ตรวจสอบข่าว

1 คนสงสัย
เสื้อเกราะกันกระสุน มีวันหมดอายุ
ไม่ระบุชื่อ
 •  4 วันที่แล้ว
meter: true
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด

เหตุผล

เสื้อเกราะกันกระสุนไม่ได้สามารถใช้งานได้ตลอดไป แต่มีอายุการใช้งานจำกัดตามวัสดุและการดูแลรักษา “อ.เจษฎา” อธิบายว่า วัสดุที่ใช้ผลิตเสื้อเกราะ

ที่มา

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    #ไปยุโรปไม่ต้องทำVisaแล้วจ้า #ใช้ได้3ปี #เริ่มตุลานี้ 𝐍𝐞𝐰 𝐫𝐞𝐪𝐮𝐢𝐫𝐞𝐦𝐞𝐧𝐭𝐬 𝐭𝐨 𝐭𝐫𝐚𝐯𝐞𝐥 𝐭𝐨 𝐄𝐮𝐫𝐨𝐩𝐞 🇪🇺 ยกเลิกวีซ่าเข้า “ยุโรป” 📍 ไม่ต้องขอวีซ่า 📍 ไม่ต้องไป VFS 📍 ใช้ระบบ ETIAS ออนไลน์แทน 📅 เริ่มปลายปี 2025 เป็นต้นไป ✈️ เตรียมตัวเที่ยวสบายขึ้นทั่วยุโรป! พลเมืองไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะไม่ต้องไปสถานทูตหรือศูนย์ VFS อีกต่อไปเมื่อต้องการเดินทางไปยุโรป โดยในอนาคตอันใกล้ เราจะสามารถยื่นขออนุญาตเดินทางแบบออนไลน์ ผ่านระบบ ETIAS ซึ่งจะมาแทนขั้นตอนการขอวีซ่าที่ล่าช้าและยุ่งยากในอดีตสำหรับการเดินทางระยะสั้น นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับผู้เดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า การอัปเดตนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบใหม่สองระบบที่สหภาพยุโรปกำลังจะเริ่มใช้ ได้แก่ ระบบ Entry/Exit System (EES) และ ระบบ European Travel Information and Authorisation System (ETIAS) โดยทั้งสองระบบมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยชายแดน พร้อมกับอำนวยความสะดวกให้กับนักเดินทาง EES: ไม่มีการประทับตราหนังสือเดินทางอีกต่อไป ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2025 ระบบ Entry/Exit System จะเข้ามาแทนที่การประทับตราหนังสือเดินทางที่จุดผ่านแดนของ 29 ประเทศในยุโรป รวมถึงเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ระบบนี้จะใช้กับผู้เดินทางทุกคนที่ไม่ใช่พลเมืองสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงพลเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เดินทางเข้าสู่เขตเชงเก้นเพื่อพักระยะสั้น เมื่อเดินทางมาถึง ผู้เดินทางจะถูกลงทะเบียนแบบดิจิทัล โดยมีการเก็บข้อมูลดังนี้: • ภาพถ่ายใบหน้า • ลายนิ้วมือ • ข้อมูลหนังสือเดินทาง เช่น วันและสถานที่เดินทางเข้า-ออก ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อตรวจสอบโดยอัตโนมัติว่าผู้เดินทางอยู่เกิน 90 วันภายในช่วง 180 วันหรือไม่ นอกจากนี้ EES ยังช่วยป้องกันการปลอมแปลงตัวตน และลดระยะเวลาการตรวจคนเข้าเมืองลงได้มาก ETIAS: ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนเดินทาง ภายในปลายปี 2025 ผู้เดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า เช่น ไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะต้องขออนุมัติการเดินทางผ่านระบบ ETIAS ก่อนออกเดินทางไปยุโรป ETIAS ไม่ใช่วีซ่า แต่เป็นระบบตรวจสอบเบื้องต้นออนไลน์แบบง่าย ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลพื้นฐาน เช่น: • ข้อมูลส่วนตัว • รายละเอียดหนังสือเดินทาง • อาชีพปัจจุบัน • คำตอบเกี่ยวกับประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือประวัติอาชญากรรม (ถ้ามี) ไม่มีการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ (เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า) ในขั้นตอนนี้ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ETIAS จะมีอายุ 3 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางจะหมดอายุ และสามารถใช้สำหรับการเดินทางได้หลายครั้ง ประเทศที่ยังต้องขอวีซ่าเหมือนเดิม สำหรับประเทศที่ยังต้องขอวีซ่าเชงเก้น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ กฎเดิมยังคงใช้เหมือนเดิม คือต้องยื่นขอวีซ่าผ่าน VFS Global หรือสถานทูตที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องผ่านระบบ EES ที่ด่านพรมแดนเช่นกัน โดยจะมีการสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ แทนการประทับตราหนังสือเดินทางแบบเดิม สิ่งที่นักเดินทางไทยควรรู้ ประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิ์ยกเว้นวีซ่าในการเดินทางเข้าสู่เขตเชงเก้นไม่เกิน 90 วัน ซึ่งสิทธินี้ยังคงเหมือนเดิม แต่ตั้งแต่ปลายปี 2025 เป็นต้นไป นักเดินทางไทยจะต้องยื่นขออนุญาตเดินทางล่วงหน้าผ่านระบบ ETIAS ก่อนขึ้นเครื่องบินไปยุโรป นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 เป็นต้นไป นักเดินทางไทยจะถูกลงทะเบียนในระบบ EES ที่จุดผ่านแดน โดยจะมีการเก็บลายนิ้วมือและภาพใบหน้า แทนที่การประทับตราหนังสือเดินทางแบบเดิม #ยกเลิกvisaeu
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อ่านหน่อยนะ เตรียมตัวไว้นะ คนเยอะแยะบอกเราว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดไวรัสโคโรน่า แต่ไม่ยักมีใครสักคนบอกว่า ถ้าเกิดติดไวรัสแล้ว จะต้องทำอย่างไร ขอบคุณนะ คุณพยาบาลในจักรภพอังกฤษที่รวบรวมคำแนะนำนี้ให้เรา นี่เป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลบางประการ จากพยาบาลทั่วไปในอังกฤษ นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเจอคำแนะนำว่า แรกที่สุดต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกพ้นจากการติดไวรัส: • ล้างมือให้สะอาดหมดจด รักษาอนามัยร่างกาย อยู่ห่างๆ​ ผู้คน แต่ที่ดิฉันไม่เคยเห็นเลย คือ คำแนะนำว่า ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมาจริงๆ​ จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งนี่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้นะ ดังนั้น ในฐานะเป็นพยาบาลเพื่อนใกล้บ้าน ดิฉันขอให้คำแนะนำบางประการ: ถ้าคุณ เกิดติดเชื้อ โควิด-19 ขึ้นมา คุณต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คล้ายๆกับว่า คุณรู้แล้วว่าคุณโดนไอ้เจ้าเชื้อทางเดินลมหายใจเล่นงานเข้าแล้ว เช่น เป็นมีภาวะหลอดลมอักเสบ หรือ ภาวะปอดบวม คุณต้องนึกไว้นะว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับตัวคุณ คุณต้องเริ่มทำสิ่งต่อไปนี้เดี๋ยวนี้เลย : ให้แสงแดดชะโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้) แสงแดดจะเพิ่มระดับไวตามิน D ให้คุณมากมาย นี่จะไปเสริมความสามารถของภูมิคุ้มกันของตัวคุณ ถ้ามีกำลังทรัพย์ ให้กินอาหารเสริมดีๆ ร่วมกับไวตามิน C 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รวมทั้ง สังกะสี ซิลิเนียม และ สารกลูทาไธโอน น้ำมันตับปลายี่ห้อ Scott’s Emulsion ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีทีเดียว (น้ำมันตับปลาค้อด) สิ่งที่คุณจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเข้าไว้ก่อน คือ: *กระดาษ Kleenex* *ยาพาราเซตามอล Paracetamol* *ยาแก้ไอ ตามที่ชอบ (ให้ดูฉลากยาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ยาแก้ไอจะไม่มียาพาราเซตามอลไปเพิ่มอีก) *ยาอมผสมสังกะสี *สะเปรย์พ่นคอ เช่น Andolex หรือ TCP *น้ำผึ้งกับมะนาวก็ได้นะ ดีทีเดียวละ​ ! ยาหม่อง Vicks* vaporub ก็ดีนะ คนใช้กันเยอะ *เครื่องลดความชื้น ก็ควรจะซื้อมาใช้ในห้องที่คุณจะนอนทั้งคืน (คุณอาจจะใช้วิธีอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว และนั่งในห้องน้ำ หายใจเอาไอน้ำเข้าตัวก็ได้นะ) ถ้าคุณเคยเป็นหอบหืด และหมอเคยจ่ายยาพ่นให้ ต้องแน่ใจนะว่า มันยังไม่หมดอายุ ให้หายาพ่นมาสำรองไว้นะ *อาหารการกิน* นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การทำอาหารดีๆกิน ให้ทำซุบไว้เยอะๆเลย ใส่ตู้เย็นเอาไว้ พร้อมทุกเมื่อ *น้ำ น้ำ น้ำ* ตุนไว้เลยนะ ของเหลวใสๆที่คุณชอบนั่นแหละ เอาไว้ดื่มกิน น้ำประปาก็น่าจะดีนะ บางครั้งบางคราวคุณอาจนะต้องใช้ *การจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อมีไข้สูงกว่า 38°c ให้กินยา Paracetamol จะดีกว่ายา Ibuprofen. *พักผ่อนเยอะๆ * คุณไม่ควรออกจากบ้านนะ​ ! ถึงแม้ว่าคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็อาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่กับตัวไปตั้ง 14 วัน ดังนั้น คนแก่กับคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว อย่าไปใกล้เขานะ *ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย* เพื่อป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อไปให้คนอื่นในบ้านของคุณเอง *กักตัว* ในห้องนอน ถ้าคุณไม่ได้อยู่แต่ลำพัง ให้บอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้ วางสิ่งที่จะส่งให้คุณไว้ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดต่อ *ทำความสะอาด* ซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าบ่อยๆ และล้างห้องน้ำด้วยน้ำยาทำความสะอาดด้วย *คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เว้นไว้แต่ว่า คุณกำลังหายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมาก(มากกว่า 39°C) แล้ว ใช้หยูกยาต่างๆ​ ไม่ได้ผล กับผู้ใหญ่ ที่มีสุขภาพดีแล้ว 90% สามารถดูแลได้ที่บ้าน โดยการพักผ่อน ดื่มน้ำ กินยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา ถ้าคุณกังวล หรือไม่สบายใจ​ รู้สึกว่า ตัวเองอาการจะหนักขึ้น *ความเสี่ยงที่มีอยู่แล้ว* ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพปอด (เช่น​ หายใจติดขัด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด) หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ต้องคุยกับหมอแล้วละว่า คุณควรจะทำอย่างไร หากคุณเกิดไม่สบายขึ้นมา *สำหรับเด็กๆ* พ่อแม่ออกจะโล่งใจว่า โคโรนาไวรัส ญาติดีกับเด็กมาก มันมักจะเป็นไม่กี่วันก็หาย (แต่มันก็ยังเป็นเชื้อโรคติดต่อนะ) จึงต้องคำนึงถึงสภาพเด็กๆ​ ด้วย . *ให้มีสติและตระเตรียมตามควรแก่เหตุ* แล้วทุกอย่างจะไม่เสียหาย จะบอกคุณเอาไว้ว่า ค่า pH ของโคโรนาไวรัสทั้งหลาย มีได้ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.5. สิ่งที่เราต้องทำ ในการจัดการกับไวรัสโคโรนา คือ เราต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่า pH สูงกว่าของไวรัส ดังที่บอกไว้ข้างบนนี้ อาหารเหล่านั้น เช่น *มะนาวฝรั่ง - 9.9pH* *มะนาว - 8.2pH* *อะโวคาโด - 15.6pH* *กระเทียม - 13.2pH* *มะม่วง - 8.7pH* *ส้มเขียวหวาน - 8.5pH* *สับปะรด - 12.7pH* *ดอกเก็กฮวย(?) - 22.7pH* *ส้ม - 9.2pH* คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดไวรัสโคโรนาเข้าให้แล้ว? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. ไอแห้งๆ 4. มีไข้ตัวร้อน 5. หายใจถี่ หอบ 6. ไม่ได้กลิ่น และไม่รู้รส 7. นิ้วเท้า มีสีเขียวคล้ำ หรือดำ ดังนั้น เมื่อใดมีอาการอย่างนี้ให้กินน้ำอุ่น ร่วมกับน้ำมะนาวเข้าไปเลย อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ กรุณาส่งต่อๆไปให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยนะ
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ?
    ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ? การย้อมสีผมในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการย้อมเพื่อเปลี่ยนลุคและสไตล์ หรือการซ่อนผมขาว ได้รับการยอมรับในทุกช่วงวัย การย้อมสีผมบ่อยๆจะทำให้เราได้รับสารเคมีอย่างต่อเนื่อง แต่สารเคมีเหล่านั้นไม่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่หากการได้รับสารเคมีในน้ำยาย้อมสีผมเป็นประจำอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ (ข้อมูลจาก Harvard Medical School) ยาย้อมผมตามท้องตลาดมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทสีชั่วคราว ถ้าสระผมแล้วสีก็จะค่อยๆหายไป 2. ประเภทสีกึ่งถาวร หรือเรียกว่าสีโกรกผม สามารถปิดหงอกได้ไม่เกิน 30% ถ้าสระผม 5-6 ครั้ง ก็จะค่อยๆหลุดออกไป 3. ประเภทสีย้อมถาวร หรือเรียกว่าสีย้อมผม สามารถปกปิดผมได้ สระแล้วสีไม่หลุดลอก แต่วิธีนี้งานวิจัยระบุว่าจะทำให้โครโมโซมร่างกายเสียหาย ถ้าย้อมบ่อยๆเซลล์อาจจะกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ ส่วนผสมในน้ำยาย้อมผมที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้ 1. สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ : ทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบ และระคายเคือง 2. สารฟีนิลินไดอะมีน หรือสีย้อมผมชนิดถาวร : อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้ 3. แอมโมเนีย : สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมเสีย รากผมอ่อนแอ 4. สารซิลเวอร์ไนเตรต : ทำให้เกิดการระคายได้ 5. สารเลดอะซีเตด : หากสะสมในร่างกายจะทำลายสมอง ประสาทสัมผัส และจัดอยู่ในสารก่อมะเร็ง (ข้อมูลจาก Herbplus+) เราจึงควรมีหลักการในการเลือกน้ำยาย้อมสีผม ดังนี้ 1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน มีวันหมดอายุ วิธีใช้ ส่วนผสม และเลขที่จดแจ้งระบุไว้ชัดเจน 2. เลือกน้ำยาที่ไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย 3. ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้ง 4. เช็กความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ไม่ควรมีมากกว่า 6% เพราะจะทำให้ผมแห้ง ผมกระด้าง และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะได้ 5. ใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเป็นหลัก (ข้อมูลจาก Herbplus+ และ Wongnai) นอกจากนี้ คนที่ย้อมสีผมอยู่แล้ว ไม่ควรย้อมเกิน 9 ครั้งต่อปี นพ.วีรวุฒิ อิ่มสาราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ยังไม่เคยย้อมผมไม่ควรย้อมสีผม โดยเฉพาะคนที่ผมบางหรือผมน้อยอยู่แล้ว เพราะการย้อมผมทำให้รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดร่วงได้ง่าย หากสะสมในร่างกาย อาจทำร้ายสมอง ประสาทสัมผัส ที่สำคัญยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน และ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวไว้ว่า น้ำยาย้อมสีผมยังเป็นอันตรายต่อช่างทำผม เพราะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่าผู้ที่ย้อมผม เนื่องจากต้องสัมผัสกับสารเคมีที่มาจากน้ำยาต่างๆเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยต่างๆ พบว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ายาย้อมสีผมเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ ดังนั้นเวลาที่ย้อมสีผมควรอยู่ในที่ที่ระบายอากาศได้ดี มีการสวมถุงมือ และใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีทุกครั้ง (สาธิตา แสวงลาภ, ฤดีรัตน์ มหาบุญปี ติ, อัจฉรา นราศรี, 2562) (ข้อมูลจาก Herbplus+,สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข) เครือข่าย : ชมรมสื่อสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    apinya25460
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    สลด พ่อป่วยติดเตียง ลูกจำใจแบกไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอ แค่ข้ามวันเสียชีวิต
    ลูกสาวโพสต์เศร้า พ่อป่วยติดเตียงบัตรประชาชนหมดอายุ อำเภอย้ำต้องให้แบกไปเท่านั้น สุดท้ายต้องแบกไปอย่างทุลักทุเล อีกวันพ่อเสียชีวิต จากกรณีหญิงสาวรายหนึ่งโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "ฝากอ่านแล้วช่วยแชร์ทีค่ะ บัตรประชาชนคุณพ่อหมดอายุ แต่คุณพ่อติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และอาการไม่ดีมาตลอด ถามแล้วถามอีกว่า มีวิธีอื่นไหมคะ ที่จะไม่ต้องแบกผู้ป่วยมา มันทุลักทุเลมากนะคะ เพราะคุณพ่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ย้ำแล้วนะคะ ว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย!! มีเอกสารมอบอำนาจมาได้ไหมคะ แล้วให้คุณพ่อปั๊มนิ้วมือมา หรือมีเจ้าหน้าที่ทางอำเภอไปตรวจสอบที่บ้าน ทางอำเภอยืนยัน ว่าต้องแบกผู้ป่วยมาค่ะ จะติดเตียง อาการหนัก ใส่รถเข็น รถนอน เดินไม่ได้ ใส่สายมากมาย หรือเครื่องช่วยหายใจ ก็ต้องมาทำบัตรที่อำเภอค่ะ ต้องมา!! ให้รถพยาบาลไปแบกมาค่ะ บัตรคนพิการ ถ้าหมดอายุก็ต้องมาทำใหม่ค่ะ แบกไปที่ศาลากลางจังหวัดเหมือนกัน!!! หลายๆ คนก็ต้องแบกไปทำค่ะ!! สรุป แบกคุณพ่อมาทำบัตรประชาชนใหม่ วันที่ 7 มิ.ย. 2566 คุณพ่อเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย. 2566 มาแค่ถ่ายรูป จบ ที่เหลือใช้ข้อมูลเดิม
    ยศพัทธ์ สุขภักดี
     •  2 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เหนือ​จีนคือยิว เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของหญิงชาวจีนเชื้อสายยิวท่านหนึ่ง ในปี 1992 ตอนที่ฉันตัดสินใจย้ายจากเมืองจีนไปปักฐานใหม่ยังอิสราเอล ลูกชายคนโตอายุ 13 ลูกชายคนที่สองอายุ 12 ส่วนลูกสาวคนเล็ก 10 ขวบ ฉันให้ลูกๆอยู่เมืองจีนไปก่อน ที่ตัดสินใจย้ายไปอิสราเอลในตอนนั้น ก็เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมๆไม่ได้แล้ว พ่อของฉันเป็นชาวยิวขนานแท้ ย้ายหนีสงครามโลกครั้งที่ 2 มาอยู่เมืองจีน แต่งงานกับแม่ฉันซึ่งเป็นหญิงจีน หลังฉันเกิดไม่นาน แม่ก็ทิ้งพวกเราสองพ่อลูกไป พ่อฉันเสียตอนฉันอายุ 12 ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าเต็มตัว พอโตขึ้น ฉันได้ทำงานในโรงงานถลุงเหล็ก หลังแต่งงานก็มีลูก 3 คน แต่แล้วสามีก็ทิ้งพวกเราไป มันเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความขมขื่น พอดีเป็นช่วงเวลาที่จีนกับอิสราเอลเปิดสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศขึ้นมา ด้วยจิตใจที่อยากหนีให้พ้นๆจากดินแดนแห่งความทุกข์ใจ ฉันเลยกลายเป็นพวกอพยพกลุ่มแรกที่ขอย้ายจากจีนไปอยู่อิสราเอล ตอนถึงอิสราเอลใหม่ๆ ความเป็นอยู่ยากลำบากกว่าอยู่ในเมืองจีนเสียอีก ฉันไม่เข้าใจภาษาฮีบรูยุคใหม่ของอิสราเอลเลย (ภาษาฮีบรูแบบโบราณที่พ่อเคยสอนฉันไว้บ้าง เขาเลิกใช้กันแล้ว) ท่ามกลางหมู่คนที่ฉันไม่รู้จักใครเลย แถมยังเป็นบ้านเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคย เลยไม่ทราบว่าจะเริ่มทำมาหากินอะไร เงินที่พกติดตัวไปจากเซี่ยงไฮ้คงพอยาไส้ได้สักสามเดือน แต่ฉันมุ่งมั่นว่าต้องหาวิธีอยู่ให้รอด และจะต้องรับลูกๆมาอยู่กับฉันให้ได้ ฉันเริ่มเรียนภาษาเพื่อสื่อสารให้รู้เรื่อง แล้วฉันก็ตัดสินใจตั้งแผงริมถนนขายเปาะเปี๊ยะทอดยึดเป็นอาชีพไว้ก่อน วันๆจะมีกำไรสิบกว่าซิเกิล (หนึ่งซิเกิลเท่ากับเก้าบาทไทยโดยประมาณ) พอการค้าเล็กๆน้อยๆของฉันพอจะพึ่งพาได้ เดือนพฤษภาคมปี 1993 ฉันรับลูกทั้งสามคนมาอยู่ด้วยกันที่อิสราเอล ตอนอยู่ที่เมืองจีน แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันไม่เคยให้ลูกๆต้องลำบากด้วย พอมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ยังคงเลี้ยงลูกในแบบเดิมๆ ซึ่งมันก็คงไม่ต่างจากคนจีนทั่วไป ทุกวันหลังลูกๆ ไปโรงเรียน ฉันกขายปอเปียะไป พอตกบ่ายเลิกเรียน พวกเขาก็จะมาหาฉันที่แผง ฉันก็จะเก็บร้านเลิกขาย แล้วเริ่มหุงหาอาหารมื้อเย็นให้ลูกๆได้กินกัน มีอยู่วันหนึ่ง ตอนที่กำลังเตรียมปรุงบะหมี่ให้ลูกๆ เพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินมาหาพวกเรา แล้วก็ชี้หน้าลูกชายคนโตพร้อมตำหนิว่า "แกเป็นเด็กโตแล้ว ทำไมไม่ช่วยแม่ทำงานทำการบ้าง อย่าทำตัวเหมือนขยะไร้ค่า" แล้วเธอก็หันมาต่อว่าฉัน "อย่าเอารูปแบบผิดๆที่พกพาจากเมืองจีนมาเผยแพร่ที่นี่ อย่าคิดว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่เป็นความรักที่ถูกต้อง" คำพูดของเธอทำพวกเราตกใจมาก เป็นการทำร้ายจิตใจที่ดูโหดร้าย พวกเรารู้สึกแย่เอามากๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันได้แต่ปลอบลูกชายคนโตว่า "ไม่เป็นไรนะลูก แม่ทนได้ แม่รับไหว แม่มีความสุขที่ได้ดูแลลูกๆทุกคน ขอให้ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” "แต่ว่า...." ลูกชายคนโตพูดอย่างครุ่นคิด "คุณน้าคนนั้นอาจจะพูดถูก ผมคิดว่า ผมน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้แม่ได้บ้าง" วันถัดมาเป็นวันที่ชาวบ้านไปโบสถ์กัน โรงเรียนเลิกเรียนตอนเที่ยง พอพวกเขามาถึงแผงขายของ ลูกชายคนโตมายืนข้างฉัน แล้วหยิบเอาแผ่นแป้งห่อเปาะเปี๊ยะใส่ไส้แล้วม้วนให้เรียบร้อย นำลงทอดในกระทะจนสุก แม้จะยังดูไม่คล่องแคล่วนัก แต่ความชำนาญก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นในชิ้นต่อๆไป การเปลี่ยนแปลงของลูกชายคนโตเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน นอกจากจะช่วยงานที่แผงขายของแล้ว เขายังเสนอว่าให้พวกเขาเอาเปาะเปี๊ยะทอดไปขายให้เพื่อนๆที่โรงเรียน พวกเขาเอาไปคนละ 20 ชิ้น พอเลิกเรียนกลับมา ทุกคนเอาเงิน 10 ซิเกิลมาให้ฉัน บอกตรงๆ ฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก ปล่อยให้ลูกๆที่อายุยังน้อยต้องมาช่วยแบกภาระเรื่องทำมาหากิน แต่ว่าการแสดงออกของพวกเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจเลย พวกเขากลับบอกว่ารู้สึกมีความสุขและความภูมิใจกับการรู้จักหาเงินหาทองได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อนบ้านมักจะแวะมาคุยกับฉันบ่อยๆ บอกเล่าถึงวิธีที่ชาวยิวเลี้ยงลูกหลานกันอย่างไร ต้องให้การศึกษาแก่พวกเขาอย่างไร ชาวยิวจะคิดว่า การหาเงินไม่จำเป็นต้องรอตอนโตแล้ว มันช่างแตกต่างจากคนจีนที่มักคิดว่า "ตอนเป็นเด็กมีหน้าที่ศึกษาหาความรู้อย่างเดียว" แต่ชาวยิวคิดว่า "ตอนเป็นเด็กก็ต้องเริ่มศึกษาวิธีหาเงินหาทองกันแล้ว" เพื่อนบ้านบอกฉันว่า ในครอบครัวชาวยิว ไม่มีอาหารฟรี ไม่มีบริการฟรี ทุกอย่างต้องตีค่าเป็นเงิน เด็กทุกคนต้องศึกษาวิธีการหาเงิน เพื่อจะให้ได้มาในสิ่งที่ตนอยากได้ ฉันรู้สึกว่าวิธีการนี้ดูโหดร้ายเกินไป ยอมรับไม่ค่อยได้ แต่ว่า จากสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวพวกเรา เด็กๆถูกซึมซับให้ยอมรับความคิดแบบนี้ได้ง่ายกว่าฉันมากมาย ในที่สุด ฉันตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ฉันเคยดูแลพวกเขา ลองให้พวกเขาปรับเปลี่ยนไปในลักษณะชาวยิวเต็มตัว เราเริ่มจากทุกอย่างในบ้านก่อน ของทุกอย่างในบ้านตีเป็นมูลค่าหมด รวมค่าอาหารและบริการต่างๆที่แม่คนนี้ทำให้ลูกๆ ทุกคนต้องจ่ายค่าอาหาร 100 อาโกรอทต่อมื้อ (100 อาโกรอทเท่ากับ ซิเกิล) ซักเสื้อผ้าครั้งละ 50 อาโกรอท แต่ฉันก็หาโอกาสให้พวกเขามีทางทำมาหากิน ฉันขายเปาะเปี๊ยะทอดให้พวกเขาในราคาขายส่ง ชิ้นละ 30 อาโกรอท แล้วให้พวกเขาไปตั้งราคาขายกันเอง กำไรเป็นของพวกเขา วันแรกที่กลับจากโรงเรียน ถึงจะรู้ว่าทั้งสามคนล้วนมีวิธีการขายที่ไม่เหมือนกันเลย ลูกสาวคนเล็กซื่อหน่อย ขายให้เพื่อนๆในราคา 50 อาโกรอทต่อชิ้น ได้กำไรมาทั้งสิ้น 400 อาโกรอท คนที่สองใช้วิธีขายส่ง เขาขายทั้งหมดให้โรงอาหารของโรงเรียน ราคา 40 อาโกรอทต่อชิ้น ได้กำไรมาแค่ 200 อาโกรอท แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ โรงอาหารสั่งให้เขาไปส่งทุกวัน วันละ 100 ชิ้น ส่วนลูกคนโตคิดนอกกรอบกว่าคนอื่น เขาจัดรายการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "มารู้จักประเทศจีนกันหน่อย" เขาเป็นผู้ดำเนินรายการเอง จุดดึงดูดอีกอย่างของงานก็คือ ทุกๆคนที่เข้าร่วมจะได้ลิ้มรสเปาะเปี๊ยะทอดแบบจีน โดยเขาเก็บค่าผ่านประตูคนละ 10 อาโกรอท เปาะเปี๊ยะทอดทุกชิ้นถูกหั่นเป็นสิบชิ้นเล็ก มีผู้เข้าร่วม 200 คนเต็มความจุ เก็บค่าผ่านประตูได้ 2000 อาโกรอท หลังหักค่าสถานที่ให้โรงเรียนไป 500 อาโกรอท เขายังเหลือกำไรสุทธิ 1500 อาโกรอท นอกจากวิธีการของลูกสาวที่อยู่ในความคาดคะเนของฉันแล้ว ต้องยอมรับว่าลีลาของลูกชายทั้งสองอยู่เหนือจินตนาการของฉันจริงๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่ทำอะไรไม่เป็น กลับกลายเป็นเด็กที่มีความคิดในลักษณะพ่อค้าเต็มตัว รู้คุณค่าของเงิน และมุ่งมั่นจะหาเงินให้มากยิ่งขึ้นในรูปแบบที่ถูกต้อง แต่การเรียนของพวกเขาก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนเลย ลูกชายคนโตได้มีโอกาสเรียนเกี่ยวกับกฏหมายของพวกผู้อพยพเข้าเมือง เขาบอกฉันว่า ครอบครัวที่อพยพเข้ามาในอิสราเอลอย่างบ้านเรา มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะเท็จหรือมันจะจริง แต่ก็ลองไปติดต่อทางการดู สุดท้ายก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นเงิน 6000 ซิเกิล นี่เป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับครอบครัวเรา ลูกชายคนโตบอกฉันว่า เงินจำนวนนี้ได้มาเพราะคำแนะนำของเขาแท้ๆ เขาควรได้รับส่วนแบ่ง 10% ฉันตรึกตรองอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจแบ่งให้เขาไป 600 ซิเกิล หลังได้รับเงิน เขาซื้อของขวัญชิ้นงามให้ฉันและน้องๆคนละชิ้น เงินที่เหลือ เขาบอกว่าจะเอาไปต่อทุนเพื่อหาเงินให้ได้มากยิ่งๆขึ้น เขาใช้เงินจำนวนนั้นไปสั่งซื้อเครื่องเขียนจากเมืองจีนส่งผ่านมาให้ทางไปรษณีย์ ราคาเครื่องเขียนที่จีนถูกกว่าของอิสราเอลมากมาย เขานำมาขายให้เพื่อนๆในโรงเรียน พอได้กำไร เขาก็ยังเดินหน้าค้าขายต่อไป หนึ่งปีผ่านไป ตัวเลขบัญชีในธนาคารของเขาเพิ่มเป็น 2000 ซิเกิล แม้ลูกชายคนโตจะรู้จักหาเงินได้มาก แท้จริงแล้ว ลูกชายคนที่สองมีหัวการค้าแบบชาวยิวไม่แพ้พี่เขา ชาวยิวทั้งหลายมีหลักการง่ายๆว่า " ค้าขายอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องลงทุน จะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นยังไม่ได้เริ่มทำ จะมีโอกาสที่ดีที่สุด" ในขณะที่ลูกคนโตกำลังทำเงินกับเครื่องเขียนจากจีน ลูกคนที่สองก็ทำเงินของเขาไปอย่างเงียบๆ เขาใช้หัวคิดจากมันสมองของเขาที่ไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงิน เขาเขียนบทความต่างๆเกี่ยวกับเมืองเซี่ยงไฮ้จากมุมมองของเด็กอายุ 14 คนหนึ่ง เขามีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ เขียนอาทิตย์ละ 2 บท บทละประมาณ 1000 ตัวอักษร รายได้ตกเดือนละ 8000 อาโกรอท ส่วนลูกสาวคนเล็กนั้น จะเก็บตัวหน่อยตามภาษาเด็กผู้หญิง ไม่ได้แสดงบทบาทเรื่องหาเงินหาทองมากมายนัก แต่จากตัวเธอ ฉันสามารถรับรู้ถึงกลิ่นไอของชาวยิวที่ชอบมองชีวิตความเป็นอยู่แบบสวยงาม เธอหัดชงชาและทำขนม ทุกๆเย็น เธอจะเตรียมชาไว้กาหนึ่ง แล้วก็มีขนมจากฝีมือเธอเองไม่ซ้ำแบบ พวกเราจะได้นั่งล้อมวง ดื่มชา ทานขนมและพูดคุยกัน ขนมของเธอก็มักจะมีกลิ่นไอจากจีนปะปนอยู่ด้วย ทุกคนที่บ้านชอบกันทั้งนั้น แน่นอน มันไม่ใช่ของฟรี พี่ๆต้องจ่ายค่าขนมให้เธอ หักค่าวัตถุดิบแล้ว น้องสาวสุดท้องก็มีรายได้ที่น่าพอใจ ตอนนี้บ้านเราไม่จนแล้ว เรามีเงินเก็บพอประมาณ เลยตกลงกันว่าจะเปิดร้านอาหารจีนขึ้นมาร้านหนึ่ง ฉันถือหุ้น 40% ลูกคนโต 30% คนรอง 20% และคนเล็ก 10% ร้านของเราประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เป็นที่นิยมของเหล่านักชิมทั้งหลาย ผู้หญิงจากประเทศจีนคนนี้ก็เลยกลายเป็นคนที่ถูกสังคมจับตามองโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรียิตซัค ราบินของอิสราเอล ฉันกลายเป็นคนโด่งดังในชั่วข้ามคืน ตอนนี้ฉันสามารถใช้ภาษาฮีบรูของอิสราเอลได้อย่างคล่องแคล่ว บวกกับฉันมีภาษาจีนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทำให้ฉันถูกทาบทามโดยบริษัทค้าเพชรของรัฐบาลอิสราเอล ให้ไปเป็นตัวแทนคนแรกของบริษัทประจำประเทศจีน พอฉันย้ายกลับไปอยู่ประเทศจีนอีกครั้ง ลูกๆทั้งสามก็ตามฉันไปด้วย พอเอาลูกๆไปเปรียบเทียบกับเด็กทั่วๆไปในจีน ฉันรู้สึกว่าลูกฉันจะดูโดดเด่นกว่าพวกเขาพอสมควร ก่อนจะกลับไปที่จีนเที่ยวนี้ พวกเขาทั้งสามไปกว้านซื้อสิ่งของต่างๆจากอิสราเอลไว้มากมาย พอพวกเขาเข้าเรียนได้ไม่นาน ครูของโรงเรียนแวะมาคุยกับฉัน บอกว่าเด็กๆนำเอาของมากมายจากอิสราเอลไปขายที่โรงเรียน มีตั้งแต่เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของเล่น หรือแม้กระทั่งปลอกกระสุนเปล่าก็ไม่เว้น ครูอยากให้ฉันช่วยดูแลเด็กๆให้อยู่ในกรอบหน่อย ฉันบอกครูว่า ฉันไม่สามารถห้ามการกระทำของพวกเขา นี่เป็นวิธีหาเงินเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนของพวกเขาเอง เพราะฉันไม่ได้รับผิดชอบค่าเล่าเรียนของพวกเขาอีกแล้ว ครูทั้งตกใจและแปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าคนมีเงินเดือนสูงในบริษัทข้ามชาติอย่างฉัน จะไม่รับผิดชอบค่าเล่าเรียนของลูกๆ ฉันเชิญครูทานขนมที่ลูกสาวคนเล็กทำไว้ขายในบ้าน ชิ้นละ 2 หยวน ฉันบอกครูด้วยรอยยิ้มว่า "นี่คือผลพลอยได้ของการได้อยู่อิสราเอลในหลายปีนี้ สอนให้เด็กๆได้เรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตของชาวยิว และฉันก็เชื่อว่าพวกเขาทุกคนจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพแน่นอน......." ในที่สุด ลูกคนโตตัดสินใจเข้าเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาต้องการจะเป็นมืออาชีพของวงการท่องเที่ยวให้ได้ เขาตั้งใจจะไปเปิดบริษัทบริการท่องเที่ยวที่อิสราเอล เพื่อเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญที่สุดเกี่ยวกับการเที่ยวประเทศจีน ลูกชายคนที่สองเข้าเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ เขาตั้งใจจะเป็นคอลัมน์นิสต์ เขาชอบงานขีดๆเขียนๆ ซึ่งสามารถทำเงินให้เขาได้โดยไม่ต้องควักเงินไปลงทุน ลูกสาวคนเล็กอยากไปเรียนทำครัวเกี่ยวกับอาหารจีน เพื่อเป็นเชฟระดับแนวหน้าให้ได้ โดยเฉพาะเป็นมือโปรด้านขนม ตั้งใจจะกลับไปเปิดร้านขนมที่อร่อยที่สุดในอิสราเอล กลับมาประเทศจีนเที่ยวนี้ ฉันรู้สึกว่าพ่อแม่ชาวจีนทั้งหลายมีจิตใจโลเลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรหลานของตน พวกเขาล้วนหวังจะเห็นลูกร่ำรวยมีเงินมีทองเป็นเศรษฐี แต่กลับไม่ได้ให้โอกาสเรียนรู้และลงมือทำ The capacity to learn is a GIFT.
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ท่านนึกออกไหมเมื่อปี พ.ศ. 2544 ใคร ? เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย เห็นเถียงกันมาหลายปี ว่าทำไมน้ำมันใประเทศไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน ทั้งที่เรามีบ่อน้ำมันเยอะกว่ามีโรงกลั่นเองมากกว่า... อ่านดูโพสต์นี้ครับ แล้วเลิกเถียงกัน... แต่จงเอาไปเล่าให้คนรู้จักฟังกัน...เล่าให้ถึงแก่นว่า...ใครทำให้ประเทศไทยน้ำมัแพง... เรื่องเกิดปี 2544 ยุคที่นายกมหาชน คนโคตรโกงครองประเทศ... เขาเป็นผู้ติดต่อต่างประเทศเรื่อง... ให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย... สัมประทาน 20-30 ปี... สัญญาของสัมปทาน ไทยได้ค่าสัมปทานถูก ๆ เหมือนให้เช่าที่ดิน ส่วนผู้ได้รับสัมปทาน ได้สินทรัพย์ในที่ดิน... น้ำมันที่ถูกดูดขึ้นในอ่าวไทย... มากเป็นอันดับโลก... ผู้ได้รับสัมปทาน เช่น เชฟร่อน มูบาดาลา ซาลาเมนเดอร์ เมดโก้ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นบริษัท🧐ต่างชาติ😱 หมายความว่า... น้ำมันที่ถูกดูดขึ้นมาจากอ่าวไทยทั้งหมด .. ไม่ใช่ทรัพย์สินของคนไทย... เพราะนายกคนนั้น เอาไปขายให้ต่างประเทศหมดแล้ว ทำสัญญากันหมดแล้ว และตัวเองยังได้ผลประโยชน์ทับซ้อนอีกมากมาย... ในเมื่อน้ำมันที่ดูดขึ้นจากอ่าวไทย... ไม่ใช่ของคนไทย เพราะมันอยู่ในมือต่างชาติ... แต่เราไม่พอใช้...เราทำไงล่ะ... เราก็ต้องซื้อเขากลับมาใช้... น้ำมันในบ้านของเรา... แต่เราต้องซื้อกลับมาใช้😭❓💔 นั่นแหล่ะ... สัมปทานโง่ ๆ ที่คนให้สัมปทานรวยอยู่คนเดียว... แต่คนไทยทั้งประเทศถูกกดหัว ให้ต้องยอมรับ... ยอมรับว่า ถูกโกงจากรัฐบาลนายกคนดี คนนั้น... น้ำมันในอ่าวไทย ดูดมาได้เท่าไร...เขาก็ขายคืนให้แบบแพง ๆ ... แบบว่า... ให้ฉันเช่าที่ดินปลูกข้าว... เจ้าของที่ไม่มีข้าวกิน ก็ต้องซื้อข้าวกินจากคนที่ตัวเองให้เช่าที่ดิน... แล้วคิดดูเอาเองว่า.... คนให้เช่ามันจะขายราคาเท่าไร... เขาจะขายให้ถูก ๆ หรือ แพง ๆ... แน่นอนว่าขายโคตรแพง แบบว่าเอากำไรทบต้นทบดอก... เหมือนได้ที่ทำกินฟรี ร่ำรวยบนที่ดินคนอื่น... นี่วีรกรรมนายกเสื้อแดง.... ยัง... ยังไม่หมด... ยังไม่หนำใจ... การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท.. นายกคนนี้มันก็อยากได้... มันก็เอาเข้าตลาดหุ้น...ปีนั้นแหล่ะ 2544 แล้วก็ให้พรรคพวกกับบริษัทนอมินีของตัวเองไปกว้านซื้อ.. ทุกวันนี้ไปดูสิ... ว่าบริษัท ปตท ใครถือหุ้นใหญ่... พรรคพวกของเขา กับต่างชาติทั้งนั้น.... แล้ว ปตท.กำไรปีละ กี่หมื่นกี่แสนล้าน... กำไรเป็นของใคร ใครกำหนดราคา... ผู้ถือหุ้นใหญ่ใช่ไหม... พวกมันทั้งนั้น‼️😤😱 หลังปี 2544 ไอ้นายกบ้าคนนี้... ก็มีเงินมากพอจะไปซื้อสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ... 😤😱 เป็นเจ้าของได้แป๊บเดียว... แล้วก็ขายต่อให้กษัตริย์ดูไบ... แล้วกษัตริย์ดูไบ ก็คือเจ้าของบริษัทสัมปทานน้ำมัน ในอ่าวไทยที่ชื่อมูบาดาลา... คุ้น ๆ ไหม... แปลกไหม ที่ทำไมต่อมา...อดีตนายกคนนี้ก็ไปอยู่ที่นั่น... ก็เขาแลกเปลี่ยน...ให้ผลประโยชน์มหาศาลกันไง.... เขาจึงพาไปดูแลใกล้ ๆ แล้วก็ให้นายก ที่ดูเหมือนบ้าอำนาจนี้... อยากกลับบ้าน..... ทำตัวเหมือนน่าสงสาร... ทำพรรคการเมืองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย... แต่ความจริงป่าวเลย... เขาไม่ได้สนใจประชาธิปไตย... หรือประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างที่เขาพร่ำออกมาหรอก... เขาแค่ทำการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ในประเทศไทย ที่เขาสร้างไว้มหาศาล... เขาต้องพยายามรักษาให้คนของเขา... มีอำนาจในประเทศไทย... เพื่อไม่ให้ใครมาเปลี่ยนกติกาที่เขาทำไว้... เท่านั้นเอง... เมื่อไม่มีใครมาเปลี่ยนกฏที่เขาทำไว้... เขาและครอบครัว +พรรคพวก... ก็มีเงินไหลเข้าบัญชีแบบเสือนอนกิน... ส่วนคนไทย... ก็มาทะเลาะกันว่าใครทำให้น้ำมันแพง... เถียงกันมากี่ปี ก็แก้ไม่ได้... เพราะสัญญาสัมปทานมันยาว 20-30 ปี... ตอนนี้มีหลายสัมปทานที่จะหมดอายุ... คอยดูกันต่อไปผู้นำชาติคนไหนจะมีความสามารถนำเอาสมบัติของชาติกลับคืนมา... น้ำมันแพงก็ทำอะไรไม่ได้... เพราะปตท...มันเป็นของต่างชาติทั้งนั้น... ต่างชาติมันซื้อไว้เกือบหมดแล้ว... คนไทยเป็นเจ้าของหุ้นแค่นิดเดียว... ต่างชาติถือหุ้นใหญ่ มันก็กำหนดราคา... กำหนดนโยบายขายแพง ๆ ให้คนไทยอยู่ดี... 😭😤😱💔 ถ้ารัฐบาลจะปฏิวัติประเทศ ให้ดีขึ้น... ต้องทำเหมือน ดูไบ ซาอุ บาเรล ฯลฯ ที่เขาไม่ยอมให้ต่างประเทศมามีส่วนแบ่งในทรัพย์สินของชาติเขา... โรงพยาบาลในซาอุ ประชาชนเข้าฟรี รักษาฟรี นักเรียน...เรียนฟรี นี่....สวัสดิการของประเทศเขาเป็นแบบนี้... กษัตริย์ของเขาดูแลประชาชนแบบนี้... แต่ดูนักการเมืองของเราสิ... ดูแลประชาชนแบบไหน... พวกมัน...จ้องจะรีดไถเอาจากประชาชน... เอาให้มากที่สุดเท่าที่จะรีดไถได้... มันก็เริ่มมาจากพวก คณะราษฏรษ์ 2475 แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องประชาธิปไตย... อย่างนั้นอย่างนี้... ทั้งหมดที่ประเทศนี้เป็นแบบนี้... ไม่ใช่เพราะคำว่า ประชาธิปไตยที่เรียกร้องกันเหรอ... ยังชิปหายไม่พอใช่ไหม❓‼️ น้ำมันยังแพงไม่พอเหรอ❓💔 ยังเป็นทาสฝรั่งไม่สาแก่ใจเหรอ‼️❓💔 ทั้งหมดนี่เรื่องจริง... จากคนอยู่บริษัทน้ำมัน.... กล้าเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องจริงไหมล่ะ.... วิริยะ ธรรมะ บัวหลวง
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false