ข่าวจริงหรือข่าวลวง

การมีประจำเดือนคือการที่เยื่อบุผนังมดลูกหลุดลอกออกมาจากฮอร์โมนที่ค่อยๆลดลงในร่างกายในช่วงปลายรอบเดือน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่มีการตั้งครรภ์ หลังเยื่อบุผนังมดลูกหลุดลอกมาหมด จะเริ่มมีไข่ตกจากรังไข่ และมีอิทธิพลจากฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากรังไข่ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาตัวขึ้นใหม่เป็นรอบเดือนวนไปค่ะ ความเชื่อเรื่องห้ามดื่มน้ำเย็น หรือรับประทานอาหารเย็นๆในช่วงมีประจำเดือน น่าจะเกิดจากความเชื่อที่ว่าในช่วงที่มีประจำเดือนนั้นภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายจะลดลงกว่าช่วงอื่นๆของเดือน การรับประทานของเย็นหรืออาบน้ำเย็นอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำกว่าเดิมได้จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แต่อันนั้นน่าจะต้องรับประทานของที่เย็นมากๆจำนวนมากเลยทีเดียวค่ะ อีกทั้งการรับประทานของเย็นไม่ได้ทำให้เลือดในมดลูกแข็งตัวจนไม่ถูกขับออกมาหรือทำให้ปวดท้องประจำเดือนมากกว่าเดิมด้วย จึงไม่ต้องกังวล ดังนั้นหมอแนะนำว่ากินได้ค่ะ ทั้งน้ำเย็น ทั้งไอศกรีม ขอแค่ให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ

จริงหรือไม่? ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น? ช่วงมีประจำเดือน เป็นช่วงที่เปราะบางของผู้หญิง และผู้หญิงหลายคนก็มีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนปวดท้องมาก บางคนไม่ปวดเลย บางคนสิวขึ้น อยากทานอาหารรสจัด หน้าอกใหญ่ขึ้น หรือแม้กระทั่งหงุดหงิดง่ายกว่าเดิม แต่สำหรับเรื่อง “น้ำเย็น” หลายคนอาจเคยได้ยินว่าช่วงมีประจำเดือนไม่ควรดื่มน้ำเย็น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Sanook! Health มีคำตอบมาฝากกันค่ะ ทำไมผู้หญิงที่มีประจำเดือน ถึงมีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น? เพราะช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่สมดุลเหมือนปกติ ร่างกายจะเกิดความอ่อนแอขึ้นเล็กน้อย เพราะร่างกายสูญเสียของเหลวออกไปปริมาณหนึ่ง ผู้หญิงคนไหนที่สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ช่วงนี้อาจจะเจ็บป่วยได้ง่าย บางคนอาจแค่ไม่สบายตัว บางคนมีอาการอ่อนเพลีย ปวดแขน ปวดขา ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือบางคนอาจมีอาการปวดท้องรุนแรง และอาการเหล่านี้เองที่ส่งผลทางด้านอารมณ์ตามมา เช่น หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย หรืออารมณ์เสียบ่อยๆ และอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อปริมาณของประจำเดือนในแต่ละคนด้วยเช่นกัน จริงหรือไม่? ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น? วารสารทางการแพทย์หลายฉบับระบุว่า ภูมิคุ้มกันโรคของผู้หญิงจะลดต่ำลงระหว่างมีรอบเดือน จึงเป็นที่มาของคำแนะนำที่ว่า ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น ห้ามทานไอศกรีม หรือแม้กระทั่งห้ามอาบน้ำเย็น เพราะในขณะที่ร่างกายเราอ่อนแอ แล้วอยู่ดีๆ เราทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเราเย็นลงกว่าปกติ เมื่อนั้นเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว หรือมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จะฉวยโอกาสในตอนนี้เข้ามาทำร้ายสุขภาพของคุณ จนเจ็บป่วยได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า การดื่มน้ำเย็น จะทำให้เกิดสิ่งผิดปกติกับการมีประจำเดือน เช่น ประจำเดือนจะออกไม่หมด ประจำเดือดจะออกมาเป็นลิ่มเลือด จะปวดท้องประจำเดือนหนักกว่าเดิม หรือประจำเดือนจะมาไม่ปกติ ฯลฯ แต่เหตุผลที่แนะนำไม่ให้ดื่มน้ำเย็น เพียงเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้แข็งแรงในช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยไข้มากกว่า วิธีดูแลสุขภาพระหว่างมีประจำเดือน นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายได้ตามปกติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำดื่มอุณหภูมิห้อง เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในร่างกายอย่างรวดเร็ว ระมัดระวังความสะอาดของจุดซ่อนเร้นเป็นพิเศษ เพราะช่วงมีประจำเดือน ปากมดลูกจะเปิดมากกว่าเดิม อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย คุณผู้ชายที่อยู่ข้างกายคุณผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ก็ช่วยดูแลเอาใจใส่ และเข้าใจคุณผู้หญิงกันหน่อยแล้วกันนะคะ Jurairat N. ขอขอบคุณ ข้อมูล :รายการ Happy and Healthy ภาพ :iStock

ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น? จริงหรือไม่? ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น? ช่วงมีประจำเดือน เป็นช่วงที่เปราะบางของผู้หญิง และผู้หญิงหลายคนก็มีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนปวดท้องมาก บางคนไม่ปวดเลย บางคนสิวขึ้น อยากทานอาหารรสจัด หน้าอกใหญ่ขึ้น หรือแม้กระทั่งหงุดหงิดง่ายกว่าเดิม แต่สำหรับเรื่อง “น้ำเย็น” หลายคนอาจเคยได้ยินว่าช่วงมีประจำเดือนไม่ควรดื่มน้ำเย็น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Sanook! Health มีคำตอบมาฝากกันค่ะ ทำไมผู้หญิงที่มีประจำเดือน ถึงมีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น? เพราะช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่สมดุลเหมือนปกติ ร่างกายจะเกิดความอ่อนแอขึ้นเล็กน้อย เพราะร่างกายสูญเสียของเหลวออกไปปริมาณหนึ่ง ผู้หญิงคนไหนที่สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ช่วงนี้อาจจะเจ็บป่วยได้ง่าย บางคนอาจแค่ไม่สบายตัว บางคนมีอาการอ่อนเพลีย ปวดแขน ปวดขา ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือบางคนอาจมีอาการปวดท้องรุนแรง และอาการเหล่านี้เองที่ส่งผลทางด้านอารมณ์ตามมา เช่น หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย หรืออารมณ์เสียบ่อยๆ และอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อปริมาณของประจำเดือนในแต่ละคนด้วยเช่นกัน จริงหรือไม่? ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น? วารสารทางการแพทย์หลายฉบับระบุว่า ภูมิคุ้มกันโรคของผู้หญิงจะลดต่ำลงระหว่างมีรอบเดือน จึงเป็นที่มาของคำแนะนำที่ว่า ผู้หญิงมีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำเย็น ห้ามทานไอศกรีม หรือแม้กระทั่งห้ามอาบน้ำเย็น เพราะในขณะที่ร่างกายเราอ่อนแอ แล้วอยู่ดีๆ เราทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเราเย็นลงกว่าปกติ เมื่อนั้นเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว หรือมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จะฉวยโอกาสในตอนนี้เข้ามาทำร้ายสุขภาพของคุณ จนเจ็บป่วยได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า การดื่มน้ำเย็น จะทำให้เกิดสิ่งผิดปกติกับการมีประจำเดือน เช่น ประจำเดือนจะออกไม่หมด ประจำเดือดจะออกมาเป็นลิ่มเลือด จะปวดท้องประจำเดือนหนักกว่าเดิม หรือประจำเดือนจะมาไม่ปกติ ฯลฯ แต่เหตุผลที่แนะนำไม่ให้ดื่มน้ำเย็น เพียงเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้แข็งแรงในช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยไข้มากกว่า วิธีดูแลสุขภาพระหว่างมีประจำเดือน นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายได้ตามปกติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำดื่มอุณหภูมิห้อง เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในร่างกายอย่างรวดเร็ว ระมัดระวังความสะอาดของจุดซ่อนเร้นเป็นพิเศษ เพราะช่วงมีประจำเดือน ปากมดลูกจะเปิดมากกว่าเดิม อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย คุณผู้ชายที่อยู่ข้างกายคุณผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ก็ช่วยดูแลเอาใจใส่ และเข้าใจคุณผู้หญิงกันหน่อยแล้วกันนะคะ Jurairat N. ขอขอบคุณ ข้อมูล :รายการ Happy and Healthy

เร็วๆๆนี้ครับ

ผมว่าอีกนานครับ

นานคับถ้ายังมีเมีย

คงยากครับ เฮ้ิอออ

อังกฤษพบรายแรก ติดโควิด-19 ทำให้หูดับ แพทย์อังกฤษเตือน การติดโควิด-19 อาจทำให้หูดับได้ หลังพบผู้ป่วยโควิด-19 สูญเสียการได้ยินของหู 1 ข้าง นับเป็นรายแรกของอังกฤษ ขณะที่ทั่วโลกพบกรณีแบบนี้แล้ว 4 ราย

นายทัศเนศวร์ เพชรคง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ออกประกาศด่วนเรื่อง ประกาศแจ้งปิดเกาะสิมิลันชั่วคราว

ตามที่มีการแนะนำ เรื่อง น้ำอัญชันต้ม รักษาโรคภูมิแพ้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

ตามที่มีการแชร์ข้อความในสื่อออนไลน์ต่างๆ เรื่อง อาการมือ-เท้าชา ที่มีสาเหตุมาจากขาดวิตามินบี เป็นสัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

ตามที่มีการเผยแพร่เตือนประเด็นเรื่องริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

Thailand Web Stat หน้าแรก ข่าวทั่วไป ประกาศแจ้งปิดการท่องเที... ประกาศแจ้งปิดการท่องเที่ยวเกาะสิมิลันชั่วคราว ประกาศแจ้งปิดการท่องเที่ยวเกาะสิมิลันชั่วคราว 15 ตุลาคม 2563 - 14:43 น. 823 widget-line ติดตามข่าวสารผ่าน 'คมชัดลึก' Line Official นายทัศเนศวร์ เพชรคง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ออกประกาศด่วนเรื่อง ประกาศแจ้งปิดเกาะสิมิลันชั่วคราววันนี้ (15 ต.ค.2563) ข่าวช็อก!หญิงสาวจากกรุงเทพ กลายเป็นมหาเศรษฐีโดยใช้วิธีนี้!ดูวิธี Women'sbeauty (15 ต.ค.2563) นายทัศเนศวร์ เพชรคง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ออกประกาศด่วนเรื่อง ปิดการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันเป็นการชั่วคราว

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) · 4h รับประทานยาน้ำบำรุงเลือดสำหรับสตรีในปริมาณที่พอเหมาะ จะเห็นได้ว่ายาสตรีมีประโยชน์ต่อผู้หญิงมาก แต่การรับประทานมากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนที่จะใช้ยาทุกครั้ง

ข่าว > ต่างประเทศ อังกฤษพบรายแรก ติดโควิด-19 ทำให้หูดับ ไทยรัฐออนไลน์ 15 ต.ค. 2563 09:15 น. บันทึก SHARE อังกฤษพบรายแรก ติดโควิด-19 ทำให้หูดับ แพทย์อังกฤษเตือน การติดโควิด-19 อาจทำให้หูดับได้ หลังพบผู้ป่วยโควิด-19 สูญเสียการได้ยินของหู 1 ข้าง นับเป็นรายแรกของอังกฤษ ขณะที่ทั่วโลกพบกรณีแบบนี้แล้ว 4 ราย

หมอเตือน "ตาเหลือง ตัวเหลือง" อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคมะเร็งตับ ระบุไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละ 20,000 คน สาเหตุไม่ใช่แค่การดื่มเหล้า แต่ยังมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี และซี แนะสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แน่นท้อง ตัวเหลือง ท้องโต มีอาการขาบวม

น้ำดื่มที่บรรจุขวด PET และเก็บในรถที่จอดตากแดดนั้น ไม่ได้อันตราย ไม่ได้มีสารก่อมะเร็งปนเปื้อน ตัวของขวดPET เอง ก็สามารถเก็บน้ำดื่มไว้ได้นานถ้ายังไม่ได้เปิดขวด (แต่ก็ควรจัดเก็บในที่ที่ไม่ร้อน ไม่ใช่เอาไปตากแดดไว้เวลาหลายเดือน) และถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรเอามาใช้ซ้ำ ก็ด้วยสาเหตุเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอาจจะเข้าไปตกค้างในขวด ไม่ใช่เพราะสารอันตรายจากตัวขวดพลาสติกแต่อย่างใด

ตามที่มีการแชร์ข้อความในสื่อออนไลน์ต่างๆ เรื่อง อาการมือ-เท้าชา ที่มีสาเหตุมาจากขาดวิตามินบี เป็นสัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

"ราชกิจจานุเบกษา" ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร

การปล่อยยุงจะปล่อยเฉพาะตัวผู้ที่มีเชื้อวูลบัคเคีย หรือแม้แต่การนำมือเข้าไปในกรง มันเป็นกรงที่มีแต่ยุงตัวผู้มันก็เลยไม่กัด ไม่ใช่เป็นการสร้างยุงชนิดใหม่ขึ้นมาที่ไม่กัดคน

เนื้อหานี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

มะกรูดเป็นพืชที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน น้ำคั้นมะกรูดมีรสเปรี้ยว ผิวมะกรูด และใบมะกรูดมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นิยมนำมาประกอบอาหาร และปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดให้เลือกใช้กันอีกด้วย มะกรูดมีประโยชน์หลายอย่างจึงเกิดคำถามดื่มมะกรูดหมักน้ำตาล แก้เจ็บคอ แก้ท้องอืดเลือดไหลเวียนดี จริงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จริง อีกทั้งมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหากดื่มเป็นประจำทำให้เกิดโรค เบาหวาน ความดัน หัวใจ ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดเป็นอาหารไม่ใช่ยาไม่สามารถบรรเทา/รักษาอาการต่าง ๆ ได้ ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดเพื่อหวังผลในการบรรเทา/รักษาอาการ เจ็บคอ ท้องอืด หรือเพิ่มการไหลเวียนของเลือด หากรู้สึกไม่สบาย หรือเกิดความผิดปกติของร่างกาย แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมะกรูดสำหรับประกอบอาหารได้ และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยสังเกตเครื่องหมาย อย. ก่อนซื้อทุกครั้ง

ไม่ควรแชร์ต่ออย่างยิ่ง❌ หากพบเจอควรแจ้ง อย. เพื่อดำเนินการต่อไป

เลือดกำเดาไหล เกิดจากการที่เส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะ และแตกง่าย อาการที่พบ คือ มีเลือดไหลออกจากรูจมูก โดยเลือดสามารถหยุดไหลได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหล ได้แก่ 1. อากาศแห้ง 2. แคะจมูก สั่งน้ำมูกแรง 3. จมูกได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง 4. การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้โพรงจมูกแห้ง เช่น ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นต้น 5. โรคบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคฮีโมฟีเลย โรคหวัด เป็นต้น อาการเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ผู้ที่เป็นสามารถดูแลตนเองได้โดยการห้ามเลือด ซึ่งทำโดย 1. นั่งตัวตรงอยู่นิ่ง ๆ 2. ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบรูจมูก ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วหายใจทางปาก ประมาณ 5 นาที จนเลือดหยุดไหล อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือผ้าห่อน้ำแข็งวางไว้บริเวณสันจมูก จากที่มีการพูดกันเป็นประจำว่าหากเลือดกำเดาไหลห้ามเงยหน้า นั้นเป็นความจริง เพราะหากเงยหน้าอาจทำให้กลืนเลือดลงสู่กระเพาะอาหารแล้วทำให้เกิดการอาเจียน จนอาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ ดังนั้น ไม่ควรเงยหน้า และหากมีเลือดไหลลงสู่ลำคอ ควรรีบคายเลือดออกมา การปฏิบัติตัวอื่นๆ ที่ควรทำ ได้แก่ 1. พยายามไม่สั่งน้ำมูกแรง 2. ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศแห้ง 3. หากต้องมีการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาต้านฮิสตามีน หรือยาแก้คัดจมูก (Antihistamines) ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพราะยาเหล่านี้สามารถทำให้จมูกแห้งได้ โดยหากมีภาวะเลือดกำเดาไหลเป็นประจำ เลือดกำเดามีปริมาณมาก และมีอาการหน้ามืด ควรรีบไปพบแพทย์

ข้อความดังกล่าว เป็นข้อความหลอกลวง และเก่าแล้ว โดยมีการแชร์กันในหลายภาษา ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย