รายการความเห็น
12566 ความเห็น
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
.
ใช้ใน 0 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
อาจได้ผลในบางคนเท่านั้น
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
ติ๊กผิดจาก"ข้อความที่หลอกลวง"เป็น"ข้อความที่เป็นจริง"
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
ติ๊กผิดนะครับ ต้องติ๊กว่าไม่จริง หลอกลวง สิครับ
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
จริง แต่เป็นเพียงราคาโปรโมชั่น หากซื้อตั๋วได้เร็วก็อาจจะได้ราคาตามโปรโมชั่น
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
💬 มีความเห็นส่วนตัว
Joke.Air
ถ้าจริงก็ช่วยไปบอกพรรคนี้ทีว่าอย่าทำแบบนี้ กลุ่มพุทธหัวรุนแรงทั่วประเทศไทยไม่พอใจมาก
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
สำหรับผู้หญิงทุกคนนั้นการมีประจำเดือนถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องเป็นในทุกๆเดือนแต่ในบางครั้งประจำเดือนมักจะมาตรงกับวันที่เราจะไปเที่ยว ว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมที่ต้องขยับร่างกายมักจะสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับคนที่เป็นวันนั้นของเดือน จึงทำให้เกิดการหาวิธีทำให้ประจำเดือนหมดให้ไวที่สุด วิธีการทำให้ประจำเดือนหมดได้เร็วขึ้นตามความเชื่อของเราก็มีหลากหลายวิธี เช่น การดื่มน้ำมะนาวในปริมาณมากๆ จะช่วยทำให้ประจำเดือนหมดได้เร็วขึ้น การกินยาให้ประจำเดือนหยุด
ความเชื่อว่าการดื่มน้ำมะนาวช่วยเร่งให้ประจำเดือนหมดได้ถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตและถูกส่งต่อไปอย่างแพร่หลายแต่ก็ยังไม่มีผู้ออกมายืนยันว่าการดื่มน้ำมะนาวช่วยเร่งให้ประจำเดือนหมดเร็วขึ้นได้
ส่งผลให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าการดื่มน้ำมะนาวช่วยเร่งให้ประจำเดือนหมดได้เร็วขึ้นจริงหรือไม่ เราจึงได้ทำการไขข้อสงสัยโดยการพูดคุยและสอบถามกับ พญ.กมลชนก ชูศักดิ์ หรือคุณหมออร สูตินรีแพทย์ประจำโรงพยาบาลกระบี่ได้มีการตอบข้อสงสัยว่า การดื่มน้ำมะนาวไม่ว่าจะในปริมาณมากหรือน้อยก็ไม่สามารถส่งผลให้ประจำเดือนหยุดได้เพราะว่าในน้ำมะนาวไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนคือฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ของเพศหญิงในช่วงที่เรายังเป็นประจำเดือนหรือสามารถหาได้จากอาหารบางชนิดเช่น น้ำมะพร้าว น้ำเต้าหู้และนอกจากนี้หลายๆคนคิดยังว่าการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารต่างๆที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนจะสามารถส่งผลกับประจำเดือนได้แต่ในความจริงแล้วหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนคือเปรียบเทียบว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนที่รังไข่สร้างขึ้นมาสามารถทำงานได้ประสิทธิภาพ100เปอร์เซ็นต์ การที่เราเลือกดื่มหรือรับประทานอาหารที่อ้างว่ามีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่สามารถมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ได้เพียงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ทำให้การดื่มหรือกินอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์มากพอที่จะทำให้ประจำเดือนหยุดลงได้
หากมีความจำเป็นหรือความต้องการอยากให้ประจำเดือนหมดเร็วขึ้นในปัจจุบันใช้สามารถกินยาหยุดประจำเดือน ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปที่ร้านขายยา เป็นฮอร์โมนที่ต้องกินเพิ่มเข้าไปเพื่อทำให้ประจำเดือนหยุดชั่วคราวแต่ว่ายาจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดเมื่อเรากินก่อนจะมีประจำเดือน
ดังนั้น ในข้อสงสัยที่ถามว่า การดื่มน้ำมะนาวช่วยเร่งให้ประจำเดือนหมดได้นั้นไม่เป็นความจริงหากอยากให้ประจำเดือนหยุดควรที่จะกินยาเลื่อนหรือหยุดประจำเดือนโดยตรงซึ่งจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน
ผู้จัดทำ นางสาวออมสิน สกุลวงษ์ สาขาสื่อสารองค์กร
ภาควิชานิเทศศาสคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
ตามที่ได้มีการตั้งกระทู้ในพันทิปเรื่อง มะนาวใช้รักษาสิวจริงไหม ทาง Confact ร่วมกับสาขาวิชาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวโดยใช้งานวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย Muhammadiyah University of Surakarta ประเทศอินโดนีเซีย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า มะนาวสามารถรักษาสิวได้จริง
หลังมีการตั้งกระทู้คำถามในพันทิปเกี่ยวกับการใช้มะนาวในการรักษาสิวนั้น ซึ่งก็มีคนได้มาแสดงความคิดเห็น ให้ข้อแนะนำต่าง ๆ โดยมีทั้งกรณีใช้แล้วได้ผล หรือบางกรณีใช้แล้วเกิดอาการระคายเคือง ซึ่งวันนี้ทาง Cofact ร่วมกับสาขาวิชาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้นำเอางานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นนี้ หรือใกล้เคียงมาตรวจสอบว่า จริงหรือไม่ที่มะนาวสามารถรักษาสิวได้ โดยงานวิจัยแรกเป็นงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัย Muhammadiyah University of Surakarta ประเทศอินโดนีเซีย ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ของน้ำมะนาวต่อแบคทีเรีย 2 ชนิดหลักที่ก่อให้เกิดสิว คือ Propionibacterium acnes (P.acne) และ Staphylococcus epidermidis (S.epidermidis) โดยงานวิจัยดังกล่าวได้เผยว่า ปัจจัยหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดสิวคือ การผลิตไขมันที่เพิ่มขึ้น การละลายตัวของเคราติโนไซต์ (Keratinocytes) การเกิดขึ้นของแบคทีเรีย และการอักเสบต่าง ๆ ต่อมาอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวคือ การติดเชื้อแบคทีเรีย P.acne บนต่อมไขมันหรือรูขุมขน และการเกิดขึ้นของแบคทีเรีย S.epidermidis ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เนื้อเยื่อระคายเคืองโดยการปล่อยกรดไขมันออกจากไขมัน (Aini, Permatasani, Khasanah, & Sukmawati, 2017)
ผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า น้ำมะนาว (Citrus aurantifolia) สามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว 2 ชนิดนี้ได้ เนื่องจากทั้งน้ำมะนาวและน้ำมันหอมระเหยในมะนาวนั้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี โดยมีสารประกอบฟีนอล (Phenolic compounds) และอนุพันธ์ของฟีนอลในน้ำมันหอมระเหยที่มีหน้าที่ในการทำให้เซลล์แบคทีเรียเสื่อมสภาพ และได้ระบุอีกด้วยว่า ในน้ำมะนาวนั้นยังมีสารเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น กรดซิตริก (Citric acid) กรดอะมิโน (Amino Acid) ไกลโคไซด์ (Glycoside) ไขมัน (Fat) แคลเซียม (Calcium) สารฟอสฟอรัส (Phosphorus) ธาตุเหล็ก (Iron) วิตามิน B1 (Vitamin B1) และวิตามินซี (Vitamin C) ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและสามารถใช้ในการรักษาการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ด้วย (Aini, Permatasani, Khasanah, & Sukmawati, 2017)
ทั้งนี้ ยังมีอีกงานวิจัยที่ได้ศึกษาใกล้เคียงกับประเด็นดังกล่าว โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับ ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของเลมอน หรือ Citrus limon ต่อสิว (Pimples) ซึ่งการศึกษาพบว่า การทาน้ำมะนาวเหลืองหรือเลมอนที่มีความเข้มข้น 20% 40% 60% 80% และ 100% มีประสิทธิภาพในการฆ่าแบคทีเรีย P.acnes (Propionibacterium Acnes) ซึ่งเป็นตัวหลักของการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในเลมอนมีกรดซาลิไซลิกหลักคือ L-ascorbic acid ที่สามารถต่อต้านกับสิวได้ ช่วยในการขจัดน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ที่ตายแล้ว (Dead Cells) ได้ และได้ระบุอีกด้วยว่า แบคทีเรีย P.acnes เป็นแบคทีเรียที่มีความไวต่อเลมอนมากเพราะในเลมอนมีสารกรดที่สูงและมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลากหลายชนิด (Shinkafi, 2013)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามะนาวจะเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งที่ใช้ในการรับประทาน เป็นส่วนประกอบของยาแก้โรค ตลอดจนเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางก็ตาม การใช้น้ำมะนาวโดยตรงกับผิวเพื่อความงามเช่นการรักษาสิวนั้น ก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป เนื่องจากในมะนาวมีสารเคมีที่อาจส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังได้ เช่น การอักเสบ ภูมแพ้ และระคายเคืองหากใช้โดยไม่ถูกวิธี ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายก็ไม่ควรใช้วิธีนี้เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ หรือภูมิแพ้กับผิวได้ ควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนการออกไปเจอกับแสงแดดเพราะอาจก่อให้เกิดโรคผื่นแพ้จากพืช (Phytophotodermatitis) หรือรอยดำ และในบางกรณีอาจก่อให้เกิดโรคผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) โรคผื่นระคายสัมผัส (Contact dermatitis) ได้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญก็ไม่ควรใช้วิธีนี้บ่อยครั้งเกินไป (2-3 ครั้ง/เดือน) เพราะจะทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองและอาจลอกได้ (Alessandrello et al., 2021)
โดยรวมแล้ว ประสิทธิภาพของมะนาวในการรักษาสิวนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิว วิธีใช้ และสภาพแวดล้อมของแต่ละคนด้วยเช่นกัน เช่นถ้าผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย มีอาการระคายเคือง การใช้วิธีนี้ในการรักษาสิวนั้นก็ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ แต่ถ้าหากผู้ที่ผิวที่แข็งแรงอยู่แล้ว และใช้ถูกวิธีก็อาจได้ผลจริง อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันก็ยังไม่มีการศึกษายืนยันที่มากพอเกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังทุกครั้งก่อนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาผิวที่รุนแรง
ผู้จัดทำ Ms. LIM VANNTHY สาขาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก
เอกสารอ้าอิง
Aini, N., Permatasani, B., Khasanah, U., & Sukmawati, A. (2017). Antimicrobial Activity of Lime Juice (Citrus aurantifolia) Against Propionibacterium acnes and Staphylococcus epidermidis. Advanced Science Letters, 23(12), 12443–12446. https://doi.org/10.1166/asl.2017.10788
Alessandrello, C., Gammeri, L., Sanfilippo, S., Cordiano, R., Brunetto, S., Casciaro, M., & Gangemi, S. (2021). A spotlight on lime: a review about adverse reactions and clinical manifestations due to Citrus aurantiifolia. Clinical and Molecular Allergy, 19(1). https://doi.org/10.1186/s12948-021-00152-x
Shinkafi, S. (2013). ANTIBACTERIAL ACTIVITY OF Citrus limonON Acnevulgaris (PIMPLES). Www.ijsit.com), 2(2), 397–409. Retrieved from http://www.ijsit.com/.../ANTIBACTERIAL%20ACTIVITY%20OF...
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
เนื่องจากสถานการณ์ที่หมูมีราคาสูงขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ทำให้ราคาวัตถุดิบเนื้อหมูในการทำอาหารมีราคาแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านหมูกระทะ ร้านชาบู หรือร้านอาหารทั่วไปมีการขึ้นราคาอาหารเมนูที่ใช้เนื้อหมูเป็นวัตถุดิบ ซึ่งในต่อมามีผลสรุปออกมาว่าที่หมูราคาสูงขึ้นนั้นเพราะว่าเนื้อหมูกำลังขาดตลาด เนื่องจากฟาร์มสุกรต่างๆในตอนนี้เริ่มที่จะติดโรค อหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) เป็นโรคไวรัสที่ระบาดในหมูที่เคยพบมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งทำให้หมูในฟาร์มตายไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูมีราคาแพงขึ้น
สำหรับการติดต่อของโรค ผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งของสุกรป่วย การหายใจเอาเชื้อเข้าไป การกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน การโดนเห็บที่มีเชื้อกัด นอกจากนี้เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ที่ปานเปื้อนเชื้อสามารถแพร่กระจายไวรัสได้ ซึ่งเนื้อหมูที่ติดเชื้อในช่วงแรกๆก็ยังคงนำมาขายกันในท้องตลาดต่อไป ส่งผลให้ประชาชนที่ทราบข่าวนี้รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดระแวงว่าโรคชนิดนี้ถ้าระบาดในหมูจะสามารถแพร่มาสู่คนได้ไหม
โดยนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ได้ให้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า เนื้อหมูที่ติดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรนั้นสามารถรับประทานได้ โดยเชื้อชนิดนี้ไม่สามารถที่จะแพร่จะสัตว์สู่คนได้ แต่ให้ทำการปรุงสุกก่อนรับประทานทุกครั้ง และให้ใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 70 องศา และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาทีในการปรุงเพื่อทำลายเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกร หากรับประทานแบบไม่ปรุงสุกนั้นอาจทำเกิดโรคอื่นที่สามารถถึงตายได้เช่นกัน เช่นโรคหูดับ
งานวิจัยของสัตวแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า แม้ว่าโรค ASF นี้จะไม่ใช่โรคสัตว์สู่คน แต่หากเกิดการระบาดของโรคASFขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมนษุย์ในแง่ของเศรษฐกิจและอตุสาหกรรมการผลิตสุกรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อน และเชื้อไวรัส ASFV ซึ่งเป็นดีเอ็นเอไวรัสขนาดใหญ่ โครงสร้างมีความซับซ้อน แบ่งตัวในไซโตพลาสซึมของเซลล์โมโนไซต์และเซลล์แมคโครฟาจ ของสัตว์ตระกูลสุกรเพียงเท่านั้น
ด้านหน่วยงานชันสูตรโรคสัตว์ กำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ASF ไม่ใช่โรคติดเชื้อสู่คน ไม่ก่อโรคหรือส่งผลต่อสุขภาพในคน ผู้คนยังสามารถบริโภคสุกรได้ตามปกติทั่วไป แต่ควรบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงสุกและซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพราะยังมีโรคติดต่ออื่น ๆ ที่อาจเกิดจากการบริโภคเนื้อดิบ
นอกจากนี้ ทางกรมปศุสัตว์ทั่วประเทศก็กำลังทำการค้นหาเชิงรุกฟาร์มสุกรเพื่อแยกหมูที่ติดเชื้อและนำมาทำลาย โดยการเผาและฝังกลบเท่านั้น จะไม่มีการนำเนื้อหมูที่ติดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรมาจำหน่ายหรือส่งออกโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าเราจะสามารถควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง
อีกทั้งราคาเนื้อหมูที่เพิ่มสูงขึ้น “จะสามารถลดลงมาได้ภายในระยะเวลาไม่นาน เนื่องจากกรมปศุสัตว์ทำงานกันอย่างเข้มงวดมากเพื่อที่จะควบคุมโรคนี้ไว้ และจะสามารถควบคุมราคาเนื้อหมูให้ลดลงมาเป็นปกติได้เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ”
การเพิ่มศักยภาพในการควบคุมโรค นอกจากการศึกษาจากงานวิจัยต่างๆในการป้องกันโรคASFแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการเตรียม ความพร้อมในกรณีที่มีการระบาดของโรคเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มความ ปลอดภัยทางด้านอาหารที่ได้มาจากสัตว์ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ข้อมูลจาก นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ งานวิจัยของสัตวแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นหน่วยงานชันสูตรโรคสัตว์ กำแพงแสน
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นางสาวสิริรัตน์ ขจรรัตน์ สาขาสื่อสารองค์กร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
ในปัจจุบันยังมีมาตรฐานความงามที่ว่าต้องผอมถึงจะเรียกว่าดูดี ทำให้หลายคนสรรหาวิธีต่่างๆเพื่อช่วยลดน้ำหนัก บางคนถึงขั้นใช้วิธีเก็บพยาธิไว้ในตัวเพราะกังวลว่าหากถ่ายพยาธิไปแล้วจะทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง น้ำหนักขึ้นหรืออ้วนขึ้นนั่นเอง
จากความเชื่อของผู้คนทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ที่พูดกันมาว่ากินเยอะแต่ผอมเพราะมีพยาธินำไปสู่ความเชื่อหากถ่ายพยาธิออกไปจากร่างกายจะทำให้เราอ้วนขึ้นเพราะหลังจากนี้จะไม่มีปรสิตมาคอยดูดสารอาหาร
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเกิดข้อสงสัยกินยาถ่ายพยาธิทำให้อ้วนจริงหรือไม่ ผศ.นพ. ธีระ กุศลสุข อาจารย์ภาควิชาหนอนปรสิตพยาธิ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ตอบเรื่องนี้ว่า “การกินยาถ่ายพยาธิไม่เกี่ยวข้องกับการอ้วน หรือผอม เพราะยามีผลต่อการฆ่าตัวพยาธิให้ตายและหลุดออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย ส่วนน้ำหนักตัวจะลด จะเพิ่ม ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะพฤติกรรมการกิน กินเยอะ กินมาก ไม่ออกกำลังกาย ก็จะสะสม และทำให้อ้วนได้”
นอกจากนี้ ผศ.นพ. ธีระ กุศลสุข ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การมีพยาธิในร่างกายย่อมมีผลเสียกับร่างกายขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ บางชนิดติดน้อยๆ อาจแสดงอาการไม่ชัดเจนเหมือนไม่ได้เป็นอะไร บางชนิดมีผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมากอาจขึ้นสมองไปที่ดวงตาทำให้ตาบอด หรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษา เช่น พยาธิปอดหนู บางชนิด เช่น พยาธิสตรองไจลอยดิส ติดแล้วถ้าภูมิต้านทานของคนๆนั้นไม่ดี มีภูมิต่ำจากการได้รับยากดภูมิ ได้รับยาต้านมะเร็งอาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน พยาธิบางตัวอาจไชขึ้นสมองฝังตัวที่เนื้อสมอง ที่กล้ามเนื้อได้ เช่น พยาธิตืดสาคูหมูขึ้นสมอง”
ดังนั้นสำหรับข้อสงสัยกินยาถ่ายทำให้อ้วนไม่เป็นความจริง เพราะยาถ่ายพยาธิมีผลต่อการกำจัดพยาธิแต่ไม่ได้มีผลต่อน้ำหนักตัว และจะเห็นได้ว่าอันตรายของโรคพยาธิมีมากมาย ตั้งแต่ผลกระทบเล็กน้อยจนถึงผลกระทบรุนแรงด้านสุขภาพ ดังนั้นการถ่ายพยาธิและการป้องกันพยาธิจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
ข้อมูลจาก ผศ.นพ. ธีระ กุศลสุข
อาจารย์ภาควิชาหนอนปรสิตพยาธิ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้จัดทำ อภิญญา ลายศิลา สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
สิวเกิดจากการอุดตันที่รูขุมขนบริเวณผิวหนัง ปัจจัยหลักในการเกิดสิว คือ ร่างกายผลิตน้ำมันที่ชั้นผิวหนังมากเกินไป เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน และการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนังทำให้เกิดการอักเสบ ส่วนการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตในช่วงวัยรุ่นก็อาจทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน ประเภทของสิว โดยทั่วไปเราแบ่งสิวออกเป็น 2 ประเภท คือ สิวไม่อักเสบ บางคนเรียก สิวอุดตัน สิวไม่มีหัว สิวคอมีโดน สิวผด สิวเสี้ยน และสิวอักเสบ สิวประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะคือ เมื่อกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ มีการอักเสบ บวม แดง
ด้วยเหตุนี้จึงมีบทความที่เผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมิเดีย ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแปะแผ่นกอเอี๊ยะรักษาสิวว่า ถ้าอยากให้สิวที่อักเสบยุบ ให้นำแผ่นแปะกอเอี๊ยะชนิดแก้อักเสบ ที่คนส่วนใหญ่จะนิยมนำมาใช้แปะแก้มเวลาเกิดอาการปวดฟัน ตัดเป็นแผ่นเล็กๆแล้วนำมาแปะบริเวณที่เป็นสิวจะสามารถทำให้หายปวดและสิวยุบลงไปได้
ภก.ขจรศักดิ์ ว่องสิริมาศ เภสัชกรร้านสยามเภสัช ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่า “ที่ว่าแผ่นแปะกอเอี๊ยะสามารถทำให้สิวยุบลงได้ เป็นเพียงความเชื่อที่ผิดของข้อมูลบนโซเชียลเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วแผ่นแปะกอเอี๊ยะชนิดแก้อักเสบที่นำมาใช้นั้นไม่มีส่วนผสมของการช่วยรักษาสิวเลย เพียงแต่เมื่อแปะแผ่นกอเอี๊ยะชนิดแก้อักเสบไปแล้ว จะรู้สึกเย็นในบริเวณที่แปะ อาจช่วยบรรเทาอาการปวดในบริเวณนั้นได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนผสมในตัวยาของแผ่นแปะที่จะเป็นสารช่วยดูดซับสิวได้”นอกจากนี้ ภก.ขจรศักดิ์ ว่องสิริมาศ ยังได้ชี้แจ้งให้ทราบเพิ่มเติมว่า “ถ้าหากต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูดซับสิวจริงๆ สามารถใช้เป็นแผ่นกอเอี๊ยะปิดฝี ที่ผลิตจากสมุนไพรจีนจะมีสรรพคุณที่ช่วยสำหรับปิดฝีหรือสิวและสามารถดูดหนองกับสมานแผลได้ หรือใช้แผ่นแปะสิว โดยมาในรูปแบบแผ่นฟิล์ม ที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอลลอยด์ ซึ่งเป็นสารที่มีสารดูดซับของเหลว ทำให้ช่วยดูดซับหัวหนองให้หลุดติดออกมากับแผ่นแปะสิว จะทำให้สิวยุบไวและไม่ทิ้งรอยไว้แน่นอน”
ดังนั้น สำหรับคำถาม แปะแผ่นกอเอี๊ยะสิวหายไม่จริง เป็นเพียงแต่การช่วยบรรเทาอาการอักเสบในบริเวณที่แปะแผ่นกอเอี๊ยะชนิดแก้อักเสบเท่านั้น ถ้าต้องการให้สิวหายสนิท ควรดูที่ต้นตอของปัญหาว่าสาเหตุเกิดจากอะไรและรักษาให้ถูกจุด ควรศึกษาสรรพคุณของตัวยาที่เราจะใช้ให้อย่างถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้
ข้อมูลจาก ภก.ขจรศักดิ์ ว่องสิริมาศ ภก.ขจรศักดิ์ ว่องสิริมาศ เภสัชกรร้านสยามเภสัช
อารดา เสียนขุนทด สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
💬 มีความเห็นส่วนตัว
Joke.Air
เนื้อหายาวมากจึงยากต่อการตรวจสอบ แต่โดยส่วนตัวเห็นด้วยว่าคีโมอาจจะทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น หรือไม่ก็อาจชะลอการเสียชีวิตให้ช้าลงได้เพียงเล็กน้อย
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
จากที่ในโลกออนไลน์มีการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับสรรพคุณของชาเขียว ว่าชาเขียวนั้นมีสรรพคุณที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย S. Mutans หรือ Streptococcus mutan ที่เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ เพราะในองค์ประกอบของชาเขียวนั้น พบว่า มีฟลูออไรด์และสารกลุ่มคาเทชินที่มีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุและส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ซึ่งก็มีในหลาย ๆ บทความที่บอกว่าการดื่มชาเขียวนั้นสามารถช่วยป้องกันฟันผุได้ แต่ก็ยังไม่มีวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จึงต้องทำการตรวจสอบประเด็นนี้ ว่าชาเขียวหรือการดื่มชาเขียวนั้นสามารถป้องกันฟันผุได้จริงหรือ
จากที่ได้สัมภาษณ์ ทพญ.ธันย์ชนก คัมภิรานนท์ แพทย์ด้านทันตกรรม เกี่ยวกับประเด็นชาเขียวช่วยป้องกันฟันผุ คุณหมอได้ตอบเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ยังไม่มีผลการศึกษาที่ทำให้ทราบแน่ชัดว่า สารคาเทชินที่อยู่ใน
ชาเขียวไปทำปฏิกิริยาอะไรกับเชื้อตัว S. mutans ที่ทำให้เกิดฟันผุ หรือ ทำปฏิกิริยากับฟัน แต่ก็มีผลการศึกษาที่ออกมาบอกว่า สารคาเทชินนั้นช่วยลดหรือยับยั้งการเกิดฟันผุได้จริง ซึ่งสารหลัก ๆ ของคาเทชิน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ในส่วนของฟลูออไรด์นั้นสามารถช่วยยับยั้งการเกิดฟันผุได้จริง เพราะ มีหลักฐานทางการวิจัยมากมาย และทางคลินิกทันตกรรมเองก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งฟลูออไรด์นอกจากจะช่วยป้องกันการกัดกร่อนของฟันแล้ว ยังทำให้เนื้อฟันแข็งแรงมากขึ้นกว่าฟันที่ไม่เคยเจอฟลูออไรด์อีกด้วย แต่ฟลูออไรด์ในคลินิกทันตกรรมจะมีเข้มข้นสูงกว่าที่คนทั่วไปใช้กันปกติ ดังนั้น จะต้องใช้ภายใต้การควบคุมของทันตแพทย์เท่านั้น
แต่ในส่วนของประเด็นที่ว่า ชาเขียวช่วยป้องกันฟันผุจริงหรือไม่ คุณหมอได้ให้คำตอบว่า ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนว่าชาเขียวหรือการดื่มชาเขียวนั้นสามารถช่วยป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเพียงผลการศึกษาจากห้องทดลองเท่านั้นที่บอกว่าช่วยป้องกันฟันผุได้จริง แต่ผลการศึกษาทางคลินิกยังไม่มี อีกทั้งยังไม่มีการทดลองจริงในมนุษย์ แต่ถ้าในวงกว้างหรือทางวงการทันตแพทย์ปกติก็จะแนะนำเป็นฟลูออไรด์ ไม่แนะนำให้ใช้ชาเขียวในการแปรงฟันอย่างเดียวหรือใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของชาเขียวแต่ไม่มีฟลูออไรด์
นางสาว ลักษิกา สุกใส นิสิตสาขาวิชาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
สำหรับผู้หญิงปัญหาจุดซ่อนเร้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เราต้องทำความสะอาดดูแลเป็นอย่างดี ถ้าหากดูแลรักษาความสะอาดไม่ดีอาจจะส่งผลให้มีปัญหาตามมา เกิดความอับชื้น หรือเกิดอาการคันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากตกขาวที่เป็นสาเหตุทำให้สาว ๆ หมดความมั่นใจ ดังนั้นเราจึงต้องหาวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยต่อจุดซ้อนเร้นของเรานั่นเอง
ในปัจจุบันมีการแชร์วิธีรักษาอาการตกขาวมากมาย โดยเฉพาะวิธีการลดอาการตกขาวด้วยการนั่งแช่น้ำเกลือ โดยบอกว่าการแช่น้ำเกลือสามารถช่วยลดอาการตกขาว และช่วยลดกลิ่นจากตกขาวได้ วิธีการนี้ถูกแชร์ออกไปในสื่อโซเชียลอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอหรือบทความ ซึ่งการใช้น้ำเกลือช่วยลดตกขาวนี้ยังไม่มีวิจัยออกมาว่าจะสามารถช่วยลดอาการตกขาวได้จริง มีเพียงแต่การแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่เคยใช้วิธีนี้ว่าสามารถลดอาการตกขาวได้ และมีผู้แสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไป และเกิดความสงสัยว่าการแช่น้ำเกลือมันช่วยลดอาการตกขาวได้จริงหรือเปล่า
แพทย์หญิง ศิริวรรณ ศิริรัตน์ แพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวชกรรม ได้ให้ข้อมูลว่าน้ำเกลือไม่ได้ช่วยรักษาอาการตกขาว ในทางการแพทย์หมอไม่เคยแนะนำให้นั่งแช่น้ำเกลือเพื่อลดตกขาว และยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าน้ำเกลือช่วยลดตกขาวได้จริง นอกจากการนั่งแช่น้ำเกลือแล้วก็ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือ น้ำเปล่า หรือไม่ว่าจะใช้วิธีใด ห้ามทำโดยเด็ดขาด ในส่วนของวิธีการป้องกันการเกิดตกขาวที่ถูกต้องนั้น อย่างแรกเลยตกขาวมีกันทุกคน ซึ่งจะมีตกขาวแบบปกติและตกขาวที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากช่องคลอด การป้องกันคือไม่ให้ตกขาวมีการติดเชื้อก็พอ เช่น การใส่ถุงยางทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การดูแลรักษาความสะอาดของช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อจุดซ้อนเร้น
แพทย์หญิงสิริพร ไตรนาค สูตินรีแพทย์เฉพาะทางต่อยอดด้านมารดาและทารกในครรภ์ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์แพทย์ประจำแผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลชลบุรี ได้ให้ข้อมูลเช่นเดียวกันว่า การแช่น้ำเกลือไม่ได้ช่วยลดอาการตกขาวของผู้หญิง ปกติการแช่น้ำเกลือมีใช้ในทางการแพทย์ โดยจะเป็นการแช่น้ำเกลืออุ่น ๆ แต่การนำมาใช้จะมีประโยชน์ในบางกรณีเท่านั้น เช่น ผู้มีอาการปวดริดสีดวงทวาร มีแผลที่ขอบทวารหนักหลังผ่าตัดก้อนหนองบริเวณอวัยวะเพศ ลดอาการปวดของแผลฝีเย็บหลังคลอดบุตร หากเป็นไปตามข้อบ่งชี้ข้างต้น การแช่น้ำเกลืออุ่น ๆ ถึงจะได้ประโยชน์ แต่หากไม่มีข้อบ่งชี้ข้างต้น แช่ไปแล้วอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร อีกทั้งหากเราเตรียมภาชนะ หรือน้ำที่แช่ไม่สะอาดพอก็อาจจะเป็นการแช่ลงน้ำที่สกปรก ทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้
นอกจากนี้ แพทย์หญิงสิริพร ไตรนาค ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงโดยใช้หลักการเรียบง่ายและอ่อนโยน เริ่มต้นจากการล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าที่สะอาด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาเฉพาะจุดซ่อนเร้นที่มีฤทธิ์แรงซึ่งอาจทำลายแบคทีเรียเจ้าถิ่นได้ ควรซับให้แห้งทุกครั้ง อย่าปล่อยให้อับชื้น ห้ามสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้สมดุลในช่องคลอดเสีย และเกิดปัญหาตกขาวติดเชื้อตามมา
สรุปแล้วการแช่น้ำเกลือนั้นไม่ได้ช่วยลดอาการตกขาวแต่อย่างใด อีกทั้งการนั่งแช่ในน้ำเกลือ อาจจะเสี่ยงทำให้เราติดเชื้อภายในช่องคลอด จากภาชนะที่ใช้นั่งแช่ที่ไม่สะอาด ทั้งนี้หากพบว่าตกขาวมีความผิดปกติ มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เกิดอาการคัน ควรไปปรึกษาแพทย์หรือสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจภายในช่องคลอด และให้การรักษาตามวิธีการทางการแพทย์อย่างถูกต้อง
ผู้จัดทํา นางสาววิภาพร ดาศรี นิสิตสาขาวิชาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
จากที่ในโซเชียลมีการถามถึงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดว่าใส่นอนได้หรือไม่ เนื่องจากผ้าอนามัยชนิดนี้ช่วยลดการซึมเปื้อนบนเสื้อผ้าให้น้อยลง และเพิ่มความคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากกว่าการใส่ผ้าอนามัยชนิดแผ่น จึงมีผู้หญิงหลายท่านมาให้ข้อมูลในการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดว่าสามารถใส่นอนได้ สามารถใส่นอนหลับข้ามคืนไม่เป็นอันตราย แต่บางส่วนก็บอกว่าหากใส่นอนอาจเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ จึงต้องทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้ หากใช้ใส่ตอนนอนและใส่นานเกินเวลาที่กำหนดนั้นเสี่ยงจะเกิดอันตรายได้หรือไม่
จากที่ได้สัมภาษณ์คุณหมอณัฏฐ์ เกียรติอภิวสุ คุณหมอด้านสูตินรีแพทย์ เกี่ยวกับการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดในเวลานอน คุณหมอได้ตอบเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ผ้าอนามัยแบบสอดกลไกของผ้าอนามัยชนิดนี้คือป้องกันเลือดจากประจำเดือนที่ออกมาทางช่องคลอดหรือทางปากมดลูก ในการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ตามทฤษฎีแล้วการใส่ผ้าอนามัยแบบสอดควรเปลี่ยนทุก ๆ 4-6 ชั่วโมงจะดีที่สุด ถ้าหากจะใส่ในเวลานอน แต่การนอนของเรานอนเกิน 6 ชั่วโมง ไม่สามารถลุกมาเปลี่ยนได้ ก็จะเริ่มไม่ปลอดภัย จะก่อให้เกิดการหมักหมมและเกิดเชื้อโรคได้การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดนานเกินเวลาที่ควรจะเปลี่ยนนั้นสามารถเกิดอาการ Toxic Shock Syndrome ขึ้นได้ อาการ Toxic Shock Syndrome เป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุดจากการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการดังกล่าว ไม่ได้เจอบ่อยนัก โอกาสเกิดน้อยมาก ประมาณ 1-3 % โดยหลักการของมันเกิดจากการที่ในช่องคลอดของผู้หญิงมีเชื้อประจำถิ่น (normal flora) ที่มีแบคทีเรียอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว พอเอาผ้าอนามัยแบบสอดไปอุดตรงนั้นไว้ จะทำให้เกิดการ stasis ทำให้ไม่ถูกการถ่ายเท เลยเกิดสารพิษที่ปล่อยมาจากแบคทีเรียพวกนี้ที่เรียกว่า สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส ซึ่งปล่อยก๊าซออกมาและติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด เลยทำให้เกิดภาวะ Toxic Shock Syndrome ซึ่งภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด จะทำให้มีไข้สูง ความดันโลหิตต่ำ ท้องเสีย ปวดศีรษะลามไปถึงอาการชัก ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนทุก ๆ 4-6 ชั่วโมงเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยง
การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดควรจะใส่สบาย ใช้ชีวิตได้ตามปกติ หากใช้ผิดวิธีจะเกิดอาการปวดตรงช่องคลอด ถ้าปวดหน่วง แสบคันบริเวณตรงน้องสาว มีไข้ หรือตกขาวเริ่มมีกลิ่น มีหนอง เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเริ่มมีอาการที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดและบกบ่องว่าเริ่มมีการติดเชื้อแล้ว โดยวิธีใช้ผ้าอนามัยแบบสอดที่ถูกต้องและให้ปลอดภัย อย่างแรกต้องล้างมือให้สะอาดก่อน เวลาแกะผ้าอนามัยออกมา ควรจะแกะในซองที่มีซีลและมั่นใจว่าสะอาดแน่นอน ก่อนสอดผ้าอนามัยเข้าไปให้จับปลายด้ามของผ้าอนามัย จะมีด้านที่มีเชือกไว้สำหรับดึงเอาออก ตอนใส่เข้าไปให้ค่อย ๆ ดันเข้าไปสัก 2 ข้อนิ้วมือ นั่นคือตำแหน่งที่ดีที่สุดแล้วจะไม่เจ็บ หากใช้งานเสร็จแล้ว 4-6 ชั่วโมง ดึงออกมาห่อกระดาษทิชชูให้มิดชิดและทิ้งลงถังขยะ และเราควรทำความสะอาดช่องคลอดร่วมด้วย ก็จะทำให้ปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้นการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดควรใช้ให้ถูกวิธีและทำตามคำแนะนำ โดยควรเปลี่ยนทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ Toxic Shock Syndrome หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด แม้ว่าโอกาสเกิดจะน้อยมาก แต่อาการของภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก หากไม่รีบรักษาอย่างเร่งด่วนก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดนั้นถือว่าเป็นเรื่องปลอดภัยและห่างไกลการติดเชื้อหากใช้อย่างถูกวิธีและปฏิบัติตามคำแนะนำ
ผู้จัดทำ นางสาวหทัยภัทร แสงวาโท สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
หากดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจะสามารถรับได้ จะทำให้เกิดอาการมึนเมาจากแอลกอฮอล์และยังส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างได้หากร่างกายขาดน้ำ โดยอาการเมาค้างนั้นจะมีอาการโดยทั่วไปคือ ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปากแห้ง ปวดท้อง ท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกเยอะกว่าปกติ หงุดหงิดง่าย และอาจจะส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า
โดยส่วนใหญ่อาการเมาค้างนั้นจะสามารถหายได้เองแม้จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองแต่ก็มีวิธีแก้อาการเมาค้างอย่างหนึ่งที่เราได้ยินกันมาอย่างยาวนานนั้นก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเพิ่มนิดหน่อยหากมีอาการเมาค้างจะช่วยให้หายเมาค้างได้หรือที่เรียกกันว่าการถอน
ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ได้มีทั้งคนที่เชื่อว่าการกระทำอย่างนั้นจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้จริง และคนที่ไม่เชื่อเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้ โดยในวันนี้เราจะมาแก้ข้อสงสัยที่ว่า การดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้จริงหรือไม่
โดยเราได้สอบถามข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ปรึกษาเพื่อการเลิกสุราและการเสพติด Alcohol and Drugs Helpline Centre และได้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่า “ไม่เป็นจริงค่ะ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คุณปวดปัสสาวะมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ เเละนั่นยิ่งเป็นสาเหตุของอาการเมาค้างได้”นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้แนะนำวิธีแก้อาการเมาค้างที่ถูกต้องคือ พยายามทำให้ห้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ซึ่งสามารถดื่มน้ำทดเเทนก่อนนอนหลังจากที่ดื่มเเอลกอฮอล์เสร็จ เเละยังมีวิธีต่างๆที่ใช้แก้อาการเมาค้าง เช่น
-ยาแก้ปวด ช่วยเรื่องปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ
-หากมีอาการ มือสั่น ตัวสั่น ให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลเพราะจะช่วยให้รู้สึกตัวสั่นน้อยลง
-ทานซุปจากผักหรือเนื้อสัตว์ เพราะเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ จะช่วยเพิ่มพลังงานได้ เเถมยังย่อยง่ายอีกด้วย
-การดื่มของเหลวจืดๆ เช่น น้ำ โซดา หรือเครื่องดื่มเกลือเเร่ จะสามารถทดแทนภาวะขาดน้ำได้
ดังนั้น คำตอบสำหรับข้อสงสัยที่ว่าการดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้หรือไม่นั้นไม่เป็นความจริงและไม่สามารถแก้อาการเมาค้างได้
นายนรวัฒน์ ยอดวงค์พะเนา สาขาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Maymabell
หากดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจะสามารถรับได้ จะทำให้เกิดอาการมึนเมาจากแอลกอฮอล์และยังส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างได้หากร่างกายขาดน้ำ โดยอาการเมาค้างนั้นจะมีอาการโดยทั่วไปคือ ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปากแห้ง ปวดท้อง ท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกเยอะกว่าปกติ หงุดหงิดง่าย และอาจจะส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า
โดยส่วนใหญ่อาการเมาค้างนั้นจะสามารถหายได้เองแม้จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองแต่ก็มีวิธีแก้อาการเมาค้างอย่างหนึ่งที่เราได้ยินกันมาอย่างยาวนานนั้นก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเพิ่มนิดหน่อยหากมีอาการเมาค้างจะช่วยให้หายเมาค้างได้หรือที่เรียกกันว่าการถอน
ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ได้มีทั้งคนที่เชื่อว่าการกระทำอย่างนั้นจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้จริง และคนที่ไม่เชื่อเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้ โดยในวันนี้เราจะมาแก้ข้อสงสัยที่ว่า การดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้จริงหรือไม่
โดยเราได้สอบถามข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ปรึกษาเพื่อการเลิกสุราและการเสพติด Alcohol and Drugs Helpline Centre และได้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่า “ไม่เป็นจริงค่ะ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คุณปวดปัสสาวะมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ เเละนั่นยิ่งเป็นสาเหตุของอาการเมาค้างได้”นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้แนะนำวิธีแก้อาการเมาค้างที่ถูกต้องคือ พยายามทำให้ห้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ซึ่งสามารถดื่มน้ำทดเเทนก่อนนอนหลังจากที่ดื่มเเอลกอฮอล์เสร็จ เเละยังมีวิธีต่างๆที่ใช้แก้อาการเมาค้าง เช่น
-ยาแก้ปวด ช่วยเรื่องปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ
-หากมีอาการ มือสั่น ตัวสั่น ให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลเพราะจะช่วยให้รู้สึกตัวสั่นน้อยลง
-ทานซุปจากผักหรือเนื้อสัตว์ เพราะเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ จะช่วยเพิ่มพลังงานได้ เเถมยังย่อยง่ายอีกด้วย
-การดื่มของเหลวจืดๆ เช่น น้ำ โซดา หรือเครื่องดื่มเกลือเเร่ จะสามารถทดแทนภาวะขาดน้ำได้
ดังนั้น คำตอบสำหรับข้อสงสัยที่ว่าการดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้หรือไม่นั้นไม่เป็นความจริงและไม่สามารถแก้อาการเมาค้างได้
นายนรวัฒน์ ยอดวงค์พะเนา สาขาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ
#CCBUUXCofact
#เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 0 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Thanathun.
การรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เพื่อปกป้องการใช้งานของลูกค้า โดยเปิดสายด่วน 1185 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน หรือ AIS Spam Report Center ครั้งแรกในวงการธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อให้ลูกค้าแจ้งข้อมูลเบอร์โทร และ SMS มิจฉาชีพ ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมดำเนินการตรวจสอบข้อมูลภายใน 72 ชั่วโมง
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Thanathun.
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อกำหนด ไม่ได้ให้สิทธิ์ผู้ใดในการแอบดู แอบดัก แอบเก็บ เอาข้อมูลการโทร. การส่งข้อความ หรือการโพสต์ ของประชาชนไปโดยไม่ทำตามขั้นตอน และหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่มีอยู่
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Thanathun.
ภัยไซเบอร์ หากพูดถึงในช่วงปัจจุบัน จะมีหลายครั้งที่ได้ยินเรื่องข่าวการโจมตีต่าง ๆ ทั้งสถาบันการเงิน, ภาคธุรกิจ และแม้แต่หน่วยงานรัฐเป็นจำนวนมากและบ่อยครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วภัยไซเบอร์นั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะเพียงแค่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถเกิดขึ้นกับเราได้เช่นกัน
ใช้ใน 1 ข้อความ・3 ปีที่แล้ว