รายการความเห็น


12566 ความเห็น

❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Thanathun.
ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า ฟอร์มาลีนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร และไม่มีคุณสมบัติทำให้น้ำแข็งตัวได้เร็วหรือละลายช้า ซึ่งน้ำแข็งผลิตจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวเป็นของแข็งน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ไม่จำเป็นต้องเติมสารอื่นเพิ่มเติม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Thanathun.
ชัวร์ก่อนแชร์รายงานว่า การ Swab ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ กับระบบประสาท มีการเตือนอย่างแพร่หลาย ว่าให้ระวังการ Swab จมูกบ่อย ๆ เพราะจะไปทำลายระบบประสาทรับกลิ่น เส้นประสาท Trigeminal และยังส่งผลกระทบกับระบบ Limbic อีกด้วย ทั้งนี้ นายแพทย์ศุภกิจยืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่เป็นความจริง
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Thanathun.
สินเชื่อกรุงไทยใจดี เป็นสินเชื่อบุคคลเฉพาะที่ได้รับการเรียนเชิญจากธนาคาร โดยสมัครผ่าน 2 ช่องทาง คือ Krungthai NEXT หรือ Krungthai Connext เท่านั้น ธนาคารจึงขอนำข้อมูลรายละเอียดของสินเชื่อกรุงไทยใจดี ออกจากเว็บไซต์ www.krungthai.com เพื่อป้องกันการความสับสน
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Thanathun.
Filler ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นยาหิ้วลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งบ่อยครั้ง แพทย์ที่ทำหัตถการก็ไม่ได้จบแพทย์เฉพาะทางมาโดยตรง แต่เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่แอบอ้างเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือที่เราเรียกกันว่า “หมอกระเป๋า” นั่นเอง ทำให้หลังฉีด Filler บริเวณที่ฉีดจะกลายเป็นก้อนแข็ง หากแพ้ก็จะเกิดการอักเสบ บวมแดง มีหนอง ต้องใช้วิธีการผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ในบางรายอาการหนักก็ทำให้เกิดเนื้อตายในบริเวณดังกล่าวได้ ดังนั้นผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการฉีดและการเลือกคลินิกให้ดีก่อนเข้าใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Thanathun.
การผูกเบอร์โทรศัพท์กับบัญชีธนาคารนั้น หากมองว่ายิ่งสะดวกเท่ากับยิ่งเสี่ยง ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อนำเบอร์โทรมาผูกกับบัญชีเพื่อทำการเปิดบัญชีหรือการยืนยันตัวตนเพื่อใช้งาน การทำธุรกรรมต่าง ๆ จำเป็นต้องมีรายละเอียดและเงื่อนไขการขออนุญาตและสิทธิ์ในการเข้าถึง และมีการยืนยันตัวตนก่อนการใช้งานเสมอ และโทรศัพท์จะเป็นตัวรับรหัส OTP หรือใส่รหัส Pin ตามที่เรากำหนดไว้
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
sofia
ยาสีฟันเป็นเครื่องสำอาง ที่ใช้เพื่อทำความสะอาดช่องปากและฟัน สารที่ใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟันมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ผงขัดฟัน สารก่อฟอง สารแต่งกลิ่น สารให้ความชุ่มชื้น เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ไม่สามารถนำมาใช้รักษาสิวได้ โดยหากนำยาสีฟันมาทาบริเวณที่เกิดสิวอาจทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง เป็นรอยแดง หรือเกิดอาการระคายเคืองได้
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Sofia Idea
ประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบีย ประสบปัญหากันนานถึง 30 ปี การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้ภาคธุรกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ราคาอุมเราะห์ ถูกลง เนื่องจากมีสายการบิน “Saudia Airlines” เที่ยวบิน SV846 จากเมืองเจดดาห์ - กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย สามารถบินตรง จากไทยไปยังซาอุดิอาระเบียได้แล้ว
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Sofia Idea
ขณะที่ผู้ป่วยที่มีอาการ แพทย์จะมีการพิจารณาและจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ให้ ทั้งนี้มีข้อควรรู้เกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งถือว่าสำคัญมาก นั่นก็คือห้ามทานยาฟาวิพิราเวียร์ ร่วมกับยาฟ้าทะลายโจร เพราะมีโอกาสเป็นพิษต่อตับ
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Prapai Buakhom
ดินสอพองทำจากแคลเซียมคาร์บอเนต (CO3) และแร่ดินเหนียว หรือเรียกว่า หินปูนเนื้อดิน รวมถึงส่วนประกอบอื่นๆ อย่าง แมกนีเซียม แคลเซียม ซิลิกา เหล็ก และอาราโกไนต์ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องประทินผิว ทาหน้าอยู่แล้ว ไม่ได้มีสารอันตรายแต่อย่างใด
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
⚠️️ ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
Prapai Buakhom
นี่คือข้อความทดสอบ
ใช้ใน 0 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
⚠️️ ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
Jack Love
นี่เป็นการเสนอความเห็นให้ Cofact
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
⚠️️ ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
Jack Love
นี่เป็นการเสนอความเห็นให้ Cofact
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
⚠️️ ไม่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ
Jack Love
ข้อความนี้ไม่ใช่ข่าวลวง
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Sofia Idea
กลโกงแก๊งมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ ที่ส่งจดหมายทวงหนี้ไปยังบ้านของประชาชน พร้อมกับให้ช่องทางการชำระเงินได้ผ่านทางคิวอาร์โค้ด นอกจากนี้ยังอ้างเป็นหนังสือจากหน่วยงานราชการ สร้างความแนบเนียน เหมือนกับหนังสือของทางราชการส่งมาเอง
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Joke.Air
.
ใช้ใน 0 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Sofia Idea
กลโกงแก๊งมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ ที่ส่งจดหมายทวงหนี้ไปยังบ้านของประชาชน พร้อมกับให้ช่องทางการชำระเงินได้ผ่านทางคิวอาร์โค้ด นอกจากนี้ยังอ้างเป็นหนังสือจากหน่วยงานราชการ สร้างความแนบเนียน เหมือนกับหนังสือของทางราชการส่งมาเอง ... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/904487/
ใช้ใน 0 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
💬 มีความเห็นส่วนตัว
Joke.Air
.
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
◑ มีเนื้อหาที่เป็นจริงบางส่วน
Joke.Air
มัสยิดมีอยู่ที่นั่นจริง, บ้านเรือนและรีสอร์ทจำนวนหนึ่งที่นั่นก็ไม่ได้ถูกจับเช่นกัน
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Watcharakorn Saensee
หากดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจะสามารถรับได้ จะทำให้เกิดอาการมึนเมาจากแอลกอฮอล์และยังส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างได้หากร่างกายขาดน้ำ โดยอาการเมาค้างนั้นจะมีอาการโดยทั่วไปคือ ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปากแห้ง ปวดท้อง ท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกเยอะกว่าปกติ หงุดหงิดง่าย และอาจจะส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า โดยส่วนใหญ่อาการเมาค้างนั้นจะสามารถหายได้เองแม้จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองแต่ก็มีวิธีแก้อาการเมาค้างอย่างหนึ่งที่เราได้ยินกันมาอย่างยาวนานนั้นก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเพิ่มนิดหน่อยหากมีอาการเมาค้างจะช่วยให้หายเมาค้างได้หรือที่เรียกกันว่าการถอน ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ได้มีทั้งคนที่เชื่อว่าการกระทำอย่างนั้นจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้จริง และคนที่ไม่เชื่อเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะสามารถแก้อาการเมาค้างได้ โดยในวันนี้เราจะมาแก้ข้อสงสัยที่ว่า การดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้จริงหรือไม่ โดยเราได้สอบถามข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ปรึกษาเพื่อการเลิกสุราและการเสพติด Alcohol and Drugs Helpline Centre และได้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่า “ไม่เป็นจริงค่ะ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คุณปวดปัสสาวะมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ เเละนั่นยิ่งเป็นสาเหตุของอาการเมาค้างได้” นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้แนะนำวิธีแก้อาการเมาค้างที่ถูกต้องคือ พยายามทำให้ห้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ซึ่งสามารถดื่มน้ำทดเเทนก่อนนอนหลังจากที่ดื่มเเอลกอฮอล์เสร็จ เเละยังมีวิธีต่างๆที่ใช้แก้อาการเมาค้าง เช่น -ยาแก้ปวด ช่วยเรื่องปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ -หากมีอาการ มือสั่น ตัวสั่น ให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลเพราะจะช่วยให้รู้สึกตัวสั่นน้อยลง -ทานซุปจากผักหรือเนื้อสัตว์ เพราะเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ จะช่วยเพิ่มพลังงานได้ เเถมยังย่อยง่ายอีกด้วย -การดื่มของเหลวจืดๆ เช่น น้ำ โซดา หรือเครื่องดื่มเกลือเเร่ จะสามารถทดแทนภาวะขาดน้ำได้ ดังนั้น คำตอบสำหรับข้อสงสัยที่ว่าการดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะช่วยแก้เมาค้างได้หรือไม่นั้นไม่เป็นความจริงและไม่สามารถแก้อาการเมาค้างได้ นายนรวัฒน์ ยอดวงค์พะเนา สาขาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ #CCBUUXCofact #เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Watcharakorn Saensee
ยาคุมกำเนิดสามารถใช้ได้ในหลายด้าน เช่น ใช้คุมกำเนิดในเพศหญิง ใช้ปรับฮอร์โมนในร่างกาย และใช้รักษาสิว ตามข้อบ่งใช้ของแต่ละยี่ห้อ และต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการใช้ยา แต่การใช้ยาคุมกำเนิดสำหรับสาวประเภทสองส่วนใหญ่มักซื้อทานเอง ตามคำแนะนำจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ โดยไม่มีการกำกับดูแลจากแพทย์ และสถานบริการทางการแพทย์หลายแห่งขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านการใช้ฮอร์โมนในสาวประเภทสอง ทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดและส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยทาง Sister PTY มูลนิธิซิสเตอร์ ศูนย์บริการสุขภาพชุมชนคนข้ามเพศ (PrEP) ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของข่าวลือหรือความเชื่อดังกล่าวว่า “ยาคุมกำเนิดเป็นยาที่ใช้สำหรับคุมกำเนิดในเพศหญิง ใช้ในการรักษาสิว หรือปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล ความเชื่อที่ว่าทานยาคุมย้อนศรแล้วทำให้หน้าอกใหญ่ เป็นความเชื่อที่มาจากกลุ่มสาวประเภทสอง ที่ส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงความเชื่อที่ว่า ทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนหลาย ๆ เม็ด จะทำให้สวยเร็วขึ้น แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิด และเสี่ยงต่อความอันตรายเป็นอย่างมาก การทานยาคุมกำเนิดในระยะเวลานานจะส่งผลต่อระบบของเลือด ลิ่มเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เป็นต้น ส่วนการทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนหลาย ๆ เม็ด จะทำให้สวยเร็วขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนว่าจะสามารถดูซับได้มากน้อยเพียงใด หากทานเข้าไปเยอะ แต่ร่างกายดูดซับได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือที่ก็ถูกขับออก ดังนั้นการใช้ยาให้ได้ผลมากที่สุด คือการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมนในร่างกายและรับยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อความปลอดภัยในระยะยาว ในปัจจุบันไม่ว่าจะเพศหญิงหรือสาวประเภทสอง มีการซื้อยาคุมกำเนิดมาทานเอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง และสถานบริการทางการแพทย์หลายแห่งขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านการใช้ยาคุมกำเนิดและฮอร์โมน ทำให้การซื้อขายตามร้านขายยาเป็นสิ่งที่ง่าย และเมื่อขาดความรู้ในการใช้ยา จึงเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย” การทานยาคุมกำเนิดไม่ว่าทานตามศร หรือย้อนศร ก็จะให้ผลที่เหมือนกัน เพราะว่ายาแต่ละเม็ดมีปริมาณเท่ากัน โดยส่วนใหญ่ยาคุมกำเนิดที่จำหน่ายภายในร้านขายยาทั่วไป จะประกอบไปด้วย ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (Cyproterone Acetate) 2.0 mg และ ฮอร์โมนเพศหญิง (Ethinyl estradiol) 0.035 mg ผสมรวมอยู่ในเม็ดเดียวกัน ดังนั้นการทานยาคุมกำเนิดย้อนศร ก็ให้ผลเหมือนกับการทานปรกติ ส่วนลูกศรหรือวันที่ ที่ปรากฏอยู่บนแผงยานั้นใช้สำหรับการนับวัน หรือการคาดเดาของประจำเดือนของเพศหญิง ซึ่งไม่มีผลข้างเคียงใด หากรับประทานย้อนศร หรือรับประทานไม่ตรงวัน การข้ามเพศ (Transgender) จะต้องใช้ยาที่สามารถออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย เพื่อทำให้ลดลักษณะของเพศชาย และมีผลต่อการเพิ่มลักษณะความเป็นเพศหญิงได้ในที่สุด การใช้ฮอร์โมนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสรีระจากชายเป็นหญิง และการใช้ฮอร์โมนจะได้ผลดีและปลอดภัยกว่า ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์ ส่วนการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อการข้ามเพศเป็นสิ่งที่แพทย์ไม่แนะนำ เพราะการข้ามเพศจะต้องใช้ระยะเวลานานในการรับฮอร์โมน ถึงแม้ว่ายาคุมกำเนิดจะมีส่วนผสมของฮอร์โมนอยู่บ้าง แต่มีในปริมาณที่น้อย และหากรับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ความดันสูง เบาหวาน ลิ่มเลือดอุดตัน และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด การทานยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด ส่วนใหญ่แล้วจะทานเพื่อรักษาสิวและปรับเปลี่ยนฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุลมากขึ้น โดยสามารถเริ่มทานได้ตามปรกติ วันละ 1 เม็ด ซึ่งการรับประทานยาคุมกำเนิดให้รับประทานต่อเนื่องทุกวัน และควรเป็นเวลาเดียวกันของทุกวัน หากลืมทานสามารถทานเม็ดต่อไปได้ทันทีที่คิดออก ไม่แนะนำให้ทาน 2 เม็ดพร้อมกัน เมื่อทานครบ 21 เม็ด ให้เว้นระยะไป 7 วัน จากนั้นจึงเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ หรืออีกวิธีคืออาจเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ในวันแรกที่ประจำเดือนมาได้เลย ทั้งนี้การใช้ยาควรอยู่ในคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด การทานยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด เป็นการทานเพื่อคุมกำเนิดในเพศหญิง ในกรณีรับประทานครั้งแรกหรือแผงแรก แนะนำให้รับประทานยาในวันแรกที่มีประจำเดือนแต่ไม่เกินวันที่ 5 ของรอบเดือน แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีคำแนะนำจากบางแหล่งข้อมูลให้เริ่มรับประทานยาครั้งแรกที่วันใดๆ ก็ได้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7 วันนับจากวันที่เริ่มรับประทานยา ซึ่งการรับประทานยาคุมกำเนิดให้รับประทานต่อเนื่องทุกวัน และควรเป็นเวลาเดียวกันของทุกวัน หลังจากรับประทานยาไปจนถึงเม็ดที่ 22-28 ซึ่งเป็นเม็ดที่เป็นเม็ดแป้งไม่มีตัวยาจะเป็นช่วงที่ผู้รับประทานยาจะมีรอบเดือน และหลังจากกินยาหมดแผงแล้วให้เริ่มรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันที ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ยาโดยไม่มีความรู้ และไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ในเพศหญิง คือการคุมกำเนิดไม่มีประสิทธิภาพและอาจจะพลาดตั้งครรภ์ได้ ในส่วนของสาวประเภทสอง คือมีสารตกค้างในร่างกาย ตับและไตทำงานหนัก ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลในการใช้ยา และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ข้อมูลจาก Sister PTY มูลนิธิซิสเตอร์ ศูนย์บริการสุขภาพชุมชนคนข้ามเพศ (PrEP) วัชรากร แสนศรี สาขาวิชาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ #CCBUUXCofact #เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
✅ มีเนื้อหาที่เป็นจริงทั้งหมด
Watcharakorn Saensee
การนอนหลับ คือ การพักผ่อนที่ดีและสำคัญที่สุด จึงทำให้มีการทดลองหาวิธีนอนหลับต่าง ๆ หลากหลายวิธี เพื่อตอบสนองต่อการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน โดยอีก 1 วิธีที่ได้รับความนิยม คือ กฎการนอน 90 นาที ซึ่งแบ่งเป็น ช่วงเวลาหลับลึก 80 นาที และหลับตื้น 10 นาที โดยให้เราได้ตื่นในช่วงหลับตื้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ง่วง จึงมีการทำตารางเวลาเข้านอนและเวลาตื่นที่เหมาะสมใช้กฎการนอน 90 นาที ในการตั้งเวลาดังกล่าว เป็นคอนเทนต์ที่ถูกแชร์ต่ออย่างมากมายในสังคมโซเซียลมีเดีย โดยเราได้สอบถามกับ นพ.​ ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด การปลูกถ่ายปอด และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับ การหยุดหายใจขณะหลับ ถึงวิธีการเข้านอนตามตารางเวลานอนและตื่นที่อ้างอิงมาจากกฎการเข้านอน 90 นาที ว่าทำได้จริงหรือไม่ นพ.​ ธนีย์ ธนียวัน ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า “จริง สามารถทำแบบนั้นได้ การนอน 1 Circle หรือ การนอน 90 นาที ส่งผลให้ตื่นนอนมามีความสดชื่น เพราะ ในช่วงการนอน 1 Circle จะทำให้เราตื่นขึ้นมาในช่วงระยะสุดท้ายคือ Rapid Eye Movement (REM) เป็นช่วงการนอนที่กรอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว สมองมีทำงานใกล้เคียงกับตอนตื่น จึงทำให้เมื่อตื่นนอนในช่วงนี้ร่างกายจะไม่อ่อนเพลีย ไม่ง่วง” นอกจากนี้ นพ.​ ธนีย์ ธนียวัน ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า “การนอนอย่างมีคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่เข้านอน กฎการนอน 90 นาที ก็สามารถนำมาปรับใช้ในช่วงเวลาอื่นได้เช่นกัน มีการวิจัยที่พบว่า การงีบหลับในช่วงเวลากลางวันจะสามารถเพิ่มสมาธิ สมองมีความสดชื่นมากขึ้น แต่ต้องงีบในระยะเวลา 10 - 20 นาทีเท่านั้น เพราะ ช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นช่วงที่สมองยังไม่เข้าสู่ระยะหลับลึกจนเกินไป หรือก็คือ การงีบหลับในช่วง Non Rapid Eye Movement (NON REM) และตื่นขึ้นมาก่อนระยะที่ 3 คือ ช่วงหลับลึก ซึ่งวิธีแบบนี้จะประหยัดเวลากว่าการนอนหลับเต็ม 1 Circle แต่ได้ประโยชน์จากการพักผ่อนเช่นเดียวกัน เหมาะแก่การพักผ่อนที่มีเวลาไม่มาก และ ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย” ดังนั้น ตารางเวลานอนที่อ้างอิงจากกฎการนอน 90 นาที สามารถทำให้นอนเต็มอิ่ม และตื่นมาไม่มีอาการอ่อนเพลียจริงได้ แต่การนอนที่มีคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเข้านอนและตื่นตามตารางเท่านั้น แต่คือ การเข้าใจในระยะ ช่วงเวลาการนอนและตื่นของร่างกาย เพื่อนำมาปรับใช้ในการพักผ่อนที่มีคุณภาพที่สุดของตนเองได้ ข้อมูลจาก นพ.​ธนีย์ ธนียวัน (Tany Thaniyavarn, MD). อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด และการปลูกถ่ายปอด สุริเยนทร์ แสนมั่น สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ #CCBUUXCofact #เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Watcharakorn Saensee
ใน 2 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่ากระแสการเทรดบิตคอยน์ หรือการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีนั้นมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ และแซงทุกวงการการลงทุน นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ แทบทุกวัน แม้ว่าการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลนั้นมีจะความเสี่ยงสูง และการผันผวนที่ค่อนข้างมาก รวมถึงหลายท่านเองก็ให้ความสนใจและเริ่มเทรดกันจำนวนไม่น้อย แต่ขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น “ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ” เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินประโยคข้างต้นอยู่บ่อยครั้ง แต่การศึกษาข้อมูลที่ว่านี้ ไม่ใช่แค่การศึกษาข้อมูลการลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรศึกษาเรื่องความปลอดภัยของการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลไว้อีกด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อสกุลเงินดิจิทัลกำลังจะเข้ามาเป็นปัจจัยหนึ่งในชีวิตประจำวัน ก็ยิ่งทำให้ต้องเพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น Password หรือ รหัสผ่านเพียงอย่างเดียวอาจไม่พออีกต่อไป วันนี้เลยอยากพามาทำความรู้จักกับ 2-Factor Authentication ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร และทำไมใช้แค่ SMS OTP ถึงไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยของบัญชี โดยคุณสุรีย์พร ถาวรทวีวงษ์ ตำแหน่ง Digital Asset Strategist Supervisor บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มความปลอดภัยของบัญชีให้เราได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมมีแค่ SMS OTP ถึงยังไม่เพียงพอ นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าการรับรหัส OTP หรือ One-Time Password ผ่าน SMS นั้นจะเป็นการยกระดับความปลอดภัยในการธุรกรรมก็จริง แต่เนื่องจากทางเว็บไซต์ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ารหัส OTP ที่ส่งไปยังผู้ใช้งานนั้นเป็นเจ้าของบัญชีจริงหรือไม่ โดยทางสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ NIST ได้มีการออกแบบร่างว่าด้วยเรื่องของแนวทางการทำระบบยืนยันตนแบบดิจิทัล โดยกล่าวไว้ว่าการยืนยันตนสองขั้นตอนด้วย SMS นั้นไม่ปลอดภัย และสมควรถูกห้ามใช้ในอนาคต เพราะรหัส OTP นั้นถูกส่งไปยังเบอร์โทรศัพท์โดยตรง ซึ่งระบบโทรศัพท์นั้นเป็นระบบ VolP ชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Voice over IP หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นระบบ Network ที่เราสามารถโทรศัพท์ได้นั่นเอง และเพราะเป็นระบบ Network จึงมีผู้ให้บริการจำนวนหนึ่งที่เปิดช่องให้สามารถดักข้อความ SMS ที่ส่งมายังเบอร์โทรศัพท์แบบ VoIP ได้ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเปลี่ยนปลายทางของ SMS ที่ควรส่งไปยังเบอร์ของผู้ใช้งาน เป็นเบอร์ใดก็ได้ตามที่ต้องการ ผ่านการออกแบบโปรโตคอล SS7 หรือ Signalling System Number 7 ที่ใช้ในการโอนคู่สายในระบบเครือข่ายโทรศัพท์นั่นเอง และอีกหนึ่งเหตุผลที่เราควรเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลอันมีค่าของเรา นั่นก็เพราะมันสามารถนำไปสืบค้นข้อมูลอื่น ๆ ได้เกือบทุกอย่าง และอาจจะนำไปสู่ความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลได้ เช่น การถูกสวมรอยใช้สิทธิ ไปจนถึงการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของเจ้าของบัญชี เพราะฉะนั้นนอกจากการใช้ SMS OTP แล้ว เราควรที่จะเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบ TOTP หรือ Time-based OTP เพิ่มเติม เพราะเป็นการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน หรือ 2-Factor Authentication ที่สามารถรับรหัสผ่านได้ครั้งเดียวตามเวลาที่กำหนด โดยรหัสผ่านจะเป็นตัวเลข 6 ตัวและจะหมดอายุภายใน 60 วินาที นับว่าเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้กับเหล่าแฮ็กเกอร์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้ว่าแฮ็กเกอร์จะรู้รหัสผ่านของผู้ใช้งาน แต่ก็ต้องใช้รหัสผ่านครั้งที่สองอีกด้วย ซึ่งทำได้ค่อนข้างยาก เพราะรหัสจาก TOTP นั้นสามารถใช้ได้แค่ครั้งละ 60 วินาทีเท่านั้น จึงทำให้การเข้าถึงข้อมูลของเจ้าของบัญชีนั้นเป็นไปได้ยาก ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ให้บริการ 2-Factor Authentication มากมาย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะนิยมใช้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Google Authenticator เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงเพราะไม่ได้เชื่อมต่อกับคลาวด์ และยังรองรับการใช้งานภาษาไทยอีกด้วย นอกจากนี้หลาย ๆ Exchange ยังมีการเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกค้า ด้วยการแจ้งเตือนผ่านอีเมลของเจ้าของบัญชีทุกครั้งเมื่อมีการล็อกอินเข้าสู่ระบบหรือทำธุรกรรมผ่าน IP Address ใหม่ เพื่อเป็นการเตือนและลดความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล หากพบเห็นการกระทำดังกล่าว หรือพบข้อสงสัยในการเข้าใช้งานบัญชีและการทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ของ Exchange ที่ท่านใช้บริการเพื่อขอคำแนะนำด้านความปลอดภัยทางบัญชี หรือขอระงับบัญชีได้ทันที หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำแนะนำในการดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม แน่นอนว่าความปลอดภัยของบัญชีนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะถึงแม้ว่า “การลงทุนจะมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ” แต่เรื่องความปลอดภัยของบัญชีนั้น ผู้ใช้งานเองก็ควรศึกษาและให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถึงจะทำกำไรจากการเทรดได้มากแค่ไหน แต่หากละเลยความปลอดภัยของบัญชีก็อาจทำให้ถูกโจรกรรมได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน นางสาวเกษมณี เกียรติธนวัฒนา นิสิตสาขาวิชาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออก เป็นผู้จัดทำ #CCBUUXCofact #เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว
❌ มีเนื้อหาที่หลอกลวง
Watcharakorn Saensee
ในช่วงก่อนสอบเป็นช่วงเวลาที่เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษาจะใช้ช่วงเวลานี้เต็มที่กับการอ่านหนังสือสอบ เพื่อให้ผลคะแนนสอบออกมาดี ดังนั้นในช่วงคืนก่อนสอบ จึงมีหลายๆคนที่ทุ่มเทกับการอ่านหนังสือสอบจนดึก และมีการพึ่งอาหารเสริมบำรุงสมองเพื่อช่วยเพิ่มความทรงจำก่อนสอบ แต่อาหารเสริมบำรุงสมองเหล่านี้มีส่วนช่วยเพิ่มความทรงจำก่อนสอบได้จริงหรือไม่ ซึ่งเราจะมาไขข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าวนี้กัน จากประเด็นดังกล่าว มีการตั้งกระทู้บนโลกออนไลน์ ทำให้มีการถกเถียงในประเด็นการกินอาหารเสริมบำรุงสมองก่อนสอบ ว่าจริงๆแล้วสามารถช่วยทำให้จำได้มากขึ้นจริงๆหรือไม่ และมีอาหารเสริมบำรุงสมองหลายชนิดที่ผู้คนนิยมรับประทานในช่วงก่อนสอบ เพราะเชื่อกันว่าสามารถช่วยเพิ่มความจำ เมื่อเข้าสอบจะสามารถทำข้อสอบได้ แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่บอกว่าไม่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความจำแต่อย่างใด จากการสัมภาษณ์กับ เภสัชกร ชาคริต อาภาตั้งตระกูล เภสัชกรประจำร้านยาวังมุก จังหวัดชลบุรี ได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นอาหารเสริมบำรุงสมองว่า “ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองมีหลายชนิด ทั้งในรูปแบบน้ำ แบบเม็ด และแบบเม็ดฟู่ โดยอาหารเสริมบำรุงสมองมีความเหมาะสมกับทุกช่วงวัย แต่ถ้าในกรณีสำหรับเด็ก ต้องกำหนดปริมาณในการกินที่เหมาะสม โดยสิ่งที่ควรพึงระวังก่อนรับประทานคือ หากมีโรคประจำตัวหรือมีอาการแพ้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารเสริมบำรุงสมอง จึงสรุปว่าโดยรวมแล้ว อาหารเสริมบำรุงสมองทุกคนสามารถกินได้ แต่ต้องไม่กินจนเกินความจำเป็น” นอกจากนี้ เภสัชกร ชาคริต อาภาตั้งตระกูล ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นอาหารเสริมบำรุงสมอง เมื่อกินก่อนเข้าสอบจะช่วยเพิ่มความจำไว้ดังนี้ “จริงๆแล้ว อาหารเสริมบำรุงสมองไม่ได้มีตัวช่วยในการเพิ่มความจำ ดังนั้นที่บอกกันว่า กินอาหารเสริมบำรุงสมองก่อนเข้าสอบแล้วจะช่วยทำให้สอบได้ จึงไม่เป็นเรื่องจริง เพราะผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองมีแค่ส่วนช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมอง ไม่ได้มีตัวช่วยเพิ่มความจำ” โดยได้มีการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารอาหารในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองจาก เภสัชกร ชาคริต อาภาตั้งตระกูล ไว้ว่า “ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองที่หลายๆคนกล่าวอ้างกันว่าช่วยเพิ่มความจำ จริงๆแล้วไม่ได้ช่วยให้จำได้ดีขึ้น แค่ลดอาการเหนื่อยล้าของสมอง และช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น โดยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองจะมีสารอาหารหลักๆคือ วิตามิน B ที่มีส่วนช่วยให้สมองผ่อนคลาย ไม่เครียด ทำให้สามารถอ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น และในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสมองบางชนิดก็มีสารอาหารประเภท กิงโกะ ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของระบบไหลเวียนเลือด ทำให้สมองผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารประเภท โครเอมไซน์คิวเทนในอาหารเสริมบำรุงสมองประเภทเม็ด ที่มีตัวช่วยในเรื่องระบบของสมอง ชะล่อการเสื่อมของเซลล์ประสาท และยังช่วยในเรื่องของหัวใจได้ด้วย” นาย ทัศนียา ประภาแก้ว นิสิตสาขาวิชาการสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ Cofact ภาคตะวันออกเป็นผู้จัดทำ #CCBUUXCofact #เปิดโลกความจริงสู่สังคม
ใช้ใน 1 ข้อความ3 ปีที่แล้ว