ตรวจสอบข่าว

1 คนสงสัย
โพสต์ของ พระสมเด็จ วัดระฆัง แท้
แรงศรัทธาสร้างบุญใหญ่! เปิดให้บูชา “พระสมเด็จจากหีบโบราณ” อายุกว่า 144 ปี ร่วมสมทบทุนสร้างโรงเรียนสามเณร! 🙏
✨ ของแท้! จากหีบไม้สักเก่าโบราณที่เก็บรักษาไว้อย่างดีมากว่า 144 ปี
ต้นกำเนิดแท้จาก “สมเด็จพุฒาจารย์โต” ผู้เรืองฤทธิ์ด้านเมตตา มหาโชค เสริมวาสนา
📿 บูชาวันนี้ = ทำบุญใหญ่ 2 ชั้น!
✅ เสริมดวง เสริมวาสนาให้ชีวิตรุ่งเรือง
✅ ร่วมสร้างโรงเรียนสามเณร แหล่งผลิตพระภิกษุผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา
📌 มีให้เลือก 5 พิมพ์มงคลหายาก
🔹 พิมพ์ประธาน – บารมีแผ่ไพศาล
🔹 พิมพ์เส้นด้าย – เมตตามหานิยม
🔹 พิมพ์ฐานแซม – เสริมการค้า การงาน
🔹 พิมพ์เจดีย์ – หนุนโชค เสริมลาภ
🔹 พิมพ์ปรกโพธิ์ – ป้องกันภยันตราย คุ้มครองชีวิต
💸 ราคาบูชาแบบร่วมบุญ (อนุโมทนาได้):
🔸 1 องค์ = 600 บาท
🔸 2 องค์ = 1,000 บาท
🔸 5 องค์ = 2,000 บาท
🔸 10 องค์ = 3,500 บาท (บุญคุ้มที่สุด!)
📲 พิมพ์จองง่าย ๆ:
👉 ชื่อ:
👉 ที่อยู่:
👉 เบอร์โทร:
📞 เฮียบอย 064-908-3005
❗️จำนวนจำกัด! แท้จากหีบเก่า ผู้ศรัทธาไว = ได้ร่วมสร้างกุศลก่อนใคร!
✨ ศรัทธาในวันนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญเปลี่ยนทั้งชีวิตคุณ และชีวิตของเณรน้อยอีกหลายร้อยรูป!
ไม่ออกนาม
 •  5 วันที่แล้ว
0 ความเห็น

ผู้บริโภคเฝ้าระวัง

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ให้ร่วมบุญช่วยช้าง มีการแนบเลขบัญชี เป็นเรื่องจริงหรือไม่
    21-4-64 พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ พระครูอ๊อด เป็นเจ้าภาพ 200,000 บาท #ไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่ #ครั้งหนึ่งในชีวิตไถ่ชีวิตช้าง #ฝากบุญใหญ่ให้ญาติธรรมทั้งหลาย #วันนี้ไปดูช้างเห็นแล้วสงสารอยากจะไถ่ชีวิตช้างเชือกนี้มาก เหมือนเขาอยากให้เราช่วยปลดโซ่พันธนาการออกจากเท้าให้ สังเกตุเห็นเอางวงจับที่โซ่หลายครั้ง เลยถามเจ้าของเขาก็อยากจะขาย เลี้ยงไม่ไหวเพราะพิษโควิด #หากไถ่ชีวิตช้างเชือกนี้ได้คงจะเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และจะขอน้อมถวายให้เป็นมรดกแห่งความเมตตาเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา (วันพุธที่ 26 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้) และจะมอบช้างเชือกนี้ ให้เป็นมรดกของแผ่นดินเพื่ออนุรักษ์ ต่อไป ช้างอายุแค่ 8 ปี ราคา 1,180,000 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท) #วันนี้เลยตัดสินใจ รวบรวมปัจจัยที่โยมถวายพระครูอ๊อดมา จากการเทศน์ การบรรยาย งานสวด และ การสอนหนังสือ มาเททำบุญไถ่ชีวิตให้เจ้าทั้งหมดเลยนะ จำนวน 200,000 บาท #ใจอยากทำก็ทำ ทำแล้วสุขใจพระครูอ๊อดไม่คิดอะไรมาก #แค่อยากให้โยมที่ถวายปัจจัยพระครูอ๊อดมาได้บุญมากๆ แอบตั้งชื่อช้างเชือกนี้ไว้ในใจว่า #เจ้าพลแสน (วาสนาพระครูอ๊อดยังน้อย ไม่รู้จะช่วยเจ้าได้แค่ไหนนะ) #ร่วมบุญได้ที่ "ธ.กรุงไทย 540-0-18694-7" #สอบถามราละเอียดได้ที่ 0808500184 พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน (พระครูอ๊อด) วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ร่วมบุญได้ไม่เกินวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นี้ (วันที่ 26 พฤษภาคม คือ วันวิสาขาบูชา) #อานิสงส์ช่วยเหลือชีวิตเป็นทาน 1. เป็นผู้ต่อชีวิต ย่อมได้ชีวิตที่ยืนยาว ปลอดภัย มีความสุข และตราบใด ที่ยังไม่สิ้นอายุขัยบุคคลนั้น จะไม่มีกรรมใดๆมาตัดรอนได้ 2. สัตว์ที่พ้นจากที่คุมขังแล้ว อยู่ด้วยความปลอดภัยย่อมดีใจ ปลาบปลื้มใจ ฉันใด บุคคลผู้ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ก็ย่อมได้รับความปลาบปลื้มใจฉันนั้น 3. ผู้ไห้ชีวิตสัตว์เป็นทานอยู่เป็นนิจ เขาเหล่านี้ย่อมพบแต่มิตร ปราศจากศัตรูมาแผ้วพาน 4.การช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากที่คุมขัง และอันตราย ย่อมส่งผลให้สามารถหลุดพ้น จากเครื่องพันธนาการน้อยใหญ่ ทั้งหลาย #ขออานิสงส์แห่งบุญใหญ่ครั้งนี้จงเกิดแก่ญาติธรรมทุกท่านและครอบครัวอย่างมหาศาล 1 แชร์ 1 บุญใหญ่
    Mrs.Doubt
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ข้อความนี้ พระเทพฯ ทรงให้สัมภาษณ์ จริงหรือไม่
    ยิ่งอ่านยิ่งคิดถึงพ่ออยู่หัว ร.9 พระเทพฯ ทรงกล่าวให้สัมภาษณ์ 1. จากนี้ไปประเทศไทยของเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก อาจมีหลายสิ่งเปลี่ยนไป รอยต่อของคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจชัดเจนขึ้น มันคือการเปลี่ยนผ่านในวันที่พ่อไม่อยู่ ทุกคนมีสิทธิ์เสียใจ และควรเสียใจ ทุกคนมีสิทธิ์กลัว และควรกลัว แต่จงตระหนัก เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้วยสติปัญญา 2. พ่อคือตัวแทนของความพอเพียง เป็นต้นฉบับของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในวันที่ประเทศไทยกำลังถูกปั่นด้วยกระแสความโลภ จงหยิบภูมิปัญญาของท่านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จดจำหลอดยาสีฟันของท่านไว้ จดจำการแต่งกายที่เรียบง่ายของท่านไว้ อะไรที่ประหยัดได้จงประหยัด อะไรที่พึ่งพาตนเองได้จงพึ่งพา อะไรที่แบ่งปันได้จงแบ่งปัน เมื่อยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้แล้ว เราจะพึ่งพาผู้อื่นน้อยลง 3. พ่อเป็นผู้มีความเพียรดุจพระมหาชนก ท่านเป็นผู้ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรโดยไม่เคยถามว่าเมื่อไหร่จะถึงฝั่ง ความคิดเช่นนี้ทำให้ท่านทำงานที่ยิ่งใหญ่ได้ ฝากถึงคนไทย อย่าทำงานด้วยตัณหา อย่าขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากมี อยากได้ อยากเป็น อย่าให้อำนาจวัตถุบังตาจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จงขับเคลื่อนชีวิตและการงานด้วยฉันทะ ความรัก ความเมตตา ด้วยประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เหมือนที่พ่อเคยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง 4. พ่อยืนเคียงข้างคนยากจนเสมอ คนจนอยู่ที่ไหนท่านก็อยู่ที่นั้น ท่านเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปเยี่ยมพวกเขาถึงบ้าน เป็นพระราชาผู้อยู่ง่าย กินง่าย ไม่ยึดติดความหรูหรา เมื่อพ่อไม่อยู่แล้ว เราอย่าหลงลืมปณิธานข้อนี้ อย่าทอดทิ้งคนยากจน จงหยิบยื่นโอกาสให้ผู้ด้อยกว่า อย่าใช้ช่องว่างกฎหมายซ้ำเติมและเอาเปรียบผู้อื่น 5. ไม่มีท่าน เราจะมานั่งทะเลาะกันเหมือนในอดีตไม่ได้ เพราะไม่มีใครที่จะมาห้ามเราได้ ไม่มีใครอีกแล้วที่เราจะเกรงใจ รับฟังเหมือนที่เคยรับฟังท่าน ถ้าทุกฝ่ายไม่คิดถึงข้อนี้ให้มาก ถ้ายังเอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ ประเทศไทยที่เรารัก ย่อมตกอยู่ในฐานะอันตราย เมื่อพ่อไม่อยู่แล้ว จงรักและถนอมน้ำใจกันให้มากกว่าที่ผ่านมา 6. สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงอิฐ หิน ปูน ทราย แต่เป็นความรู้ขั้นปรีชาญาณ เราอาจรักษาร่างกายท่านไว้ไม่ได้ เพราะนั่นคือกฎธรรมชาติ แต่เราสามารถรักษาภูมิปัญญาของท่านไว้ได้ จงค้นคว้าข้อมูลทางเทคนิคต่างๆ ฝนเทียมเกิดได้อย่างไร กังหันน้ำชัยพัฒนาคืออะไร มันมีความน่าทึ่งยังไงในมิติทางวิศวกรรม การเพาะปลูกโดยไม่พึ่งสารเคมีทำได้อย่างไร การพัฒนาดิน รักษาน้ำ ชุบชีวิตป่าเป็นอย่างไร ทำไมท่านไม่สนับสนุนให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำไมท่านจึงส่งเสริมให้ชาวบ้านรู้จักการห่มดิน ท่านเคยสร้างรากฐานอันใดไว้ให้วงการเกษตรกรรมของชาติ สิ่งเหล่านี้ควรสนับสนุนให้มีการร่ำเรียนกันเป็นระบบ ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ถ้าเราทำเช่นนี้ได้ภูมิปัญญาที่ท่านคิดค้นมาหลายสิบปีจะไม่สูญหายไปจากสังคมไทย 7. จากนี้ไปจะมีคนอีกมาก ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง อาจมีคนที่ไม่เข้าใจท่านออกมาพูดในสิ่งที่เราไม่ชอบ จงใช้สติ อดทน ไม่โต้ตอบ เหมือนที่ท่านได้กระทำมาชั่วชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอ ไม่เคยมีสันติภาพใด เกิดจากความรุนแรงและคำด่าทอ 8. พ่อเป็นผู้ค้ำชูศาสนาโดยแท้จริง ไม่ใช่ด้วยคำพูด หรือแค่เม็ดเงินบริจาค แต่ท่านคือผู้พิสูจน์ธรรมะด้วยกายใจ ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม ท่านคือนักภาวนาที่หาตัวจับยาก เป็นผู้มีอานาปานสติเป็นวิหารธรรม ทำไมพ่อทำงานหนัก แต่ยังมีเวลาภาวนา ทำไมเราทำงานน้อยกว่าท่าน แต่เรากลับอ้างว่าเราไม่มีเวลา สิ่งนี้ต้องคิดให้มาก เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง 9. พ่อคือครูผู้ยิ่งใหญ่ที่สอนด้วยชีวิตและการกระทำ ชีวิตคือธรรมะ และธรรมะก็คือชีวิตที่ตั้งอยู่ในความธรรมดาที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน พ่อกำลังบอกเราว่า จงดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ทำให้ดีที่สุดในวันนี้ จะไม่ต้องติดค้างเสียใจในภายหลัง 10. แม้วันนี้พ่อจะไม่อยู่ แต่ขอให้ชาวไทยจงวางใจว่า สถานที่ที่ท่านเดินทางไปนั้น น่าอยู่และงดงามกว่านี้หลายเท่า ท่านคือพระโพธิสัตว์ผู้ผ่านมาสร้างแสงสว่าง การเกิดของท่านในชาตินี้เป็นการเกิดที่สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และเราทั้งหลายควรภูมิใจไปกับท่าน ท่านคงไม่อยากให้เราคนไทยถูกทับถมด้วยทะเลแห่งความเศร้า อย่าทิ้งหน้าที่ อย่าทิ้งการงาน และสิ่งต่างๆ ที่รับผิดชอบอยู่ จงตั้งสติให้มั่นคง เป็นกำลังสมาธิ เป็นความสว่างเบิกบาน เพื่อน้อมส่งท่านสู่สวรรค์คาลัย ด้วยหัวใจแห่งความรักของเราชาวไทยทุกคน… อ่านจบ อดไม่ได้ที่จะแชร์ต่อ เพราะเป็นประโยชน์มากๆ ควรจดจำให้ขึ้นใจ..ทิ้งไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว..เลยคัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านด้วยกัน นะคะ.. เขียนด้วยความรัก สำนึก และบูชาตลอดไป อ่านแล้วน้ำตาไหล 😭 😭
    Mrs.Doubt
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ประวัติวันสงกรานต์ ความเป็นมาของวันสงกรานต์ ประวัติวันสงกรานต์ หรือเรื่องเล่า ตำนานของสงกรานต์นี้มีปรากฎในศิลาจารึกที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร  เป็นเรื่องราวตำนานตั้งแต่อินเดียโบราณเล่าสืบต่อกันมา โดยย่อว่า มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ ธรรมบาลกุมาร เป็นผู้ที่รู้ภาษานกแล้ว เรียนไตรเพทจบ เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ซึ่งในขณะนั้น โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง เมื่อกบิลพรหมทราบ จึงลงมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมาร
          
      ธรรมบาลขอผลัด ๗ วัน ครั้นล่วงไปได้ ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ได้ จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น   มีนกอินทรี ๒ ตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ครั้งเวลาค่ำนางนกอินทรีจึงถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใด สามีบอกว่า จะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก นางนกถามว่า ปัญหานั้นอย่างไรสามีจึงบอกว่า ปัญหาว่าเช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด นางนกถามว่า จะแก้อย่างไร สามีบอกว่า เวลาเช้าราศีอยู่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า รุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาร. ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนั้นเอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดา นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้แล้ว แห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วก็เชิญประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคัณธุลีเขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระวิศณุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วย แก้วเจ็ดประการชื่อ ภควดีให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมุลาด ลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้งแล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์ครั้งถึงครบกำหนด ๓๖๕ วัน โลกสมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาเจ็ดองค์ จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่างๆ ดังนี้ ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี ซึ่งในปีนี้ วันมหาสงกรานต์เป็นวันจพุธที่ ๑๔ เมษายน เวลา ๓.๓๙ น. นางสงกรานต์ จึงเป็นนางรากษสเทวี (เหตุที่ว่าเป็นเทวีประจำวันอังคารเพราะ ถือว่า เวลาเปลี่ยนย้ายยังไม่รุ่งเช้าวันใหม่)           คำว่า " สงกรานต์ " มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ - กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่ คือพระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะอยู่ช่วงระหว่างวันที่๑๓,๑๔,๑๕,๑๖ เมษายนของทุกปี ปีนี้ วันมหาสงกรานต์เป็นวันพุธที่ ๑๔ เวลา ๓.๓๙ น. วันเนาจึงเป็นวันที่ ๑๕ วันเถลิงศก คือวันที่ ๑๖ ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับสงกรานต์ มีดังนี้           สงกรานต์ ที่แปลว่า " ก้าวขึ้น " " ย่างขึ้น " นั้นหมายถึง การที่ดวงอาทิตย์ ขึ้นสู่ราศีใหม่ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเดือน ที่เรียกว่าสงกรานต์เดือน แต่เมื่อครบ ๑๒ เดือนแล้วย่างขึ้นราศีเมษอีก จัดเป็นสงกรานต์ปี ถือว่าเป็น วันขึ้นปีใหม่ทางสุริยคติ ในทางโหราศาสตร์ มหาสงกรานต์ แปลว่า ก้าวขึ้นหรือย่างขึ้นครั้งใหญ่ หมายถึงสงกรานต์ปี คือปีใหม่อย่างเดียว กล่าวคือสงกรานต์หมายถึง ได้ทั้งสงกรานต์เดือนและสงกรานต์ปี แต่มหาสงกรานต์ หมายถึง สงกรานต์ปีอย่างเดียว           วันเนา แปลว่า " วันอยู่ " คำว่า " เนา " แปลว่า " อยู่ " หมายความว่าเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์มา ๑ วัน วันมหาสงกรานต์เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศีตั้งต้นปีใหม่ วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้าที่เข้าทาง ในวันราศีตั้งต้นใหม่เรียบร้อยแล้ว คืออยู่ประจำที่แล้ว           วันเถลิงศก แปลว่า " วันขึ้นศก " เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การที่เปลี่ยนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ ๓ ถัดจากวันมหาสงกรานต์ ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิม สำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่จะเปลี่ยนศกถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็น วันที่ ๓ ก็หมายความว่า อย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ ไม่น้อยกว่า ๑ องศาแล้วอาจจะย่างเข้าองศาที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได้ 
          วันสงกรานต์เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ซึ่งกษัตริย์สิงหศะแห่งพม่า ซึ่งเดิมบวชอยู่เป็นพระสงฆ์ และขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ทรงตั้งขึ้นเมื่อปีกุนวันอาทิตย์ พ . ศ . ๑๑๘๑ โดยกำหนดเอาดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษได้ ๑ องศา เดิมทีแล้ว ไทยเราใช้วันขึ้น๑ ค่ำ เดือนอ้าย(ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม) เป็นวันขึ้นปีใหม่ (ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ “ลาลูแบร์ ยังบันทึกว่าปีใหม่ไทยคือวันขึ้น ๑ ค่ำเดือนอ้าย ) แต่ในล้านนา สุโขทัย คงใช้ตามพม่า เพราะใกล้ชิดกัน เคยเป็นเมืองขึ้นกันมา ส่วนไทยภาคกลาง คงมาใช้หลังการเสียกรุง จุลศักราช สงกรานต์จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยด้วย    ในปีแรกที่กำหนดเผอิญเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่วันที่ ๑๓ เมษายนทุกปี แต่เมื่อเป็นประเพณี ก็จำเป็นต้องเอาวันนั้นทุกปี เพื่อมิให้การประกอบพิธี ซึ่งมิได้รู้โดยละเอียดต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วันที่ ๑๓ จึงเป็นวันสงกรานต์ของทุกปี           
          จนถึง รัชกาลที่ ๕ ทรงเปลี่ยนมาใช้ วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันปีใหม่ต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จึงได้เปลี่ยนไหม่ โดยกำหนดเอาวันที่ ๑ มกราคม เป็น วันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับ หลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติ ส่วนใดที่เป็นสิ่งที่ดี เรื่องการทำบุญให้บรรพบุรุษ การระลึกถึงบุพการี เป็นวันครอบครัว เราก็นำมาปฏิบัติได้ แต่การบอกว่า เป็นวันปีใหม่ไทย อาจารย์ยังติดๆ อยู่นิดหน่อย(ไม่อยากเป็นการระลึกถึงการเป็นประเทศเมืองขึ้น😊😊) ในปีนี้ มีปัญหาเรื่องโรคระบาด covid-19 ทำให้พวกเราต้องอยู่บ้าน ทักทายกันด้วยเทคโนโลยี ส่งใจให้กัน ให้ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย อย่างไรก็ตามขอสวัสดีวันสงกรานต์ด้วยนะครับ อ. วันชัย รวยอารี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แชร์ค่ะ...! แถลงการณ์กลุ่มธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม คัดค้านการกระทำขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ในการเปลี่ยนแปลงเพลงประจำมหาวิทยาลัย ตามที่องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ได้เสนอเปลี่ยนแปลงเพลงประจำมหาวิทยาลัยจากเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง เป็นเพลงมอญดูดาว ในการทำกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยอมธ. โดยให้เหตุผลว่ามีเนื้อหาตรงกับเจตนารมณ์ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมากกว่า พร้อมทั้งนำเสนอผลการสำรวจความเห็นจากผู้ตอบแบบสำรวจ นั้น กลุ่มธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรมขอคัดค้านข้อเสนอดังกล่าว โดยมีหลักการและเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักการประชาธิปไตยและหลักการสันติประชาธรรม อันเป็นหัวใจหลักของชาวธรรมศาสตร์ทั้งหลายทั้งมวล แม้นผู้กระทำจะอ้างผลการสำรวจซึ่งมิทราบที่มาที่ไปและขาดหลักการตามระเบียบวิธีทางสถิติที่ถูกต้องมาสนับสนุน อมธ.จะต้องสำนึกว่าเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้รับการคัดเลือกจากนักศึกษาปัจจุบัน แม้จะมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและดำเนินกิจกรรม อมธ.ก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น ซึ่งได้แก่ประชาคมธรรมศาสตร์ทั้งมวล ที่มีจำนวนหลายแสนคน การอ้างผลสำรวจจากกลุ่มคนเพียง ๕,๐๐๐ กว่าคน มิได้เป็นการเคารพสิทธิของผู้อื่น เป็นการดำเนินการตามหลักคณาธิปไตยที่พวกท่านต่อต้านเสียเอง การพยายามสร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงโดยไม่เข้าใจบริบทที่แท้จริง ไม่เคารพสังคมและประชาคม ย่อมนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาและเกิดกระแสต่อต้านจากสังคมทั่วไป ทำให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเสียหายและเป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนจากสังคม ดังนั้นอมธ. จึงควรใช้สติและปัญญาอย่างรอบคอบ ปลอดจากการถูกครอบงำทางความคิด เพื่อให้สมกับฐานะที่ยกตนเองเป็นปัญญาชน สร้างหรือแสวงหาการเปลี่ยนแปลงที่ดีในหลักการ “เข้าใจ เคารพ สงบสุข” 2. ผู้ดำเนินการขาดความรู้ความเข้าใจในประวัติความเป็นมาของเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทองอันเป็นที่รักและภาคภูมิใจของชาวธรรมศาสตร์ ทั้งนี้ เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๖ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงประพันธ์ทำนองและพระราชทานให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ในคราวเสด็จมาทรงดนตรีที่หอประชุมธรรมศาสตร์และทรงปลูกต้นยูงทองจำนวน ๕ ต้นในคราวเดียวกัน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้าเฝ้าและขอพระราชทานเพลงเพื่อแทนเพลงมอญดูดาวที่ประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา ในคราวที่เสด็จทรงดนตรีที่สวนอัมพรในปี ๒๕๐๔ ผู้ประพันธ์เนื้อเพลงยูงทองคือนายจรัญ บุณยรัตนพันธุ์ ซึ่งได้ประพันธ์ตามแนวที่มรว.เสนีย์ ปราโมช อดีตเสรีไทยที่มีความใกล้ชิดกับท่านผู้ประศาสน์การณ์ปรีดี พนมยงค์ และผู้นำคณะราษฎร์แนะนำให้ ดังนั้นเนื้อหาเพลงจึงกล่าวถึงสถานที่ที่สงบร่มเย็น มีธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ มีพระธรรมสถิตย์เพื่อรักสามัคคี รักความเป็นธรรม ดั่งเช่นอุดมการณ์ของท่านผู้ประศาสน์การณ์ เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทองจึงถูกนำมาขับร้องในทุกครั้งก่อนที่จะมีการเริ่มกิจกรรมของชาวธรรมศาสตร์ เพื่อความสามัคคีและเป็นสิริมงคลแก่ชาวธรรมศาสตร์ทั้งมวล ฉะนั้นการกล่าวอ้างถึงเนื้อหาความเหมาะสมกว่าของเพลงมอญดูดาวจึงนับว่าเป็นการขาดการศึกษาอย่างถ่องแท้ ไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ได้ นับเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ดีเพลงมอญดูดาวเป็นเพลงที่มีคุณค่าต่อจิตใจของชาวธรรมศาสตร์เช่นกันเพราะเนื้อหาระบุถึงความเป็นไทย รักชาติไทย บูชาไทย อีกทั้งมีทำนองเพลงไทยเดิม ซึ่งเป็นการอนุรักษณ์วัฒนธรรมที่ดีของชาวไทยไว้ 3. จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้น่าเชื่อได้ว่าผู้กระทำต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยมีเจตนาที่จะทำลายความศรัทธา ทำลายสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของสังคมไทยในทุกๆ ภาคส่วนอย่างเป็นกระบวนการ ดังจะเห็นได้จากการบิดเบือนหลักฐานข้อมูลประวัติศาสตร์ วิทยานิพนธ์อัปยศ การให้ร้ายสถาบันต่างๆ การสร้างความแตกแยกทางสังคม สร้างความแตกแยกทางศาสนา มีขบวนการที่ดำเนินการในทุกระดับโดยมุ่งเป้าหมายไปยังเยาวชนคนรุ่นใหม่ สถาบันการศึกษาต่างๆ ถูกแทรกซึมด้วยบุคลากรและนักวิชาการที่มุ่งร้ายต่อประเทศ เข้าข่ายล้มล้างสถาบันและทำลายชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง พยายามยกเลิกเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ที่เป็นที่เคารพนับถือ ปลูกฝังความคิดและอุดมการณ์ที่เป็นผลร้ายต่ออนาคตของประเทศไทย โดยอ้างประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพแบบผิดๆ เป็นหน้าที่ที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องรู้เท่าทันและช่วยกันต่อต้านความเลวร้ายนี้ ดังนั้นกลุ่มธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรมจึงไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว และขอเรียกร้องให้คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกภาคส่วน โปรดทำความเข้าใจ ดูแลการจัดกิจกรรมของนักศึกษาให้มีเสรีภาพอย่างถูกต้อง ไม่ละเมิดต่อจิตวิญญาณและความรู้สึกของประชาคมธรรมศาสตร์และสังคมโดยรวม อีกทั้งต้องรักษาชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและบริหารจัดการให้เกิดความก้าวหน้ารุ่งเรืองสืบไป จึงจักเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เหมาะสมและรับผิดชอบตามที่ประชาคมได้มอบหมายต่อท่าน กลุ่มธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม ๗ กรกฏาคม ๒๕๖๕
    ไม่ระบุชื่อ
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    อดีตสาวมุสลิม เปลี่ยนมานับถีอพุทธอย่างเข้าถึง จากเฟสsunthorn utaithum พุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม แต่เป็นอะไรที่มีคุณค่ากว่านั้น" - เอลยานี ยูซุฟ, พุทธศาสนิกชนชาวเลบานอน (Buddhism is Not a Religion—It’s Something Much Better.) Elyane Youssef , a Lebanese Buddhist. ฉันถูกวิจารณ์เยอะเลย พอบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ มาฟังเหตุผลว่าทำไมพุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยมกันค่ะ คนทั่วไปมักเข้าใจว่าพุทธศาสนาก็เหมือนเทวนิยมอื่นๆ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ ฉันเองก็เคยเข้าใจแบบนั้น ก่อนที่จะได้รู้จักจนได้ศึกษา อย่างแรกเลย คำว่า "Religion" ด้วยรากศัพท์แล้วหมายถึง "ระบบความเชื่อที่เน้นศรัทธาและการบูชาต่อพระผู้เป็นเจ้า" หลังจากที่ฉันได้มีโอกาสเดินทางไปที่อินเดียและเนปาล และได้มีโอกาศเที่ยวชมพุทธสถานต่างๆ ฉันได้สังเกตเห็น ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ระบบความเชื่อดังกล่าว ที่เน้นศรัทธาและการบูชาต่อพระผู้เป็นเจ้า ชาวพุทธไม่ได้เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่วยให้รอดที่มีอำนาจบันดาลดีร้ายได้ เป็นเพียงมนุษย์เหมือนอย่างเราท่าน คือเป็นครูผู้ชี้เหตุและทางแห่งการพ้นทุกข์ก็เท่านั้น แม้พระองค์จะเป็นผู้ทรงคุณด้วยเหตุเป็นผู้ชี้ทางให้สรรพสัตว์พ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ แต่ก็ไม่ทรงปรารถนาให้ใครมาบูชาหรืออ้อนวอนต่อพระองค์ สิ่งเดียวที่ทรงเน้นย้ำก็คือ การได้พิจารณาคำสอนของพระองค์ก่อน ซึ่งถ้าเห็นด้วยปัญญาของตนแล้วว่าเป็นกุศล คือปฏิบัติตามแล้วเกิดเป็นความสุขความเจริญ ก็ให้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ ก็ไม่มีการบังคับขู่เข็ญใดๆให้ต้องมาเชื่อ ฉันได้เห็นพิธีกรรมต่างๆมากมายตามวัดและสำนักสงฆ์ต่างๆ แต่พิธีกรรมเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อการสวดอ้อนวอนร้องขออำนาจดลบันดาลใดๆ แต่เป็นการแสดงการบูชา คือแสดงความเคารพและสำนึกคุณต่อผู้ที่ได้ชี้ให้เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตก็เท่านั้น ซึ่งในบทบูชาเอง ก็ล้วนเป็นการกล่าวถึงความรัก ความเมตตา ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์โดยไม่มีที่สุดไม่มีประมาณทั้งสิ้น และเมื่อยิ่งมองลึกลงไป พุทธศาสนาไม่มีผู้นำสูงสุด ไม่มีศาสนจักรที่จะมามีอำนาจชี้นำ หรือชี้เป็นชี้ตายในชะตากรรมของใครได้ งั้นถ้าพุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม แล้วพุทธศาสนาคืออะไร? สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ พุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่งเพียงเท่านั้น เป็นปรัชญาที่บอกความจริงของชีวิตตามที่มันเป็นจริง ฉันยอมรับ และก็ไม่อายที่จะบอกด้วยว่า พุทธศาสนาสอนให้ฉันเข้าใจรากเหง้าตัวเอง คือระบบความเชื่อซึ่งฉันได้เติบโตมา รวมถึงระบบความเชื่อต่างๆที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนฉันจะได้รู้จักพุทธศาสนา คัมภีร์ของศาสนาเดิมของฉันเป็นอะไรที่ไม่ต่างกับตำราเรียนภาษาจีนเล่มใหญ่เลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องสวดอ้อนวอน ต้องทำนั่นทำนี่ แบบนั้นแบบนี้ หรือต้องเชื่อในสิ่งที่ผู้นำศาสนาบอก โดยไม่อาจสงสัยหรือตั้งคำถามได้ ก่อนหันมานับถือพุทธ ฉันจึงเหมือนถือศาสนาตามบรรพบุรุษไป เขาบอกให้สวดอ้อนวอนพระเจ้าก็สวดไป หวังพึ่งพาแต่กับอำนาจภายนอก โดยไม่เคยหันมาพิจารณาจิตใจของตัวเองซึ่งอยู่ข้างใน และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ฉันไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย พุทธศาสนาสอนให้ฉันพิจารณาตนเองจากภายใน สอนอิสรภาพของจิตและการรู้ตัวอยู่เสมอ พุทธศาสนาทำให้ฉันเข้าใจโลกรอบตัวเอง ฉันเริ่มตระหนักว่าอะไรที่ฉันเองเป็นผู้กระทำ ย่อมส่งผลย้อนกลับมาหาตัวเองเสมอ ไม่ทางกาย ก็ทางความคิด หรือทางอารมณ์ ไม่ได้เกิดจากอำนาจการดลบันดาลจากพระเจ้าที่ไร้ตัวตนเลย พุทธศาสนาสอนฉันให้เข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสินที่จ้องมองฉันมาจากที่ไหนสักแห่ง ความเชื่อมโยงผูกพันระหว่างฉันกับพระเจ้ามันได้จบสิ้นลงไปแล้ว ทุกอย่างไม่ได้มาจากภายนอก ทุกอย่างล้วนเกิดจากข้างใน คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วการได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมในทางพุทธศาสนาดีอย่างไร? ทุกคนไม่อาจเชื่อเหมือนกันฉันรู้ มันจึงไม่ผิดถ้าฉันจะเปิดใจ สงสัย หรือขบคิดในสิ่งต่างๆรอบตัว อันเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคนเราให้กว้างไกลออกไป พุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ฉันต้องศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนว่าฉันเป็นใครมาจากไหน หรือเคยนับถืออะไรมา พุทธศาสนาสนแค่ว่า อะไรคือสัจธรรมความจริง และหนึ่งในสัจธรรมนั้นก็คือ "สรรพสิ่งล้วนมีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา" พุทธศาสนามิได้เล็งเห็นประโยชน์จากการที่มีคนหันมานับถือมากขึ้น แต่ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นกับตัวผู้ที่น้อมนำหลักธรรมในทางพุทธศาสนาไปยึดถือและปฏิบัติเองนั่นต่างหากที่คือเป้าหมายของพุทธศาสนา คือการเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก และเข้าใจตนเอง I get plenty of comments when I say that I am a practicing Buddhist. Here’s why Buddhism is not a religion. Although Buddhism is known worldwide as a religion, for me it is not. Frankly, I used to perceive it as one, before knowing anything about it and delving into its culture. To start off, the word religion means “a system of faith and worship” and “the belief in a superhuman, or god with power.” After visiting India and Nepal, and observing the Buddhist complex, I came to notice that Buddhism is neither a system of faith, nor a god-based institution. Buddhists do not consider the Buddha as a supreme god. For them, he is a man like any other man who’s walked on the earth. Nevertheless, Buddha untangled the reasons of suffering and offered us a concrete way of getting out of them. And although he did offer the world teachings about how to get unstuck from samsara, he insisted that he wanted no worship nor praying. All he asked for is that we must examine his teachings first, and if they do resonate with us, then we practice them. If not, however, we have the utter freedom to leave them. Although I have watched rituals and ceremonies being held at monasteries, I’ve been told that they’re not in any way worship-based. The so-called “worship” that we might see is one that is offered as a way of showing respect and thankfulness to the man who exhibited the truth. Even the prayers that we hear are ones that read compassion, kindness and love to all sentient beings, without any exception. If we look more closely at Buddhism, we can even ascertain that there is no leader in the culture. It insists that there is no authority in Buddhism with the power to decide who is a true Buddhist and who is not, or who is punishable and who is not. If Buddhism isn’t a religion, what is it then? The way I see it, Buddhism is a way of life—it’s a philosophy and a truth that simply represents how things are in life. I must admit (and I’m not ashamed to claim it) that Buddhism has helped me understand the religion I was brought up with, as well as all the other religions in the world. Before being introduced to Buddhism, “holy books” were on par with the Chinese language to me. I couldn’t understand why I was supposed to pray, to attend religious ceremonies or to follow a spiritual leader, without true conviction or belief for what they’re saying. Before Buddhism, I was co-dependent on “God.” I constantly searched outside of myself, and I believe this is why I never found myself. Buddhism helped me look inward. It taught me independence and self-awareness. Through it, I began to understand how the world ticks. It helped me look at myself and take responsibility for my actions, thoughts and emotions, rather than taking refuge in a supreme god. With Buddhism, I came to finally understand that God isn’t a judgmental man who lives in the clouds. I stopped this duality between God and myself. It is not something that is outside of us or something we cannot reach—it is in us. So you might ponder the question—why is it worth looking into Buddhism or practicing it? I utterly believe to each their own—however, I also believe that it is never wrong to live with an open heart and an open mind which expands our knowledge and raises questions in our heads. Unlike other religions, Buddhism doesn’t tell its followers to stick only to its teachings. Buddhists don’t care where you’re from, what you believe in or who you worship. All they care about is that you know the truth—and the truth is: “All compounded things are impermanent.” It’s worth understanding Buddhism, because the final outcome of its purpose is not something that is beneficial to itself—the benefits are for our own sake. The benefit is that we will actually understand the truth of life, our existence and ourselves.
    ไม่ระบุชื่อ
     •  6 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    นักวิเคราะห์สหรัฐฯชี้ ทหารยูเครนเป็นผู้สังหารพลเมืองใน "บูชา" สก็อตต์ ริตเตอร์ นักวิเคราะห์การทหารชาวอเมริกา และอดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติในอิรักได้กล่าวระหว่างการสัมมนาผ่านเว็บไซต์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในยูเครนว่า ผู้คนในเมืองบูชาใกล้กรุงเคียฟเสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองทัพยูเครน ริตเตอร์ อ้างถึงแถลงการณ์ของกองทัพรัสเซียที่ว่า พวกเขายึดครองเมืองบูชาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนในท้องถิ่น "พวกเขามีการแลกเปลี่ยนกัน เขาแลกเปลี่ยนอาหาร ชาวเมืองบูชาให้ไข่ นม ชีส ส่วนรัสเซียให้อาหารแห้ง แป้ง เกลือ น้ำตาล และเนื้อ จากนั้นพวกรัสเซียก็จากไป ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการมีปฏิสัมพันธ์กับรัสเซียถูกมองว่าร่วมมือกัน” “เราทราบเรื่องนี้เพราะสำนักงานตำรวจของยูเครนได้เผยแพร่ประกาศที่ระบุว่า วันที่ 1 เมษายนพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปเมืองบูชา เพื่อกำจัดผู้ที่ทำงานร่วมกัน (กับรัสเซีย)” ริตเตอร์ กล่าวว่า สิ่งนี้ตรงข้ามกับแนวทางของรัสเซียอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือการปฏิบัติต่อผู้อยู่อาศัยในยูเครนด้วยความเคารพ โดยพยายามไม่ทำอันตรายต่อพลเรือน “ยูเครนพูดว่า ถ้าคุณร่วมมือกับรัสเซีย คุณจะต้องตาย เรื่องนี้มีวิดีโอของตัวแทนทางการเมืองระดับสูงที่ประกาศบนโซเชียลเน็ตเวิร์กต่อชาวบูชาว่า โปรดอยู่ในบ้าน ตำรวจกำลังทำความสะอาด อย่าตกใจ ให้อยู่ในบ้านเท่านั้น" ริตเตอร์ตั้งข้อสังเกตุว่า ผู้ลงโทษชาวยูเครนยิงผู้คนบนท้องถนน พวกเขาเคาะประตูบ้านผู้ที่ร่วมมือกับกองทัพรัสเซีย จากนั้นก็สังหารพวกเขา “เรามีคลิปวิดีโอของตำรวจยูเครนชื่อกลุ่ม อาซอฟ ที่ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า พวกเขากำลังจะไปท่องซาฟารี ชื่อของหน่วยตำรวจพิเศษของยูเครนที่เข้ามาในบูชาคือ “ซาฟารี” และพวกเขาท่องซาฟารีก็เพื่อชำระผู้ร่วมมือกับรัสเซีย ชำระแปลว่าฆ่า ไม่ใช่จับกุม มันคือการฆ่า และพวกเขาก็ทำมัน จากนั้นพวกเขาก็จัดการกับศพและบอกว่ารัสเซียเป็นคนทำ” ริตเตอร์กล่าว นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตุถึงลักษณะของศพส่วนใหญ่ในวิดีโอที่ต่างก็สวมปลอกแขนสีขาว "นี่หมายความว่าพวกเขากำลังติดต่อกับชาวรัสเซียว่าเราอยู่ข้างคุณ อย่าฆ่าเรา ถัดจากศพแต่ละศพคือกล่องสีเขียวซึ่งก็คืออาหารแห้งที่พวกเขายังคงถืออยู่ตอนที่ถูกฆ่า" “ส่วนในกรณีที่ไม่มีผ้าพันสีขาว เพราะพวกเขาใช้มัดมือไว้ด้านหลัง คนเหล่านี้ถูกฆ่าไม่ใช่โดยรัสเซีย แต่โดยยูเครน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่ได้รับการส่งเสริมที่นี่ (อเมริกา) แต่มันถูกนำเสนอในด้านที่กลับกัน" นอกจากนี้ริตเตอร์ยังได้ชี้ให้เห็นว่า สภาพศพในวิดีโอดูไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนที่ทหารรัสเซียจะถอนกำลังออกไป “สิ่งที่คุณเห็นในทีวีคือคนเพิ่งถูกฆ่า และเราก็มีหลักฐานเพิ่มเติมในเรื่องนี้ นักข่าวชาวเม็กซิกันได้เข้าไปในบูชาวันเดียวกับที่ยูเครนประกาศ และตอนเขายกศพก็พบว่าเลือดยังสด สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าผู้คนถูกฆ่าเมื่อไม่นานนี้” “คนเหล่านี้ถูกตำรวจยูเครนสังหารเมื่อวันที่ 1 เมษายน จากนั้นประธานาธิบดีสหรัฐก็ออกมาบอกว่านี่เป็นอาชญากรรมสงครามที่รัสเซียก่อขึ้น วลาดิมีร์ ปูตินควรรับผิดชอบในกรุงเฮก นี่เป็นสงครามการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่เหมือนที่ไหน ที่เราได้เห็นในสมัยของเรา” ริตเตอร์กล่าว.
    ไม่ระบุชื่อ
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false