ข่าวจริงหรือข่าวลวง

สัญญาณดีผู้ป่วยใหม่ลด แต่พบติดเชื้อในครอบครัว-ติดจากคนกลับจากนอก 8% เพิ่มเป็น 23% ทั้งเว้นระยะห่าง -สวมหน้ากาก-ล้างมือ เริ่มย่อหย่อน ย้ำเรื่องสำคัญต้องทำเพื่อป้องกันติดเชื้อเพิ่มอีก

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประกาศแนวทางการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 นอกสถานพยาบาล ปลดล็อคสถานพยาบาลสามารถออกหน่วยให้บริการประชาชนถึงที่พัก ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ป้องกันการแพร่กระจายของโรคระหว่างเดินทา

วันนี้ (15 เม.ย) เว็บไซต์เวิลโดมิเตอร์ส (WorldoMeters) รายงานว่า ณ เวลา 13.20 น.ตามเวลาไทย ยอดผู้ป่วยโควิดทั่วโลกอยู่ที่ 2,000,231 คน และเสียชีวิต 126,758 คน ส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายรวม 484,729 คน

เนื้อหานี้มีข้อมูลจริง

สำหรับช่วงเวลาที่มีฝนตกในระยะนี้ ส่งผลให้มีความชื้นและอากาศเย็นขึ้น ทำให้เชื้ออยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น สิ่งที่ประชาชนควรทำเหมือนเดิมคือ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ กินร้อน และใช้ช้อนกลางส่วนตัว แต่มีคำแนะนำเพิ่มเติมคือให้สำรองหน้ากากผ้าไว้หลายๆชิ้น ก้าโดนฝน ละอองฝนทำให้หน้ากากชื้น ขอให้เปลี่ยนใหม่ อย่าใช้หน้ากากที่มีความชื้น

ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดังกล่าวต่อไปอีกเพื่อประสิทธิผลในการป้องกันและควบคุมโรค

เหตุผลที่ให้น้ำหนักข้อมูลนี้จริงเป็นบางส่วนเนื่องจากว่า มีรายงานจากหลายที่ที่เหมือนจะยืนยันว่า การที่ผู้เคยติดเชื้อกลับมามีผลบวกอีกรอบนั้นเกิดจากการที่เชื้อเก่ายังคงอยู่ หรือการกลับมามีฤทธิ์ใหม่อีกรอบ และโดยมากกลับมาไม่รุนแรงหรือไม่แสดงอาการ แต่ไม่ใช่จากการที่ติดเชื้อใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นทาง นายปีเตอร์ โดเฮอร์ที (Peter Doherty) นักภูมิคุ้มกันวิทยา เจ้าของรางวัลโนเบลชาวออสเตรเลีย กล่าวว่าการที่ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่หายดีแล้วจะกลับมาติดเชื้อซ้ำนั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือหากเกิดกรณีเช่นนั้นขึ้นจริง อาการของการติดเชื้อซ้ำ (secondary infection) จะไม่รุนแรงหรือไม่ปรากฏอาการและยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แน่นอนว่าเรารู้จักไวรัสตัวนี้เพียงช่วงสั้นๆ และเป็นไปได้ว่าเราจะได้เจอกับเรื่องที่น่าประหลาดใจที่เราไม่ค่อยอยากเจออีกหลายประการ” Link : https://mgronline.com/china/detail/9630000032804

ข้อมูลจากหลายสถาบันการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศรวมถึง WHO ได้ออกมาแถลงว่า การสูบบุหรี่มีโอกาสแพร่กระจายได้มากกว่าการไม่สูบ เนื่องจากการพ่นควันจะมีละอองฝอยออกมาทางน้ำลายได้ และการสูบบุหรี่ทำให้ปอดไม่แข็งแรงมีโอกาสติดเชื้อมากกว่าปกติ รวมถึงมือที่คีบบุหรี่อาจปนเปื้อนเชื้อโควิด เมื่อเอาบุหรี่เข้าปากมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ทางชัวร์ก่อนแชร์ได้รวบรวมคำตอบในข้อสงสัยเรื่องการสูบบุหรี่กับโควิดได้ครอบคลุม หากสนใจสามารถติดตาม Link ด้านล่างเพื่อข้อมูลที่ละเอียดเพิ่มเติม

คลิปดังกล่าวเป็นข่าวปลอมที่ถูกทำขึ้น โดยช่วงต้นของคลิปนั้นเป็นข่าวจากสำนักข่าว ABC News ประเทศออสเตรเลียจริง ซึ่งในข่าวกล่าวถึงการพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อต้านไวรัสโคโรนาของนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย แต่ในข่าวจริงมิได้มีการกล่าวถึงกล้วยที่จะช่วยป้องกันโรคโควิด-19 แต่อย่างใด ส่วนภาพของกล้วย นักวิจัยและข้อความที่ระบุว่ากล้วยช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ได้นั้นเป็นการตัดต่อคลิปเพิ่ม โดยไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยใดๆ ที่สามารถพิสูจน์ความจริงดังกล่าว ทั้งนี้ทั้งนั้นกล้วยนั้นเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าก็มีวิตามินมากมาย รวมถึงมีกากใยทำให้ท้องไม่ผูก ในกล้วยหอมยังมีโพแทสเซียม ซึ่งผลวิจัยยืนยันว่าโพแทสเซียมในผลไม้ช่วยลดความดันโลหิตได้ รวมถึงลดการเกิดตะคริวเนื่องจากการขาดโพแทสเซียมในร่างกายด้วย แต่สำหรับการป้องกันโรคโควิด-19 นั้น ยังไม่มีผลงานวิจัยใดๆ รองรับหรือยืนยัน

ความจริงคือแค่ที่จังหวัดพิษณุโลกเท่านั้นที่ออกประกาศฉบับนี้ หากไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปที่สาธารณะจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามมติจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อของจังหวัดพิษณุโลกเท่านั้น

งานวิจัยเรื่อง Projecting the transmission dynamics of SARS-CoV-2 through the postpandemic period ของ Stephen M. Kissler และคณะ ในสารสาร Science ฉบับ 14 Apr 2020 เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะต้องเข้าใจอนาคตของการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) นี้ เราจึงเอาค่าประมาณต่างๆ ที่เคยศึกษาไว้ของเชื้อเบต้าโคโรน่าไวรัส (betacoronavirus) สายพันธุ์ OC43 และ HKU1 จากสหรัฐอเมริกา มาสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 เราคาดการณ์ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 ในหน้าหนาวนั้น อาจจะเกิดขึ้นได้อีก หลังจากคลื่นระลอกแรดของการแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรงนี้ผ่านไปแล้ว ส่วนประเด็นที่ว่า ศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยขั้นฉุกเฉินนั้นจะเกินระดับที่รับมือไหวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการทำ social distancing เป็นปัจจัยหลักในการควบคุมโรค เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว การทำ social distancing นั้นอาจจำเป็นที่จะต้องดำเนินต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 2022 .. ในขณะที่การควบคุมโรคด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการขยายศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต จะช่วยเสริมความสำเร็จของการทำระยะห่างทางสังคม และการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการศึกษาภูมิคุ้มกันวิทยา เพื่อดูว่าคนเราจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ SARS-CoV-2 มากน้อยแค่ไหน และเป็นระยะเวลานานแค่ไหน และถึงแม้ว่าจะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคที่พบจะหมดไปแล้ว แต่ก็ต้องยังคงค้นหาผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ต่อไป เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคยังสามารถกลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2024.

ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ตรวจสอบแล้ว ยังไม่พบหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอจะเชื่อได้ว่าคำกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นความจริง เนื่องจากมีหลายประเด็นน่าสงสัย ทั้งด้านความน่าเชื่อถือในแหล่งที่มาของข้อมูล และสภาพการณ์แห่งข้อเท็จจริง ดังนั้น จึงยังไม่ควรเชื่อ และ ยังไม่ควรแชร์ต่อ

‘WHO’ เตือนการระบาดของโควิด-19 ขึ้นเร็ว-ลงช้า พร้อมแนะทุกประเทศควรผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังหลายประเทศในยุโรป เริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์หลังจำนวนผู้ติดเชื้อชะลอตัวล

วันนี้ (14 เม.ย.2563) นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.นนทบุรี ออกคำสั่งจังหวัดนนทบุรี ที่ 1075/2563 เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 10) โดยมีสาระสำคัญคือ การยกเลิกคำสั่งฉบับที่ 9 ที่แจ้งผ่อนปรนสถานที่บางประเภท และให้ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับที่ 10 ซึ่งได้ปรับปรุงคำสั่งเดิมให้มีความรัดกุมมากขึ้น โดยให้สถานที่ที่เคยปิดอยู่ก่อนหน้านี้ปิดต่อเนื่องไป ยกเว้นศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือและระบบสื่อสาร ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า สามารถเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.2563 เป็นต้นไป แต่จะต้องมีมาตรการป้องกันโรค

วัคซีนทั้ง 2 ตัวเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันยาชีววัตถุอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Biological Products) และบริษัท ซิโนวัค รีเสิร์ช แอนด์ เดเวลอปเมนต์ จำกัด (Sinovac Research and Development) ในกรุงปักกิ่ง โดยปัจจุบันได้เริ่มการทดลองทางคลินิกแล้ว

วัคซีนทั้ง 2 ตัวเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันยาชีววัตถุอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Biological Products) และบริษัท ซิโนวัค รีเสิร์ช แอนด์ เดเวลอปเมนต์ จำกัด (Sinovac Research and Development) ในกรุงปักกิ่ง โดยปัจจุบันได้เริ่มการทดลองทางคลินิกแล้ว

ข้อมูลมีที่จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

วัคซีนทั้ง 2 ตัวเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันยาชีววัตถุอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Biological Products) และบริษัท ซิโนวัค รีเสิร์ช แอนด์ เดเวลอปเมนต์ จำกัด (Sinovac Research and Development) ในกรุงปักกิ่ง โดยปัจจุบันได้เริ่มการทดลองทางคลินิกแล้ว พบข้อมูลนี้จากเว็บเพจ เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน - คปต. - https://www.facebook.com/pg/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%95--499799580161268/posts/

ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่าดื่มน้ำต้มขิงกับขมิ้นชันป้องกันโคโรนาไวรัสได้

ยาขับปัสสาวะ ไม่มีผลในการลดแคลอรีที่ร่างกายได้รับ มีผลเพียงทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงเท่านั้น ผลข้างเคียง ได้แก่ สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกายไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายอาการผิดปกติต่อหัวใจ สมอง และอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การใช้ยา เพื่อลดน้ำหนักเป็นปัญหาที่พบมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบการนำไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่ง เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมน ไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ มาใช้ลดน้ำหนัก ซึ่งยานี้มี ผลเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเร็ว แต่มีผลข้างเคียงหลาย อย่าง เช่น ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะไทรอยด์ ฮอร์โมนจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม และไม่เต็มจังหวะ ทำให้แต่ละครั้งของการเต้น สูบฉีดเลือดได้น้อยลง จึงมีความเสี่ยงสูงกับคน ที่มีปัญหาภาวะหัวใจ “ยาที่กล่าวมาข้างต้นหากใช้โดยแพทย์ใน ขนาดที่ถูกต้องก็ยังเป็นยาที่มี ประโยชน์มากใน ทางการแพทย์ แต่ถ้ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยไม่เข้าใจถึงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ก็ สามารถทำให้ผู้ใช้เกิดอันตรายได้”

นักวิจัยได้ทำการติดตามข้อมูลชาวเดนมาร์กราว 100,000 คน เป็นเวลาประมาณ 8 ปี พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 6 แก้วต่อวัน จะมีความเสี่ยงที่ในการเป็นโรคนิ่วลดลงถึง 23% Dr. A. Tybjaerg-Hansen คาดว่า คาเฟอีน ถูกขับออกทางน้ำดี จึงเป็นไปได้ว่ากาแฟจะไปลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่พบในน้ำดี เนื่องจากการพัฒนาของโรคนิ่วนั้นขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างคอเลสเตอรอลและกรดน้ำดี อย่างไรก็ตาม Dr. Anthony Bleyer ซึ่งไม่ได้อยู่ในทีมวิจัยนี้ ได้กล่าวว่า การดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวัน นับว่ามากเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อ การนอนหลับ กรดไหลย้อน และหัวใจเต้นผิดจังหวะ

เฟนเตอมีน (Phentermine) ผลข้างเคียง ได้แก่ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง อาจหมดสติหรือชักได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการติดยาได้

ไม่มีผลในการลดแคลอรีที่ร่างกายได้รับ เป็นการขับอาหารออกจากทางเดินอาหาร ผลข้างเคียง หากใช้ปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการท้องเดิน ร่างกายสูญเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ เกิดอันตรายได้ และการใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ ส่งผลร่างกายเริ่มทนต่อยา

สับปะรดสามารถทำลายเซลล์มะเร็ง เพราะสับปะรดป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระและยังต้านอาการอักเสบได้ ดังนั้น พวกมันลดความเสี่ยงการเกิดเซลล์มะเร็ง โดยบรอมีเลนควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้องอกจึงส่งผลให้ไม่เป็นโรคมะเร็ง