“ลางก่อนตาย”
วงการแพทย์มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในผู้ป่วยหลายเคส ก่อนเสียชีวิตจะเกิดมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างกะทันหัน บางคนความจำดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ คนไข้อัลไซเมอร์ที่จำลูกตัวเองไม่ได้มานานหลายปี ก็กลับมาจำได้และระลึกถึงเหตุการณ์ของลูกๆในอดีตได้อย่างชัดเจน คนไข้บางคนพูดเก่งขึ้นมาก ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย อาการเจ็บป่วยที่เคยเป็นมานับแรมปีดูเหมือนหายสนิท จนคิดว่าจะได้กลับบ้าน
ผู้ป่วยหนักที่มีอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อภายในวันเดียว พึงระลึกไว้ว่า ธรรมชาติกำลังให้เวลาเฮือกสุดท้ายของชีวิต มีอะไรที่ต้องสั่งเสีย หรือทำพินัยกรรม ต้องรีบทำอย่าชักช้า และสำหรับลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้แสดงความรัก ความห่วงใย ก่อนที่จะจากกันไปตลอดกาล
ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีสารคีโตนมากกว่าปกติ ซึ่งสารนี้ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับความเจ็บปวด ประกอบกับฮอร์โมนต่างๆที่สมองหลั่งออกมา ทั้งโดพามีน เอนโดรฟิน แอดดรีนาลิน ฯลฯ ทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายดีขึ้นชั่วขณะ
ในสมัยโบราณก็มีการสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ จึงมีคำพูดว่า “เห็นหน้านวล จวนจะตาย” หมายความว่า ถ้าเห็นคนป่วยหนัก จู่ๆหน้าตาก็ผ่องใสขึ้นมากะทันหัน นั่นแสดงว่าให้เตรียมจองวัดไว้ได้เลย ซึ่งในตำราแพทย์แผนจีน ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย โดยเรียกว่า "เจี่ยเสิน"
พลังนี้ก็มีในสัตว์เช่นเดียวกัน สัตว์ป่าเวลารู้ตัวว่าใกล้จะเสียชีวิต สามารถมีแรงเดินไปได้ไกลหลายกิโลเมตร เพื่อไปยังสถานที่เหมาะสมก่อนล้มลงขาดใจ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายอย่างก็แสดงให้เห็นในแบบเดียวกัน เช่น แสงเทียนวาบสุดท้ายจะสว่างมากขึ้นก่อนดับไป ดาวฤกษ์ที่กำลังใกล้ตาย จะลุกโพลงสว่างไสวขึ้นก่อนที่จะยุบตัวลง ต้นไม้ก่อนตายจะออกดอกบานสะพรั่ง
ปรากฏการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นกับคนปกติที่ไม่ป่วยก็ได้ เช่น อยู่ๆก็แอคทีฟ ลุกขึ้นมาจัดบ้านเสียเรียบร้อย ซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดทำ หรือ เอาของรักของหวง ออกไปแจกจ่ายให้ญาติมิตรคนสนิท อารมณ์ดีมากโดยไม่มีสาเหตุ แสดงอาการห่วงใยคนใกล้ชิดเกินปกติที่เคยเป็น ถ้าได้ประสบต้องคอยเตือนให้พึงระวัง แม้คนทำไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะสิ่งที่ดลใจให้เขาทำอยู่ในระดับของจิตใต้สำนึก(ที่ข้ามเวลาได้) ซึ่งหยั่งรู้อนาคตว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
มีรายงานที่ตีพิมพ์ใน เจอร์นัล ออฟ พัลลิเอทีฟ เมดิซิน ซึ่งวิจัยคนไข้ป่วยหนักระยะสุดท้าย 7 คน พบว่า ก่อนเสียชีวิต สมองจะทำงานเร็วกว่าปกติหลายเท่า แม้ว่าความดันเลือดลดต่ำลงมากก็ตาม ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ประสิทธิภาพสมองดีขึ้น เกิดภาพและความรู้สึกเก่าๆผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน
ส่วนคำอธิบายในทางจิต เมื่อใกล้เสียชีวิต ภวังคจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติ ต้องรวบรวมข้อมูลแห่งกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ในชาตินี้เก็บไว้ทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนเป็นจุติจิต ออกจากกายเดิมและถ่ายทอดไปยังปฏิสนธิจิตในภพใหม่ต่อไป ซึ่งข้อมูลกรรมส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ในสมอง ดังนั้น จิตจะกระตุ้นให้สมองทำงานหนักขึ้น เพื่อถ่ายโอนข้อมูลหรือที่เรียกว่าอัพโหลดในภาษาคอมพิวเตอร์ เข้าสู่จิตก่อนเสียชีวิต ขณะนั้นผู้ป่วยจะมีภาพเก่าๆในอดีตนับแต่วัยเด็กผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นภาพที่มาจากสมองส่วนของจิตใต้สำนึก ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า "นิมิต"
หลายคนอาจสงสัยว่า เหตุการณ์ของชีวิตนับแต่เด็กจนตาย มากมายมหาศาล ทำไมสามารถรวบรวมได้ในเวลาก่อนตายเพียงแป๊บเดียว ให้เปรียบเทียบจากการที่เราอัพโหลดภาพยนตร์ เรื่องหนึ่งๆมีเนื้อหาภายในมากมาย แต่เราใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็เสร็จ แต่จิตทำงานไวกว่าระบบดิจิตอลเป็นล้านเท่า ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่จุติจิตจะสามารถเก็บเรื่องราวของชีวิตทั้งหมดได้ทันก่อนเสียชีวิต
จากการศึกษาทางประสาทสรีระวิทยา พบสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ในผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นแล้ว ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สมองจะตายเพราะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง แต่ขณะนั้น สมองกลับทำงานอย่างตื่นตัวสูงสุด ซึ่งเกิดจากภวังคจิตกำลังประมวลผลอยู่ นิมิตต่างๆจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ คนทั่วไปจะเข้าใจว่า เมื่อกราฟคลื่นหัวใจที่แสดงบนจอราบเรียบคือคนไข้เสียชีวิตแล้ว ความจริงช่วงเวลาหลังจากหัวใจหยุดเต้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และนิมิตที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือมิติที่จุติจิตจะไปปฏิสนธิใหม่นั่นเอง โดยสรุปก็คือ กรรมนิมิตและคตินิมิต จะเกิดขึ้น”หลัง”จากหัวใจหยุดเต้น ไม่ใช่ก่อนอย่างที่เคยเข้าใจกัน
หลายครอบครัวจะปล่อยโฮทันที ที่เห็นกราฟหัวใจหยุดเต้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้จากไป หูเป็นทวารสุดท้ายของผู้่ป่วยโคม่า ที่สามารถรับรู้ได้
ท.พ.สม สุจีรา.....
วงการแพทย์มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในผู้ป่วยหลายเคส ก่อนเสียชีวิตจะเกิดมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างกะทันหัน บางคนความจำดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ คนไข้อัลไซเมอร์ที่จำลูกตัวเองไม่ได้มานานหลายปี ก็กลับมาจำได้และระลึกถึงเหตุการณ์ของลูกๆในอดีตได้อย่างชัดเจน คนไข้บางคนพูดเก่งขึ้นมาก ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย อาการเจ็บป่วยที่เคยเป็นมานับแรมปีดูเหมือนหายสนิท จนคิดว่าจะได้กลับบ้าน
ผู้ป่วยหนักที่มีอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อภายในวันเดียว พึงระลึกไว้ว่า ธรรมชาติกำลังให้เวลาเฮือกสุดท้ายของชีวิต มีอะไรที่ต้องสั่งเสีย หรือทำพินัยกรรม ต้องรีบทำอย่าชักช้า และสำหรับลูกหลาน ญาติสนิท มิตรสหาย นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้แสดงความรัก ความห่วงใย ก่อนที่จะจากกันไปตลอดกาล
ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีสารคีโตนมากกว่าปกติ ซึ่งสารนี้ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับความเจ็บปวด ประกอบกับฮอร์โมนต่างๆที่สมองหลั่งออกมา ทั้งโดพามีน เอนโดรฟิน แอดดรีนาลิน ฯลฯ ทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายดีขึ้นชั่วขณะ
ในสมัยโบราณก็มีการสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ จึงมีคำพูดว่า “เห็นหน้านวล จวนจะตาย” หมายความว่า ถ้าเห็นคนป่วยหนัก จู่ๆหน้าตาก็ผ่องใสขึ้นมากะทันหัน นั่นแสดงว่าให้เตรียมจองวัดไว้ได้เลย ซึ่งในตำราแพทย์แผนจีน ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย โดยเรียกว่า "เจี่ยเสิน"
พลังนี้ก็มีในสัตว์เช่นเดียวกัน สัตว์ป่าเวลารู้ตัวว่าใกล้จะเสียชีวิต สามารถมีแรงเดินไปได้ไกลหลายกิโลเมตร เพื่อไปยังสถานที่เหมาะสมก่อนล้มลงขาดใจ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายอย่างก็แสดงให้เห็นในแบบเดียวกัน เช่น แสงเทียนวาบสุดท้ายจะสว่างมากขึ้นก่อนดับไป ดาวฤกษ์ที่กำลังใกล้ตาย จะลุกโพลงสว่างไสวขึ้นก่อนที่จะยุบตัวลง ต้นไม้ก่อนตายจะออกดอกบานสะพรั่ง
ปรากฏการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นกับคนปกติที่ไม่ป่วยก็ได้ เช่น อยู่ๆก็แอคทีฟ ลุกขึ้นมาจัดบ้านเสียเรียบร้อย ซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดทำ หรือ เอาของรักของหวง ออกไปแจกจ่ายให้ญาติมิตรคนสนิท อารมณ์ดีมากโดยไม่มีสาเหตุ แสดงอาการห่วงใยคนใกล้ชิดเกินปกติที่เคยเป็น ถ้าได้ประสบต้องคอยเตือนให้พึงระวัง แม้คนทำไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะสิ่งที่ดลใจให้เขาทำอยู่ในระดับของจิตใต้สำนึก(ที่ข้ามเวลาได้) ซึ่งหยั่งรู้อนาคตว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
มีรายงานที่ตีพิมพ์ใน เจอร์นัล ออฟ พัลลิเอทีฟ เมดิซิน ซึ่งวิจัยคนไข้ป่วยหนักระยะสุดท้าย 7 คน พบว่า ก่อนเสียชีวิต สมองจะทำงานเร็วกว่าปกติหลายเท่า แม้ว่าความดันเลือดลดต่ำลงมากก็ตาม ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ประสิทธิภาพสมองดีขึ้น เกิดภาพและความรู้สึกเก่าๆผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน
ส่วนคำอธิบายในทางจิต เมื่อใกล้เสียชีวิต ภวังคจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติ ต้องรวบรวมข้อมูลแห่งกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ในชาตินี้เก็บไว้ทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนเป็นจุติจิต ออกจากกายเดิมและถ่ายทอดไปยังปฏิสนธิจิตในภพใหม่ต่อไป ซึ่งข้อมูลกรรมส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ในสมอง ดังนั้น จิตจะกระตุ้นให้สมองทำงานหนักขึ้น เพื่อถ่ายโอนข้อมูลหรือที่เรียกว่าอัพโหลดในภาษาคอมพิวเตอร์ เข้าสู่จิตก่อนเสียชีวิต ขณะนั้นผู้ป่วยจะมีภาพเก่าๆในอดีตนับแต่วัยเด็กผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นภาพที่มาจากสมองส่วนของจิตใต้สำนึก ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า "นิมิต"
หลายคนอาจสงสัยว่า เหตุการณ์ของชีวิตนับแต่เด็กจนตาย มากมายมหาศาล ทำไมสามารถรวบรวมได้ในเวลาก่อนตายเพียงแป๊บเดียว ให้เปรียบเทียบจากการที่เราอัพโหลดภาพยนตร์ เรื่องหนึ่งๆมีเนื้อหาภายในมากมาย แต่เราใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็เสร็จ แต่จิตทำงานไวกว่าระบบดิจิตอลเป็นล้านเท่า ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่จุติจิตจะสามารถเก็บเรื่องราวของชีวิตทั้งหมดได้ทันก่อนเสียชีวิต
จากการศึกษาทางประสาทสรีระวิทยา พบสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ในผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นแล้ว ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สมองจะตายเพราะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง แต่ขณะนั้น สมองกลับทำงานอย่างตื่นตัวสูงสุด ซึ่งเกิดจากภวังคจิตกำลังประมวลผลอยู่ นิมิตต่างๆจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ คนทั่วไปจะเข้าใจว่า เมื่อกราฟคลื่นหัวใจที่แสดงบนจอราบเรียบคือคนไข้เสียชีวิตแล้ว ความจริงช่วงเวลาหลังจากหัวใจหยุดเต้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และนิมิตที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือมิติที่จุติจิตจะไปปฏิสนธิใหม่นั่นเอง โดยสรุปก็คือ กรรมนิมิตและคตินิมิต จะเกิดขึ้น”หลัง”จากหัวใจหยุดเต้น ไม่ใช่ก่อนอย่างที่เคยเข้าใจกัน
หลายครอบครัวจะปล่อยโฮทันที ที่เห็นกราฟหัวใจหยุดเต้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้จากไป หูเป็นทวารสุดท้ายของผู้่ป่วยโคม่า ที่สามารถรับรู้ได้
ท.พ.สม สุจีรา.....