ตรวจสอบข่าว

1 คนสงสัย
[ข่าวปลอม]
ข้อมูลผู้ป่วยรพ. ศิริราชกว่า 39 ล้านคน รั่วไหลถูกนำไปประกาศขายในอินเทอร์เน็ต

กรณีการส่งต่อเรื่องราวโดยระบุว่าข้อมูลผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราช ทั้งชื่อ สกุล ที่อยู่ รหัสบัตรประชาชน เบอร์โทร เพศ วันเกิด และอื่นๆ ได้รั่วและถูกนำไปเสนอขายนั้น ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่พบการรั่วไหลของข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลในสังกัดแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/31JcYMr

AFNC Thailand
11 ม.ค. 65
ไม่ระบุชื่อ
 •  4 ปีที่แล้ว
meter: false
1 ความเห็น
ช่วยระบุหมวดหมู่ของข้อความนี้ให้หน่อย
เลือกให้น้อยที่สุด (ถ้าเป็นไปได้)
Thanathun. เลือกให้ข้อความนี้❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง

เหตุผล

กรณีการส่งต่อเรื่องราวโดยระบุว่าข้อมูลผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราช ทั้งชื่อ สกุล ที่อยู่ รหัสบัตรประชาชน เบอร์โทร เพศ วันเกิด และอื่นๆ ได้รั่วและ

ที่มา

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000003150

เพิ่มความเห็นใหม่

กรุณา  เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก ก่อน

คุณอาจจะสนใจข้อความเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกัน

  • 1 คนสงสัย
    ทีมวิจัยจุฬาฯ คิดค้นสเปรย์ใช้สำหรับพ่นหน้ากากผ้า ช่วยกันน้ำ-กรองเชื้อโรค เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19
    ทีมวิจัย ผศ.ดร.ภญ.จิตติมา ลัคนากุล คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดค้นนวัตกรรมสเปรย์มีชื่อว่า ชีลด์พลัส โพรเทคติ้ง สเปรย์ (Shield+ Protecting Spray) ปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ใช้สำหรับพ่นหน้ากากผ้า โดยสเปรย์จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองของหน้ากากผ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัส น้ำและละอองสารคัดหลั่ง สเปรย์ดังกล่าว ได้ผ่านการวิจัยและทดสอบประสิทธิภาพเปรียบเทียบระหว่างหน้ากากผ้าก่อนสเปรย์และหลังสเปรย์ พบว่า หน้ากากผ้าที่ผ่านการพ่นสเปรย์ด้วย Shield+ Protecting Spray เกิดการเชื่อมต่อของเส้นใยผ้ามากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนเพิ่มขึ้น 83% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองเชื้อโรคในน้ำลายและในอากาศได้มากขึ้น 93% และ 142% ตามลำดับ นอกจากคุณสมบัติในการกรองอนุภาคและเชื้อโรคแล้ว หน้ากากผ้าที่ผ่านการใช้สเปรย์ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการกันน้ำที่ดีกว่า สเปรย์นี้จึงสามารถใช้เพิ่มประสิทธิผลของหน้ากากผ้าทั่วไป ทำให้ประชาชนหันมาใช้หน้ากากผ้าแทนหน้ากากอนามัยได้อย่างมั่นใจ เปิดโอกาสให้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีเหลือเพียงพอให้บุคลากรทางการแพทย์และช่วยลดปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน และยังเป็นการช่วยลดขยะได้ ในขณะนี้ทางทีมวิจัยและเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนได้เริ่มผลิต 10,000 ขวด พ่นหน้ากากได้ประมาณ 240,000 ชิ้น โดยแจกให้กับบุคคลเบื้องหลังที่ทำงานหนักเพื่อตอบสนองนโยบายการหยุดเชื้อเพื่อชาติ ซึ่งประกอบด้วย ทีมสนับสนุนบริการทางการแพทย์ พนักงานขับรถส่งของให้กับโรงพยาบาล ตำรวจและทหารประจำด่านสกัด COVID-19 และพนักงานเก็บขยะที่ช่วยดูแลจัดการของเสียจากครัวเรือน อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสนับสนุนทีมงานวิจัยของจุฬาฯ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมบริจาคได้ที่ https://taejai.com/th/d/savethailandspraymask/ โดยเงินบริจาคที่ได้รับจะถูกนำไปใช้ในการผลิต Shield+ Protecting Spray เพื่อนำไปแจกจ่าย และส่งเสริมให้มีการใช้หน้ากากผ้าแทนหน้ากากอนามัยในบุคคลทั่วไป ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในขณะนี้
    anonymous
     •  6 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ปากกาฟอกฟันขาวอันตรายจริงหรือไม่ ?
    “ปากกาฟอกฟันขาว” อันตรายจริงหรือไม่ ? ปากกาฟอกฟันขาวที่กำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ อุปกรณ์ช่วยเสริมความมันใจให้กับรอยยิ้ม ที่ราคาจับต้องได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า กรมอนามัยได้ให้ข้อมูลว่าอุปกรณ์ฟอกฟันขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมีสาร "ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์" สูงกว่า6 % และอาจจะสูงถึง15 % ซึ่งปกติ ถ้าสูงกว่า 6% ต้องได้รับความควบคุม โดย อย. เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฟอกสีให้ขาวขึ้นนั้น ถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก จะเป็นอันตราย กัดกร่อนเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันเสียหาย และเสียวฟันมากขึ้นได้ ถาดที่ใช้ครอบฟัน ในการฟอกสีฟัน ก็ควรทำเป็นรายบุคคลโดยทันตแพทย์ จึงจะพอดีกับฟันของแต่ละคน เพราะถ้าไม่พอดี สารฟอกฟันจะไปโดนเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม อักเสบได้ การฟอกสีฟัน สิ่งแรกที่ควรทำคือการมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของสีฟันเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจสุขภาพฟันให้แน่ชัดว่าไม่มีฟันผุ อาการเสียวฟัน เนื่องจากภาวะเหงือกร่น หลังจากนั้นจะขูดหินปูน หรือขัดคราบสีออก แล้วจึงพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟัน นำมาทำถาดฟอกสีฟันโดยทำการบันทึกสีของฟันก่อน จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไป (แหล่งข้อมูล : https://www.thaihealth.or.th และ https://cofact.org) ทพ.พิชัย งามวิริยะพงศ์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า สารที่ใช้ในการฟอกสีฟันมีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ แส่วนมากจะใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 25-40% แล้วนำน้ำยาทาบนฟันทิ้งไว้ ทำ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยมีการใส่อุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อป้องกันเหงื่อให้คนไข้ โดยจะได้รับการพิมพ์ฟันทั้งฟันบนและฟันล่าง เป็นถาดสำหรับแต้มน้ำยาฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เพราะแต่ละบุคคลจะมีลักษณะฟันที่ไม่เหมือนกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ตัวน้ำยาไหลไปโดนเหงือกได้ และหลังทำเสร็จควรจะงดอาหารประเภทที่มีการติดสีมาก ๆ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ บางครั้งสามารถเกิดอาการเสียวฟันได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัดไปก่อน ทั้งนี้ ทพ.พิชัย ให้ข้อแนะนำว่า ทันตแพทย์ไม่แนะนำการซื้อปากกาฟอกฟันขาวที่ให้ไปทำด้วยตนเอง การฟอกฟันขาวหรือการรักษาฟันจากอาการต่าง ๆ ควรปรึกษาก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจและเลือกแนวทางการรรักษา หากซื้อผลิตภัณฑ์ทำเองอาจเกิดผลที่เป็นอันตรายได้ และถ้าหากตัดสินใจการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดูว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ไม่สูงกว่า 6% ตามที่ อย. กำหนด และควรมีคาร์บอกซี่โพลิเมทิลีน เป็นสารหนืดที่ทำไม่ไห้น้ำยาเหลวจนเกิน เพื่อให้น้ำยาเกาะติดบนผิวฟันได้ เพราะถ้าน้ำยาไหลไปโดยเหงือกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไปทำให้เกิดเคมีคอลเบิร์นต่อเหงือกจะเกิดปัญหาตามมาได้ คนที่ไม่สามารถฟอกฟันขาวได้ 1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 2.คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพราะชั้นเคลือบยังไม่ได้แข็งแรงมากพอ 3.ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพฟัน ควรได้รับการรักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่น ฟันผุแบบไม่รู้ตัว ฟันเป็นรู ฟันสึกจากการแปรงฟันแรงเป็นช่องเว้าเข้าไปแถวเหงือก ฟันร้าว มีรอยร้าวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือเดิมคนไข้เสียวฟันอยู่แล้วแค่กินน้ำเย็นกับไอศกรีมก็เสียวฟัน แล้วยังพยายามจะไปฟอกสีฟันก็จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ 4.คนที่มีการอุดฟัน อาจจะต้องมาตรวจกับทันตแพทย์ก่อนว่าวัสดุต่าง ๆ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะบางคนแบบอาจจะอุดตั้งแต่เด็กแล้วมีรูหรือมีช่อง น้ำยาเคมีเกิดมันเล็ดลอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดโพรงประสาทฟันอักเสบได้ 5.ไม่เคยรักษาโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน หินปูนเกาะเต็มฟันหน้าทั้งบนทั้งล่าง ต้องรักษาโรคเหงือกให้เรียบร้อยเสียก่อน ดังนั้น การฟอกสีฟันควรทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การจะซื้อปากกาฟอกฟันขาวมาใช้เองอาจจะไม่ได้เห็นผลเท่าที่ควร หรือเกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนรักษาฟันทุกครั้ง
    ธนกฤต ราชัย
     •  1 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งเฉพาะส่วนบุลคล
    จากการเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 7 เรื่อง “ความก้าวหน้าวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะรายบุคคล นวัตกรรมแห่งความหวังของสังคมไทย” ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ เพื่อนำเสนอความคืบหน้าล่าสุดของนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งด้วยวัคซีน โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วางยุทธศาสตร์ในการเป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรมชั้นนำที่มุ่งสร้างสรรค์องค์ความรู้และผลผลิตจากงานวิจัย ตลอดจนสร้างบัณฑิตที่เป็นนวัตกร เป็นผู้นำสร้างสรรค์สังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต จุฬาฯ มุ่งส่งเสริมให้ผลงานวิจัยจุฬาฯ เชื่อมโยงกับประชาชนคนไทยและประชาคมโลก เพื่อขับเคลื่อนให้จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยระดับชาติที่ก้าวสู่ความเป็นนานาชาติอย่างเต็มภาคภูมิ โครงการแพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เป็นหนึ่งในโครงการวิจัยขนาดใหญ่ของจุฬาฯ เป็นความร่วมมือระหว่างหลายคณะ สถาบัน และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนศตวรรษที่ 2 ของจุฬาฯ ช่วยขับเคลื่อนให้งานวิจัยของจุฬาฯ ก้าวกระโดด หลุดพ้นจากกับดักงานวิจัยที่ตามหลังต่างประเทศ ที่สำคัญคือเป็นงานวิจัยที่นำไปใช้ได้ผลจริง เกิดผลกระทบต่อสังคมในเชิงบวก งานวิจัยนี้ได้รับความร่วมมือบริจาคจากประชาชนจำนวนมาก ช่วยลดปัญหาในเชิงสาธารณสุขและสังคมสูงวัยที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเป็นมะเร็งจำนวนมาก
    Klamongkhon Klinhom
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ความจำเสื่อมพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน
    เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้ @svh9535i ❤️❤️❤️❤️❤️😊❤️ ความจำเสื่อมพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้ บทความโดย : หมอแดง ดิ อโรคยา เคยเป็นกันบ้างไหมครับ อาการที่บางครั้งเราพยายามจะนึกอะไรซักอย่างให้ได้ แต่มันนึกไม่ออก จะว่าลืมก็ไม่ใช่ เหมือนมันติดอยู่ที่ปากหรือเวลาจะก้าวออกจากบ้านไปทำงาน ทีไรก็ต้องลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอาการความจำเสื่อมก็คงจะไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง ผมพบคนป่วยหลายรายที่มีอาการ ความจำเสื่อม แต่ที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้ คนไข้เป็นผู้ชาย เคยทำงานรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งใหญ่โตเชียวล่ะครับ เกษียณมาได้ปีกว่าๆแล้ว พอเกษียณมาได้แล้ว ก็เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบอย่างหนัก มีอาการเหมือนเด็ก จำอะไรไม่ค่อยได้ จะกินจะนอนก็ดูยากไปหมด พูดฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งมีอาการซึม บางครั้งยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าซีดเหมือนไม่มีเลือดมาเลี้ยง มือสั่นบ้าง ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค “พาร์คินสัน” ก็เลยให้ยาสารพัดมากิน แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย เป็นที่กลุ้มใจของผู้เป็นภรรยา ที่ต้องคอยดูแลสามีเหมือนเป็นเด็กเล็ก จากการสอบถามประวัติความเป็นอยู่ อาหารการกิน การออกกำลังกาย ภรรยาของคนไข้ก็บอกว่า ผู้ป่วยก็กินดีอยู่ดี ออกกำลังกายประจำ ผู้ป่วยเป็นวิศวกรใหญ่ จึงน่าเชื่อได้ว่าต้องกินดีอยู่ดีแน่นอน กรรมพันธุ์ก็ไม่มี แล้วเกิดอาการได้อย่างไร หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ ได้แต่รักษาไปตามอาการ ให้วิตามินบ้าง ยาแก้พาร์คินสัน ยาแก้อาการสั่นบ้าง หลายปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนไข้ทำพลาดไป ก็คือ เขาดื่มน้ำน้อยมาก วันละไม่เกิน 2 แก้ว ไม่กระหายน้ำก็ไม่ดื่ม น้ำหนักเกือบ 60 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักขนาดนี้ควรดื่มน้ำ 9-10 แก้วต่อวัน แต่นี่ดื่มแค่ 2 แก้ว บวกกับทำงานใช้สมองมาก มีความเครียดด้วย เลือดเมื่อขาดน้ำก็ทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้หลอดเลือดไม่มีความยืดหยุ่นเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ แล้วเลือดจะฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้อย่างไรกัน ทดลองเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบน้ำในปลักวัวปลักควาย ที่วัวควายนอนแช่เป็นน้ำโคลนดูซิว่า เครื่องจะสูบน้ำขึ้นไปได้ไหม สุดท้ายเครื่องก็ต้องพัง ซึ่งเครื่องสูบน้ำก็เหมือนหัวใจคนเรา ที่ต้องสูบฉีดเลือดขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเลือดมันข้นเหนียว ไม่ช้าหัวใจก็ต้องพัง เส้นเลือดในหัวใจก็อุดตันหมด ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ก็มีลักษณะเหมือนกัน เขามีอาการความจำเสื่อมหรือสมองไม่ทำงาน ก็เพราะสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เหมือนเราใช้คนให้ทำงานแล้วไม่จ่ายเงินเดือน ไม่ให้ข้าวกิน แล้วเขาจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้เรา เลือดนั้นจะนำพาอาหาร อ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน เรามัวแต่กินยา กินวิตามิน โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่ถูกต้อง คงไม่มีวันที่โรคนี้จะหายได้ เพราะยาและวิตามิน ก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำพาไป เพราะเลือดประกอบด้วยน้ำถึง 91% ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญ กับการดื่มน้ำเป็นอันดับแรก โดยถือว่าน้ำเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว เมื่อได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตใหม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็ทำการนวดกระตุ้นฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าการนวดเท้านั้นเป็นการรักษาเท้า ท่านเข้าใจผิดนะครับ การนวดเท้าสามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นวดเท้าและนวดกดจุด จากใบหน้าที่ขาวซีดกลับดูมีเลือดฝาด ดูสดใสขึ้นเยอะ พูดคุยได้ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าแต่ก่อน มีการตอบสนองที่ดี นั่นแสดงว่าเลือดลมเดินได้ดีขึ้นแล้วนั่นเอง สรุปแล้วสาเหตุของอาการความจำเสื่อมก็คือ อาการที่เลือดข้นหรือเลือดจาง ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอนั่นเอง ท่านใดที่รู้ตัวว่าเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้ว ผมว่าทางที่ดีท่านควรจะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง ตามที่ผมได้บอกไว้แล้ว อาการความจำเสื่อมจะไม่มาเยือนท่านโดยง่ายแน่นอน ป้าศรีขอเติม comment ของคุณหมอ Nart Fongsmut เข้ามานะคะ คุณหมอเชี่ยวชาญการดูแลผู้สูงอายุค่ะ ... "เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำไม่พอ dehydrated เป็นผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่ดี สมองที่เสื่อม หดอยู่แล้วจะ function ได้ด้อยลงมากมาย พบบ่อยในสถานสงเคราะห์คนชราหรือ nursing home ที่ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากนัก dependent..." ขอให้ช่วยกันแชร์ เพื่อประโยชน์ในวงกว้างนะ โปรดทราบ! ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณและคนที่คุณรักได้อ่านกันนะ .... ด้วยรักและห่วงใย จากเพื่อนถึงเพื่อน ....
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้ ความจำเสื่อมพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้ บทความโดย : หมอแดง ดิ อโรคยา เคยเป็นกันบ้างไหมครับ อาการที่บางครั้งเราพยายามจะนึกอะไรซักอย่างให้ได้ แต่มันนึกไม่ออก จะว่าลืมก็ไม่ใช่ เหมือนมันติดอยู่ที่ปากหรือเวลาจะก้าวออกจากบ้านไปทำงาน ทีไรก็ต้องลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอาการความจำเสื่อมก็คงจะไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง ผมพบคนป่วยหลายรายที่มีอาการ ความจำเสื่อม แต่ที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้ คนไข้เป็นผู้ชาย เคยทำงานรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งใหญ่โตเชียวล่ะครับ เกษียณมาได้ปีกว่าๆแล้ว พอเกษียณมาได้แล้ว ก็เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบอย่างหนัก มีอาการเหมือนเด็ก จำอะไรไม่ค่อยได้ จะกินจะนอนก็ดูยากไปหมด พูดฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งมีอาการซึม บางครั้งยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าซีดเหมือนไม่มีเลือดมาเลี้ยง มือสั่นบ้าง ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค “พาร์คินสัน” ก็เลยให้ยาสารพัดมากิน แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย เป็นที่กลุ้มใจของผู้เป็นภรรยา ที่ต้องคอยดูแลสามีเหมือนเป็นเด็กเล็ก จากการสอบถามประวัติความเป็นอยู่ อาหารการกิน การออกกำลังกาย ภรรยาของคนไข้ก็บอกว่า ผู้ป่วยก็กินดีอยู่ดี ออกกำลังกายประจำ ผู้ป่วยเป็นวิศวกรใหญ่ จึงน่าเชื่อได้ว่าต้องกินดีอยู่ดีแน่นอน กรรมพันธุ์ก็ไม่มี แล้วเกิดอาการได้อย่างไร หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ ได้แต่รักษาไปตามอาการ ให้วิตามินบ้าง ยาแก้พาร์คินสัน ยาแก้อาการสั่นบ้าง หลายปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนไข้ทำพลาดไป ก็คือ เขาดื่มน้ำน้อยมาก วันละไม่เกิน 2 แก้ว ไม่กระหายน้ำก็ไม่ดื่ม น้ำหนักเกือบ 60 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักขนาดนี้ควรดื่มน้ำ 9-10 แก้วต่อวัน แต่นี่ดื่มแค่ 2 แก้ว บวกกับทำงานใช้สมองมาก มีความเครียดด้วย เลือดเมื่อขาดน้ำก็ทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้หลอดเลือดไม่มีความยืดหยุ่นเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ แล้วเลือดจะฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้อย่างไรกัน ทดลองเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบน้ำในปลักวัวปลักควาย ที่วัวควายนอนแช่เป็นน้ำโคลนดูซิว่า เครื่องจะสูบน้ำขึ้นไปได้ไหม สุดท้ายเครื่องก็ต้องพัง ซึ่งเครื่องสูบน้ำก็เหมือนหัวใจคนเรา ที่ต้องสูบฉีดเลือดขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเลือดมันข้นเหนียว ไม่ช้าหัวใจก็ต้องพัง เส้นเลือดในหัวใจก็อุดตันหมด ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ก็มีลักษณะเหมือนกัน เขามีอาการความจำเสื่อมหรือสมองไม่ทำงาน ก็เพราะสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เหมือนเราใช้คนให้ทำงานแล้วไม่จ่ายเงินเดือน ไม่ให้ข้าวกิน แล้วเขาจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้เรา เลือดนั้นจะนำพาอาหาร อ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน เรามัวแต่กินยา กินวิตามิน โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่ถูกต้อง คงไม่มีวันที่โรคนี้จะหายได้ เพราะยาและวิตามิน ก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำพาไป เพราะเลือดประกอบด้วยน้ำถึง 91% ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญ กับการดื่มน้ำเป็นอันดับแรก โดยถือว่าน้ำเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว เมื่อได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตใหม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็ทำการนวดกระตุ้นฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าการนวดเท้านั้นเป็นการรักษาเท้า ท่านเข้าใจผิดนะครับ การนวดเท้าสามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นวดเท้าและนวดกดจุด จากใบหน้าที่ขาวซีดกลับดูมีเลือดฝาด ดูสดใสขึ้นเยอะ พูดคุยได้ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าแต่ก่อน มีการตอบสนองที่ดี นั่นแสดงว่าเลือดลมเดินได้ดีขึ้นแล้วนั่นเอง สรุปแล้วสาเหตุของอาการความจำเสื่อมก็คือ อาการที่เลือดข้นหรือเลือดจาง ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอนั่นเอง ท่านใดที่รู้ตัวว่าเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้ว ผมว่าทางที่ดีท่านควรจะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง ตามที่ผมได้บอกไว้แล้ว อาการความจำเสื่อมจะไม่มาเยือนท่านโดยง่ายแน่นอน ป้าศรีขอเติม comment ของคุณหมอ Nart Fongsmut เข้ามานะคะ คุณหมอเชี่ยวชาญการดูแลผู้สูงอายุค่ะ ... "เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำไม่พอ dehydrated เป็นผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่ดี สมองที่เสื่อม หดอยู่แล้วจะ function ได้ด้อยลงมากมาย พบบ่อยในสถานสงเคราะห์คนชราหรือ nursing home ที่ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากนัก dependent..." ขอให้ช่วยกันแชร์ เพื่อประโยชน์ในวงกว้างนะ โปรดทราบ! ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณและคนที่คุณรักได้อ่านกันนะ .... ด้วยรักและห่วงใย จากเพื่อนถึงเพื่อน ....
    ไม่ระบุชื่อ
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    พยาบาลศิริราชส่งไลน์มาค่ะ ด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้ว
    พยาบาลศิริราชส่งไลน์มาค่ะ ด่วน ด่วน ด่วน อจ. หมอประสิทธิ์ ออกประกาศ ให้ประชาชนปิดพื้นที่ (lockdown) ครอบครัวของตนเอง ไวรัสระบาดหนัก หมอจะเอาไม่อยู่แล้ว อ่านแล้วส่งต่อ ออกไปกันมากๆหน่อย เหตุเกิดมีนบุรี น่าจะเป็นสายพันธุ์แลมบ์ดา กำลังระบาด อาการไอเป็นเลือด แล้วเสียชีวิตเลย มีเพื่อนกี่คน มีกลุ่มไลน์กี่กลุ่มส่งไปให้หมดเลยนะคะ ช่วยกันเพื่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมโลก**️ ประกาศ ** ด่วนที่สุดและสำคัญมาก‼️‼️ คุณหมอที่โรงพยาบาลรามา แนะนำว่า 📌 ต่อไปนี้ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากซ้อนกัน 2 ชั้น ให้แนบสนิท ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเลยนะ และห้ามถอดออกเด็ดขาด อาจารย์บอกว่า ยอดคนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ไม่ออกอาการ ไม่น่าเชื่อว่า…จะมีจำนวนสูงมากขนาดนี้ หมอบอกว่า “มันน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ เวลาเราเดินสวนกับคนอื่นๆ ที่ไม่ออกอาการ สามารถเจอได้ทั่วไป ตามห้าง ตลาด ท้องถนน อาคารสำนักงาน รถโดยสาร โดยที่เราไม่ทันระวังตัว เพราะด้วยความไม่รู้หรือประมาท คิดว่าไม่เป็นไรหรอก “คุณคิดผิด” จะบอกว่า ไม่จำเป็น อย่าไปพบปะกับใคร นอกบ้าน 📌📌 ห้ามคนนอกครอบครัว เข้ามาในบ้านเราเด็ดขาด อันนี้ขอเลย 📌📌ไม่ต้องนัดให้ใครมาหาที่บ้าน ระบบของโรงพยาบาล ที่ช่วยเหลือโควิด มันแน่นและแทบจะทะลักอยู่แล้ว ถ้าทุกคนไม่ให้ความร่วมมือ ตามคำแนะนำ จะเกิดความสูญเสียที่มหาศาล ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ‼️‼️ ต้องร่วมใจกันสถานการณ์ตอนนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิม ### คำแนะนำในโรงพยาบาลกักกัน (เราสามารถนำไปใช้ที่บ้านได้) - ยาที่ดำเนินการในโรงพยาบาลกักกัน 1. วิตามินซี -1000 2. วิตามินอี (E) 3. เวลา 10.00-11.00 น. นั่งตากแดด 15-20 นาที 4. อาหารไข่วันละครั้ง 5. พักผ่อน / นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 6. ทุกวันเราดื่มน้ำ 1.5 ลิตร 7. อาหารทุกมื้อต้องทานแบบร้อน (ไม่เย็น) นี่คือสิ่งที่เราทำในโรงพยาบาลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โปรดทราบว่า ค่าความเป็นด่าง หรือค่า pH ของ COVID-19 อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 8.5 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อกำจัดไวรัส คือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง และเป็นกรดมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น: สัปปะรด มะนาวเขียว มะนาวเหลือง ส้มโอ ส้ม มังคุด มะปราง คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่? 1. คันคอ 2. คอแห้ง 3. อาการไอแห้ง 4. อุณหภูมิร่างกายสูง 5. หายใจถี่ 6. การสูญเสียกลิ่น ก่อนที่ไวรัสจะติดเชื้อในปอด น้ำอุ่นผสมมะนาว สามารถกำจัดไวรัสได้ 🔺 อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ใช้เอง กรุณาส่งต่อไปยังครอบครัวและเพื่อนของคุณ
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คลิปเสียงหมอศิริราช แนะให้กินยาเขียว เพื่อรักษาโควิด-19 ของจริงหรือ
    ส่งต่อคลิปเสียงโดยระบุว่าเป็นเสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่กล่าวถึงการรักษาโควิด-19 โดยให้รับประทานยาเขียวเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดความร้อนก็จะมีการขับเหงื่อและปัสสาวะออกมาซึ่งเชื้อไวรัส จะออกมาด้วยกับเหงื่อและน้ำปัสสาวะ อุจจาระ จริงหรือ
    anonymous
     •  5 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    ระวัง ใส่หน้ากากอนามัยซ้ำ อันตราย อาจถึงเสียชีวิตได้
    📌 วันนี้แอดได้ข่าวเรื่องมีผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ช็อกหมดสติ และเกือบเสียชีวิต เนื่องจากการใส่หน้ากากอนามัยซ้ำ แอดจึงได้รวบรวมข้อมูลมาแจ้งเตือนกันค่ะ . 💬 โดยเรื่องราวเกิดขึ้นจากการที่มีผู้ป่วยวัยเกษียณอายุเข้าโรงพยาบาลจากอาการติดเชื้อในกระแสเลือด แพทย์ลงความเห็นว่า ติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ปอดถูกทำลาย และเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด เพราะใส่หน้ากากอนามัยซ้ำ 4-5 ครั้ง คราวนี้เรามาดูกันค่ะว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน . 😷 ปัญหาเริ่มต้นจากการใส่หน้ากากอนามัยซ้ำ ซึ่งจากการให้ข้อมูลโดย อ.พญ.ดร.กรวลี มีศิลปวิกกัย ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าหากใส่หน้ากากอนามัยซ้ำหลายครั้ง ก็มีโอกาสรับเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งแวดล้อมมาสู่ร่างกายของเราได้ นอกจากนั้นยังได้ทดลองเพาะเชื้อจากหน้ากากอนามัยที่ใส่แล้ว พบว่าด้านที่สัมผัสกับร่างกายมีเชื้อมากกว่าด้านที่หันออกด้านนอก แต่เชื้อส่วนใหญ่เป็นเชื้อที่อยู่บนตัวเราอยู่แล้ว และหากเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี เชื้อเหล่านี้จะไม่สามารถทำอันตรายอะไรร่างกายเราได้ . 👃 แต่ทั้งนี้ก็มีงานวิจัยที่ทำให้ช่วงปี 2013-2018 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คนยังไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย พบว่าเชื้อแบคทีเรียจากจากระบบทางเดินหายใจส่วนต้น (จมูก เป็นต้น) หากหลุดเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนปลาย สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และปอดบวมได้ . 😵 สำหรับประเด็นที่ว่าปอดถูกทำลายเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ แม้ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อในปอดจะเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก แต่ก็มีรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ในจุฬาลงกรณ์เวชสาร กล่าวว่าปอดอาจติดเชื้อจากแบคทีเรียแกรมลบได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง . 😵 ซึ่งจากผลการวิจัยนั้นพบว่า ส่วนใหญ่แล้วปอดที่ติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบนั้น มาจากแบคทีเรียแกรมลบที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร เมื่อเกิดการสำลักขึ้นมาในช่องปาก และภูมิคุ้มกันในปากและลำคอไม่แข็งแรงปล่อยให้เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เดินทางไปถึงระบบทางเดินหายใจ ก็จะทำให้ปอดติดเชื้อได้ . 🤕 ในกรณีผู้ป่วยวัยเกษียณท่านนี้ จึงอาจเป็นไปได้ว่าหน้ากากมีเชื้อแบคทีเรียแกรมลบอยู่ หรือเกิดอาการสำลักขณะใส่หน้ากาก และด้วยวัยที่มากทำให้ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ทำให้ปอดได้รับเชื้อเข้าไป และลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด จนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ซึ่งหากรักษาไม่ทันก็อาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต . 🤒 อาการที่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยติดเชื้อก็คือ มีไข้สูง หนาวสั่น มีอาการไอ หอบเหนื่อย และเจ็บชายโครง เวลาหายใจเข้า-ออก แม้จะคล้ายโรคหวัด แต่ปอดติดเชื้อจะไม่เจ็บคอ ไม่มีน้ำมูกไหล . 🤒 ส่วนอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือดนั้น จะมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส ชีพจรเต้นเร็ว หายใจเร็ว บางรายอาจช็อกหมดสติได้ . ⛔️ จากกรณีนี้เราจะได้เห็นได้เลยว่า แค่ใส่หน้ากากซ้ำ ก็อาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรใส่หน้ากากอนามัยซ้ำนะคะ เพราะไม่ใช่แค่ในกรณีนี้ แต่อาจเกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้อีกมากมาย เพราะเราไม่รู้เลยว่าหน้ากากที่ใส่อยู่นั้นมีเชื้อแบคทีเรียอะไรอาศัยอยู่บ้าง . ข้อมูล โรงพยาบาลพญาไท, รายการชัวร์ก่อนแชร์, จุฬาลงกรณ์เวชสาร #ชีวจิตติดกระแส #ปอดติดเชื้อ #หน้ากากอนามัย #ชีวจิต
    Mrs.Doubt
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    น้ำมะพร้าวเพิ่มขนาดหน้าอกได้จริงหรือ?
    น้ำมะพร้าวเพิ่มขนาดหน้าอกได้จริงหรือ? . แพทย์หญิงภัทราวดี ศิริประภานนท์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นารีเวชศาสตร์ ตำแหน่งนายแพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากพืช สามารถออกฤทธิ์กับเนื้อเยื่อที่ตอบสนองกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงได้ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อไขมัน เนื้อเยื่อเต้านม และอวัยวะสืบพันธุ์ . แต่ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยกับมนุษย์ที่พบว่าน้ำมะพร้าวช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกขึ้นได้จริง นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีน้ำตาล ให้พลังงานค่อนข้างสูง ประมาณ 17 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม และยังมีวิตามินบี วิตามินซี เกลือแร่ โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก เพราะฉะนั้นน้ำมะพร้าวจึงสามารถให้ทดแทนกับผู้ที่สูญเสียเกลือแร่ได้ แต่ข้อเสียของน้ำมะพร้าวก็คือถ้ารับประทานในปริมาณมากๆ จะทำให้น้ำหนักขึ้นได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าทานน้ำมะพร้าวแล้วหน้าอกใหญ่ขึ้น ก็มาจากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ไขมันไปสะสมที่หน้าอกก็เลยทำให้รู้สึกว่าขนาดหน้าอกของตนเองใหญ่ขึ้น . ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 ณ โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เครือข่ายอีสานโคแฟค มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    อีสานโคแฟค
     •  4 ปีที่แล้ว
    meter: false
  • 1 คนสงสัย
    คลัสเตอร์ปาร์ตี้! บุคลากรแพทย์ติดโควิดนับสิบ แนะ 6 ข้อ ก่อนไปงานเลี้ยง
    คลัสเตอร์ปาร์ตี้! บุคลากรแพทย์ติดโควิดนับสิบ แนะ 6 ข้อ ก่อนไปงานเลี้ยง ข่าว 27 มิถุนายน 2565 เวลา 8:07 น. โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย …สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้ สธ. ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม แม้จะฉีดวัคซีนไปมากน้อยเพียงใด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จะมีโอกาสติดเชื้อได้ ป่วยได้ และเป็น Long COVID ได้ ความเสี่ยงในการติดเชื้อ แพร่เชื้อ จนป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จะยิ่งมากเป็นเงาตามตัว หากประเทศนั้นๆ เปิดเสรีการใช้ชีวิต โดยคนในสังคมไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัวอย่างดีพอ เช่น ไม่ใส่หน้ากากระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน เฮฮาปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยง ฯลฯ ก็จะพบว่าการระบาดในระลอกหลังก็จะทำให้ติดเชื้อ และป่วยมากขึ้นกว่าเดิมได้ แม้จะมีอัตราฉีดวัคซีนครอบคลุมสูงก็ตาม >> ขอนำสิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันเวลาต้องไปงานที่มีคนจำนวนมาก มาแชร์ให้พิจารณาตามความเหมาะสม 1. ประเมินดูว่างานนี้จำเป็นต้องไปหรือไม่? 2. หากต้องไป หรืออยากไปมาก ก็วางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรบ้าง โดยดูรายละเอียดของงานที่จะไป หากเป็นไปได้ก็เลือกงานที่มีคนน้อย และมีมาตรการรักษาความสะอาดและตรวจคัดกรองก่อนเข้าร่วมงาน 3. จัดเวลาเผื่อ โดยกินอาหารมื้อนั้นให้เรียบร้อยที่บ้าน หรือที่ร้านโปร่งโล่งใกล้สถานที่ที่จัดงาน เพื่อจะได้เลี่ยงการ (เปิดหน้ากาก) กินดื่มที่ไม่จำเป็นระหว่างเข้าร่วมงานที่มีคนจำนวนมาก 4. ในงาน พบปะผู้คน - พูดคุยทักทายได้ โดยใส่หน้ากากเสมอ! - พยายามเลี่ยงการสัมผัสตัวคนอื่น - หากสัมผัสกันจับมือกันกอดกัน ก็ใส่หน้ากากและล้างมือทุกครั้ง ! 5. หากเป็นงานสัมมนายาวนานเป็นวัน - ครอบคลุมการกินดื่มหลายมื้อ หากนำอาหารมาแยกกินได้ก็จะดี - แต่หากกินดื่มรวมกัน ก็กินดื่มโดยใช้เวลาสั้นๆ - ระหว่างกินดื่มจะไม่พูดคุย หากจะพูดคุยก็ ใส่หน้ากากก่อนเสมอ - ล้างมือด้วยเจล หรือสเปรย์แอลกอฮอล์.ทุกครั้งหลังจับอุปกรณ์หรือภาชนะต่างๆ ของสาธารณะ 6. หลังกลับจากงาน คอยสังเกตอาการของตนเองว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ และติดตามข่าวคราวจากกลุ่มผู้ไปร่วมงานด้วยว่ามีปัญหาการเจ็บป่วยไม่สบายหลังจากไปร่วมงานหรือไม่ จะได้จัดการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ COVID-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ติดเชื้อไม่จบ แค่ชิลๆ แล้วหาย แต่..ป่วยได้ ตายได้ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ที่สำคัญคือ เรื่องภาวะผิดปกติระยะ..ยาว อย่าง Long COVID การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด. ความใส่ใจด้านสุขภาพ การป้องกันตัวเอง จะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงของเราและคนใกล้ชิด เพื่อจะได้ปลอดภัยไปด้วยกัน . . ****ต้องเน้นย้ำว่าพฤติกรรมการป้องกันตัวนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์ระบาดช่วงนี้เพิ่มขึ้นมากหากสังเกตคนรอบตัวที่ติดเชื้อ โดยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รายงานเข้าสู่ระบบ . . “ การใส่หน้ากาก ” เสมอเวลาตะลอนนอกบ้าน เป็นหัวใจสำคัญที่จะลดความเสี่ยง ย้ำอีกครั้งว่าจำเป็นมาก
    Mrs.Doubt
     •  3 ปีที่แล้ว
    meter: false