่า ให้ตบข้อศอกด้านในของแขนซ้าย จะมีจุด 3 จุดที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและปอด การตบแขนจะช่วยเร่งการไหลเวียนของเลือด และควรตบส่วนนี้ทุกวัน เพราะสามารถป้องกันโรคหัวใจและลดอัตราการเกิดหัวใจวายได้ เรื่องนี้จริงหรือanonymous• 5 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือ ขสมก เตรียมคลายล็อคดาวน์รับเปิดเทอม โดยอนุญาตให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัวสามารถนั่งติดกันได้ บนเบาะที่นั่งที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไปผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะใช้บริการรถโดยสาร,ผู้ใช้บริการจะต้องนั่ง และยืนตามจุดที่กำหนด กรณีผู้ใช้บริการเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป กรณีผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัว สามารถนั่งบนเบาะที่นั่งคู่ที่กำหนดไว้ (เบาะคู่ ที่ไม่มี เครื่องหมายกากบาททั้ง 2 เบาะ) ส่วนผู้ใช้บริการที่เดินทางมาคนเดียว ขอความกรุณานั่งบนเบาะที่นั่งอื่นๆ ที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาทnaydoitall• 5 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าสามารถควบคุมไวรัสโควิด-19ดี ฟื้นตัวได้เร็วเป็นอันดับ 2 ของโลกและอันดับที่ 1 ในเอเชีย จริงหรือองค์กร Global COVID-19 โดยความร่วมมือของกระทรวงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (MOSTI) ประเทศมาเลเซีย และกลุ่ม Sunway จัดให้ประเทศไทยฟื้นตัวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศออสเตรเลีย และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย โดยคิดคะแนนจากการยืนยันต่อประชากรเทียบกับขนาดของแต่ละประเทศโควิด 2019naydoitall• 6 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือ ดีแทคออกมาเตือนลูกค้าให้ระวังถูกมิจฉาชีพลวงขอรหัส OTP ดูดเงินดีแทค เตือนผู้ใช้บริการระวังถูกมิจฉาชีพโทรแอบอ้างแจ้งว่าหมายเลขโทรศัพท์ซ้ำ 2 หมายเลข พร้อมลวงขอรหัส OTP ก่อนนำไปโอนเงินผู้เสียหายออกจากธนาคาร ย้ำรหัส OTP เป็นรหัสสำคัญที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำธุรกรรมให้สำเร็จ ดีแทคไม่มีกิจกรรมที่พนักงานจะสอบถามข้อมูลส่วนตัวและร้องขอ OTP จากลูกค้าเพื่อไปใช้งานในลักษณะนี้ การติดต่อกับดีแทคต้องผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการของดีแทคเท่านั้น ได้แก่ call center 1678, Facebook dtac, Twitter @dtacnaydoitall• 6 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยจริงหรือ ตอนนี้ WHO ประกาศให้ ละตินอเมริกาเป็นศูนย์กลางระบาดโรคโควิด-19 แห่งใหม่อเมริกาใต้กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่ของโรคโควิด-19 ไปแล้ว เพราะหลายประเทศในภูมิภาคนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ประเทศที่ร้ายแรงที่สุด คือ บราซิล เพราะมีผู้เสียชีวิตเกิน 21,000 ราย และติดเชื้อกว่า 340,000 คน ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯโควิด 2019naydoitall• 6 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยบ.อาหารเสริมผิวขาว อ้างเป็นของปลอม หลังหญิง 19 ปีกินตรวจเจอสารเสพติดเด็กหญิงวัย 19 ปี ไปตรวจสุขภาพ เพื่อเตรียมก่อนเข้าเรียนคณะเภสัช แต่ผลตรวจกลับพบสาร ”เมทแอมเฟตามีน” (สารในยาบ้า) ในปัสสาวะ ไม่ผ่านการตรวจโรคเข้าเรียน คาดผสมมาในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อผิวขาวที่ซื้อมากินจากอินเตอร์เน็ตนั้น ล่าสุด ตัวแทนบริษัทอาหารเสริมผิวขาวได้ติดต่อมาพูดคุยกับแม่ผู้เสียหาย ยืนยันว่า ไม่มีทางใส่สาร"เมทแอมเฟตามีน"ในผลิตภัณฑ์อย่างแน่นอน คาดว่า ตัวยาที่เด็กกินเข้าไป เป็นของปลอมที่ทำเลียนแบบ และนำมาวางขาย อยากให้ส่งมาให้ทางบริษัทตรวจสอบเพื่อความชัดเจน ขณะที่ ทีมข่าวสอบถามอาจารย์วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่าในกรณี มีข้อน่าสงสัยอยู่ 2 อย่าง แม่ช็อก เจอสาร "เมทแอมเฟตามีน" หลังลูกสาวกินยาผิวขาว บุกทลายเครือข่ายอาหารเสริมลดอ้วน ผสมสารอันตรายไซบูทรามีน คือทางโรงงานที่ผลิตแอมใส่สารดังกล่าวลงไป ซึ่งถือว่ามีความผิด หรือตัวน้องโกหก ซึ่งต้องมีการนำตัวยามาตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง และให้คณะเภสัชนำตรวจปัสสาวะน้องอีกครั้ง ด้วยขั้นตอนพิเศษเพื่อจะได้ทราบว่าเป็นสารอะไรกันแน่ โดยวันนี้ ผู้เสียหาย เข้าไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เอาไว้แล้วโดยจะทำทุกอย่างเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของลูก ว่าไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะก่อนหน้านี้ไปตรวจร่างกายเพื่อส่งเอกสารไปยังมหาวิทยาลัยแล้ว 3 ครั้ง ไม่เคยเจอสารนี้ ก่อนจะมากินเม็ดเดียวดังกล่าววันรุ่งขึ้นไปตรวจก็เจอสารเลยstd48940• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยปัญหาคู่กับเมืองไทย จอดรถทิ้งไว้ร้อนมาก ขึ้นรถไปควรทำยังไงดีเพื่อให้เรารู้สึกเย็นไวสุด!? . สหพันธ์รถยนต์ของญี่ปุ่น (JAF) เค้าพิสูจน์มาให้แล้วว่า อะไรคือคำตอบของเรื่องนี้ โดยทดลองด้วยการใช้รถที่อุณหภูมิภายในรถ เริ่มต้นสูงถึง 55 องศา . 1.เปิดปิดประตูรถ 5 ครั้ง 🔅อุณหภูมิลดลงทันทีจาก 55 เหลือ 47.5 องศา แต่ก็ยังร้อนอยู่ . 2.เปิดแอร์รถแรงสุด กดปุ่มให้สามารถ ดึงอากาศจากภายนอกเข้ามาในรถ แล้วรอ 10 นาที (โดยไม่ต้องเปิดกระจก) 🔅อุณหภูมิค่อยๆ ลดลงไป ใช้เวลา 10 นาที จาก 55 ลงมาเหลือ 29.5 องศา . 3. เปิดแอร์รถแรงสุด กดปุ่มให้อากาศหมุนเวียนแค่ภายในรถ แล้วรอ 10 นาที (โดยไม่ต้องเปิดกระจก) 🔅 อุณหภูมิค่อยๆ ลดลงไป ใช้เวลา 10 นาที จาก 55 ลงมาเหลือ 27.5 องศา . . แต่ทั้ง 3 วิธีนี้ก็ยังไม่สุด อันแรกลดความร้อนได้ไม่มาก ส่วนวิธีที่ 2,3 ก็ต้องรอนานมากกว่า 10 นาที กว่าอุณหภูมิภายในตัวรถถึงจะเริ่มเย็น . . =================== ฉะนั้น ทาง JAF เค้าพิสูจน์ต่อ เพื่อค้นหาวิธีที่ตอบโจทย์มากที่สุด ได้คำตอบว่า หากต้องการลดอุณหภูมิภายในรถไวๆ แล้วได้ผลดี คือต้องอาศัย “เปิดแอร์รถ” + “ต้องแล่นรถออกไปด้วย” โดยจากการพิสูจน์พบว่า 🔅ให้ลดกระจกทุกบานลงให้สุด + 🔅เปิดแอร์แรงสุด + 🔅กดปุ่มปิดหมุนเวียนอากาศให้รถดึงอากาศจากภายนอกรถเข้ามาในรถด้วย จากนั้นให้แล่นรถออกไปเลย เพื่อไล่อากาศร้อนในรถออกไปทันที . เมื่อแล่นรถครบ 2 นาทีแล้ว 🔅ให้ปิดกระจกทุกบาน + 🔅กดปุ่มหมุนเวียนอากาศให้อากาศหมุนเวียนแค่ภายในรถ เพียงเท่านี้อากาศในรถก็จะเย็นทันที จากการทดลองนี้สามารถเปลี่ยนจาก รถอุณหภูมิสูงมาก 55 องศา กลายเป็น 28 องศา ภายใน 2 นาที!!! ชอบมากที่ญี่ปุ่นทดลองให้เห็นภาพเลย ดูแล้วอยากทดลองตามด้วย . แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ทุกวันนี้ใช้วิธีไหนกันอยู่บ้าง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ร้อนสาหัสแบบทุกวันนี้ Boom JapanSalaryman Cr: ANN News, JAFสภาพอากาศไม่ระบุชื่อ• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยเปิดรายชื่อประเทศ ที่ประกาศ❌ห้ามนำเข้า ‘กัญชา-กัญชง’📌เปิดรายชื่อประเทศ ที่ประกาศ❌ห้ามนำเข้า ‘กัญชา-กัญชง’🪴❌ ➡️หากตรวจเจอมีโทษทั้งจำ- ทั้งปรับ สูงสุดถึงขั้น ประหารชีวิต ➡️สถานทูตไทยหลายประเทศ ประกาศข่าวย้ำเตือนคนไทย ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ห้ามนำกัญชา กัญชง หรือผลิตภัณฑ์ (ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดกัญชา-กัญชง) เข้าประเทศ ระวังโทษแรง สูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เปิดรายชื่อประเทศที่ประกาศห้ามนำเข้า‘กัญชา-กัญชง’ ❌1.สิงคโปร์ มีครอบครอง-เสพ จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ทั้งจำ-ปรับ ลักลอบ นำเข้า อาจมีโทษประหารชีวิต ❌2.เกาหลีใต้ ลักลอบ จำคุก 5 ปี ขึ้นไป หรือ ตลอดชีวิต ปลูกหรือ จำหน่าย จำคุกอย่างน้อย 1 ปี ครอบครอง-เสพ จำคุกไม่เกิน 5 ปีและ ถูกเนรเทศ ห้ามเข้าประเทศอีก ❌3.ภูฏาน นำเข้า จำคุกระหว่าง 1 เดือน - 3 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณที่นำเข้าหรือครอบครอง ผู้ครอบครองกัญชา หรือ สารสกัดกัญชา เพื่อจำหน่าย มากกว่า 50 กรัม ขึ้นไป มีโทษจำคุก 5-9 ปี ❌4.สหราชอาณาจักร ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 5-14 ปี หรือทั้งจำและปรับ ❌5.บังกลาเทศ โทษแตกต่างตามปริมาณที่นำเข้า หรือ ครอบครอง โทษสูงสุด ประหารชีวิต ( มีปริมาณมากกว่า 2 กก.) ❌6.ญี่ปุ่น ครอบครอง นำเข้า ส่งออก จำคุกไม่เกิน 7 ปี จำหน่าย จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 3 ล้านเยน ❌7.เวียดนาม ห้ามใช้ทั้งในการแพทย์-ชีวิตประจำวัน มีครอบครอง โทษปรับตั้งแต่ 5,000.000 - 5000,000,000 ดอง และ จำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึงประหารชีวิต ❌8.อินโดนีเซีย ฝ่าฝืนปรับขั้นต่ำ 1 พันล้าน รูเปียห์ จำคุก 5 ปี - ตลอดชีวิตหรือโทษสูงสุดประหารชีวิต ❌9.ศรีลังกา หรือ มัลดีฟส์ มีโทษปรับและจำคุก โทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ❌10.จอร์แดน อิรัก และ ปาเลสไตน์ ครอบครอง หรือ เสพผิดกฏหมาย รับโทษรุนแรงตามกฏหมายท้องถิ่น.อินโดนีเซีย ฝ่าฝืนปรับขั้นต่ำ 1 พันล้าน รูเปียห์ จำคุก 5 ปี - ตลอดชีวิตหรือโทษสูงสุดประหารชีวิต ❌9.ศรีลังกา หรือ มัลดีฟส์ มีโทษปรับและจำคุก โทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ❌10.จอร์แดน อิรัก และ ปาเลสไตน์ ครอบครอง หรือ เสพผิดกฏหมาย รับโทษรุนแรงตามกฏหมายท้องถิ่นยาสมุนไพรผู้บริโภคเฝ้าระวังMrs.Doubt• 3 ปีที่แล้วmeter: true1 ความเห็น
- 1 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วันตามที่มีการโฆษณาทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเพื่อทำความสะอาด สวยงามแต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ โดยเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้ข้อมูลว่า โครงสร้างของจมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อน โดยห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่งจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกายของมนุษย์ รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ทำให้ดั้งโด่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณที่โกหก เพราะครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนผู้บริโภคให้คิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่าง ๆ ว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th และหากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงขอให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556ความสวยความงามอย. เพิกถอนผู้บริโภคเฝ้าระวังstd48423• 2 ปีที่แล้วmeter: false1 ความเห็น
- 2 คนสงสัยข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วันตามที่มีการโฆษณาทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มช่วยทำให้ดั้งโด่ง ภายใน 7 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรั่มที่ระบุสรรพคุณว่า หากทาสามารถช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเพื่อทำความสะอาด สวยงามแต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ โดยเภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้ข้อมูลว่า โครงสร้างของจมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนด้านบนเป็นกระดูกแข็ง ด้านล่างเป็นกระดูกอ่อน โดยห่อหุ้มด้วยผิวหนังและไขมัน ดังนั้นครีมที่ทำให้ดั้งโด่งจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระดูก ส่งผลให้จมูกโด่งอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับภายนอกร่างกายของมนุษย์ รวมถึงฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด ความสวยงาม แต่งกลิ่นหอมเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ทำให้ดั้งโด่งได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างสรรพคุณที่โกหก เพราะครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวงสรรพคุณให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ถือเป็นการโฆษณาที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนผู้บริโภคให้คิดก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการโฆษณาสรรพคุณต่าง ๆ ว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th และหากพบเห็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงขอให้แจ้งร้องเรียนมาที่สายด่วน อย. 1556 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีครีมหรือเซรั่มใดที่ทาแล้วจะช่วยทำให้จมูกโด่ง ภายใน 7 วัน ได้จริง เนื่องจากครีมหรือเซรั่มเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายได้ความสวยความงามอย. เพิกถอนผู้บริโภคเฝ้าระวังpeekapatpeekapat• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยข่าวปลอมอย่าแชร์! ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิงตามที่มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการแชร์ข้อความว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีดาษลิงแต่อย่างใด โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้ จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อเมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน โดยอาการเริ่มแรกจะมีไข้ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วย การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85%std47897• 2 ปีที่แล้ว
- 1 คนสงสัยผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิงตามที่มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการแชร์ข้อความว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีดาษลิงแต่อย่างใด โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้ จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน โดยอาการเริ่มแรกจะมีไข้ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วย การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85%pgolfpaotung• 2 ปีที่แล้ว

ไม่พบข้อความที่คุณค้นหา
หากคุณสงสัยว่าข้อความที่พบเป็นข่าวลวง ข่าวลือ หรือ ข้อความหลอก ที่ยังไม่พบใน Cofact กรุณาคลิกที่
สร้างข้อความ
