ข่าวจริงหรือข่าวลวง

"ไม่เคยมีรายงาน ว่าเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ จะติดต่อระหว่างคนได้ ผ่านการกัดของยุงครับ" แต่ยุง เป็นพาหะนำโรคที่น่ากลัวมากๆๆ .... คนไทยพึ่งเสียชีวิตด้วยโรคโควิด19 เพียงคนเดียว แต่เสียชีวิตเพราะโรคจากยุง เช่น โรคไข้เลือดอก เป็นร้อยเป็นพันราย ในแต่ละปีครับ อ้างอิง: เฟสบุค อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

องค์การอนามัยโลกได้ให้คำตอบไว้ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อโควิด-19 ไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านยุงได้ ไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ จึงมักติดกันผ่านฝอยละอองไอ จาม หรือน้ำลายของผู้ป่วย แม้จะยังไม่มีข้อมูล หรือหลักฐานชี้ชัดที่บ่งชี้ว่า ยุงเป็นพาหะนำโรคได้ ทว่าการที่เราโดนยุงกัดมากๆ ก็อาจทำให้เราเป็นโรคอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย เท้าช้าง หรือชิคุนกุนยา ฉะนั้นทางที่ดี จึงควรป้องกันตนเองจากยุงด้วย และไม่ไปอยู่ในที่ยุงชุกชุม

งานวิจัยยังบอกว่า ถึงแม้ว่าเชื้อโคโรน่าไวรัสพวกนี้จะอยู่บนพื้นผิววัตถุได้นานเป็นสัปดาห์ แต่มันก็จะไม่มีฤทธิ์เดชอะไรถ้าอุณหภูมิเกิน 86 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 30 องศาเซลเซียส แถมมันยังสามารถกำจัดได้โดยง่าย ด้วยการใช้น้ำยาทำความสะอาดภายในบ้านเรือนทั่วๆ ไป เช่น ใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ 62-71% หรือน้ำยาที่ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% หรือน้ำยาที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรต์ 0.1% (คือพวกน้ำยาฟอกผ้าขาว) ก็สามารถจัดการเชื้อโคโรน่าไวรัสได้ในเวลาไม่กี่นาที ... ซึ่งทั้งหมดนี้ นักวิจัยเค้าคาดหวังว่า มันจะได้ผลเหมือนกันกับเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ดู https://www.livescience.com/how-long-coronavirus-last-surfaces.html)

งานวิจัยยังบอกว่า ถึงแม้ว่าเชื้อโคโรน่าไวรัสพวกนี้จะอยู่บนพื้นผิววัตถุได้นานเป็นสัปดาห์ แต่มันก็จะไม่มีฤทธิ์เดชอะไรถ้าอุณหภูมิเกิน 86 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 30 องศาเซลเซียส แถมมันยังสามารถกำจัดได้โดยง่าย ด้วยการใช้น้ำยาทำความสะอาดภายในบ้านเรือนทั่วๆ ไป เช่น ใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ 62-71% หรือน้ำยาที่ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% หรือน้ำยาที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรต์ 0.1% (คือพวกน้ำยาฟอกผ้าขาว) ก็สามารถจัดการเชื้อโคโรน่าไวรัสได้ในเวลาไม่กี่นาที ... ซึ่งทั้งหมดนี้ นักวิจัยเค้าคาดหวังว่า มันจะได้ผลเหมือนกันกับเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ดู https://www.livescience.com/how-long-coronavirus-last-surfaces.html) https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/869838

แพทย์ รพ.ศิริราช ยืนยัน น้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู ฆ่าเชื้อโควิด19 ไม่เป็นความจริง รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ได้ออกมายืนยันถึงเรื่องนี้ว่าเนื้อหาเหล่านั้นยังไม่ได้พิสูจว่าเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอาน้ำส้มสายชูผสมน้ำเกลือจริงๆอาจจะฆ่าเชื้อได้ แต่ร่างกายก็อาจจะถูกทำลายไปด้วย

แต่คนจำนวนมากได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสนี้ ผ่านการหายใจเข้าไปทางจมูกนะครับ ดังนั้นการกลั้วคอ จึงไม่ได้ช่วยอะไรเลยกับเชื้อที่อยู่ในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ... ทั้งน้ำเกลือและน้ำส้มสายชู ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสนี้ได้ด้วย อ้างอิง: เฟสบุค อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

นพ.พิเชฐ บัญญัติ เลขาธิการสมาคมเวชกรรมไทย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และอดีตนายกสภาการแพทย์แผนไทย กล่าวในเฟสบุคว่า ฟ้าทะลายโจรแคปซูลชนิดเดียว ไม่มีที่ใช้ในพระคัมภีร์แพทย์แผนไทยในการรักษากลุ่มโรคไข้พิษไข้กาฬที่โควิด 19 จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ในการรักษาโรคแพทย์แผนไทย จะไม่ใช้สมุนไพรชนิดเดียวเป็นยารักษาผู้ป่วย เพราะผลการรักษาจะไม่ดี และจะมีพิษต่อร่างกายได้ง่าย มีอันตรายมากกว่าผลดีที่ได้ ฟ้าทะลายโจร มีรสขม ถือเป็นยาเย็นจัด คนปกติไม่ควรใช้เพราะแสลงต่ออวัยวะที่ต้องใช้ความร้อน เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ยิ่งจะใช้ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจด้วยแล้ว กลับจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น เพราะ สมุนไพรรสขม จะทำให้แห้ง ส่งผลให้เสมหะ (น้ำเมือก/mucous) ที่ป้องกันเยื่อบุผิวทางเดินหายใจหย่อนหรือแห้ง จะติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น จึงไม่แนะนำให้กินฟ้าทะลายโจรแคปซูลป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ยิ่งกินเกิน 5-7 วัน อาจทำลายเนื้อเยื่อตับ ทำให้ตัวเหลืองตาเหลืองเป็นดีซ่านได้

ข้อความนี้สั้นเกินไป อาจจะเกิดจากผู้ใช้งานพิมพ์ข้อความเข้ามาเอง ข้อความนี้สั้นเกินไป อาจจะเกิดจากผู้ใช้งานพิมพ์ข้อความเข้ามาเอง นพ.พิเชฐ บัญญัติ เลขาธิการสมาคมเวชกรรมไทย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และอดีตนายกสภาการแพทย์แผนไทย กล่าวในเฟสบุคว่า ฟ้าทะลายโจรแคปซูลชนิดเดียว ไม่มีที่ใช้ในพระคัมภีร์แพทย์แผนไทยในการรักษากลุ่มโรคไข้พิษไข้กาฬที่โควิด 19 จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ในการรักษาโรคแพทย์แผนไทย จะไม่ใช้สมุนไพรชนิดเดียวเป็นยารักษาผู้ป่วย เพราะผลการรักษาจะไม่ดี และจะมีพิษต่อร่างกายได้ง่าย มีอันตรายมากกว่าผลดีที่ได้ ฟ้าทะลายโจร มีรสขม ถือเป็นยาเย็นจัด คนปกติไม่ควรใช้เพราะแสลงต่ออวัยวะที่ต้องใช้ความร้อน เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ยิ่งจะใช้ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจด้วยแล้ว กลับจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น เพราะ สมุนไพรรสขม จะทำให้แห้ง ส่งผลให้เสมหะ (น้ำเมือก/mucous) ที่ป้องกันเยื่อบุผิวทางเดินหายใจหย่อนหรือแห้ง จะติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น จึงไม่แนะนำให้กินฟ้าทะลายโจรแคปซูลป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ยิ่งกินเกิน 5-7 วัน อาจทำลายเนื้อเยื่อตับ ทำให้ตัวเหลืองตาเหลืองเป็นดีซ่านได้

การแพทย์แผนไทยประยุกต์ศิริราช บอกว่าไม่ควรรับประทานเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันไข้หวัด ให้ใช้ในกรณีรักษาบรรเทาอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หากใช้ติดกัน 3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องหยุดรับประทาน และหากแพ้หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้นต้องหยุดใช้ทันที ถ้ายังไม่ป่วยก็อย่ารับประทานเป็นอันตรายได้

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เผย! 'สารแอดโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจร ช่วยรักษา COVID-19' เป็นข้อมูลเท็จ "ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ" ยังไม่มีการประกาศตามที่เป็นข่าว

ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่ารักษาโคโรนาไวรัสได้ ปัจจุบันกินเพื่อป้องกันได้แต่ไม่ใช่กินเพื่อการรักษา และมีข้อพึงระวังมากมายหากจะใช้ให้ปลอดภัย

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข อธิบายว่า ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่เมื่อทานเข้าไปแล้วสามารถสร้างความสมดุลให้ร่างกายได้ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยตรง แต่จะเป็นยาเย็นที่ช่วยทำให้มีการหลั่งสารคัดหลั่งในทางเดินหายใจที่จะช่วยป้องกันเคลือบให้ไวรัสโจมตีเข้าถึงปอดได้ยากขึ้น ทำให้ร่างกายจะต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้นได้และช่วยให้ระบบทางเดินหายใจมีภูมิต้านทานมากขึ้น

ไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการอะไรรองรับกับไอเดียที่บอกว่า "สูบกัญชาแล้ว สารในกัญชาจะไปเคลือบผิวถุงลมปอด ทำให้เชื้อฝังตัวไม่ได้" นะครับ !! อ้างอิง: Facebook อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

ไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการอะไรรองรับกับไอเดียที่บอกว่า "สูบกัญชาแล้ว สารในกัญชาจะไปเคลือบผิวถุงลมปอด ทำให้เชื้อฝังตัวไม่ได้" นะครับ !! อ้างอิง: Facebook อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

น้ำพลาสม่ากำจัดไวรัสโคโรนาไม่ได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด

หลังจากที่มีการแชร์ข้อความไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แพร่กระจายผ่านทางอากาศ กรมควบคุมโรคขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา จะแพร่ผ่านละอองเสมหะ (droplets) ไม่ใช่การแพร่กระจายทางอากาศ (airborne) ซึ่งผู้รับเชื้อต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ไอ จาม ในระยะน้อยกว่า 90 ซม. และต้องสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เข้าทางเยื่อเมือก แต่เชื้อไวรัสโคโรนาสามารถป้องกันได้ ขอให้ทุกคนดูแลร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย

สธ.แถลงไทยยังไม่พบผู้ติดเชื้อ "โควิด-19" เพิ่ม ยันแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยไม่ใช่ทางอากาศ

กรมควบคุมโรค ชี้ "ปัสสาวะ" ไม่แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา

กรมควบคุมโรคชี้ "ปัสสาวะ" ไม่แพร่เชื้อ #ไวรัสโคโรนา “ปัสสาวะไม่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ไม่ใช่สารคัดหลั่ง เป็นเพียงของเสียจากร่างกายเท่านั้น จึงไม่ทำให้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างแน่นอน”

"การจิบน้ำ ไม่ได้ช่วยรักษาป้องกันเชื้อโคโรน่าไวรัส" เชื้อโคโรน่าไวรัสนั้น เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ และสามารถเข้าสู่ปอดของเราผ่านไปได้หลายทาง ทั้งทางปาก ทางจมูก หรือแม้แต่ทางดวงตา ... ดังนั้น การดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อล้างเชื้อลงไปในปาก จึงไม่ได้ช่วยอะไรนัก

เขาบอกว่า เชื้อพวกนี้ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ 26-27 องศาจะตายไปเอง ? ... อันนี้ก็ไม่จริงนะครับ เพราะร่างกายคนเรา 37 องศาเซลเซียส มันยังอยู่ได้อย่างดีเลย และที่เขาบอกว่า ให้ดื่มน้ำเข้าไว้ โดยเฉพาะน้ำอุ่น ทำให้ร่างกายอุ่น ก็จะไม่ติดเชื้อแล้ว ? ... วันนี้ก็ไม่จริงอีกเช่นกันครับ การดื่มน้ำหรือทำตัวให้อุ่น ไม่ได้ช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ การป้องกันไม่ให้รับสารคัดหลั่งจากคนที่ติดเชื้อแล้วต่างหาก ที่จะป้องกันเชื้อไวรัสได้ (นั่นคือทำไมถึงต้องรณรงค์ ให้กินอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ และใส่หน้ากากอนามัยถ้าอยู่ใกล้ผู้ป่วย)

เชื้อไวรัสโคโรนาจะไม่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีระยะเวลาการขนส่งนาน จำนวนไวรัสที่เหลือรอดมีน้อย ดีที่สุด ควรเช็ดแอลกอฮอล์สิ่งของที่ส่งมาก่อนใช้

สั่งของออนไลน์จากจีน โอกาส "ติดเชื้อน้อย"

ไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าไปดูในสิทธิบัตร ก็จะเห็นว่า มันเป็นการจดสิทธิบัตรตัวเชื้อโคโรน่าไวรัส ที่แยกได้จากคนป่วยที่ติดโรคซาร์ส ตั้งแต่ปี 2007 ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของซีไอเออะไรอย่างที่ว่า