1 คนสงสัย
สั่งน้ำมูกแรง เสี่ยงตาบอดได้
admin
 •  5 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
admin เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

ใครเคยได้ยินข่าวแชร์นี้คงกลัวที่จะต้องสั่งน้ำมูกกันไปเลย กับกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน หญิงสาวคนหนึ่งจากประเทศอังกฤษ สั่งน้ำมูกแรงจนตา

ที่มา

https://www.amarintv.com/program-update-did-you-know/suremom-11/89172/

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    จ่อเลิกขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 95 และE85 ดัน E20 ขึ้นแท่นน้ำมันหลัก พร้อมอัพราคาพืชเอทานอล . รถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนนในประเทศไทยนิยมใช้น้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 กับ 95 ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของปริมาณการใช้น้ำมันทุกประเภทในยานพาหนะ แต่อีกไม่นานเราอาจไม่ได้เติมน้ำมันประเภทนี้อีกต่อไป รวมถึงน้ำมัน E85 ด้วย เพราะมีข่าวว่ากระทรวงพลังงาน โดยเจ้ากระทรวงที่ควบต่ำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอย่างนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เดินหน้าแผนพลังงานระยะยาวแน่! . สำหรับการยกเลิกน้ำมันทั้ง 3 ประเภทนั้น หากมองเหตุผลเบื้องต้นอย่างแรกคือ รถที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงปริมาณลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา รถใหม่ๆ จะใช้น้ำมัน E85 E20 หรือเติมน้ำมันได้หลากหลายประเภทอยู่แล้ว แต่เมื่อเจาะลึกลงไปดูต้นทางที่จะทำให้เกิดการยกเลิกนี้ ก็มาจากแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว หรือ TIEB ฉบับใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2561 - 2580 โดยมีองค์ประกอบหลักๆ 5 แผนด้วยกัน ได้แก่ - แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) - แผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan) - แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan) - แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) - แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ถือว่าเป็นพลังงานชนิดที่มีสัดส่วนการใช้สูงมากๆ ในภาคการขนส่ง . เบื้องต้นรองนายกผู้เป็นเจ้ากระทรวงก็ได้เห็นชอบให้คงเป้าหมายของแผนบูรณาการข้างต้นต่อไป เนื่องจากจัดทำกันมาตั้งแต่ยุคของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเจ้ากระทรวง พร้อมสั่งให้มีการวัดผลสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ปี ตลอดระยะเวลาแผนช่วง 5 ปีที่ต้องชัดเจน โดยเฉพาะแผนบริหารจัดการน้ำมัน ด้วยกำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ B10 และ E20 กลายมาเป็นน้ำมันมาตรฐานของประเทศ และยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และ E85 แทน . เมื่อหาเหตุผลอื่นๆ ประกอบเพิ่มเติมในการยกเลิกการใช้น้ำมันเหล่านี้ มันมีปัจจัยหนึ่งมาจาการที่ภาครัฐต้องการเข้าไปช่วยเพิ่มราคาของวัตถุดิบที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรก็คือ มันสำปะหลัง และอ้อย เนื่องจากปัจจุบันถูกนำมาใช้ผลิตเป็นเอทานอล ในสัดส่วนประมาณ 27% ของการผลิตเอทานอลทั้งหมด . โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานก็เคยมีการประกาศให้น้ำมันดีเซล B10 หรือน้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10% ในทุกลิตรกลายเป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศเมื่อ 1 มกราคม 2563 เพื่อสนับสนุนราคาผลผลิตปาล์ม โดยปั๊มน้ำมันทุกแห่งก็จะมีเวลาปรับตัวมา 4 - 5 เดือน ในการเปลี่ยนป้ายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ตู้จ่ายน้ำมัน จาก “ดีเซลB10” เป็น “ดีเซล” ซึ่งน้ำมันดีเซลที่ขายกันทุกวันนี้ จะถูกเปลี่ยนชื่อเรียกว่า ดีเซล B7 ให้กลายเป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถเก่าและรถยุโรป น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ก็ให้เป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคมนี้ . หากมีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ น้ำมันไบโอดีเซล B10 จะช่วยดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบหรือ CPO ได้ปีละ 2.2 ล้านตัน และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ หรือ B100 ได้วันละ 6.5 ล้านลิตร . กลับมาที่การยกเลิกน้ำมันโซฮอล์ 91 กันต่อ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า มันสร้างความสันสนงุนงงพอควรให้หมู่ประชาชนที่ต้องเจอกกับการเปลี่ยนแปลในช่วงแรกๆ แต่ไม่ใช่ประชาชนที่สับสนอย่างเดียว ทางผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันก็สับสนพอควร และปั๊มน้ำมันในบ้านเราส่วนใหญ่มีหัวจ่ายไม่มากนัก การจะเก็บสำรองน้ำมันหลายๆ ชนิดไว้ก็ล้วนเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น หากรวมน้ำมันเบนซิน กับดีเซลในบ้านเรารวมๆ กันมีถึง 11 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสูตรพรีเมียม หรือสูตรธรรมดา ให้เป็นประเภทเดียวกันในหมวดหมู่เดียวกัน ก็จะเป็นการประหยัดต้นทุนของปั๊มน้ำมัน ฉะนั้นปั๊มน้ำมันขนาดกลาง และขนาดเล็กก็จะได้ให้บริการได้ลงตัวมากขึ้น . ถัดมาคือเรื่องของแก๊สโซฮอล์ E20 ที่ถูกมองเป็นพระรองมาตลอด แม้ว่าจะเป็นน้ำมันราคาถูกกว่า ประหยัดกว่า คุณภาพตามมาตรฐาน แต่คนเลือกเติมน้อยกว่าเนื่องจากมองว่าเวลาขับขี่แล้วรู้สึกเครื่องยนต์ไม่แรง การเผาไหม้สู้น้ำมันสูตรอื่นไม่ได้ จังหวะนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเดินหน้าครั้งสำคัญของวงการพลังงานไทยอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมให้ลดประเภทน้ำมันลง และใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ด้วยการตั้งเป้าปริมาณการใช้ E20 ไม่ต่ำกว่า 50% ของความความต้องการใช้น้ำมันเบนซินภายในปี 2564 และยกมาตรฐานน้ำมันของไทยเป็นมาตรฐานยุโรป ระดับ 5 ในปี 2567 . ส่วนมาตรฐานน้ำมันยูโร คืออะไร เป็นมาตรฐานการรับมือมลพิษทางอากาศ หรือ Euro Emissions Standards เพื่อควบคุมอัตราการปล่อยมลพิษของรถยนต์ หากย้อนไปดูการกำหนดใช้ครั้งแรกที่เริ่มกันมาตั้งแต่ปี 1992 โดยรายละเอียดทางเทคนิคเบื้องต้นนั้น ข้อกำหนดของมาตรฐานยูโร 1 จะมีการระบุว่ารถยนต์ต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแบบไร้สารตะกั่ว และให้มีอุปกรณ์เครื่องฟอกไอเสียเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) จนพัฒนามาต่อเนื่องมาเป็น ยูโร 2 ในปี 1996, ยูโร 3 ในปี 2000 ยูโร 4 ที่บ้านเราใช้กันอยู่คือการกำหนดให้รถยนต์ที่ผ่านการทดสอบจะต้องมีปริมาณการปล่อยสารมลพิษไอเสียต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ประกอบไปด้วย คาร์บอนมอนออกไซด์ต้องไม่เกิน 0.5 g/km. ไนโตรออกไซด์ต้องไม่เกิน 0.25 g/km ขณะที่ยูโร 5 จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นไปอีกขั้น โดยต้องลดลง 28% จากยูโร 4 . ขณะที่คุณนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานบอกไว้ว่า หากรัฐมนตรีเห็นชอบน่าจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือนหลังจากแผนอนุมัติ โดยแบ่งเป็นช่วง 3 เดือนแรก จะทำการสนับสนุนให้ประชาชนมาเติมน้ำมัน E20 เพิ่มขึ้น ทั้งการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนด้านราคา ต่อจากนั้นช่วง 3 - 6 เดือน ก็ทำการกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันหยุดทำการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 พร้อมใช้กลไกราคาให้โซฮอล์ 91 กับโซฮอล์ 95 มีราคาเท่ากัน ลดส่วนต่าง E20 ให้ถูกกว่า 95 และเมื่อครบแผนการ 9 เดือน ก็เชื่อว่าจะสามารถดันให้ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานได้เต็มรูปแบบ . แล้วรถยนต์รุ่นเก่าจะทำอย่างไร?...ทางแรกอาจจะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ก่อน เพราะยังไม่ยกเลิก ซึ่งมีราคาสูงกว่า 91 ไม่มากนัก หากรวมๆ กับประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่ดีขึ้นก็ถือว่ารับได้อยู่ อีกทางที่สายประหยัดสามารถเลือกได้นั่นคือ การนำรูปไปติดกล่องจูนเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ E20 หรือ E85 แต่ต้องยอมรับว่าการจะไปติดกล่องอะไรก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกับเครื่องยนต์ ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของท่อน้ำมันเร็วขึ้น ยิ่งหากถึงคราวซวยเจอช่างหรืออู่รถติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ย่อมมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่งอกมาอีกด้วย . หากทางเลือกแรกไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งการจูนกล่องเครื่องยนต์ให้รองรับ หรือเปลี่ยนน้ำมัน ยังไม่โดนใจคุณ ทางเลือกอื่นก็ยังมีให้ แต่ทางนี้ต้องเป็นคนที่ทำใจได้ตอนขายรถ เนื่องจากให้นำรถไปติดแก๊ส เพราะแก๊ส LPG NGV ใดๆ ก็ตามจะทำให้รถยนต์สุดรักของคุณราคาตกลงไปด้วย ประกอบกับความเสี่ยงจากความร้อนในการเผาไหม้ระบบแก๊ส สูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้นกว่าเดิม รถยนต์เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ และเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนความร้อนสูงมากนัก รวมถึงโอกาสเวลาเกิดอุบัติเหตุมักจะรุนแรงกว่า แม้อุบัติเหตุบนถนนไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ยิ่งเกิดขึ้นกับรถติดแก๊สนั้นจะยิ่งอันตราย เพราะแก๊สรั่วแล้วติดไฟได้ง่าย ด้วยคุณสมบัติการเป็นเชื้อเพลงชั้นดี ฉะนั้นต้องมองให้หลายมิติ . ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะทางเลือกอื่นๆ ก็ยังมี ไม่ว่าจะเป็นการยกเครื่องยนต์ใหม่ ใส่เครื่องยนต์ตัวใหม่เลย ไปจนถึงหาเครื่องยนต์เก่าตามเซียงกงมาให้อู่รถจัดการให้ แต่ต้องมีความเชี่ยวชาญเสียหน่อย และทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์อาจเลือกการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ ที่ตอบโจทย์มากกว่า อย่างไรก็ตามต้องคำนวนค่าใช้จ่ายที่ตามมาด้วย ดีไม่ดีอาจจะเข้าสุภาษิตที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเอาได้ . ทั้งนี้ การจะเคาะเริ่มการยกเลิกเมื่อไหร่นั้น ยังต้องดูความชัดเจนจากเจ้ากระทรวงพลังงานอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะประกาศชัดๆเมื่อใด . #น้ำมัน #แก๊สโซฮอล์ #91 #E20 #พลังงาน
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แพทย์จักษุเตือน ฝังตะกรุด สาริกาตาหวาน ที่ใต้เปลือกตา อันตรายจริงหรือ
    การทำ สาริกาตาหวาน คือ การนำตะกรุดขนาด 2 มิลิเมตร ซึ่งเป็นทองคำแท้ วางไว้ที่เปลือกตา ทางพ.อ. นพ.ยุทธพงษ์ อิ่มสุวรรณ เลขาธิการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ออกเตือนถึงการการกระทำเช่นนี้ อาจทำให้ตาดำถลอก กระจกตาเป็นแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ จริงหรือ
    anonymous
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สว.สหรัฐร่อนแถลงการณ์ประณาม ‘ประยุทธ์’ โกงเลือกตั้ง-สั่งยิงเด็ก-ตั้งพรรคทหาร-สว.ขี้ข้า 250 คน แถมประกาศลั่น พร้อมคว่ำบาตรไทย !!! . สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สหรัฐฯ ร่อนแถลงการณ์ประณาม ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลเผด็จการไทย บิดเบือนประชาธิปไตย ตั้งพรรคทหารโกงเลือกตั้งเข้ามาเสวยสุข ขยายอำนาจศักดินา แต่งตั้งขี้ข้า สว.250 คน ซ้ำยังสั่งฆ่าราษฎร ปราบม็อบเด็ก ไปจนถึงเรื่องการใช้กฎหมายล้าหลังขัดกับสิทธิมนุษยชนสากล (ม.112-ม.116-พรบ.คอม) แถมระบุชัดเสี่ยงตัดความสัมพันธ์กับไทย ถ้าหากมีการปฏิวัติ-รัฐประหาร ..... ยินดีต้อนรับสู่ยุค โจ ไบเดน (ประธาณาธิบดีคนใหม่ สหรัฐ) . สหรัฐอเมริกา เริ่มแสดงความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆหลังจากได้ ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มาจากพรรคฝ่ายซ้าย สบช่องโต้กลับรัฐบาลไทยและคนรักสถาบันที่ใส่ร้ายว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังม็อบ ครั้งนี้จัดหนักแฉยับให้ทั่วโลกรู้กันไปทั่วว่าประเทศไทยมันเผด็จการขนาดไหน สมควรขายขี้หน้าต่างชาติหรือไม่ ? . [[[ สหรัฐ ประณามไทย ]]] . คำแถลงการณ์ ในช่วงหนึ่งมีการระบุว่า ในปี 2560 รัฐบาล คสช.ของประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่บิดเบือนความเป็นประชาธิปไตยและลดคุณค่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะ สว.250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตลอดจนองค์กรอิสระที่ประยุทธ์แต่งตั้งทั้งหมด (ศาลรัฐธรรมนูญ ปปช.และ กกต.เป็นต้น) จนนำไปสู่การโกงเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งทั่วโลกรายงานว่ามีการบิดเบือนผลเลือกตั้ง ตลอดจนบิดเบือนกติกาเอื้อให้พรรคทหาร (พลังประชารัฐ) ได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมยุบพรรคอนาคตใหม่ ด้วยคำตัดสินผลที่ค้านกับความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก . นอกจากความบิดเบี้ยวทางระบบการปกครองแล้ว รัฐบาลประยุทธ์ยังใช้ความรุนแรงอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง (เช่น วันเฉลิม ซึ่งสำนักข่าวต่างชาติระบุถึงความเกี่ยวโยงกับ ราชองครักษ์ แต่รัฐบาลไทยไม่สืบสวนและเปิดเผยความจริง) จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ทั่วโลกย่อมรับไม่ได้คือการ “สั่งยิงเด็ก” ด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนและรถฉีดน้ำแรงดันสูง ซึ่งถือเป็นการขัดต่อหลักประชาธิปไตยสากลและขัดต่อหลักการคุ้มครองเด็กขององค์กรยูนิเซฟ รัฐบาลประยุทธ์ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปราบปรามราษฎรด้วยข้อหาเกินจริงและกฎหมายที่ล้าหลังไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น กฎหมายปิดปากห้ามพูด-ห้ามวิจารณ์-ห้ามฟ้องร้อง (ทั้งที่ประเทศไทยเลิกใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมานานแล้ว) โดยพบว่ากฎหมายเหล่านั้นล้วนมีโทษติดคุกที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะตัวเลขเยาวชนที่ถูกจับกุม 170 คน ทั้งที่เป็นม็อบมือเปล่า ไม่ใช้ความรุนแรง บุกจู่โจมหรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการ . [[[ สหรัฐ ขู่คว่ำบาตร ไทย ]]] . แถลงการณ์ในช่วงต่อมาระบุว่า สหรัฐพร้อมคว่ำบาตรประเทศไทยและยุติบทบาทความสัมพันธ์หากกองทัพไทยตัดสินใจทำรัฐประหาร โดยจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯเลือกชัดเจนแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างกระบวนการประชาธิปไตยบนสิทธิเสรีภาพของมนุษโดยชอบธรรม ตลอดจนการส่งเสริมชุมนุมแบบสันติ และเสรีภาพในการแสดงออกตามสิทธิพื้นฐานสากล ทั้งนี้ สหรัฐ ยืนยันว่าจะต่อต้านการคุกคามเยาวชนโดยไม่ชอบธรรมทุกรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับนานาอารยประเทศและกติกาประชาธิปไตยของโลกใบนี้ . สอดคล้องกับคำพูดของ ทูตนอกแถว "รัศม์ ชาลีจันทร์" ระบุว่าไม่มีประเทศไหนต้อนรับประยุทธ์เท่าเคยต้อนรับยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่ให้ไปแค่ประชุมตามกำหนดการ ไม่มีกองเกียรติยศต่างชาติต้อนรับ ทำเกียรติประเทศตกต่ำ ด้านข้าราชการกระทรวงต่างประเทศรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่โอเคกับเผด็จการ . [[[ โจ ไบเดน ไม่เอาสลิ่ม ]]] . โจ ไบเดน ประธาณาธิบดีป้ายแดงของสหรัฐ มีแนวคิดส่งเสริมประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอนุรักษ์นิยม รวมถึงรัฐบาลเผด็จการที่ใช้อำนาจรักษาผลประโยชน์ศักดินา โดยเฉพาะรัฐบาลที่เลือกข้างจีนและใส่ร้ายสหรัฐ โจ ไบเดน มีความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมพันธมิตในเอเชียเพื่อต่อต้านอำนาจจีน เขามีแผนใช้มาตรการกดดันการเมืองในประเทศต่างๆมากขึ้นในเอเชีย จากเดิมที่โอบาม่าเคยเน้นไปที่ตะวันออกกลาง และต่างจากทรัมป์ที่ไม่เคยกดดันชาติใดๆให้ต่อต้านจีน . มาตรการภาคีทางการค้าเพื่อต่อต้านจีนจะถูกนำกลับมาใช้ทั้ง GSP, FTA, IMF และ GSP เพื่อให้ชาคิในเอเชียเลือกว่าจะเข้าร่วมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ ยอมอยู่กับจีนแล้วโดนคว่ำบาตรทางการค้า ในวันที่ไทยมีตัวเลขเศรษฐกิจติดลบมากสุดในประวัติศาสตร์ . ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เป็นรัฐบาลทหารที่เลือกข้างจีนมาตลอด มีการทำซูเปอร์ดีลทางการค้า ตั้งแต่ รถถังยันรถไฟความเร็วสูง และผลงานล่าสุดของคนรักสถาบันที่กล่าวโจมตีใส่ร้ายว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังม็อบไทย-ฮ่องกง แน่นอนว่าคล้ายกับรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับสหรัฐ โดยมีจีนเป็นที่ปรึกษา จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุให้โดนตัดสิทธิ์ GSP ครั้งล่าสุด เพราะฝรั่งเขารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังม็อบคนรักสถาบันและระบอบประยุทธ์ . ‘โจ ไบเดน’ มีแนวคิดฝ่ายประชาธิปไตย เขาพร้อมสนับสนุนองค์กรขับเคลื่อนประชาธิปไตยทั่วเอเชีย เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มพลังม็อบนักศึกษาที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจเผด็จการ เช่น ไทย เมียนมา สปป.ลาว และอินเดีย เป็นต้น ประธานาธิบดีคนใหม่จะมีมาตรการตอบโต้รัฐบาลเผด็จการที่กดขี่ประชาธิปไตยแน่นอน . ดังนั้นไทยต้องเดินเกมการทูตอย่างประนีประนอม เพราะเสี่ยงโดนกดดันทางการค้าหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ ประยุทธ์ ที่ถูกประณามไปทั่วโลก เช่น การสลายม็อบ และ คนรักสถาบันทำร้ายนักศึกษาทั่วประเทศ เช่นเดียวกับสถานทูตสหรัฐที่ลงข่าวประจานคนรักสถาบันที่ใส่ร้ายอเมริกาหลายครั้งเรื่องม็อบ . เอกสารต้นฉบับ วุฒิสภา สหรัฐฯ https://www.foreign.senate.gov/imo/media/doc/DAV20G50%20-%20Thailan.pdf?fbclid=IwAR0IegRDe3m7BF73IjLPrzEEZGP6ZTsq-mTfqwAR5oeqYSbyHKYymio91lo
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 2 คนสงสัย
    ของจริง....มาแล้วนะครับ โควิด - 19 สายพันธุ์อังกฤษ British variant ( B.1.1.7 ) ที่ตอนนี้กำลังระบาดหนักไปทั้งโลกนะครับ ไม่ใช่แค่ที่ไทย ประเทศไทยน่ะหรือ ... ยังแค่เริ่มต้น แค่เริ่มต้นจริงๆนะ ที่อังกฤษ ต้นทางของเจ้าสายพันธุ์ดุนี้ มีคนเสียชีวิตกับไวรัสตัวนี้ไปแล้วประมาณ "หนึ่งแสนสองหมื่นคน" ช่วงที่พีคมากๆ มีคนตาย"ต่อวัน" คือ พันกว่าคน (ตายวันละพันกว่านะครับ พันหก เกือบๆพันเจ็ด เห็นตัวเลขแล้ว ขนลุกเลย) ช่วงผ่อนปรนล็อคดาวน์ที่อังกฤษตอนคริสมาสต์ มีการติดเชื้อแบบที่ติดกันทั้งครอบครัว เข้าโรงพยาบาลกันทั้งครอบครัว และ ตายกันทั้งครอบครัวเกิดขึ้นแล้วที่นั่น ช่วงที่เชื้อนี้กระจายกันแบบพีคๆ มีรายงานว่า ติดกันที่ตัวเลขต่อวันคือ หกหมื่นกว่าราย ย้ำ... วันละ หกหมื่นราย มีหลักฐานสนับสนุนทางการแพทย์ชัดเจน ว่าสายพันธุ๋นี้ติดง่ายกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่น และ สายพันธุ์อินเดีย ที่เราเจอมาก่อนหน้านี้ และถ้าเราคิดว่า ที่ผ่านมา เรายังรอด ตอนนี้ก็สบายๆเหมือนเดิมก็ได้ ก็น่าจะประเมินเชื้อนี้ต่ำไปแล้ว... และถ้ายังเชื่อว่า สายพันธุ์นี้ อาการไม่รุนแรง ก็คิดใหม่นะครับ มีรายงานในประเทศไทยของเราพบว่า พบอาการรุนแรงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการเจ็บคอมาก เหมือนมีดบาด เสมหะมีเลือด หายใจได้ไม่ปกติ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่อาการปอดบวม ( pneumonia ) เกิดขึ้นได้เยอะมากนะครับ ลงปอดกันเป็นว่าเล่นเลย ซึ่ง ณ จุดนั้น ต้องรักษาแบบซีเรียสแล้วนะครับ โอกาสไปถึงโคม่า นอนไอซียู ใกล้เข้ามาแล้ว และแพทย์หลายๆท่านให้ความเห็นว่า การจัดการตอนอยู่ในไอซียูของโรคนี้ มีความซับซ้อนมาก ถ้าได้หมอเก่งๆระดับเทพ ว่าไปอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ บ้านเราไม่ได้มีหมอในระดับนั้น มากอย่างที่เราคิด คนสูงวัย น้ำหนักตัวเยอะ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คนที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน หัวใจ หอบหืด ไม่จำกัดวัย ถ้าเราเข้าข่าย ก็ระวังให้มากกว่าคนอื่นๆเถอะครับ โอกาสรุนแรงไปถึงปอด สูงมากกก และที่เรายังไม่ได้ยินข่าวคนเสียชีวิตในครั้งนี้ จนทำให้หลายๆคนคิดแค่ว่า เป็นแค่หวัดกระจอกๆธรรมดาๆนั้น เพราะมันยังเป็นแค่การเริ่มต้น สงสัยว่าติด ไปตรวจ เข้าโรงพยาบาลได้เลย มีที่นอน มีหมอดูแล โคม่าขึ้นมา ยังมีหมอดูแล มีเครื่องช่วยหายใจอยู่ในตอนนี้ ก็เลยพอจะช่วยเหลือกันทัน แต่ว่า... ดูสถิติของวันนี้ 15 เมษายน ตามรูปสิครับ ไม่ต้องดูที่จำนวนคนติดเชื้อ 1,543 นะ ... มองผ่านไปได้เลย พันห้า บางคนจะคิดในใจว่า แล้วไง ไปดูที่จำนวนคนที่กำลังรักษาตัว นอนโรงพยาบาลอยู่ตอนนี้สิครับ ช่องสีเขียวๆน่ะ " 8,973 ราย " นี่คือคนที่กำลังนอนโรงพยาบาลตอนนี้อยู่ ซึ่งจะถึงหมื่นเตียง ในอีกวันสองวันนี้แน่นอน และคนพวกนี้จะยังต้องนอนยึดเตียงไปอีกเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่า 10 วัน นั่นหมายความว่า ถ้าเราเกิดติดโควิดขึ้นมา ในวันถัดๆไปหลังจากนี้ จะเหลือเตียงให้เรานอนรักษา .... น้อยลงไปทุกที และเตียงจะเริ่มทยอยกันเต็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนต่างประเทศ คือ ไม่มีเตียงให้ใครอีก คราวนี้ ต่อให้มีเงิน ก็หาเตียงนอนไม่ได้หรอกครับ จะโทรร้องเรียนที่เบอร์ไหน ใครก็คงช่วยไม่ได้ มีประกันกี่ฉบับ ก็ไม่มีผล ไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลเอกชนหรอกนะครับ โรงพยาบาลสนาม .... ก็จะเต็มไปด้วย แย่ไปกว่านั้นก็คือ ... เรามีเครื่องช่วยหายใจไม่มากพอ เราหาซื้อตอนนี้ ไม่ทันหรอกนะครับ ทั้งโลก ใครก็อยากได้ แล้วในวันที่เกิดซวย ปอดบวม อาการโคม่า เราต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อยื้อชีวิตนะครับ ถ้าในเวลานั้น ไม่มีเครื่องช่วยหายใจเหลือเลย เพราะคนก่อนหน้านี้ก็เอาไปใส่กันหมดแล้ว มันก็จะเหมือนกับที่ต่างประเทศ คือ เครื่องช่วยหายใจที่เหลืออยู่ 1 เครื่อง จะเลือกใส่ให้ใคร และที่เหลือ ก็ต้องปล่อยให้ตาย.... วันนั้นแหละ เราจะเข้าใจความหมายว่า ทำไม เราจึงควรช่วยกัน ในวันที่ยังทำได้ในวันนี้... ........................................ ....................................... พรุ่งนี้ จะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ ทุกคนดูชินชากับโควิด รอดมาแล้วหลายครั้ง ยังไม่เห็นมีอะไร เดี๋ยวก็ลดลงไปเอง ตั้งแต่ระดับผู้นำ จนถึงคนธรรมดาๆข้างถนน ที่ผมยังเห็นนั่งดื่มกันสนุกสนานกันอยู่เลย ประเทศไทยเราโชคร้าย ตรงที่ได้เจอกับสายพันธุ์ที่ติดง่ายที่สุด ในวันที่เราประมาทที่สุด เพราะถ้ามาตั้งแต่รอบแรก ที่เรายังตื่นตัวกันอยู่ ก็คงไม่น่ากลัวอะไรมากนัก อ่านจบแล้ว ไม่ต้องประสาทกินหรอกนะครับ แต่ต้องกลับมายอมรับ และตระหนักจริงๆจังๆได้แล้ว ว่าเรากำลังเจอกับอะไรที่หนักหนาและรุนแรงกว่าเดิม ออกบ้านเท่าที่จำเป็นเถอะครับ หลีกเลี่ยงการไปในที่ซึ่งคนเยอะๆ งดไปเลย อย่าใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง แบบที่ทำไปอย่างงั้นๆเอง แต่จงทำมัน เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่กำลังรักษาชีวิตเราไว้ เพราะมันช่วยได้จริงๆ... อย่าเบื่อการอยู่บ้าน เพราะเชื่อเถอะว่า สบายกว่าโรงพยาบาลสนาม สบายกว่าแอร์ในห้องไอซียู และไม่ต้องต่อคิวเครื่องช่วยหายใจจากใครนะครับ แล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราไปได้ตลอดหรอก แต่ต้องช่วยกัน และให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด อย่าให้มีสถิติการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ แล้วค่อยมาเสียใจ ไม่ต้องไปหวังพึ่งวัคซีนตอนนี้ ยี่ห้อแอสตร้า ---> เดนมาร์คสั่งหยุดใช้ถาวรแล้ว ส่วนยี่ห้อจอห์นสัน ---> อเมริกา สั่งหยุดใช้ไปแล้ว ซินโนแวคของจีน ประสิทธิภาพต่ำ แถมไม่ยอมเปิดเผยผลการทดลองเฟส 3 และตอนนี้จีนยังเร่งศึกษาทำวัคซีนตัวใหม่ แสดงว่า อีที่ออกมาขายนี้ ไม่ดีอย่างที่คิด ดีจริง จะปิดไว้ทำไม แล้วจะไปทำอันใหม่ทำไมอีก... คิดง่ายๆแค่นี้พอ ที่สำคัญ ประเทศไทย ยังฉีดได้ไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งประเทศ ฉีดไป ก็เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งถ้ามันไปตันในที่สำคัญๆ คือ ตายได้เลยนะครับ พึ่งตัวเอง ดูแลตัวเอง คือทางออกที่ดีที่สุด ที่ต้องทำในตอนนี้แล้ว... ช่วงนี้ครูโยคะทั้งหลาย งานอาจจะน้อยลงหน่อย ลำบากหน่อย แต่ยังหายใจได้ ยังแข็งแรง คือดีที่สุดแล้ว... งาน กับ เงิน ไม่ได้หายไปไหน มันแค่เลื่อนออกไปรอเราข้างหน้า คำว่า "เงินทอง ถ้าไม่ตาย หาใหม่ได้" น่าจะประโลมใจได้ดีที่สุดจริงๆในตอนนี้ ถ้าเราบอกว่า โควิดไม่กลัว กลัวอดตาย มากกว่า ..ก็ไม่ผิดหรอกครับ คนเรามีชีวิตที่ต่างกัน เพียงแต่เรากลัวอดตายได้ และก็กลัวโควิดไปด้วยพร้อมๆกันได้ โดยใช้สติคอยกำกับ ออกไปทำงาน ออกไปหาเงิน ถ้ามันจำเป็น แต่ก็ไปด้วยสติ ไปด้วยความระวังตัวที่สุด ไม่ได้เขียนเพื่อให้กลัวและอดตายอยู่ที่บ้านครับ แต่เขียนเพื่อให้ ออกไปทำงาน ด้วยความไม่ประมาท และระวังตัวให้มากที่สุด เท่านั้นเอง สำหรับใครที่พอจะเลือกได้... ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เห็นตัวตนของเราจริงๆแล้วนะครับว่า "สุขภาพ กับ เงิน" เราเป็นคนที่จะเลือกอะไร...
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่ ถ้ามีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลางหมายความว่าไตมีปัญหา
    โรคของคนมีเล็บพระจันทร์เสี้ยว 1. ถ้าคุณไม่มีเล็บพระจันทร์เสี้ยวเลย: ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะตอนนี้สุขภาพของคุณแข็งแรงดี 2. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวอยู่เฉพาะที่หัวแม่มือ: แสดงว่าร่างกายของคุณยังเป็นปกติ ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายใดๆ 3. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลาง: เราว่ามันถึงเวลาที่คุณต้องไปตรวจสุขภาพอย่างจริงจังที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ ว่าตอนนี้อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เพราะการที่คุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวที่นิ้วชี้หรือนิ้วกลาง นั่นหมายความว่าไตของคุณมีปัญหา ควรงดของที่มีรสหวานจัดและเค็มจัดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ต้องตกใจไป บางทีคุณอาจจะเป็นไม่หนักมาก ถ้าหากเราตรวจพบว่ามีอาการเจ็บป่วยในช่วงที่อาการยังไม่รุนแรง การแพทย์สมัยใหม่สามารถรักษาคุณให้หายขาด หรือประคองอาการเอาไว้ ไม่ให้เป็นหนักกว่าเดิมได้ ขอเพียงคุณทานยาและปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด 4. ถ้าคุณมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวมากกว่า 8 นิ้ว: ตามตำรากล่าวว่า ถ้าผู้ใดมีเล็บพระจันทร์เสี้ยวมากกว่า 8 นิ้ว นั่นเป็นสัญญาณเตือนของร่างกาย ที่ต้องการสื่อสารกับเจ้าของร่างว่าตอนนี้คุณเครียดมากเกินไปแล้ว และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูง ดังนั้น คุณควรปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตลงเสียบ้าง หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้การออกกำลังกายก็จะทำให้ร่างกายของคุณดีขึ้น ถ้าหากมีเวลา ก็ควรแวะไปให้คุณหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลด้วยเช่นกัน 5. ถ้าเล็บพระจันทร์เสี้ยวของคุณมีความยาว 1/5 ของความยาวเล็บ: นั่นแปลว่าตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร ต้องระวังเรื่องประเภทของอาหารที่จะรับประทานให้มากขึ้น 6. ถ้าเล็บพระจันทร์เสี้ยวของคุณมีความยาวมากกว่า1/5 ของความยาวเล็บ: แสดงว่าระบบไหลเวียนโลหิตและเส้นประสาทของคุณทำงานผิดปกติแล้ว โดยสาเหตุอาจจะมาจากความเครียด หรือสาเหตุอื่นๆ ก็เป็นได้
    nitch_junki
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อาการโควิด เร็วมากจริงๆ และไม่มีอาการที่รุนแรงในตอนแรก เรื่องนี้ จริงหรือไม่
    เขาอนุญาตให้แชร์เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นค่ะ ************************************* คุณพ่อเพื่อนเสียกะทันหันเมื่อคืนค่ะ ทราบทีหลังว่าเป็นโควิด เรื่องราวอาการของคุณพ่อพี่ S คุณพ่อมีอายุ 72 ปี ชอบออกกำลังกาย ขี่จักรยานในหมู่บ้าน (แถวบางแค) เป็นคนค่อนข้างระวังตัวมากๆ ใส่หน้ากากตลอดและเว้นระยะเสมอ เป็นคนออกไปซื้อของเข้าบ้าน ตามร้านแถวบ้าน ไม่เข้าห้างเลย ออกเมื่อจำเป็นเท่านั้น อาการ 30 เมษายน คุณพ่อรู้สึกเหมือนเป็นหวัด ไอเล็กน้อย วัดอุณภูมิวัดได้ 37.XX (ไข้อ่อนๆ) เข้าใจว่าเป็นหวัดเนื่องจากเพิ่งโดนฝนมา 1 พฤษภาคม ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แถวสาทร x-ray ปอด คือปรกติ คุณพ่อต้องการ swap test เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่โควิด แต่ทางโรงพยาบาลเห็นจาก x-ray ประกอบกับการสอบถาม ถือว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และประเมินว่าเป็นไข้หวัด 3 พฤษภาคม คุณพ่อตัดสินใจไปโรงพยาบาลรัฐ แถวสีลม เพื่อจะได้ swap test แต่ด้วยประวัติไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และประกอบกับการดู x-ray (จากโรงพยาบาล เซน หลุยส์) ยังคงประเมินว่าเป็นไข้หวัด และเพิ่มยาฆ่าเชื้อให้ 4 พฤษภาคม พักอยู่บ้านดูอาการ 5 พฤษภาคม กลับไปโรงพยาบาลรัฐ แถวสีลม อีกครั้ง หมอสั่งจ่ายยาให้แรงขึ้นกว่าเดิมเพราะยังมีอาการไอมาก 6 พฤษภาคม เหนื่อย และไอ แต่ยังเดินเข้าไปใช้บริการที่โรงพยาบาลได้ ขอ swap test แต่ได้ rapid test ซึ่งผล 50/50 และได้ x-ray ปอดตอน 19:00น. ผลคือมีฝาตรงกลางปอดไม่ใหญ่มาก และยังวินิฉัยว่าไม่น่าใช่โควิด หลังจากนั้น 2- 3 ชั่วโมงถัดมา x-ray ปอดอีกครั้ง ปรากฏว่าฝาเต็มปอดแล้ว ไม่นานคุณพ่อก็เสียชีวิตเลยค่ะ พี่ S ฝากมาให้เป็นประโยชน์เพื่อให้ทุกคนระวังกันมากๆนะคะ เพราะมันเร็วมากจริงๆ และไม่มีอาการที่รุนแรงในตอนแรก คุณหมอแจ้งว่าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเพราะ เป็นจากข้างในมาข้างนอก คือลามจากปอดออกมา แนะนำว่ามีเครื่อง Oxemeter (เครื่องวัด oxygen และหัวใจ) ติดบ้านกันไว้ บางทีไข้อาจจะไม่ขึ้น แต่ค่า oxygen อาจจะต่ำลงกว่า 96 ได้ค่ะ
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กรุงเทพฯแตกแล้วครับ / ดร.สันต์ //// หลังจากรักษาพระนครมาได้ยาวนาน แต่ในที่สุดตัวเลขและกราฟ 6 วันที่ผ่านมาตั้งแต่ 1 เม.ย. 2021 ได้ยืนยันการเข้าสู่ Wave3 อย่างแน่นอนและรุนแรงมาก .. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้รุนแรงมากกว่า Wave2 ที่เริ่มที่สมุทรสาครเป็นอย่างมาก จากตัวเลขและกราฟ ตอนนี้เราเข้าสู่ Exponential แล้ว Total Case ของ Wave#3 ใกล้แตะระดับ 1,000 แล้ว ก้าวข้ามสถานการณ์ของ Wave#1 เมื่อตอน Lockdown ปีที่แล้วและก้าวข้าม Wave#2 ตอนเปิดตัวเลขที่สมุทรสาครไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องหวังแล้วว่าจะจบต่ำกว่าหมื่นคน #ขอแค่หยุดไม่ให้ถึงแสนคนได้ก็เก่งมากแล้วสำหรับรอบนี้ คำแนะนำ : Lockdown กรุงเทพมหานคร ทันทีตั้งแต่คืนนี้เถิด ไม่มีใครสมควรได้ออกจากบ้านโดยไม่จำเป็นตั้งแต่คืนนี้พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าเรายังคิดว่าอยากจะหยุด Wave#3 นี้ไว้แค่หลักหมื่น สำหรับประชาชนทั่วไป ไม่ว่าใครจะ Encourage ท่านมากอย่างไรก็ตาม หรือภาครัฐและธุรกิจจะเอาน้ำเย็นเข้ารูปอย่างไรก็ตาม ผมแนะนำด้วยความปราถนาดีต่อท่านและครอบครัวว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ จงอยู่บ้าน และอยู่ไปยาวๆ 2 เดือน Wave3 นี้แตกต่างจาก Wave2 มาก เพราะครั้งนี้เราถูกโจมตีกลางเมืองหลวง ซึ่งที่ผ่านมาเมียนมาสูญเสียย่างกุ้ง มาเลเซียสูญเสีย KL ฟิลิปปินส์สูญเสียมะนิลา และถึงที่สุดตัวเลขยังวิ่งไม่หยุด ไปไกลมากจนต้อง Lockdown อยู่ดี และยังไม่มีใครกอบกู้กลับมาได้เลย เรามาดูสถานการณ์และกราฟต่างๆว่า คณิตศาสตร์บอกอะไรเราบ้าง ตัวเลขและกราฟในวันนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่แค่ Cluster แต่คือ Wave ใหม่แน่นอน การติดเชื้อในวงกว้างน่าจะเริ่มมาก่อน 1 เม.ย.พอสมควร และเราน่าจะเจอช้าไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ และมี Doubling Day ที่สั้นมากจนน่าใจหายมาก กราฟของ Total Case ในเขตกรุงเทพฯ ยืนยันหายนะที่ชัดเจน ว่ากำลังเป็น Exponential ที่เพิ่มเป็นสองเท่าภายในทุกๆ 1-2 วันเท่านั้น ถึงแม้ส่วนหนึ่งเกิดจากการตรวจเชิงรุก แต่ตัวเลขการตรวจเจอจากโรงพยาบาลก็สูงมาก และโดยทั่วไป Doubling Day แค่ 3 วันก็หนักแล้ว นี่ผ่านไปแค่ 6 วันเฉพาะ Wave3 แค่กรุงเทพก็ราวๆ 505 คนแล้ว และทุกคนอยู่กระจายไปทั่ว เดินทางไปทั่วเมืองและทั่วประเทศ ที่นี่เป็นเมืองศูนย์กลางการเดินทางที่มีฐานประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ไม่ใช่แค่ 1 ล้านแบบสมุทรสาคร และไม่ใช่แรงงานต่างด้าวที่จะกักจขังได้ตามใจชอบ นี่คือสัญญาณว่า เราได้สูญเสียกรุงเทพฯไปแล้ว และสถานการณ์มันร้ายแรงมาก กราฟของ Wave3 ทั่วประเทศไทย กราฟมีความคล้ายกับของกรุงเทพฯ ยืนยันลักษณะกราฟเป็น Exponential ที่รุนแรงเช่นกัน Doubling Day ยังสั้นกว่า 2 วัน ยังไม่นิ่ง แต่น่าจะใกล้ Stabilized ซึ่งจะทำให้เราเห็น Trend ระยะกลางได้ และจะสามารถประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงเวลาต่างๆของ Wave ที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ต้องจับตาดูอีก 1 สัปดาห์ Total Case และ Daily New Case ที่กราฟพุ่งทะยานทันทีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันว่าการติดเชื้อหลักรอบนี้ไม่ใช่แรงงานพม่าแต่เป็นชาวกรุงทั้งไทยและเทศ Character ของ Wave3 จึงจะต่างจาก Wave2 โดยสิ้นเชิง ........ ความน่ากลัวในการจู่โจมของ Wave3 1. เกิดขึ้นกลางกรุงเทพฯ ที่เป็น Hub ประชากร> 10 ล้านคน ยากแก่การปิดเมือง และทำ Contact Tracing มากๆ 2. คณะรัฐมนตรีโดนไวรัสไปแล้วเรียบร้อย 3. เรายังไม่หายเหนื่อยจาก Wave2 พักมาไม่ถึง 2 เดือนแบบตาปิดไม่สนิทด้วย 4. ผู้คนมากมายในกรุงเทพฯเริ่มออกเดินทางไปต่างจังหวัด และพร้อมจะเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 5. ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังรอลูกค้าสงกรานต์ 10 วัน พวกเขาจะต้องร้องไห้กันอีกเท่าไหร่ พวกเขาไม่เหลือสายป่านแล้ว และเที่ยวนี้ก็จะไม่เหลืออะไรให้พวกเขากล้าที่จะคาดหวังอีกต่อไปแล้ว 6. ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบายในประเทศนี้ได้รับวัคซีนกันหมดแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนั้นพวกเขาจะกล้าเดินนโยบาย GDP ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและน้ำตา ณ จุดนี้ต้นทุนความเสี่ยงตายของคนในชาติไม่เท่ากันแล้วและผู้มีอำนาจไม่จำเป็นต้องกลัวตายเหมือนครั้งก่อนมีวัคซีน สิ่งที่ควรทำที่สุด : 1. Lockdown กรุงเทพฯ ทันที และยึดเมืองหลวงคืนมาให้ได้ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครจะกล้าประกาศ Lockdown เร็วๆนี้แน่ แต่เราต้องทำอะไรบางอย่าง เวลามีค่ามาก ถ้าเราไม่ทำอะไรเอาแค่สั่งปิดเล็กๆน้อยๆเป็นน้ำจิ้ม ไม่รอดแน่ ถ้าจะทำหลังสงกรานต์ก็หนักแล้ว 2. ธุรกิจท่องเที่ยวที่หยุดไม่ได้แล้ว ต้องตั้งการ์ดสูงสุดในการรอรับลูกค้า 3. คนที่เดินทางออกไปต่างจังหวัดแล้ว จองโรงแรมจ่ายตังค์ไปแล้ว ต้องมีสำนึกในการป้องกันตัวเอง ไม่ทำสิ่งที่คนอื่นจะเสี่ยงเพราะตัวเรา 4. จังหวัดต่างๆ ต้องพิจารณาประกาศควบคุม 14 วันด้วยตนเอง เมืองหลวงแตกแล้ว หัวเมืองต้องเข้มแข็ง แล้วช่วยกันกลับมายึดกรุงเทพฯคืนมา 5. ฉลองสงกรานต์อยู่บ้าน #พยายามงดเว้นสถานที่ติดแอร์ทั้งหมด และหลังสงกรานต์ Work from Home ทันที 6. วัคซีนต้องเร่งให้เร็วขึ้นอีกอย่างมาก ไม่มีวัคซีนเราไม่ชนะหรอก 7. ติดตาม Timeline และฟังศบค.และข้อมูลจากบุคลากรสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดทุกๆวัน สำคัญมากๆ ........ ครั้งนี้เราเสียเมืองหลวงเพราะคนไทยเสพติดอบายมุข สุรา กามา บันเทิง ไม่ละเว้นทั้งๆที่เป็นช่วงที่ประเทศอยู่ในวิกฤตเจียนอยู่เจียนไป นับจากวันนี้ คนกรุงเทพฯ Mind Set ต้องรีบเปลี่ยน กลับมาตั้งหลักกันใหม่ ช่วยกันกอบกู้พระนครกลับมาให้ได้ ต้องเรียนตามตรงว่า ภาระกิจนี้กับ Covid แทบไม่มีชนชาติใดที่โดนตัวเลขระดับนี้แล้วกู้กลับมาได้เลย แต่ผมมั่นใจว่าเราจะเป็นชาติแรกๆ พวกเราต้องช่วยกัน ผมเชื่อว่ายังไม่สายเกินไป ดร.สันต์ ****** ครั้งนี้กรุงเทพแตกแล้วของจริงครับ lockdown ก็ไม่ทันการณ์แล้ว แต่ละคนต้องป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดในระดับสูงสุดเท่านั้น
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false