กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยมีแนวคิดให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท หากเดินทางไปเที่ยวในเมืองรองจะได้รับสิทธิลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง ส่วนเมืองหลักจะลดหย่อนได้ตามค่าใช้จ่ายจริงหนึ่งเท่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงปลายปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการระหว่างวันที่ 29 ตุลาคมถึง 15 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ มาตรการยังอยู่ระหว่างขั้นตอนเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงยังไม่ได้ประกาศใช้จริงในขณะนี้

ภาพที่ถูกแชร์ว่าเป็นเหตุการณ์ “ชาวกัมพูชาประท้วงในเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเกาหลีเสียชีวิตในกัมพูชา” เป็น ข่าวเท็จ โดยเพจ “ตะลอน ทั่วกรุง” ได้โพสต์ภาพกลุ่มคนถือธงกัมพูชา พร้อมข้อความกล่าวอ้างว่าแรงงานเขมรรวมตัวกันเพื่อปกป้องชื่อเสียงประเทศ หลังถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการเสียชีวิตของนักศึกษาเกาหลีใต้ แต่จากการตรวจสอบของโคแฟค (Cofact) พบว่าภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เก่าเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา คลิปต้นฉบับถูกโพสต์โดยชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้เพื่อประท้วงประเทศไทย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีนักศึกษาเกาหลีใต้แต่อย่างใด ภายหลังมีผู้หยิบภาพนี้มาใช้ในบริบทใหม่ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในช่วงที่สังคมกำลังสนใจข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาเกาหลีใต้ในกัมพูชา

คลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็น “มวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา” เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เป็น ข่าวเท็จ โดยเพจเฟซบุ๊ก “กูนึกแล้ว” ได้โพสต์คลิปน้ำหลากรุนแรง พร้อมข้อความบิดเบือนให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ในกัมพูชา แต่จากการตรวจสอบของโคแฟค (Cofact) พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริงในเมืองเกเรตาโร (Querétaro) ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าว The Daily Guardian ของอินเดีย ภายในคลิปปรากฏรถสีขาวที่มีตัวอักษร “IZZI” บนประตู ซึ่งเป็นชื่อบริษัทโทรคมนาคมของเม็กซิโก ยืนยันชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเวียดนามหรือกัมพูชาเลย ทั้งนี้ คลิปเดียวกันเคยถูกแชร์บิดเบือนในหลายประเทศ โดยอ้างว่าเป็นน้ำท่วมในเท็กซัสและฟิลิปปินส์ ซึ่ง AFP Fact Check ได้ยืนยันแล้วว่าคือเหตุการณ์ในเม็กซิโกจริง

กรณีชายที่จังหวัดบุรีรัมย์เผลอดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำอัดลม แล้วแพทย์ไม่ทำการล้างท้องให้นั้น เป็นเรื่องจริง และมีเหตุผลทางการแพทย์รองรับอย่างถูกต้อง น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นกรดจัด ซึ่งจะกัดกร่อนเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร การล้างท้องต้องใส่ท่อผ่านทางจมูกเข้าสู่กระเพาะ ซึ่งอาจทำให้ผนังหลอดอาหารที่ถูกกรดกัดอยู่แล้วทะลุได้ และยังเสี่ยงที่ของเหลวกรดจะไหลย้อนกลับไปทำลายเนื้อเยื่อหรือเข้าสู่ปอด จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์ ห้ามทำการล้างท้องในกรณีนี้ แพทย์สาธารณสุขจังหวัดและศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ยืนยันตรงกันว่า การล้างท้องใช้ได้เฉพาะบางกรณี เช่น กินยาเกินขนาดหรือสารพิษที่ไม่กัดกร่อนเท่านั้น ส่วนกรณีที่กินสารกรด ด่าง หรือไฮโดรคาร์บอน ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด แม้ชายผู้ป่วยรายนี้จะเสียชีวิตในภายหลัง แต่แนวทางการรักษาของแพทย์ถือว่าถูกต้องตามหลักวิชาการ

เอกสารของบริษัทไฟเซอร์ที่ถูกเผยแพร่ ไม่ได้มาจากการแพ้คดีหรือการถูกศาลบังคับเปิดเผย แต่เป็นเอกสารที่ออกตามกระบวนการปกติขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ผ่านกฎหมาย FOIA เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ข้อมูลในรายงานเหล่านั้นเป็น ข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ที่ถูกรวบรวมหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนกระแสข่าวเรื่อง “ถอนพิษวัคซีน” ด้วยสมุนไพร อาหารเสริม หรือวิธีทางเลือกต่างๆ นั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ใดรองรับ และองค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 รวมถึงไฟเซอร์ ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดและมีความปลอดภัยสูง

“สั่งเปิดมอเตอร์เวย์บางขุนเทียน–เอกชัย 22 ต.ค.นี้” เป็น ข่าวจริง โดยมีที่มาจากคำแถลงของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) สายยกระดับบางขุนเทียน–บ้านแพ้ว และยืนยันว่า ช่วงบางขุนเทียน–เอกชัย ระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชน ทดลองใช้ฟรี ไม่เก็บค่าผ่านทาง ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อกับโครงข่ายทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี–สุขสวัสดิ์) และวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ช่วยบรรเทาความแออัดบนถนนพระราม 2 โดยกระทรวงคมนาคมยังสั่งการให้เร่งเปิดช่วง เอกชัย–บ้านแพ้ว ระยะทาง 16 กิโลเมตร ภายในเทศกาลสงกรานต์ปี 2569 พร้อมเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น ติดตั้ง Safety Net บนสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน และปรับเวลาการก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในชั่วโมงเร่งด่วน

“คมนาคมดึงรถไฟฟ้าเพิ่ม 3 สาย ร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส” เป็น ข่าวจริง โดยเนื้อหามีที่มาจากรายงานของกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งระบุว่าได้เปิดให้ผู้ประกอบการระบบขนส่งมวลชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นวันแรก โดยนอกจากรถแท็กซี่ รถตู้ รถสองแถว และเรือโดยสารแล้ว กระทรวงฯ ยังได้เพิ่ม รถไฟฟ้าอีก 3 สาย ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง), รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย–มีนบุรี) และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (พญาไท–สุวรรณภูมิ) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในโครงการผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ เมื่อนับรวมกับสายรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมก่อนหน้า เช่น สีแดง ม่วง น้ำเงิน เขียว และทอง จะรวมทั้งหมด 8 สายทาง ระยะทางกว่า 286 กิโลเมตร กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าโครงการนี้จะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของประชาชน

ข้อความนี้ไม่ใช่ข่าวลวง

“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้” มีรายงานจริงจากเหตุการณ์ชายวัย 39 ปีในสมุทรปราการถูกมดตะนอยต่อยระหว่างตัดกิ่งไม้ แล้วเกิดอาการชักเกร็งและเสียชีวิตภายหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า มดตะนอยมีเหล็กในและต่อมพิษที่สามารถต่อยได้หลายครั้ง สารพิษของมันเป็นโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น เจ็บปวด หายใจติดขัด หรือแน่นหน้าอก หากรุนแรงอาจเกิดภาวะ “ช็อกจากการแพ้พิษ” (anaphylaxis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษแมลงอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นผู้ที่ถูกมดตะนอยกัดและมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที

“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้” มีรายงานจริงจากเหตุการณ์ชายวัย 39 ปีในสมุทรปราการถูกมดตะนอยต่อยระหว่างตัดกิ่งไม้ แล้วเกิดอาการชักเกร็งและเสียชีวิตภายหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า มดตะนอยมีเหล็กในและต่อมพิษที่สามารถต่อยได้หลายครั้ง สารพิษของมันเป็นโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น เจ็บปวด หายใจติดขัด หรือแน่นหน้าอก หากรุนแรงอาจเกิดภาวะ “ช็อกจากการแพ้พิษ” (anaphylaxis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษแมลงอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นผู้ที่ถูกมดตะนอยกัดและมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที

โดยปูที่กล่าวถึงคือ “ปูใบ้แดงลาย” หรือ “ปูใบ้เกล็ด” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lophozozymus pictor) ซึ่งเป็นปูในวงศ์ Xanthidae พบตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง มีลักษณะเด่นคือกระดองสีแดงถึงส้ม มีลายขาวคล้ายกระเบื้องโมเสก และก้ามปลายสีดำ ปูชนิดนี้จัดเป็นหนึ่งใน “ปูพิษ” ที่มีสารพิษรุนแรงสะสมในตัวจากอาหาร เช่น แพลงก์ตอนพิษ และแบคทีเรียบางชนิด พิษที่พบได้คือ Saxitoxin และ Tetrodotoxin ซึ่งเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า พิษดังกล่าวทนความร้อนได้สูง ไม่สลายแม้ผ่านการปรุงสุก ผู้ที่กินเข้าไปอาจมีอาการชา ปวดท้อง อาเจียน ช็อก หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรบริโภคปูชนิดนี้โดยเด็ดขาด

“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้” มีรายงานจริงจากเหตุการณ์ชายวัย 39 ปีในสมุทรปราการถูกมดตะนอยต่อยระหว่างตัดกิ่งไม้ แล้วเกิดอาการชักเกร็งและเสียชีวิตภายหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า มดตะนอยมีเหล็กในและต่อมพิษที่สามารถต่อยได้หลายครั้ง สารพิษของมันเป็นโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น เจ็บปวด หายใจติดขัด หรือแน่นหน้าอก หากรุนแรงอาจเกิดภาวะ “ช็อกจากการแพ้พิษ” (anaphylaxis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษแมลงอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้แม้พบไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นผู้ที่ถูกมดตะนอยกัดและมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยได้ตรวจสอบภายหลังจากที่ประเทศออสเตรเลียประกาศเรียกคืนผลิตภัณฑ์กันแดด 21 รายการ เนื่องจากพบว่า ค่าการป้องกันแสงแดด (SPF) ไม่ตรงตามที่ระบุ อย.พบว่ามี 2 ผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในไทย ได้แก่ 1. Endota Mineral Protect SPF 50 Sunscreen 2. We Are Feel Good Inc. Mineral Sunscreen SPF 50+ ทั้งสองผลิตภัณฑ์นำเข้าโดยบริษัท พีเจ เทรดดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ซึ่ง อย. ได้สั่งให้ระงับการจำหน่ายและเรียกเก็บคืนจากตลาดทันที เพื่อรอตรวจสอบค่าจริงของ SPF ว่าตรงตามมาตรฐานหรือไม่ อย. ยังเตือนประชาชนให้ซื้อครีมกันแดดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และตรวจสอบฉลากภาษาไทยรวมถึงเลขที่จดแจ้งให้ชัดเจน

อีลอน มัสก์ ออกแถลงการณ์ฉุกเฉิน เตือนภัยจากวัตถุ 31/ATLAS ซึ่งอาจเป็นยานแม่ของเอเลี่ยน” เป็นข่าว เท็จ โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่าอีลอน มัสก์เคยพูดหรือโพสต์ข้อความในเรื่องนี้เลย ทั้งในโซเชียลมีเดียหรือสื่อทางการ ส่วนวัตถุที่ถูกกล่าวถึงนั้น มีชื่อจริงว่า 3I/ATLAS (ไม่ใช่ 31/ATLAS) ซึ่งองค์การนาซายืนยันชัดว่าเป็น “ดาวหางระหว่างดวงดาว” (Interstellar Comet) ที่เดินทางผ่านระบบสุริยะของเรา ไม่ใช่วัตถุต่างดาวหรือยานบินใด ๆ นักดาราศาสตร์จากฮาร์วาร์ด เช่น ศ. Avi Loeb เคยตั้งข้อสันนิษฐานเชิงวิชาการไว้ แต่ภายหลังก็ยืนยันว่ามันเป็นวัตถุธรรมชาติ ไม่ใช่เทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา ดาวหาง 3I/ATLAS ถูกค้นพบโดยโครงการกล้องโทรทรรศน์ ATLAS ในชิลีเมื่อปี 2025 และอยู่ห่างจากโลกมากถึงราว 270 ล้านกิโลเมตร ไม่มีแนวโน้มว่าจะชนโลกหรือสร้างผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าหรือดาวเทียมแต่อย่างใด

จากการตรวจสอบพบว่า คลิปวิดีโอความยาว 14 วินาทีที่มีข้อความระบุว่า “ไล่ฮุนเซน 5/10/68” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประท้วงทางการเมืองหรือการขับไล่ผู้นำกัมพูชาอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง เนื้อหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อมูล โดยคลิปนี้แท้จริงแล้วเป็นเหตุการณ์แรงงานต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวปากีสถานและบังกลาเทศ ประท้วงนายจ้างชาวจีนในย่านไชน่าทาวน์ เมืองสีหนุวิลล์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งเรื่องการดูหมิ่นศาสนา ทำให้เกิดความวุ่นวายและการทำลายทรัพย์สิน เจ้าหน้าที่กัมพูชาได้เข้าควบคุมสถานการณ์และจับกุมผู้ก่อเหตุรวม 59 คน สื่อท้องถิ่นอย่าง Troryorng News และ CamboJA News ยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับในคลิปที่เผยแพร่ จึงชี้ชัดได้ว่าไม่ได้มีการชุมนุมหรือขับไล่ “ฮุน เซน” ตามข้อความในโพสต์

DEEP FAKE ปลอมตัวตน หลอกประชาชน กรณี : สุทธิชัย หยุ่น

ศาลลอสแอนเจลิสมีคำตัดสินให้บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (J&J) ต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 966 ล้านดอลลาร์แก่ครอบครัวของ “แม มัวร์” หญิงชาวแคลิฟอร์เนียวัย 88 ปีที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โดยศาลเห็นว่าผลิตภัณฑ์แป้งเด็กที่มีส่วนผสมของแร่ทัลคัมอาจมีเส้นใยแร่ใยหินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง การชดเชยแบ่งเป็นค่าเสียหายเชิงชดเชย 16 ล้านดอลลาร์ และค่าเสียหายเชิงลงโทษ 950 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นคดีมูลค่าสูงมาก อย่างไรก็ตาม J&J แถลงว่าจะอุทธรณ์ทันที โดยยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทปลอดภัยและไม่มีแร่ใยหิน อีกทั้งยังชี้ว่าการตัดสินดังกล่าวอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญเนื่องจากมูลค่าความเสียหายเกินกว่ามาตรฐานปกติ บริษัทเคยหยุดขายแป้งเด็กแร่ทัลคัมในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2563 และยังเผชิญคดีลักษณะเดียวกันกว่า 67,000 คดีทั่วประเทศ บางคดีชนะ บางคดีแพ้ และหลายคดีกำลังอยู่ในขั้นตอนอุทธรณ์

ข่าวการที่กรุงเทพมหานครเตรียม “เคลียร์หนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 3.2 หมื่นล้านบาท และอาจปรับค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย” เป็น ข่าวจริง จากคำให้สัมภาษณ์ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. โดยระบุว่าหลังศาลปกครองมีคำสั่งให้ กทม. ชำระหนี้ตามคดีที่สอง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการนำ “เงินสะสมจ่ายขาด” มาชำระภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 รวมมูลค่าราว 32,000 ล้านบาท การจ่ายหนี้ดังกล่าวไม่กระทบต่อโครงการอื่น เพราะเป็นเงินสะสมที่ไม่มีภาระผูกพัน และจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต กทม. ยังยืนยันว่าจะพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารให้สะท้อนต้นทุนจริง โดยเบื้องต้นคาดว่าจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา โดยอัตราบางช่วงอาจถูกลง ขณะที่เส้นทางไกลอาจเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวทางบริหารอย่างโปร่งใสและคำนึงถึงประโยชน์ประชาชนสูงสุด

คลิปที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน 2568 ซึ่งอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ “โยนศพทหารกัมพูชาลงบ่อโคลน เพราะไม่มีงบจัดการศพจากการสู้รบกับทหารไทย” เป็น ข่าวปลอม ทั้งหมด จากการตรวจสอบโดยโคแฟคพบว่าคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ในต่างประเทศตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ผ่านช่องยูทูบของชาวต่างชาติรายหนึ่ง ซึ่งตั้งกล้องถ่ายตนเองขณะกระโดดลงบ่อโคลนในป่ามัสซูเรีย ประเทศโปแลนด์ เจ้าของคลิประบุชัดว่าเป็นการแสดงที่มีการเตรียมตัวและไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด คลิปนี้จึงถูกนำมาตัดต่อและเผยแพร่ซ้ำในหลายประเทศ พร้อมข้อความอ้างเท็จเพื่อสร้างความเข้าใจผิดด้านการเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศ

กรมทางหลวง (ทล.) ประกาศเปิดทดลองให้บริการ มอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่–กาญจนบุรี รวมระยะทาง 96 กิโลเมตร โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในช่วงวันหยุดยาว 10–14 ตุลาคม 2568 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เส้นทางนี้เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในภาคตะวันตก ได้แก่ นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี ช่วยลดความหนาแน่นบนถนนเพชรเกษมและกาญจนาภิเษก การทดลองครั้งนี้เปิดให้ใช้ครบทั้ง 8 ด่านตลอดเส้นทาง ได้แก่ บางใหญ่ นครชัยศรี ศีรษะทอง นครปฐมฝั่งตะวันออก–ตะวันตก ท่าม่วง ท่ามะกา และกาญจนบุรี เปิดเฉพาะ รถยนต์ 4 ล้อ และจำกัดความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากยังอยู่ในช่วงติดตั้งระบบบริหารจัดการ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Mr.Thay” ได้โพสต์คลิปไฟไหม้ใกล้ปั๊มน้ำมันเชลล์ พร้อมข้อความระบุว่าเป็นเหตุ “ไฟไหม้โกดังในกรุงเทพฯ” โดยในคลิปมีวันที่ 6/10/25 และข้อความภาษาเขมรแปลได้ว่า “ไฟไหม้โกดังในประเทศไทย” ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้ในกรุงเทพฯ ล่าสุด โคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปดังกล่าวไม่ใช่เหตุการณ์ในกรุงเทพฯ แต่เป็นเหตุไฟไหม้ร้านจำหน่ายน้ำมันเครื่องและเครื่องมือช่าง ริมถนนสุขุมวิท ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งสื่อไทยหลายสำนักรายงานตรงกันว่าเจ้าหน้าที่ใช้เวลาควบคุมเพลิงกว่า 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ ในวันที่ 6 ตุลาคม แม้จะมีเหตุไฟไหม้อีกแห่งในย่าน RCA กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมันตามที่โพสต์อ้าง

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Daily Sabay” ได้โพสต์คลิปวิดีโอบ้านเรือนหลายหลังถูกน้ำท่วมจนเกือบถึงหลังคา พร้อมข้อความภาษากัมพูชาที่แปลได้ว่า “น้ำท่วมบ้านประชาชนในประเทศที่อยู่ใกล้กับกัมพูชา” ทำให้หลายคนเข้าใจว่าอาจเป็นประเทศไทย คลิปนี้มียอดเข้าชมกว่า 2.6 แสนครั้ง และถูกแชร์เกือบ 800 ครั้ง ภายหลังโคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เก่าในเมืองโอเรนเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เมื่อเดือนเมษายน 2567 โดยพบต้นฉบับจากเพจข่าวในอาเซอร์ไบจาน และรายงานจาก BBC ที่ยืนยันว่าขณะนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่จริงในรัสเซีย ส่งผลให้ประชาชนกว่า 10,000 คนต้องอพยพ ภาพมุมสูงในข่าวตรงกับคลิปที่เผยแพร่ในโพสต์นี้

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 มีการแชร์คลิปวิดีโอในโซเชียลมีเดีย อ้างว่าเกิดเหตุตึกร้าวและสั่นในกรุงเทพฯ ใกล้บริเวณหลุมยุบ ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหนี คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุถนนทรุดตัวบนถนนสามเสน หน้าโรงพยาบาลวชิระพยาบาล จึงยิ่งทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบโดยโคแฟคพบว่าคลิปนี้เป็นเหตุการณ์เก่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งขณะนั้นเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ในเขตภูมิภาคสะกาย ประเทศเมียนมา ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ อาคารฟอรั่ม ทาวเวอร์ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ได้รับผลกระทบจริง และมีรายงานตรวจสอบจาก สพฐ. ในช่วงต้นเดือนเมษายนเพื่อประเมินความปลอดภัยของอาคาร ดังนั้น ข่าวนี้เป็น “เท็จ” — คลิปที่แชร์ไม่ใช่เหตุการณ์ใหม่หรือเกี่ยวข้องกับหลุมยุบบนถนนสามเสน แต่เป็นคลิปเก่าจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ถูกนำกลับมาเผยแพร่เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกในสังคม.

มีการเผยแพร่คลิปจากบัญชีเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาชื่อ “សារី ជួន” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 โดยอ้างว่าเป็นภาพมุมสูงของน้ำท่วมในประเทศไทย พร้อมระบุวันที่ “4-10-2025” และมีธงชาติไทยประกอบในคลิป ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมปัจจุบันในไทย อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบของโคแฟคโดยใช้ Google Lens พบว่าภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เก่าน้ำท่วมสะพานข้ามแม่น้ำกก บ้านหนองด่าน (ฮ่องอ้อ) จังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนกันยายน 2567 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเทศบาลนครเชียงราย ยืนยันตรงกันว่าในเดือนตุลาคม 2568 ยังไม่มีรายงานว่าน้ำกกล้นตลิ่งหรือเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ สรุปว่า ข่าวนี้เป็น “เท็จ” — คลิปที่เผยแพร่เป็นภาพเหตุการณ์เก่าปี 2567 ถูกนำมาใช้ซ้ำในปี 2568 เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่ามีสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน จึงถือเป็น “เนื้อหาบิดเบือน” ไม่ควรแชร์ต่อ.

มีการเผยแพร่คลิปใน TikTok จากบัญชี “1minwellness.th รู้ไว้ไม่ป่วย” ที่อ้างว่าการแช่น้ำเย็นจัดต่อเนื่อง 7 วันจะช่วยให้สมองเฉียบคมขึ้น ร่างกายสดชื่น โฟกัสดีขึ้น และทนความเครียดได้มากขึ้น โดยคลิปดังกล่าวสร้างจาก AI และไม่มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ จากการตรวจสอบของโคแฟคพบว่า งานวิจัยที่มีอยู่ในขณะนี้ระบุเพียงว่า “การแช่น้ำเย็นจัดระยะสั้น” ช่วยลดอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อในนักกีฬา แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงผลดีต่อสมอง อารมณ์ หรือภูมิคุ้มกันอย่างที่กล่าวอ้าง อีกทั้งการแช่น้ำเย็นจัดโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลอาจเสี่ยงเกิดภาวะตัวเย็นเกิน หัวใจวาย หรือหลอดเลือดตีบแตก โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลกรุงเทพยังเตือนว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง สรุปว่า ข่าวนี้เป็น “เท็จ” — ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าการแช่น้ำเย็นจัดติดต่อกัน 7 วันให้ผลดีต่อร่างกายตามที่คลิปกล่าวอ้าง ข้อมูลที่เผยแพร่จึงเป็น “เนื้อหาบิดเบือน” ที่ไม่ควรหลงเชื่อหรือปฏิบัติตามโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์.