นักข่าวฟิลิปปินส์ - อินโดฯ – มาเลย์ ย้ำบทบาท “สื่อ” สำคัญ ยุติข่าวปลอม ห่วงรัฐบาลอาศัยอำนาจพิเศษละเมิดสิทธิ์ประชาชนช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด
วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม และกลุ่ม CoFact หรือ Collaborative Fact Checking แพลตฟอร์มใหม่ของภาคพลเมืองในการตรวจสอบข่าวลวง ได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง How to handle Covid-19 infodemic in Asia? หรือ จะรับมือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด – 19 ในเอเชียได้อย่างไร โดยมีสื่อมวลชนจากหลายประเทศเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรายงานข่าว และการรับมือกับข่าวปลอมในช่วงการระบาดของโรคโควิด – 19 ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
เอนดี บายูนี (Endy Bayuni) บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า สถานการณ์ “ข่าวปลอม” ในรอบนี้ในอินโดนีเซีย ถือว่าไม่รุนแรงเท่ากับการเลือกตั้ง หรือเรื่องการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องของความแตกแยก การใส่ร้ายป้ายสี และความรุนแรง โดยในรอบนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคแบบแปลกๆ หรือข่าวปลอมเรื่องอาสาสมัครที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ซึ่งไม่เป็นความจริงเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซีย ระบุว่ามีข่าวปลอมทั้งหมด 1,096 ชิ้น ได้ขอให้เฟซบุค นำข่าวปลอมออกทั้งหมด 759 โพสต์ แต่ในที่สุด เฟซบุค ได้เอาออกทั้งหมด 303 ข่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เฟซบุค แต่อยู่ที่แอปพลิเคชันที่เป็นการส่งข้อความแบบ Instant Messaging ระหว่างบุคคล อย่าง Whatsapp มากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล และมักจะเป็นตัวกลางชั้นดีในการกระจายข่าวปลอม
นอกจากนี้ เอนดี ยังได้แสดงความกังวลว่า รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้อาศัย “อำนาจพิเศษ” ในช่วงภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลมีอำนาจเต็มมากกว่าห้วงเวลาปกติ ในการจับกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจได้จับตัวชายคนหนึ่ง ในข้อหาปลุกระดม สร้างความวุ่นวาย และในหลายครั้ง รัฐบาลอินโดนีเซียเองก็แชร์ “ข่าวปลอม” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หรือสร้างผลดีให้กับรัฐบาล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าประเมินสถานการณ์ต่ำไป รวมถึงรับมือได้ไม่ดีนัก จนทำให้โควิด-19 ระบาดหนักในอินโดนีเซีย จนมีอัตราตาย 8.7% สูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลานี้ การทำหน้าที่สื่อมวลชนจึงสำคัญมากในการตรวจสอบข้อมูล ตรวจสอบข่าวลวง - ข่าวปลอม รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ และในอีกแง่หนึ่งก็ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามไปด้วย
ขณะที่อดัม คูเปอร์ (Adam Cooper) ผู้จัดการอาวุโสศูนย์ประสานงาน การพูดคุยเพื่อมนุษยธรรม (Centre for Humanitarian Dialogue) กล่าวว่า การไหลเวียนของข่าวลวงจำนวนมาก ทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จัดการกับข่าวลวงไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ได้เห็นความพยายามในการมีส่วนร่วมจัดการข่าวลวงเช่นกัน ยกตัวอย่าง ในสหรัฐอเมริกาเอง หากเปิดกูเกิล หรือเฟซบุค ข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 จากสำนักงานควบคุมโรคติดต่อ หรือจากองค์การอนามัยโลกที่เชื่อถือได้ จะขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ หรือในยูเครน องค์การอนามัยโลก ก็มี Chatbot ไว้ตอบคำถามเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งสามารถจัดการกับข่าวปลอม และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องได้พอสมควร
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ในประเทศที่รัฐขาดความชอบธรรม และความน่าเชื่อถือนั้น ข้อมูลข่าวสารที่มาจากรัฐเองจะขาดความน่าเชื่อถือตั้งแต่ต้น และข่าวสารใดๆ ที่รัฐแถลงออกมา ประชาชนจะไม่เชื่อ และไม่ทำตาม ซึ่งตรงนี้ ภาคประชาสังคม จะมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบที่มาข่าว และเผยแพร่ข้อเท็จจริงเป็นวงกว้าง โดยภาคประชาสังคม จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์แบบนี้
อดัม กล่าวอีกว่า ความท้าทายอีกอย่างก็คือ มีความ “อคติ” เรื่องเชื้อชาติ - ศาสนา อยู่มากพอสมควร ในโซเชียลมีเดีย เช่น การบอกว่าพิธีกรรมทางศาสนา เป็นตัวกระจายการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งจุดนี้ ภาคประชาสังคม และกลุ่มตรวจสอบข่าวลวง อาจต้องสื่อสารหนักขึ้นเพื่อลดอคติ และความเข้าใจผิด ไม่ให้เกิดความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ - ศาสนา ในเวลาแบบนี้
วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม และกลุ่ม CoFact หรือ Collaborative Fact Checking แพลตฟอร์มใหม่ของภาคพลเมืองในการตรวจสอบข่าวลวง ได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง How to handle Covid-19 infodemic in Asia? หรือ จะรับมือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด – 19 ในเอเชียได้อย่างไร โดยมีสื่อมวลชนจากหลายประเทศเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรายงานข่าว และการรับมือกับข่าวปลอมในช่วงการระบาดของโรคโควิด – 19 ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
เอนดี บายูนี (Endy Bayuni) บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า สถานการณ์ “ข่าวปลอม” ในรอบนี้ในอินโดนีเซีย ถือว่าไม่รุนแรงเท่ากับการเลือกตั้ง หรือเรื่องการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องของความแตกแยก การใส่ร้ายป้ายสี และความรุนแรง โดยในรอบนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคแบบแปลกๆ หรือข่าวปลอมเรื่องอาสาสมัครที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ซึ่งไม่เป็นความจริงเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซีย ระบุว่ามีข่าวปลอมทั้งหมด 1,096 ชิ้น ได้ขอให้เฟซบุค นำข่าวปลอมออกทั้งหมด 759 โพสต์ แต่ในที่สุด เฟซบุค ได้เอาออกทั้งหมด 303 ข่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เฟซบุค แต่อยู่ที่แอปพลิเคชันที่เป็นการส่งข้อความแบบ Instant Messaging ระหว่างบุคคล อย่าง Whatsapp มากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล และมักจะเป็นตัวกลางชั้นดีในการกระจายข่าวปลอม
นอกจากนี้ เอนดี ยังได้แสดงความกังวลว่า รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้อาศัย “อำนาจพิเศษ” ในช่วงภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลมีอำนาจเต็มมากกว่าห้วงเวลาปกติ ในการจับกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจได้จับตัวชายคนหนึ่ง ในข้อหาปลุกระดม สร้างความวุ่นวาย และในหลายครั้ง รัฐบาลอินโดนีเซียเองก็แชร์ “ข่าวปลอม” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หรือสร้างผลดีให้กับรัฐบาล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าประเมินสถานการณ์ต่ำไป รวมถึงรับมือได้ไม่ดีนัก จนทำให้โควิด-19 ระบาดหนักในอินโดนีเซีย จนมีอัตราตาย 8.7% สูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลานี้ การทำหน้าที่สื่อมวลชนจึงสำคัญมากในการตรวจสอบข้อมูล ตรวจสอบข่าวลวง - ข่าวปลอม รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ และในอีกแง่หนึ่งก็ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามไปด้วย
ขณะที่อดัม คูเปอร์ (Adam Cooper) ผู้จัดการอาวุโสศูนย์ประสานงาน การพูดคุยเพื่อมนุษยธรรม (Centre for Humanitarian Dialogue) กล่าวว่า การไหลเวียนของข่าวลวงจำนวนมาก ทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จัดการกับข่าวลวงไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ได้เห็นความพยายามในการมีส่วนร่วมจัดการข่าวลวงเช่นกัน ยกตัวอย่าง ในสหรัฐอเมริกาเอง หากเปิดกูเกิล หรือเฟซบุค ข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 จากสำนักงานควบคุมโรคติดต่อ หรือจากองค์การอนามัยโลกที่เชื่อถือได้ จะขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ หรือในยูเครน องค์การอนามัยโลก ก็มี Chatbot ไว้ตอบคำถามเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งสามารถจัดการกับข่าวปลอม และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องได้พอสมควร
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ในประเทศที่รัฐขาดความชอบธรรม และความน่าเชื่อถือนั้น ข้อมูลข่าวสารที่มาจากรัฐเองจะขาดความน่าเชื่อถือตั้งแต่ต้น และข่าวสารใดๆ ที่รัฐแถลงออกมา ประชาชนจะไม่เชื่อ และไม่ทำตาม ซึ่งตรงนี้ ภาคประชาสังคม จะมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบที่มาข่าว และเผยแพร่ข้อเท็จจริงเป็นวงกว้าง โดยภาคประชาสังคม จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์แบบนี้
อดัม กล่าวอีกว่า ความท้าทายอีกอย่างก็คือ มีความ “อคติ” เรื่องเชื้อชาติ - ศาสนา อยู่มากพอสมควร ในโซเชียลมีเดีย เช่น การบอกว่าพิธีกรรมทางศาสนา เป็นตัวกระจายการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งจุดนี้ ภาคประชาสังคม และกลุ่มตรวจสอบข่าวลวง อาจต้องสื่อสารหนักขึ้นเพื่อลดอคติ และความเข้าใจผิด ไม่ให้เกิดความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ - ศาสนา ในเวลาแบบนี้
สื่ออาเซียนเผย “Fake News” เกี่ยวกับ "โควิด-19" หลายครั้ง “รัฐ” เผยแพร่เอง | Hfocus.org
https://www.hfocus.org/content/2020/04/19057นักข่าวฟิลิปปินส์ - อินโดฯ – มาเลย์ ย้ำบทบาท “สื่อ” สำคัญ ยุติข่าวปลอม ห่วงรัฐบาลอาศัยอำนาจพิเศษละเมิดสิทธิ์ประชาชนช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม และกลุ่ม CoFact หรือ