เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การปรับลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดติดลบอยู่ที่ราว 14,754 ล้านบาท โดยบัญชีน้ำมันเป็นบวก 26,910 ล้านบาท แต่บัญชี LPG ยังติดลบกว่า 41,000 ล้านบาท การลดราคาครั้งนี้จึงสะท้อนความพยายามของภาครัฐในการดูแลค่าครองชีพประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคงมากขึ้น จากการตรวจสอบกับแหล่งข่าวจริง (เช่น Matichon Online วันที่ 20 ต.ค. 2568) พบว่าเนื้อหาข่าวนี้เป็น “ข่าวจริง” โดยมีการยืนยันจากรัฐมนตรีพลังงานและระบุรายละเอียดการปรับลดราคาน้ำมันอย่างเป็นทางการ พร้อมมีแหล่งอ้างอิงชัดเจนจากกระทรวงพลังงานและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง.

ข่าวที่ระบุว่าการ “วางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งสมอง” เป็นประเด็นที่มีการแชร์ต่อกันมานาน แต่จากหลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันยัง ไม่พบข้อพิสูจน์ชัดเจน ว่าการวางโทรศัพท์มือถือใกล้ศีรษะ หรือการใช้โทรศัพท์มือถือบ่อย จะทำให้เกิดมะเร็งสมองโดยตรง งานวิจัยหลายชิ้นทั่วโลก รวมถึงขององค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันมะเร็งนานาชาติ (IARC) พบเพียงว่าโทรศัพท์มือถือปล่อย “คลื่นวิทยุ (RF radiation)” ซึ่งเป็นรังสีชนิดไม่ก่อไอออไนซ์ (non-ionizing radiation) ไม่สามารถทำลาย DNA เหมือนรังสีเอกซ์หรือรังสีนิวเคลียร์ได้ ผลที่เห็นได้จริงมีเพียงอาการร้อนหรืออุณหภูมิผิวสูงขึ้นเมื่อใช้แนบหูนาน ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่กังวลสามารถลดความเสี่ยงโดยหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์แนบหูนาน ๆ ใช้หูฟังหรือลำโพงแทน และไม่ควรวางโทรศัพท์ไว้ใกล้หัวขณะนอน เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นรบกวนและเพิ่มความปลอดภัยด้านอื่น เช่น ความร้อนจากอุปกรณ์หรือแบตเตอรี่

ข่าวดังกล่าวเล่าว่าอดีตแก๊งคอลเซ็นเตอร์เปิดเผยกลโกงใหม่ที่สามารถ “ดูดเงินออกจากบัญชีได้เพียงแค่คุยกับเหยื่อ 2 นาที” โดยอ้างว่าเพียงพูดคุยและให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ เลขบัตรประชาชน หรือวันเกิด ก็สามารถถูกแฮกเงินออกจากบัญชีได้ทันที ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สมาคมธนาคารไทยและศูนย์ TB-CERT ได้ออกมาชี้แจงว่า เรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง และไม่มีระบบใดที่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงินได้ ธนาคารไทยทั้งหมดไม่มีเทคโนโลยี “ดูดเงินด้วยเสียง” และยังไม่พบกรณีที่เกิดขึ้นจริง ระบบยืนยันตัวตนของธนาคารในปัจจุบันใช้วิธีสแกนหน้า รหัสผ่าน หรือรหัส OTP เท่านั้น สรุปแล้ว ข่าว “คุย 2 นาที เงินหายหมดบัญชี” เป็นข่าวเท็จ หรือ เฟคนิวส์ ที่ไม่มีมูลความจริงตามที่สมาคมธนาคารไทยยืนยัน แต่ประชาชนยังควรระวังมิจฉาชีพที่อาจใช้วิธีหลอกให้กดลิงก์ ดาวน์โหลดแอปปลอม หรือให้ข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเป็นช่องทางจริงที่อาจนำไปสู่การถูกขโมยเงินจากบัญชีได้.

บทความนี้อธิบายว่าในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากฟ้าผ่าประมาณ 24,000 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 240,000 คน โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกอาคาร แต่ก็มีกรณีที่ฟ้าผ่าทำอันตรายคนภายในอาคารได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น อาบน้ำ ล้างจาน หรือล้างมือ เพราะน้ำและโลหะในท่อน้ำสามารถนำไฟฟ้าได้ เมื่อฟ้าผ่าลงมาบริเวณบ้าน กระแสไฟฟ้าอาจไหลผ่านท่อน้ำและฝักบัวมาถึงร่างกายคนได้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำทุกชนิดในช่วงพายุฝนฟ้าคะนอง และควรรออย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหลังเสียงฟ้าร้องสุดท้ายก่อนจะอาบน้ำ นอกจากนี้ยังเตือนให้หลีกเลี่ยงการนอนบนพื้นคอนกรีตหรือพิงผนังเพราะเหล็กเส้นภายในอาจนำไฟฟ้าได้ ข่าวนี้ เป็นเรื่องจริง ข้อมูลดังกล่าวมีแหล่งอ้างอิงจาก CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ซึ่งออกคำเตือนอย่างเป็นทางการว่าไม่ควรอาบน้ำ ล้างจาน หรือล้างมือระหว่างพายุฟ้าคะนอง เพราะมีความเสี่ยงที่กระแสไฟจากฟ้าผ่าจะไหลผ่านระบบท่อน้ำหรือโลหะภายในบ้านมายังผู้ใช้ได้ แม้โอกาสจะไม่สูงมาก แต่ถือเป็นอันตรายที่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำจนกว่าพายุจะสงบ.

มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง โดยขวดนํ้ารุ่นนี้ มีลักษณะเป็นสแตนเลสสีเงิน ฝาเกลียวสีดำ และมีรหัสสินค้า 83-662 ขายมาตั้งแต่ปี 2017 ผ่านทั้งหน้าร้าน Walmart และช่องทางออนไลน์ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้นำขวดไปใส่น้ำอัดลมหรือของเหลวที่ทำให้เกิดแรงดัน เมื่อเปิดฝา แรงดันภายในทำให้ฝาขวดพุ่งออกอย่างรวดเร็วและแรงเกินควบคุม แม้จะมีรายงานเพียงไม่กี่กรณี แต่เหตุการณ์นี้ถือเป็นการเตือนให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับของร้อนหรือแรงดัน

-

-

-

-

-

เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและใช้ภาพเอไอ

"สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)" ได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดทางให้ผู้ป่วยโรงพยาบาลเอกชนเลือกซื้อยาจากร้านยาภายนอกเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดย อย. เปิดให้ร้านยาที่มีความพร้อมลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 'ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า' แบบสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 นี้ ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ อย. จัดทำขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและยกระดับมาตรฐานบริการแก่ประชาชน

กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้านโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและลดภาระค่าใช้จ่าย โดยมีแผนขยายบริการปลูกถ่ายไตให้ครอบคลุมครบ 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ พร้อมเตรียมเปิดระบบ “นัดหมายออนไลน์” ผ่านแอปสุขภาพของรัฐ เริ่มนำร่องวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ก่อนจะขยายอีก 3 แห่งในระยะต่อมา ขณะเดียวกัน สปสช. อยู่ระหว่างปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว และพัฒนา “Super App” ด้านสุขภาพที่เชื่อมข้อมูลทุกหน่วยบริการเข้าด้วยกันภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง Medical & Wellness Hub และขยายบริการประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ชายแดน

ธนาคารกรุงไทยได้เปิดช่องทาง “LINE Krungthai Connext” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้จ่ายในโครงการภาครัฐผ่านแอปฯ เป๋าตัง เช่น การเช็กยอดสิทธิคงเหลือ การแจ้งเตือนยอดใช้จ่าย และการดูความเคลื่อนไหวของ G-Wallet รวมถึงสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยตรง ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้เป็นของจริงและเปิดให้บริการอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลหรือกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเปิด “โครงการคนละครึ่ง 2568” หรือ “คนละครึ่งพลัส” แต่อย่างใด การใช้ข้อความว่า “มาแล้ว” หรือ “เปิดแล้ว” จึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้ สรุปได้ว่าข่าวนี้ “จริงบางส่วน” เพราะช่องทางเช็กสิทธิผ่าน LINE Krungthai Connext มีอยู่จริง แต่โครงการ “คนละครึ่ง 2568” ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในขณะนี้

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยมีแนวคิดให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท หากเดินทางไปเที่ยวในเมืองรองจะได้รับสิทธิลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง ส่วนเมืองหลักจะลดหย่อนได้ตามค่าใช้จ่ายจริงหนึ่งเท่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงปลายปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการระหว่างวันที่ 29 ตุลาคมถึง 15 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ มาตรการยังอยู่ระหว่างขั้นตอนเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงยังไม่ได้ประกาศใช้จริงในขณะนี้

ภาพที่ถูกแชร์ว่าเป็นเหตุการณ์ “ชาวกัมพูชาประท้วงในเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเกาหลีเสียชีวิตในกัมพูชา” เป็น ข่าวเท็จ โดยเพจ “ตะลอน ทั่วกรุง” ได้โพสต์ภาพกลุ่มคนถือธงกัมพูชา พร้อมข้อความกล่าวอ้างว่าแรงงานเขมรรวมตัวกันเพื่อปกป้องชื่อเสียงประเทศ หลังถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการเสียชีวิตของนักศึกษาเกาหลีใต้ แต่จากการตรวจสอบของโคแฟค (Cofact) พบว่าภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เก่าเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา คลิปต้นฉบับถูกโพสต์โดยชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้เพื่อประท้วงประเทศไทย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีนักศึกษาเกาหลีใต้แต่อย่างใด ภายหลังมีผู้หยิบภาพนี้มาใช้ในบริบทใหม่ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในช่วงที่สังคมกำลังสนใจข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาเกาหลีใต้ในกัมพูชา

คลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็น “มวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา” เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เป็น ข่าวเท็จ โดยเพจเฟซบุ๊ก “กูนึกแล้ว” ได้โพสต์คลิปน้ำหลากรุนแรง พร้อมข้อความบิดเบือนให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ในกัมพูชา แต่จากการตรวจสอบของโคแฟค (Cofact) พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริงในเมืองเกเรตาโร (Querétaro) ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าว The Daily Guardian ของอินเดีย ภายในคลิปปรากฏรถสีขาวที่มีตัวอักษร “IZZI” บนประตู ซึ่งเป็นชื่อบริษัทโทรคมนาคมของเม็กซิโก ยืนยันชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเวียดนามหรือกัมพูชาเลย ทั้งนี้ คลิปเดียวกันเคยถูกแชร์บิดเบือนในหลายประเทศ โดยอ้างว่าเป็นน้ำท่วมในเท็กซัสและฟิลิปปินส์ ซึ่ง AFP Fact Check ได้ยืนยันแล้วว่าคือเหตุการณ์ในเม็กซิโกจริง

กรณีชายที่จังหวัดบุรีรัมย์เผลอดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำอัดลม แล้วแพทย์ไม่ทำการล้างท้องให้นั้น เป็นเรื่องจริง และมีเหตุผลทางการแพทย์รองรับอย่างถูกต้อง น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นกรดจัด ซึ่งจะกัดกร่อนเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร การล้างท้องต้องใส่ท่อผ่านทางจมูกเข้าสู่กระเพาะ ซึ่งอาจทำให้ผนังหลอดอาหารที่ถูกกรดกัดอยู่แล้วทะลุได้ และยังเสี่ยงที่ของเหลวกรดจะไหลย้อนกลับไปทำลายเนื้อเยื่อหรือเข้าสู่ปอด จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์ ห้ามทำการล้างท้องในกรณีนี้ แพทย์สาธารณสุขจังหวัดและศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ยืนยันตรงกันว่า การล้างท้องใช้ได้เฉพาะบางกรณี เช่น กินยาเกินขนาดหรือสารพิษที่ไม่กัดกร่อนเท่านั้น ส่วนกรณีที่กินสารกรด ด่าง หรือไฮโดรคาร์บอน ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด แม้ชายผู้ป่วยรายนี้จะเสียชีวิตในภายหลัง แต่แนวทางการรักษาของแพทย์ถือว่าถูกต้องตามหลักวิชาการ

เอกสารของบริษัทไฟเซอร์ที่ถูกเผยแพร่ ไม่ได้มาจากการแพ้คดีหรือการถูกศาลบังคับเปิดเผย แต่เป็นเอกสารที่ออกตามกระบวนการปกติขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ผ่านกฎหมาย FOIA เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ข้อมูลในรายงานเหล่านั้นเป็น ข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ที่ถูกรวบรวมหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนกระแสข่าวเรื่อง “ถอนพิษวัคซีน” ด้วยสมุนไพร อาหารเสริม หรือวิธีทางเลือกต่างๆ นั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ใดรองรับ และองค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 รวมถึงไฟเซอร์ ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดและมีความปลอดภัยสูง

“สั่งเปิดมอเตอร์เวย์บางขุนเทียน–เอกชัย 22 ต.ค.นี้” เป็น ข่าวจริง โดยมีที่มาจากคำแถลงของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) สายยกระดับบางขุนเทียน–บ้านแพ้ว และยืนยันว่า ช่วงบางขุนเทียน–เอกชัย ระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชน ทดลองใช้ฟรี ไม่เก็บค่าผ่านทาง ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อกับโครงข่ายทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี–สุขสวัสดิ์) และวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ช่วยบรรเทาความแออัดบนถนนพระราม 2 โดยกระทรวงคมนาคมยังสั่งการให้เร่งเปิดช่วง เอกชัย–บ้านแพ้ว ระยะทาง 16 กิโลเมตร ภายในเทศกาลสงกรานต์ปี 2569 พร้อมเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น ติดตั้ง Safety Net บนสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน และปรับเวลาการก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในชั่วโมงเร่งด่วน

“คมนาคมดึงรถไฟฟ้าเพิ่ม 3 สาย ร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส” เป็น ข่าวจริง โดยเนื้อหามีที่มาจากรายงานของกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งระบุว่าได้เปิดให้ผู้ประกอบการระบบขนส่งมวลชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นวันแรก โดยนอกจากรถแท็กซี่ รถตู้ รถสองแถว และเรือโดยสารแล้ว กระทรวงฯ ยังได้เพิ่ม รถไฟฟ้าอีก 3 สาย ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง), รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย–มีนบุรี) และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (พญาไท–สุวรรณภูมิ) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในโครงการผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ เมื่อนับรวมกับสายรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมก่อนหน้า เช่น สีแดง ม่วง น้ำเงิน เขียว และทอง จะรวมทั้งหมด 8 สายทาง ระยะทางกว่า 286 กิโลเมตร กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าโครงการนี้จะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของประชาชน

ข้อความนี้ไม่ใช่ข่าวลวง

“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้” มีรายงานจริงจากเหตุการณ์ชายวัย 39 ปีในสมุทรปราการถูกมดตะนอยต่อยระหว่างตัดกิ่งไม้ แล้วเกิดอาการชักเกร็งและเสียชีวิตภายหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า มดตะนอยมีเหล็กในและต่อมพิษที่สามารถต่อยได้หลายครั้ง สารพิษของมันเป็นโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น เจ็บปวด หายใจติดขัด หรือแน่นหน้าอก หากรุนแรงอาจเกิดภาวะ “ช็อกจากการแพ้พิษ” (anaphylaxis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษแมลงอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นผู้ที่ถูกมดตะนอยกัดและมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที

“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้” มีรายงานจริงจากเหตุการณ์ชายวัย 39 ปีในสมุทรปราการถูกมดตะนอยต่อยระหว่างตัดกิ่งไม้ แล้วเกิดอาการชักเกร็งและเสียชีวิตภายหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า มดตะนอยมีเหล็กในและต่อมพิษที่สามารถต่อยได้หลายครั้ง สารพิษของมันเป็นโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น เจ็บปวด หายใจติดขัด หรือแน่นหน้าอก หากรุนแรงอาจเกิดภาวะ “ช็อกจากการแพ้พิษ” (anaphylaxis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษแมลงอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นผู้ที่ถูกมดตะนอยกัดและมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที

โดยปูที่กล่าวถึงคือ “ปูใบ้แดงลาย” หรือ “ปูใบ้เกล็ด” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lophozozymus pictor) ซึ่งเป็นปูในวงศ์ Xanthidae พบตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง มีลักษณะเด่นคือกระดองสีแดงถึงส้ม มีลายขาวคล้ายกระเบื้องโมเสก และก้ามปลายสีดำ ปูชนิดนี้จัดเป็นหนึ่งใน “ปูพิษ” ที่มีสารพิษรุนแรงสะสมในตัวจากอาหาร เช่น แพลงก์ตอนพิษ และแบคทีเรียบางชนิด พิษที่พบได้คือ Saxitoxin และ Tetrodotoxin ซึ่งเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า พิษดังกล่าวทนความร้อนได้สูง ไม่สลายแม้ผ่านการปรุงสุก ผู้ที่กินเข้าไปอาจมีอาการชา ปวดท้อง อาเจียน ช็อก หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรบริโภคปูชนิดนี้โดยเด็ดขาด