ตรวจสอบข่าว

1 คนสงสัย
ฉี่แก้โรค
การดื่มฉี่ช่วยให้ร่างกายสมดุล
std48467
 •  2 ปีที่แล้ว
0 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)

ยังไม่มีใครตอบ

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ดื่มน้ำมะนาวฆ่าเชื้อโควิด19 ไม่ได้
    กรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโลกออนไลน์ ถึงสรรพคุณของมะนาว ที่อ้างว่าสามารถรักษาโรคโควิด-19 จึงนำข้อมูลนี้ สอบถามกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกัน แห่งประเทศไทย ระบุว่า มะนาวมีวิตามินซีสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ดร.นพ.พรเทพ กล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการฆ่าเชื้อโรค แต่ไปทำให้เชื้อโรคไม่สามารถฝังเข้าไปในเซลล์ของทางเดินหายใจและปอดได้ง่าย และให้กำจัดออกทิ้งไป ยังไม่มียาใดๆ ทั้งสิ้น ในการฆ่าเชื้อไวรัส ในโลกนี้ ยาที่มีอยู่ ที่ใช้ตอนนี้คือ ยาฟาวิราเวียร์ ก็เพียงแต่ทำให้เชื้อมันอ่อนแรง และร่างกายกำจัดมันด้วยการกินมันด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวเท่านั้นเอง แต่อย่าไปเข้าใจผิดว่าถ้าเราป่วยหนัก แล้วไปถินพวกนี้จะทำให้เชื้อหมดไปจากร่างกาย มันเป็นไปไม่ได้” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อ้างอิง: Workpoint Today
    naruemonjoy
     •  6 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การดื่มน้ำเปล่าเยอะๆยิ่งทำให้ผิวสวยจริงหรือไม่ ?
    หลายคนรู้กันดีว่าการดื่มน้ำเปล่าสะอาดมีประโยชน์มากมาย เช่น การช่วยรักษาสมดุล ทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ขับของเสียออกจากร่างกาย ลมหายใจสะอาด สดชื่น ผิวพรรณชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง นัยน์ตาสดใสเป็นประกาย ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพป้องกันความเสียหายของไต (ข้อมูลจาก : กรมอนามัย / 19 กรกฎาคม 2565) แต่หากดื่มน้ำมากเกินไป วันละ 6-7 ลิตรก็จะส่งผลให้ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากเกินไปในเวลารวดเร็วเกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษ (Water Intoxication) และภาวะโซเดียมในเลือดน้อยเกินแบบเจือจาง (Dilutional Hyponatremia) ส่งผลให้ปวดศีรษะ ตะคริว ชัก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน บวม ส่งผลกระทบต่อเซลล์สมอง ซึ่งอาจอันตายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ข้อแนะนำ 1. ดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายเฉลี่ยวันละ 8-10 แก้ว (1.5-2 ลิตร/คน/วัน) หรือดื่มเพิ่มตามน้ำหนักตัว 2. หลีกเลี่ยงดื่มน้ำที่ร้อนมากหรือเย็นจัด 3. ช่วงหน้าร้อน ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆแต่ควรจิบบ่อยๆ ตลอดวัน (ข้อมูลจากเว็บ :สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ) การดื่มน้ำเปล่าสะอาดทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นุ่มชุ่มชื้นจริง แต่ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ถ้าดื่มมากเกินไปในเวลาที่รวดเร็วจะทำให้ เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษ และภาวะโซเดียมในเลือดน้อยเกินแบบเจือจางได้
    Pare Petchara
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ⚠️ สำคัญ!! โปรดอ่าน‼️ 1. แพทย์คนหนึ่งเตือนว่า ... ที่ 40 องศาถ้าคุณดื่มน้ำน้ำแข็งทันทีหลอดเลือดขนาดเล็กอาจระเบิดได้ เพื่อนของเขาเพิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อล้างเท้าด้วยน้ำเย็น จากนั้นดวงตาของเขามองไม่เห็นอย่างชัดเจน มีเพียงหูเท่านั้นที่ได้ยินเสียง เขาก็เสียขีวิตในเวลาต่อมา 2. อุณหภูมิในบางสถานที่มีถึง 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า แต่อุณหภูมิของความรู้สึกของร่างกายควรสูงกว่า อันตรายไม่ได้มีแค่จากการดื่มน้ำเย็นเท่านั้น แม้แต่ล้างมือ / ล้างหน้า / ล้างเท้า ด้วยน้ำเย็นๆก็อันตราย คุณจะต้องไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่ร้อนกระทบกับน้ำเย็นแบบทันที คุณต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเพื่อให้ร่างกายเย็นลง และ ปรับเป็นอุณหภูมิในร่ม ดื่มน้ำอุ่นประมาณ 34 ถึง 36 องศาเซลเซียส 3. ผู้ชายที่เคยแข็งแรงมากคนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ดี ชายคนนั้นเล่าว่า "เร็ว ๆ นี้ในวันที่อากาศร้อน ผมกลับบ้านเพื่อให้เย็นลงอย่างรวดเร็วจากความร้อน ผมอาบน้ำเย็นทันที ผมรู้สึกว่าไม่สามารถขยับขากรรไกรได้อย่างถูกต้อง รถพยาบาลส่งผมไปโรงพยาบาลนั่นช่วยชีวิตผมไว้ " ⚠️โปรดจำไว้ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อน ให้หลีกเลี่ยงน้ำเย็นเพราะจะทำให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็ว‼️ ผู้ใหญ่ที่มีเด็กเล็ก หรือ คนชราที่บ้านควรแจ้งผู้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สภาพอากาศไม่ปกติ มันอาจจะรู้สึกดีถ้าดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ แต่มันอันตรายมาก‼️
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    พิษจากดื่มน้ำเย็นิจริงหรือไม่
    ■พิษจากดื่มน้ำเย็น■ ~~~~~~~~~~~~~ ★จะปวดหลัง ข้อเข่า ไตอ่อนแอ •••••••○••••••○•••••• ◆ใครจะไปเชื่อว่า.. การดื่มน้ำเย็นจะมีพิษ มีภัย และให้โทษได้ถึงขนาดนี้ ((((▶ ♣หมอได้พบผู้ป่วย ที่มีอาการแขนขาอ่อน แรง หรือที่เรียกกันว่า โรคอัมพฤกษ์ ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำเย็น หรือ น้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า ไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำ เย็นเป็นประจำมาตั้งแต่ เด็ก และต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้น ■ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง เช่น มึนเวียนศีรษะง่าย เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา การพูดเริ่มติดๆขัดๆ สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน ต้องนำส่งโรงพยาบาล เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา ★การดื่มน้ำเย็น สำหรับคนไทยนั้น ทำให้ "ไต ต้องรับกำจัดความเย็น ออกจากร่างกาย อย่างรวดเร็ว" ขับน้ำเย็นมากักเก็บ ไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เตรียมขับออกเป็น น้ำปัสสาวะทำให้ผู้ที่ ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่ง ขาดน้ำจนเลือดข้น หนืดไปหมด ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น ทำให้มีคราบไขมัน และของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือด จนเกิดการพอกพูน กลายเป็นโรคหลอด เลือดตีบ ก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบ ทานเป็นประจำนั่นเอง ★ไตของเราเปรียบ เสมือนเครื่องกรองน้ำ อันน่าอัศจรรย์ ทำหน้าที่ช่วยกรอง ของเสียออกจากเลือด แล้วขับออกทาง ปัสสาวะการทำหน้าที่ ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุดของไตนั้น ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้ง ★น้ำเย็นด้วยก็จะทำให้ เกิดภาวะไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้อง ให้เราทราบดังนี้ ★1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้อง วิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆ กลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว ★2.มีอาการปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ ★3.ปวดเมื่อยตามข้อ และ ร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ ★4.หลอดเลือดตีบตัน หรือ หลอดเลือดแข็งได้ง่าย ★หากใครยังทาน....... ●น้ำเย็น นมเย็น ●กาแฟเย็น น้ำอัดลม ●น้ำหวานเย็น ชาเย็น อยู่เป็นประจำ ●มีอาการปวดหลังแน่ๆ ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้ ■1.ปรับเลือดที่หนืดข้น ให้หายข้นด้วยการเพิ่ม น้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน ■2.ทำให้เลือดไหล เวียนสะดวกอย่าง ต่อเนื่องด้วยการ..... ■ออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้ หรือ อาจใช้การจัดกระดูก ช่วยให้เลือดไหลเวียน สม่ำเสมอ ■3.ไม่กินอาหาร..... ◆เนื้อสัตว์ ของทอด ◆ของหวานจัดเพราะ ◆ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ปริมาณมากจนทำให้ หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย ■4.งดการทานน้ำเย็น เด็ดขาดรู้แล้วอย่า เฉยเมยนะควรปฎิบัติ ด้วยและรู้แล้วอย่า เก็บไว้คนเดียวโปรด แบ่งปันให้คนรอบข้าง ของตัวเรา (((((((▪ ★พันเอก ดร.นพ.ดำรง หมอประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (((((((▪ (💐
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    แผ่นแปะโทรศัพท์ แล็ปท็อป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิปป้องกันรังสีประกอบด้วย EMI in-sulator 14 ชนิดและไอออนลบ 32 ชั้น เพื่อช่วยให้ร่างกายลดความเครียด ทำให้อากาศบริสุทธิ์ได้จริงหรือ
    คุณหมอได้แนะนำผลิตภัณฑ์นี้ผลิตในญี่ปุ่น เป็นแผ่นแปะที่สามารถใช้กับโทรศัพท์ แล็ปท็อป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเลย ชิปป้องกันรังสีประกอบด้วย EMI in-sulator 14 ชนิดและไอออนลบ 32 ชั้น เพื่อช่วยให้ร่างกายลดความเครียดและความเหนื่อยล้าเมื่อสัมผัสกับโทรศัพท์เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีผลของการทำให้เป็นกลางไอออนบวก เพื่อช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ด้วย
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น
    การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น เอาอะไรเข้าไปก่อกวนลำไส้ ซึ่งอาจมีโทษข้างคียง เช่น ทำลายระบบนิเวศของ แบคทีเรียดีในลำไส้ นำสู่การขาดวิตามิน B12 เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ เช่น ท้องผูก อวัยวะขับพิษ ทั้ง 6 บทความตอนหนึ่ง ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ร่างกายของเรา เขาทำงานของเขาเองอยู่แล้ว โดยอาศัยอวัยวะ ขับพิษทั้ง 6 คือ (1) ตับ (2) ไต (3) ปอด (4) ลำไส้ใหญ่ (5) ต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง (6) น้ำเหลือง ถ้าท่านอยากจะล้างพิษ ผมแนะนำให้ท่าน ช่วยให้อวัยวะ ทั้งหกนี้ ทำงานได้ดีขึ้น ดังนี้ (1) ท่านช่วย “ตับ” ของท่านได้ ด้วยการกินอาหาร ที่ตับต้องใช้ในการขจัดพิษ ที่เรียกว่า สารต้าน อนุมูลอิสระ นั่นแหละ ได้แก่ อาหารพืชที่หลากสี (เน้นสีม่วงแดง) หลากรส (เน้นรสขม) ตามฤดูกาล (เน้นเห็ด) และ เน้นขมิ้นชัน ในภาพรวมว่าเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่น นอกจากนี้ ควรขยันออกแดด เพื่อให้ไมโตคอนเดรีย ในเซลร่างกายของท่าน ทุกเซลช่วยกันสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อเมลาโทนิน ขึ้นมาช่วยการทำงานของตับ (2) ท่านช่วย “ไต” ของท่านได้ ด้วยการระวัง ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ กินเกลือให้น้อย กินยาให้น้อยที่สุด ไม่กินยาที่ทำให้ เป็นโรคไตเรื้อรัง โดยตรง เช่น ยาลดการหลั่งกรด (เช่น omeprazole) ยาแก้ปวด แก้อักเสบข้อ และอย่าฉีดสี เพื่อวินิจฉัยโรคบ่อย โดยไม่จำเป็น เพราะ สีเหล่านั้น เป็นพิษต่อไตมาก..ก (3) ท่านช่วย “ปอด” ของท่านได้ ด้วยการ ฝึกหายใจให้ลึก ฝึกกลั้นหายใจนิดหนึ่ง ขณะลมเต็มปอด ฝึกหายใจออก ให้ยาวกว่า การหายใจเข้า เพื่อเอาลมค้างออกมา ให้มากที่สุด ใช้วิธีนับ 4-4-8 อย่างที่ผมเคยสอน ในบล็อกก่อนๆ ก็ได้ (เข้า 1 2 3 4, กลั้นไว้ 1 2 3 4 ออก 1 2 3 4 5 6 7 8 ) และขยันพาตัวเอง ไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ อากาศดีๆ (4) ท่านช่วย “ลำไส้ใหญ่” ของท่านได้ ด้วยการเอาใจใส่ เลี้ยงดูชุมชนจุลินทรีย์ (microbiomes) ในลำไส้ของท่าน ให้เจริญเติบโต หลากหลาย เพราะพวกเขา เป็นผู้ขับพิษ ที่แท้จริงของท่าน วิธีเลี้ยง ก็คือ กินของที่พวกเขา ใช้เป็นอาหาร (prebiotic) เช่น กากต่างๆ และถั่วต่างๆ และ ขยันกินอาหาร ที่มีจุลินทรีย์ (probiotic) เช่น อาหารหมักๆดองๆ ชาหมัก เป็นต้น (5) ท่านช่วย “ต่อมเหงื่อบนผิวหนัง” ของท่านได้ ด้วยการขยันออกกำลังกาย ให้เหงื่อออกมากๆ ขณะเดียวกัน ก็ดื่มน้ำตามไม่ให้ขาด ถ้ามีซาวน่า ก็ขยันอบซาวน่า ให้เหงื่อไหลโทรมกาย ก็ช่วยได้ (6) ท่านช่วย “ระบบน้ำเหลือง” ของท่านได้ ด้วยการขยัน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว อย่างน้อย ให้ขยันเดินทั้งวัน วิ่งเหยาะๆบ้าง เมื่อมีโอกาส เพราะการขยับแขนขา เป็นปัจจัยเดียว ที่จะขับเคลื่อน การไหลเวียน ของน้ำเหลือง เอาของเสียไปทิ้งได้ ทำทั้งหกอย่าง นี่แหละ เป็นการ “ดีท๊อกซ์” ที่ได้ผลดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องไปเสียเงิน ฉีดอะไรที่เสี่ยงๆเข้าตัวเอง ทุกเดือนเลย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ บรรณานุกรม 1. Knudston ML, Wyse DG, Galbraith PD, et al. Chelation therapy for ischemic heart disease, a randomized controlled trial. JAMA. 2002;287(4):481-486.
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    กระชาย แก้โรคกระดูกเสื่อม
    หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับ @sgt3846b หมอยังแปลกใจ!! ผู้ป่วย โรคกระดูกเสื่อม หลังหายไป 1 เดือนกลับมาตรวจใหม่ มวลกระดูกแน่นปึ้ก เผยยาสูตรพิเศษ ปวดเข่า ปวดหลัง หายสิ้น!! กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้ !!!!! โรคกระดูกเสื่อม เกิดจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูกในร่างกายของเรา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการทาน จากการเคลื่อนไหวมากเกินไป มักจะเกิดในวั#ยกลางคน วัยสูงอายุ สังเกตเห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลื่อนไหวจะมีเสียงกร๊อบแกร๊บ กร๊อบแกร๊บ บางทีก็จะปวดตตรงข้อกระดูก รู้สึกขัดๆปวดๆ เคลื่อนไหวลำบาก นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบก็จะลุกขึ้นยาก การรักษาโรคกระดูกเสื่อมนั้นส่วนใหญ่คนมักจะพึ่งยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมต่างๆ เช่น แคลเซียมแคปซูล วันนี้นายข้าวต้ม ขอแนะนำสูตรสมุนไพรพิเศษ อาจทำให้เราหายขาด หรือบรรเทาอาการโรคกระดูกเสื่อมได้ คือ ทานแบบภูมิปัญญาไทย ด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เรื่องจริงจากผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อม “หมอเพชร” หรือ ดร. กฤษณา รัตนชาลี ศัลยแพทย์ด้านหัวใจ วัย 60 ต้นๆ เรียน จบแพทย์จากอังกฤษ และทำงานประจำอยู่ที่ต่างประเทศ เพิ่งบินกลับมาปฏิบัติธรรม ที่วัดเขาฯ เป็นครั้งแรก เล่าให้ฟังถึงเพื่อนหมอ ซึ่งไปตรวจที่ รพ.ศิริราช พบว่า เป็นโรคกระดูกเสื่อมเฉียบพลัน รพ. ให้ยามากินมากมาย หมอเพชรบอกเพื่อน เอายาทิ้งไป และลองกินน้ำกระชาย ซึ่งตามสูตรธรรมชาติบำบัดเป๊ะยิ่งกว่า ท่าน อ.สุทธิวัสส์ ซะอีก คือ ห้ามเพื่อนใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ให้ใช้ครกหินอ่างศิลาตำๆ พอกระชายแหลก ก็เอามากรองด้วย “กระชอนไม้” ปูรองด้วยผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ มาผสมกับ น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว กินอยู่ประมาณ ๑ เดือน ไปตรวจใหม่ หมอที่รพ.ศิริราช ตกใจ สงสัยว่าไปทำอะไรมา มวลกระดูกถึงแน่นปึ้กขนาดนี้!!!!! คนไข้ก็ไม่กล้าบอก หมอถามต่ออีกว่าแล้วยาที่ให้ไปกินหมดรึยัง?…..ยังค่ะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนหมอเพชรคนนี้ก็กินน้ำกระชายเป็นเครื่องดื่มประจำตัว ประจำบ้าน แล้วไม่เคยป่วยด้วยโรคกระดูกเสื่อมอีกเลย อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมา แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมอยู่ให้แน่นเหมือนเดิม ส่วนผสม กระชาย 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก วิธีทำ “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม 1. นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา หรือ ปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ละเอียดเติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว 2. นำกระชายที่ตำหรือปั่น มากรองผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่น้ำหัวเชื้อ 3. ใส่น้ำผึ้ง และ มะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหินอ่างศิลา จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ เก็บในตู้เย็นทานไปจนกว่าจะหมด ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า – เย็น สรรพคุณ บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง) บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงจะลดลงความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น) แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ บำรุง มดลูก แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน) ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต แก้ปัญหา ไส้เลื่อน เป็นยังไงกันบ้าง กับสูตรน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว สูตรธรรมชาติบำบัดรักษาโรคกระดูกเสื่อม อย่าลืมนำวิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย ไปใช้กันด้วยนะครับ ข้อมูลและภาพจาก naykhaotom / siamnews @sgt3846b แนวทางปฏิบัติ #1แชร์=1ธรรมทาน แชร์เยอะๆ ได้บุญคะ โปรดทราบ! ถ้าชอบ ฝาก กดติดตามเพจ กันด้วยนะค่ะ ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ"
    จริงหรือไม่? "ดื่มน้ำอัดลมมาก เสี่ยงฟันผุ" กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เตือนคนไทยดื่มน้ำอัดลมมาก จะส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก เป็นต้นเหตุของการเกิดฟันสึกกร่อนมากที่สุด และเสี่ยงเกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนตามมาได้ แนะนำควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดีที่สุด พร้อมแปรงฟันด้วยสูตร 2-2-2 เพื่อสร้างสุขภาพช่องปากที่ดี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ได้แก่ ฟันสึกกร่อน ฟันผุ อ้วน กระดูกพรุน และกระดูกเปราะ เนื่องจากน้ำหวานชนิดอัดลมมีกรดคาร์บอนิกค่อนข้างมาก ซึ่งสารดังกล่าวจะกีดขวางการดูดซึมแคลเซียมของกระดูก และยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะร่างกายจะหลั่งสารอินซูลินออกมามากเกินจำเป็น ซึ่งในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายเกิดโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งน้ำอัดลม 1 กระป๋อง (ขนาด 325 ซีซี) มีปริมาณน้ำตาล 8-12 ช้อนชา จะเท่ากับน้ำตาลในลูกอม จำนวน 17 เม็ด หากกินรวมกันหลายอย่างอาจทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน หรือปริมาณ 6 ช้อนชา นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า น้ำอัดลมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฟันสึกกร่อนได้มากที่สุด เพราะนอกจากน้ำอัดลมจะมีกรดคาร์บอนิกแล้ว ยังมีส่วนประกอบคือน้ำตาลกับน้ำ หากไม่มีการทำความสะอาดช่องปากและฟันจะก่อให้เกิดฟันผุได้ จากผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพประเทศไทยครั้งที่ 8 พ.ศ. 2560 พบว่า เด็กเล็กอายุ 5 ปี มีฟันน้ำนมผุร้อยละ 75.6 เด็กวัยเรียนอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 และกลุ่มอายุ 15 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 62.7 สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมกินอาหารหรือขนมที่หาซื้อได้ง่าย เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเจ็บปวด การติดเชื้อและสร้างปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร มีผลต่อน้ำหนัก การเจริญเติบโตและบุคลิกภาพ รวมถึงมีผลกระทบต่อการเรียนด้วย ที่สำคัญ ปัญหาฟันผุยังนำไปสู่การสูญเสียฟันที่เริ่มต้นในวัยเด็กและสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ในวัยสูงอายุ ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับร่างกายก็คือน้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดยใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีการเติมน้ำตาลอีกด้วย เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันเกินจำเป็นจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ ควรแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทั้งในตอนเช้า หลังอาหารกลางวัน และก่อนนอน ด้วยสูตร 2 2 2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนานอย่างน้อย 2 นาที แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และไม่ควรกินอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาช่องปากสะอาดนานที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคฟันผุในระยะยาวอีกด้วย ข้อมูล : ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย : มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
    อีสานโคแฟค
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    พิษจากดื่มน้ำเย็น ★จะปวดหลัง ข้อเข่า ไตอ่อนแอ ◆ใครจะไปเชื่อว่า.. การดื่มน้ำเย็นจะมีพิษมีภัย และให้โทษได้ถึงขนาดนี้ ♣️หมอได้พบผู้ป่วย ที่มีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือที่เรียกกันว่า โรคอัมพฤกษ์ ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำเย็น หรือ น้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า ไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำเย็นเป็นประจำมาตั้งแต่ เด็ก และต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้น ■ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง เช่น มึนเวียนศีรษะง่าย เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา การพูดเริ่มติดๆขัดๆ สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน ต้องนำส่งโรงพยาบาล เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา ★การดื่มน้ำเย็น สำหรับคนไทยนั้น ทำให้ "ไต ต้องรับกำจัดความเย็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว" ขับน้ำเย็นมากักเก็บ ไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เตรียมขับออกเป็นน้ำปัสสาวะทำให้ผู้ที่ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่งขาดน้ำจนเลือดข้นหนืดไปหมด ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น ทำให้มีคราบไขมัน และของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดการพอกพูนกลายเป็นโรคหลอดเลือดตีบ ก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบทานเป็นประจำนั่นเอง ★ไตของเราเปรียบเสมือนเครื่องกรองน้ำอันน่าอัศจรรย์ ทำหน้าที่ช่วยกรองของเสียออกจากเลือด แล้วขับออกทางปัสสาวะการทำหน้าที่ ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุดของไตนั้น ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้ง ★น้ำเย็นด้วยก็จะทำให้เกิดภาวะไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้องให้เราทราบดังนี้ 1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้องวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆ กลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว 2.มีอาการปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ 3.ปวดเมื่อยตามข้อ และ ร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ 4.หลอดเลือดตีบตัน หรือ หลอดเลือดแข็งได้ง่าย หากใครยังทาน....... ●น้ำเย็น นมเย็น ●กาแฟเย็น น้ำอัดลม ●น้ำหวานเย็น ชาเย็น อยู่เป็นประจำ ●มีอาการปวดหลังแน่ๆ ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้ 1.ปรับเลือดที่หนืดข้น ให้หายข้นด้วยการเพิ่ม น้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน 2.ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวกอย่างต่อเนื่องด้วยการ..... ออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้ หรือ อาจใช้การจัดกระดูก ช่วยให้เลือดไหลเวียนสม่ำเสมอ 3.ไม่กินอาหาร..... ◆เนื้อสัตว์ ของทอด ◆ของหวานจัดเพราะ ◆ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ปริมาณมากจนทำให้ หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย 4.งดการทานน้ำเย็นเด็ดขาดรู้แล้วอย่าเฉยเมยนะควรปฎิบัติด้วยและรู้แล้วอย่าเก็บไว้คนเดียวโปรดแบ่งปันให้คนรอบข้างของตัวเรา ★พันเอก ดร.นพ.ดำรง หมอประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ไม่ระบุชื่อ
     •  1 เดือนที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วิธีรอดจาก COVID ด้วยการ "ตากแดด" รับ Vitamin D
    วิธีการสู้กับ COVID คือให้ไป "ตากแดด" เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์ Vitamin D ค่ะ!! จากงานวิจัยตีพิมพ์ออกมาทั่วโลกตั้งแต่โควิดระบาดในปี 2019 ทำให้นักวิจัยค้นหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องเจออยู่ข้อนึงว่า..... หลายคนที่ติดและตายจากโควิด "มักจะมีระดับ Vitamin D ในเลือดต่ำ!!" 90% ของ Vitamin D สามารถสร้างได้จากการไปตากแดดค่ะ และต้องไม่ทาครีมกันแดดใดๆนะคะ ต้องให้แดดปะทะกับผิวของเราโดยตรง เพื่อให้คอเลสเตอรอลที่อยู่ใต้ผิวหนังสร้างวิตามิน D โดยมันจะสร้างได้ผ่าน 2 กลไก 1. ส่งไปให้ตับและส่งไปให้ไต เพื่อเอาไปสร้างวิตามิน D (ตัวที่พร้อมจะใช้งาน) โดยมันจะเพิ่มช่องในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ทำให้เรากินเท่าเดิม แต่แคลเซียมจะเข้ามาในร่างกายของเราเพิ่มมากขึ้น 2. ส่งไปให้ตับและส่งไปให้เม็ดเลือดขาว เพื่อเอาไปสร้างวิตามิน D (ตัวที่พร้อมจะใช้งาน) กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างหอกและดาบที่ชื่อ Defensins และ Cathelicidins เพื่อเอาไปฟันไวรัสให้สิ้นสภาพ มีผลกับเชื้อตัวล่าสุด SARs-CoV2 ด้วย คำแนะนำในการตากแดดส่วนใหญ่อยู่ที่ 7-30 นาที หรือตากช่วง 10 โมง - บ่าย 3 ในคลิปมีรายละเอียดบอกเอาไว้แล้วนะคะ แต่ช่วงนี้อยากให้เพื่อนๆตากแดดกันทุกวันนะ ส่วนใครที่กลัวว่ารังสี UV จะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง ก็ให้หาอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีเบต้าแคโรทีนมาทานค่ะ เช่น แครอท, ฟักทอง, มันหวาน, แคนตาลูป, มะม่วง, มะละกอ, มะเขือเทศ ฯลฯ เพราะมันจะช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ และงดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะไปลดเจ้าเบต้าแคโรทีน ทำให้เราไม่มีตัวปกป้องผิวจากแสงแดดค่ะ ขอให้คลิปนี้ช่วยเหลือทุกคนได้นะคะ และขอให้พวกเราผ่านพ้นสถานการณ์ COVID ไปได้ด้วยกัน เทคแคร์นะคะ ลูกเพจที่น่ารักทุกคน
    Mrs.Doubt
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false