1 คนสงสัย
คลิปแนะนำวิธีการล้างท่อรถยนต์
ไม่ระบุชื่อ
 •  2 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

การเอาน้ำไปฉีดล้างท่อไอเสีย ไม่ได้ทำให้ตัวคราบเขม่าออกมาน้อยลง ควรจะไปแก้ที่ต้นทางมากกว่า แล้วก็จะมีปัญหาตามมาเรื่องของการผุกร่อนสึกหรออายุก

ที่มา

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    แนะนำผู้ใช้รถยนต์ถึงวิธีการสตาร์ทรถยนต์เมื่อแบตเตอรี่อ่อนใช้ได้
    ไม่ระบุชื่อ
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ผักผลไม้ในไทย มีสารเคมีตกค้างเกือบ 100% จริงหรือไม่
    ทั้งผักและผลไม้ ในประเทศไทย มีสารเคมีตกค้างเกือบ 100% บางชนิดมีสารเคมีที่ตกค้างถึง 20 ชนิด จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ว่าราคาถูก ราคาแพง ทั้งที่มีป้ายบอก ผักปลอดสารพิษ ผักอินทรีย์…ล้วนพบยาฆ่าแมลงบนผัก/ผลไม้…แทบทุกชนิด ข้อแนะนำ : วิธีล้างผักและผลไม้ โดยวิธีต่างๆ และวิธีที่ดีที่สุด: ตามคำแนะนำของ ม. มหิดล https://youtu.be/pAYoYXjo87o
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    มีการแชร์วิธีทำให้พัดลมหมุนเองได้โดยไม่ต้องมีไฟฟ้า ช่วยประหยัดค่าไฟ แค่นำน้ำแข็งผสมน้ำ โซดา เกลือ และถ่านไฟฉาย แล้วเอาปลั๊กพัดลมไปจุ่มเท่านั้น จริงหรือ
    บนสังคมออนไลน์แชร์คลิปแนะนำวิธีทำให้พัดลมหมุนเองได้โดยไม่ต้องมีไฟฟ้า ช่วยประหยัดค่าไฟ แค่นำน้ำแข็งผสมน้ำ โซดา เกลือ และถ่านไฟฉาย แล้วเอาปลั๊กพัดลมไปจุ่ม จะทำให้พัดลมหมุนได้เองโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า
    naydoitall
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กระชาย แก้โรคกระดูกเสื่อม
    หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับ @sgt3846b หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับมาตรวจใหม่ มวลกระดูกแน่นปึ้ก เผยยาสูตรพิเศษ ปวดเข่า ปวดหลัง หายสิ้น!! กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้ !!!!! โรคกระดูกเสื่อม เกิดจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูกในร่างกายของเรา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการทาน จากการเคลื่อนไหวมากเกินไป มักจะเกิดในวั#ยกลางคน วัยสูงอายุ สังเกตเห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลื่อนไหวจะมีเสียงกร๊อบแกร๊บ กร๊อบแกร๊บ บางทีก็จะปวดตตรงข้อกระดูก รู้สึกขัดๆปวดๆ เคลื่อนไหวลำบาก นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบก็จะลุกขึ้นยาก การรักษาโรคกระดูกเสื่อมนั้นส่วนใหญ่คนมักจะพึ่งยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมต่างๆ เช่น แคลเซียมแคปซูล วันนี้นายข้าวต้ม ขอแนะนำสูตรสมุนไพรพิเศษ อาจทำให้เราหายขาด หรือบรรเทาอาการโรคกระดูกเสื่อมได้ คือ ทานแบบภูมิปัญญาไทย ด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เรื่องจริงจากผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อม “หมอเพชร” หรือ ดร. กฤษณา รัตนชาลี ศัลยแพทย์ด้านหัวใจ วัย 60 ต้นๆ เรียน จบแพทย์จากอังกฤษ และทำงานประจำอยู่ที่ต่างประเทศ เพิ่งบินกลับมาปฏิบัติธรรม ที่วัดเขาฯ เป็นครั้งแรก เล่าให้ฟังถึงเพื่อนหมอ ซึ่งไปตรวจที่ รพ.ศิริราช พบว่า เป็นโรคกระดูกเสื่อมเฉียบพลัน รพ. ให้ยามากินมากมาย หมอเพชรบอกเพื่อน เอายาทิ้งไป และลองกินน้ำกระชาย ซึ่งตามสูตรธรรมชาติบำบัดเป๊ะยิ่งกว่า ท่าน อ.สุทธิวัสส์ ซะอีก คือ ห้ามเพื่อนใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ให้ใช้ครกหินอ่างศิลาตำๆ พอกระชายแหลก ก็เอามากรองด้วย “กระชอนไม้” ปูรองด้วยผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ มาผสมกับ น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้!!!!! คนไข้ก็ไม่กล้าบอก หมอถามต่ออีกว่าแล้วยาที่ให้ไปกินหมดรึยัง?…..ยังค่ะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนหมอเพชรคนนี้ก็กินน้ำกระชายเป็นเครื่องดื่มประจำตัว ประจำบ้าน แล้วไม่เคยป่วยด้วยโรคกระดูกเสื่อมอีกเลย อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมา แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมอยู่ให้แน่นเหมือนเดิม ส่วนผสม กระชาย 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก วิธีทำ “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม 1. นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา หรือ ปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ละเอียดเติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว 2. นำกระชายที่ตำหรือปั่น มากรองผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่น้ำหัวเชื้อ 3. ใส่น้ำผึ้ง และ มะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหินอ่างศิลา จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ เก็บในตู้เย็นทานไปจนกว่าจะหมด ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า – เย็น สรรพคุณ บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง) บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงจะลดลงความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น) แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ บำรุง มดลูก แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน) ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต แก้ปัญหา ไส้เลื่อน เป็นยังไงกันบ้าง กับสูตรน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว สูตรธรรมชาติบำบัดรักษาโรคกระดูกเสื่อม อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วยนะครับ ข้อมูลและภาพจาก naykhaotom / siamnews @sgt3846b แนวทางปฏิบัติ #1แชร์=1ธรรมทาน แชร์เยอะๆ ได้บุญคะ โปรดทราบ! ถ้าชอบ ฝาก กดติดตามเพจ กันด้วยนะค่ะ ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กัญชารักษาโรคซึมเศร้าได้จริงไหม?
    ในปัจจุบัน กัญชาถูกพูดถึงมากขึ้นในแง่ของสรรพคุณทางยา และหนึ่งในโรคที่หลายคนสงสัยว่ากัญชาจะช่วยรักษาได้คือ โรคซึมเศร้า แต่ความจริงแล้ว กัญชาช่วยรักษาโรคซึมเศร้าได้จริงหรือไม่? ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า กัญชาไม่ได้เป็นยาที่รักษาโรคซึมเศร้าได้โดยตรง แต่สาร CBD ที่อยู่ในกัญชา มีศักยภาพในการช่วยบรรเทาอาการบางอย่าง เช่น ความวิตกกังวล การนอนไม่หลับ และอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.rama.mahidol.ac.th ) กัญชามีกลไกเข้าไปลดการกระตุ้นในสมอง ทำให้อาการดีขึ้นร่วมกับการนอนหลับ ส่วนการใช้กับโรคซึมเศร้า ยังไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจน ในทางกลับกันพบว่าอาจจะส่งผลเสียต่อการดำเนินโรค ตัวอย่างเช่น กลุ่มโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว โรคจิตเภท ปัญหานอนไม่หลับ ส่วนในด้านกลไกการทำงาน สันนิษฐานว่าสารในกัญชาอาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้าได้โดยการปรับระดับสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนินและโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความสุขนั่นเอง (ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://suicide.dmh.go.th/abstract/details.asp?id=3607 ) ดังนั้น แม้ว่าจะมีหลักฐานบางส่วนบ่งชี้ว่ากัญชามีสารช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้ แต่การใช้กัญชาในการรักษาโรคซึมเศร้ายังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและวิจัยเพิ่มเติม การตัดสินใจใช้กัญชาในการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอแพทย์จะประเมินสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
    Pongsapak Laonet
     •  1 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วิธีรอดจาก COVID ด้วยการ "ตากแดด" รับ Vitamin D
    วิธีการสู้กับ COVID คือให้ไป "ตากแดด" เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์ Vitamin D ค่ะ!! จากงานวิจัยตีพิมพ์ออกมาทั่วโลกตั้งแต่โควิดระบาดในปี 2019 ทำให้นักวิจัยค้นหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องเจออยู่ข้อนึงว่า..... หลายคนที่ติดและตายจากโควิด "มักจะมีระดับ Vitamin D ในเลือดต่ำ!!" 90% ของ Vitamin D สามารถสร้างได้จากการไปตากแดดค่ะ และต้องไม่ทาครีมกันแดดใดๆนะคะ ต้องให้แดดปะทะกับผิวของเราโดยตรง เพื่อให้คอเลสเตอรอลที่อยู่ใต้ผิวหนังสร้างวิตามิน D โดยมันจะสร้างได้ผ่าน 2 กลไก 1. ส่งไปให้ตับและส่งไปให้ไต เพื่อเอาไปสร้างวิตามิน D (ตัวที่พร้อมจะใช้งาน) โดยมันจะเพิ่มช่องในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ทำให้เรากินเท่าเดิม แต่แคลเซียมจะเข้ามาในร่างกายของเราเพิ่มมากขึ้น 2. ส่งไปให้ตับและส่งไปให้เม็ดเลือดขาว เพื่อเอาไปสร้างวิตามิน D (ตัวที่พร้อมจะใช้งาน) กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างหอกและดาบที่ชื่อ Defensins และ Cathelicidins เพื่อเอาไปฟันไวรัสให้สิ้นสภาพ มีผลกับเชื้อตัวล่าสุด SARs-CoV2 ด้วย คำแนะนำในการตากแดดส่วนใหญ่อยู่ที่ 7-30 นาที หรือตากช่วง 10 โมง - บ่าย 3 ในคลิปมีรายละเอียดบอกเอาไว้แล้วนะคะ แต่ช่วงนี้อยากให้เพื่อนๆตากแดดกันทุกวันนะ ส่วนใครที่กลัวว่ารังสี UV จะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง ก็ให้หาอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีเบต้าแคโรทีนมาทานค่ะ เช่น แครอท, ฟักทอง, มันหวาน, แคนตาลูป, มะม่วง, มะละกอ, มะเขือเทศ ฯลฯ เพราะมันจะช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ และงดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะไปลดเจ้าเบต้าแคโรทีน ทำให้เราไม่มีตัวปกป้องผิวจากแสงแดดค่ะ ขอให้คลิปนี้ช่วยเหลือทุกคนได้นะคะ และขอให้พวกเราผ่านพ้นสถานการณ์ COVID ไปได้ด้วยกัน เทคแคร์นะคะ ลูกเพจที่น่ารักทุกคน
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ระวัง !! การหลอกตรวจเลือดแบบ live blood analysis
    ระวัง !! การหลอกตรวจเลือดแบบ live blood analysis . ถ้าใครไปเจอการชักชวนให้ตรวจเลือดที่เรียกว่า Live Blood Analysis ให้หลีกหนีไกลๆเลยครับ ไม่งั้นเตรียมตัวเสียเงินฟรีๆแน่ บางคนโดนฟันเกือบแสน . ทำไมเขาถึงต้องหากินแบบนี้กับเราล่ะ??? ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลจริงๆ ก็เพราะเขาหาเงินได้มหาศาลน่ะสิครับ ต้นทุนการตรวจไม่ถึง 5 บาท เท่านั้น วิธีการตรวจของมันก็คือ เขาจะมีกล้องจุลทรรศน์ตัวนึงเชื่อมต่อกับจอคอมพิวเตอร์ แล้วเจาะเลือดของเราจากปลายนิ้ว จิ้มเข้าไป จึ้ก! แล้วก็หยดเลือดลงบนกระจกสไลด์ แล้วเอาไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จากนั้นเขาก็จะโชว์ลักษณะของเม็ดเลือดในจอคอมฯให้เราดูสภาพเม็ดเลือด . ต่อจากนี้แหละ คือวิชามั่วล้วนๆ เขาจะพยายามอธิบายภาพเม็ดเลือดให้เราฟัง เพื่อเสมือนว่าตรวจสุขภาพ เช่น - บอกว่าเจอโลหะหนักในเลือด (ซึ่งจริงๆแล้วอนุภาคโลหะหนักจะส่องไม่เห็นจากในกล้อง) จากนั้นจะเชียร์ให้ทำการล้างเลือด ทำนั่นทำนี่ คอร์สเป็นหมื่น - บางรายบอกว่าเจอเส้นใยโปรตีน เกิดจากอาหารไม่ย่อย (มั่วอีกตามเคย) จากนั้นก็จะสั่งจ่ายยามาช่วยย่อย เขาบอกว่าเกิดจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เลยมีเส้นใยโปรตีนตกค้าง - บางรายพบก้อนวาวๆ ก็บอกว่าเป็นพวกโลหะตกค้าง (บ้าเอ๊ยยย นั่นมันคราบไขมันเกาะกระจกสไลด์) แล้วเขาจะบอกว่าถ้าสะสมมากๆ จะเป็นมะเร็ง เป็นนั่นเป็นนี่ ต้องล้างเลือดด้วยการทำ chelation หรือวิธีอื่นๆ ราคาเป็นหมื่นเช่นกัน - ในรายที่เจอคราบเม็ดไขมันมากๆๆ ก็แนะนำขาย การตรวจไขมันในเลือด เราก็เสียตังค์อีก - บางรายบอกว่าพบ target cell เยอะๆ แล้วบอกว่าตับเรามีปัญหา ให้ขาย test การตรวจตับ และขายโปรแกรมเอ็กซเรย์ ไอ้เทคนิคการทำให้เลือดติดกัน ทำง่ายมาก แค่หยดเลือดหยดใหญ่ๆ หนาๆ แล้วส่องกล้องให้คนไข้ดู มันจะน่ากลัวและน่าตกใจ มันเป็นการตรวจที่คนไข้เห็นกับตาตัวเองในจอคอมฯ เป็นใครก็เชื่อ . สรุปก็คือ การตรวจ live blood analysis ด้วยการเจาะเลือดหยดเดียวที่ปลายนิ้ว ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจทางห้องปฏิบัติการการประกอบการวินิจฉัยโรคของการประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ . ก่อนเจาะปลายนิ้ว ถามเลย ใช่การตรวจ live blood analysis (ไลฟ์ บลัด อนาไลสิส) รึเปล่า ถ้าใช่ก็อย่าตรวจนะครับ!!!!
    Mrs.Doubt
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เรื่องนี้น่าสนใจมาก...หากประสบผลสำเร็จ คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดคงจะสบายสักที...... --------‐--‐-----//------------------ มนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น! ทำความรู้จัก “อนุภาคนาโน” ที่ถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว และอาจทำให้ “โรคหัวใจ” กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เวลาได้ยินข่าวคนดังเสียชีวิต มักมีสาเหตุมาจาก “มะเร็ง” และพานคิดว่ามะเร็งน่าจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมนุษย์ปัจจุบันคือ “โรคหัวใจ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มนุษย์ที่เสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มนี้ในแต่ละปีมากถึง 30% และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 แซงหน้ามะเร็ง 1.เราอาจสังเกตว่า “คนสมัยก่อน” มักจะไม่ได้ตายเพราะ “โรคมะเร็ง” หรือ “โรคหัวใจ” . เหตุที่ช่วงหลังมานี้ “โรคมะเร็ง” และ “โรคหัวใจ” ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันอายุยืนขึ้น เราไม่ค่อยตายจากสงครามและโรคติดเชื้อต่างๆ แบบในอดีต พออยู่มาจนแก่ . เราจึงเผชิญหน้ากับโรคที่โดยทั่วไปใช้เวลาพัฒนาหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาจนคร่าชีวิตผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคไต ฯลฯ 2.ก่อนหน้านี้ โรคที่ฆ่ามนุษย์เป็นอันดับ 1 คือ “มะเร็ง” เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า “มะเร็ง” นั้นกินความกว้างมากๆ เพราะเกิดจากการที่เซลล์ของอวัยวะร่างกายกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย เรียกได้ว่าเกิดเนื้อร้ายส่วนไหนก็นับเป็นมะเร็งหมด พอแก่ตัวไป แนวโน้มที่เซลล์จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น . ผลในทางสถิติคนก็เลยเป็นมะเร็งกันเยอะ และในอดีตเป็นโรคที่ “ไม่มีทางรักษา” . แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีแนวทางการรักษาใหม่ๆ เริ่มมีเทคนิคการคัดกรองที่ดีขึ้น คนก็เลย “จัดการ” กับมะเร็งได้ดีกว่าก่อนมาก ส่งผลให้ “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่กลายเป็นภัยต่อชีวิตอันดับ 1 ของมนุษย์ 3.คำว่า “โรคหัวใจ” ในความหมายของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นคำที่กินความกว้างมากคือ กินความตั้งแต่ภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตีบทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ไปจนถึงภาวะผิดปกติทางกายภาพของหัวใจที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือด . อย่างไรก็ดี สิ่งที่ใกล้ชิดกับโรคหัวใจที่สุดก็คือภาวะอย่าง ‘หลอดเลือดแข็งตัว’ (atherosclerosis) หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด” ในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นภาวะยอดฮิตที่คนจะป่วย และพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจในที่สุด . แม้ว่าคนจะนิยมเรียกกันแบบนี้ แต่สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดนั้นไม่ใช่ “ไขมัน” แต่คือซากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายขณะที่มันพยายามจะทำลายคอเลสเตอรอลที่หลุดเข้ามาในผนังหลอดเลือด . (ซึ่งคอเลสเตรอลไม่ใช่ไขมัน ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นพลังงานไม่ได้ ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดๆ ว่าเวลาเรา “เบิร์น” ตอนออกกำลังกาย แล้วจะเอาคอเลสเตอรอลมาใช้ ร่างกายเราไม่ได้ทำงานอย่างนั้น) . พอซากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายสะสมกันในผนังหลอดเลือดมากๆ หลอดเลือดก็จะหนาขึ้นและยืดหยุ่นน้อยลง เราเลยเรียกภาวะนี้ว่า “หลอดเลือดแข็งตัว” 4.ถ้าที่ว่ามาฟังเข้าใจยากไป ก็คิดซะว่าหลอดเลือดเราเป็น “ท่อ” ก็ได้ . ภาวะที่ว่ามาคือภาวะ “ท่อตัน” และพอ “ท่อตัน” เลือดก็จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งถ้านั่นเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือสมอง เราก็จะเสียชีวิต (ทั้งนี้เวลาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จะเรียก Heart Attack ส่วนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จะเรียก Stroke สองภาวะนี้มีสาเหตุพื้นฐานคือ “ท่อตัน” นั่นเอง) . ดังนั้นปัญหาที่คร่าชีวิตมนุษย์แบบนับไม่ถ้วน ก็คือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท่อตัน” นี่เอง เพียงแต่ท่อที่ว่าคือเส้นเลือดแดงในร่างกายที่คอยส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะ 5.คำถามต่อมาคือ แล้วภาวะ “ท่อตัน” นี่จัดการแค่ใส่ “น้ำยาล้างท่อ” ลงไปไม่ได้หรือ? . คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาจึงต้อง “ผ่าตัด” “ทำบอลลูน” และ “ทำบายพาส” กันให้วุ่นวาย . วิธีการรักษาปัจจุบันคือ ถ้า “ท่อตัน” ทำได้แต่ผ่าตัด (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) ซึ่งก่อนผ่าตัด เราก็ต้องระบุให้ได้ว่า “ท่อ” ตรงส่วนไหนตัน โดยการ “ฉีดสี” และทำ MRI . ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า “แพงมาก” แม้ว่าประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษา แต่ไม่ว่าจะเป็นในประเทศยุโรปหรือไทย คุณต้องผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างละเอียด ถึงจะได้ทำการวินิจฉัยว่าคุณกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงส่วนไหนของร่างกาย เรียกว่าผู้ป่วยจะได้ทำเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น . ปัญหาคือทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายของเรา “กำลังจะท่อตัน” ตรงไหน เพราะมันไม่มีทางจะมองเห็นเส้นเลือดในร่างกายของเราด้วยการวินิจฉัยทั่วๆ ไป การไป “ตรวจสุขภาพประจำปี” ซึ่งตรวจด้วยวิธีทั่วไป ก็ไม่มีทางรู้ได้ 6.ปกติเราจะรู้ได้ว่า ตัวเรามีความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า ค่าความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง และวิธีการ “พยุงอาการ” ของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหลักๆ คือเขาจะให้กิน “ยาลดความดัน” กับ “ยาลดคอเลสเตอรอล” ซึ่งต้องกินไปตลอดชีวิต . และผลหลักๆ คือการชะลอภาวะ “หลอดเลือดแข็งตัว” หรือลดความเสี่ยงของการที่คุณจะ “ท่อตัน” จนเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่พอ จนพิการหรือถึงแก่ความตายในที่สุด . นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เน้นว่าคือการ “ชะลอ” เท่านั้น ยังไม่ใช่การ “รักษา” และที่เป็นแบบนี้ เพราะระบบสาธารณสุขไม่ว่าที่ใดในโลก ยังไม่มีต้นทุนพอที่จะจับคนทุกคนมาฉีดสีและทำ MRI เพื่อหาว่าคนๆ นั้นกำลังจะ “ท่อตัน” ตรงไหนของร่างกาย . ผลก็คือ วิธีชะลอดังกล่าวก็เลยให้กินยาไปเรื่อยๆ แทน เพราะนั่นสมเหตุสมผลในเชิงงบประมาณมากกว่า ถ้าต้องจัดการกับ “กลุ่มเสี่ยง” จำนวนมากหลักล้านคน 7.ประเด็นคือ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภาวะที่แทบทุกคนที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่แก่ตัวไปยังไงก็เป็น ไม่ว่าจะด้วยอาหาร ด้วยวิถีชีวิต และด้วยอายุที่ยืนขึ้น . เรียกได้ว่าถ้า “ท่อยังไม่ตัน” เมื่อแก่ตัวไป ทุกคนกำลังก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ท่อกำลังจะตัน” . ดังนั้น ถ้าจะว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว นี่คือ “โรคของทุกคน” ที่ในทางเทคนิค ในปัจจุบันยังไม่มี “ยารักษา” ใดๆ ที่จะแจกจ่ายให้ทุกๆ คนกินทีเดียวแล้วหายได้ 8.แต่ก็อย่างที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง ต่อไปนี้โรคหัวใจอาจเป็นแค่อดีต . เพราะเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ชาวโลกกำลังตื่นตระหนกกับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือพวกเขาค้นพบอนุภาคนาโนที่จะ “คืนชีพ” ให้พวกเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กินคอเลสเตอรอลแล้วตายในผนังหลอดเลือด ให้ฟื้นขึ้นมากินพวกคอเลสเตอรอลและซากเซลล์ที่ตายไปแล้วในผนังหลอดเลือด . ผลก็คือ สิ่งที่ไปพอกผนังหลอดเลือดจน “แข็งตัว” ก็จะค่อยๆ ลดลงไป และผนังหลอดเลือดก็จะเป็นปกติในที่สุด . หรือพูดให้มันง่ายกว่านั้น “อนุภาคนาโน” ก็คือ “น้ำยาล้างท่อ” ของ “ภาวะท่อตัน” ในหลอดเลือดนั่นเอง . เรียกได้ว่ามีอนุภาคนี้คือจบเลย เราไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่า “ท่อตัน” ตรงไหน ฉีดเข้าไปในเลือด อนุภาคนี้จะค่อยๆ จัดการท่อที่ตันเอง ไม่ต่างจากที่คุณเทน้ำยาล้างท่อตอนต่อตัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่ามันตันตรงส่วนไหน น้ำยาจัดการให้หมด . และนี่ก็ไม่ใช่แค่คอนเซปต์ลอยๆ เพราะขณะนี้ อนุภาคนี้ทดลองในหนูสำเร็จแล้ว และก็ไม่แปลกเลยที่อีกไม่นานก็น่าจะได้ทดลองในมนุษย์แน่ๆ . ถ้าสำเร็จ ถึงตอนนั้น คนที่ต้องกินยาทุกวันไปตลอดชีวิตก็อาจไม่ต้องกินกันอีกแล้ว . และถ้ามากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นการบอกลาโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนแทบทั้งหมดในโลกก็เป็นได้ อ้างอิง: ScienceDaily. Nanoparticle chomps away plaques that cause heart attacks. https://bit.ly/3dzPx9V NHI. Plaque-eating nanoparticles may help prevent heart attacks. https://bit.ly/3iTUNX2 #Nanoparticle Cr.BrandThink
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ในประเทศจีน Coca-Cola จะถูกขายเป็นเครื่องกำจัดสิ่งปฏิกูล และเครื่องดื่ม Coca-Cola ที่ผลิตโดย American Coca-Cola Company จะถูกโอนตามการตัดสินใจของคณะกรรมการกลางเพื่อคุณภาพอาหารของจีน ให้เป็นประเภทของเหลวสุขาภิบาล แนะนำการล้างท่อ... เหตุผลของการตัดสินใจที่เข้มงวดนี้คือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเนื้อหาของเครื่องดื่มและผลกระทบที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ นักโทษมากกว่า 500 คนได้รับเลือกในเรือนจำของจีนเพื่อทำการทดลองและการวิจัย พวกเขาดื่มโคคา-โคลาสามครั้งต่อวันเป็นเวลาหกเดือน การทดลองสิ้นสุดลงโดยมีผู้เสียชีวิต 75 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 150 ราย คนอื่นๆ พิการ และส่วนที่เหลือพบว่ามีอาการกำเริบของโรคเรื้อรัง และได้รับความเสียหายต่อสุขภาพในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน... จากข้อมูลเหล่านี้ ทางการได้ข้อสรุปเกี่ยวกับอันตรายของน้ำอัดลมที่มีต่อสุขภาพและชีวิตของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจถอน Coca-Cola ออกจากร้านขายของชำทุกแห่งในจีน Fanta... ในเวลาเดียวกันจะมีการบันทึกคุณสมบัติเชิงบวกของของเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบประปาในฐานะน้ำยาทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับท่อระบายน้ำทิ้งและห้องส้วมในห้องน้ำ ห้องครัว... ในตุรกี และเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการทดลองกับบริษัท Coca-Cola ในอเมริกา เนื่องจากมีส่วนประกอบของเครื่องดื่มซึ่งอาจทำให้ปอด ตับ ต่อมไทรอยด์ และมะเร็งเม็ดเลือดขาว... ในอินเดีย ศาลฎีกาสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มโคคา-โคลา เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ... ลัตเวียสั่งห้ามจำหน่ายโคคา-โคลาและเป๊ปซี่ในโรงเรียนประถมศึกษา และในอังกฤษและยูเครน มีการห้ามการบริโภคโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ในโรงเรียน... ❌ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโคคา-โคลา: กำจัดสนิมหรือที่เรียกว่าตะกรันออกจากกาต้มน้ำและคราบจุลินทรีย์ในห้องน้ำได้ดี เนื่องจากมีกรดออร์โธฟอสฟอริกอยู่ในนั้น... ในบางประเทศในเอเชีย เกษตรกรใช้โคคา-โคลาเพื่อฆ่าแมลงศัตรูพืชและอื่นๆ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าสารเคมี และให้ผลเช่นเดียวกัน... ★ ทุก ๆ วินาที มีการบริโภคเครื่องดื่ม Coca-Cola กว่า 8,000,000 แก้วทั่วโลก... ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่เพียงแต่ใช้กับ Coca-Cola เท่านั้น แต่น้ำอัดลมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นอันตราย เช่น เป๊ปซี่ และเครื่องดื่มอื่นๆ ทุกชนิด... เราต้องจำไว้ว่าบริษัทผู้ผลิตให้ความสำคัญกับผลกำไรเท่านั้น และไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของมนุษย์เพียงเพื่อจุดประสงค์ทางการค้าเท่านั้น ส่วนการดูแลสุขภาพนั้นก็อยู่ในมือคุณเท่านั้นจึงต้องงดดื่มและแนะนำคนรอบข้างว่าอย่าดื่มเลย...ดื่มแล้วอร่อยจริง ๆ เพราะมีกรด น้ำตาล และสารเคมี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายถึงชีวิตและนำมาซึ่งโรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน และความจำเสื่อมในระยะเริ่มต้น....
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    🌻🌻เป็นลมในห้องน้ำ⭕อย่าลืมนั่งบนเก้าอี้สบาย ๆเพื่ออาบน้ำ เรามักจะได้ยินเสียงคนมีอาการวูบล้มลงขณะเริ่มอาบน้ำ ทำไมเราไม่เคยได้ยินว่าตกที่อื่น? เมื่อฉันเข้าร่วมหลักสูตรวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีศาสตราจารย์จากสภาการกีฬาแห่งชาติซึ่งเข้าร่วมหลักสูตรนี้แนะนำว่าคุณไม่ควรสระผมก่อนอาบน้ำและควรล้างส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก่อน เนื่องจากเมื่อศีรษะเปียกและเย็นเลือดจะไหลไปที่ศีรษะเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น หากหลอดเลือดแคบลงก็มีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดแตกได้ เนื่องจากมักเกิดขึ้นในห้องน้ำอย่าลืมสร้างความตระหนักรู้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นอีก 1. เปียกก่อนจากฝ่าเท้า 2. น่อง 3. ต้นขา 4. หน้าท้อง. 5. ไหล่ 6. หยุดชั่วคราว 5-10 วินาที 👉เราจะรู้สึกราวกับว่ามีไอน้ำ / ลมพัดออกมาจากร่างกายจากนั้นเราก็ไปอาบน้ำตามปกติ 🌻 ภูมิปัญญา: เช่นเดียวกับแก้วที่เติมน้ำร้อนแล้วเติมน้ำเย็น เกิดอะไรขึ้น? แก้วจะแตก⚡ !!! 🚿ถ้าร่างกายเรา ... พังเพราะอะไร? อุณหภูมิร่างกายของเราร้อนมากและน้ำก็เย็นมากดังนั้นหากเราอาบน้ำให้ร่างกายหรือราดศีรษะโดยตรง จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เนื่องจากเส้นเลือดแตก 🌻นี่คือสาเหตุที่เรามักจะเห็นคนล้มลงในห้องน้ำอย่างกระทันหัน เราอาจเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือไมเกรนเนื่องจากการอาบน้ำผิดวิธี 🚿วิธีการอาบน้ำนี้เหมาะสำหรับทุกวัยโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คอเลสเตอรอลและไมเกรน )ปวดศีรษะ) รวมถึงผู้สูงอายุ ไม่ควรอาบน้ำเย็นเพื่อความปลอดภัยและหาเก้าอี้นั่งอาบน้ำจะดีที่สุด 🚫อย่าขี้เหนียวกับความรู้โปรดแบ่งปันเพิ่มเติม ..
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false